๒ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
พสกนิกรชาวไทยและชาวต่างประเทศได้มาร่วมรวมกันประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อน้อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ด้วยความโทมนัสและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ที่พระองค์ได้ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยและชาวโลกตลอดระยะเวลาที่ยาวนาน พระองค์ทรงเป็นดั่งแม่แห่งแผ่นดิน ผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตาและพระปรีชาสามารถ ทรงอุทิศพระวรกาย พระสติปัญญา และพระราชหฤทัยในการบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการ เคียงคู่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เพื่อธำรงไว้ซึ่งความผาสุกและความมั่นคงแห่งชาติไทย เราประชาชนชาวไทยต้องร่วมใจสมัครสมานสามัคคีทำความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เพื่ออุทิศบุญกุศลน้อมเกล้าถวาย เพื่อเสด็จสู่สวรรคาลัย เข้าสู่สวรรค์มรรคผลพระนิพพาน
วันนี้เป็นวันอังคารที่ ๒ เดือนธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ฮิจเราะห์ศักราช ๑๔๔๖
เรามารู้มาเข้าใจในการประพฤติในการปฏิบัติ มามีปิติมามีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติที่เป็นความยึดมั่นถือมั่นที่ประกอบด้วยปัญญา เพื่อให้เกิดสติเกิดสัมปชัญญะ สติสัมปชัญญะจะได้เป็นผู้กำกับ กายวาจากิริยามารยาทอาชีพมารวมลงที่ใจ ใจที่มีสติมีปัญญา
เราทั้งหลายต้องพากันรู้พากันเข้าใจ จะไม่ได้ไปตามผัสสะ จะไม่ได้ไปตามสิ่งแวดล้อม เพื่อหยุดสัญชาตญาณที่เป็นตัวเป็นตน ที่ทำให้ทุกคนที่ต้องเวียนว่ายตายเกิด เราทั้งหลายต้องมาหยุดสัญชาตญาณอย่างนี้ เพื่อเราจะไม่ไปตามผัสสะ สิ่ง ๒ อย่างที่เป็นขั้วบวกขั้วลบ สิ่งภายนอกภายในได้สัมผัสกันที่เป็นรายการทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ สิ่งต่าง ๆ นี้มันเป็นขั้วบวกขั้วลบ เราต้องหยุดขั้วบวกขั้วลบด้วยความรู้ความเข้าใจ ไม่เข้าไปปรุงแต่งให้มันเป็นเรื่องเป็นราว เราจะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ไม่ใช่ว่างจากสิ่งที่ไม่มี
เราทุกคนต้องหยุดสัญชาตญาณของตัวเองด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยมีสติมีสัมปชัญญะ เอาปัญหาต่าง ๆ มาเป็นปัญญา เอาสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับเราทางตาหูจมูกลิ้นกายใจนั้นมาให้เป็นปัญญา
เราทุกคนมาทำหน้าที่ เพื่อให้หน้าที่นั้นเป็นธรรมะ สติสัมปชัญญะถึงเป็นหน้าที่ เราทุกคนรู้เข้าใจ เมื่อรู้เข้าใจแล้วย่อมไม่ไปตามผัสสะ ไม่หลงตามผัสสะด้วยความรู้ความเข้าใจ เป็นผู้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ เป็นผู้รู้ผู้เข้าใจ เป็นผู้ที่แก้ไขตัวเอง ไม่ไปแก้ไขบุคคลอื่น เป็นผู้ให้เป็นผู้ที่เสียสละ เสียสละให้ธาตุให้ขันธ์ ไม่ไปลิดรอนสิทธิเสรีภาพเสรีธรรม เป็นผู้คืนอธิปไตยให้กับปวงชน เป็นผู้ที่เน้นมาที่ใจที่เจตนา ไม่ตรึกในกาม ไม่ตรึกในพยาบาท มีปิติมีความสุขที่ได้มีโอกาสมาหยุดสัญชาตญาณที่เป็นนิติบุคคลตัวตน
ต้องรู้เข้าใจ ทุกคนนั้นจะไม่มีทุกข์ได้ก็ต้องมีสติมีสัมปชัญญะ สติสัมปชัญญะนั้นคือสภาวธรรมที่หยุดความทุกข์ สติสัมปชัญญะนั้นเป็นอริยมรรคมีองค์ ๘ เป็นวงจรชีวิตในชีวิตประจำวัน เราทุกคนต้องมาตั้งใจตั้งเจตนา มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการยกเลิกตัวยกเลิกตน ให้เรารู้ให้เราเข้าใจ เราเป็นผู้มีปัญญามากเราก็ต้องสงบมาก ๆ เราเป็นผู้ที่สงบมาก ๆ เราก็ต้องเสียสละมาก ๆ เพื่อก้าวไปด้วยสติด้วยสัมปชัญญะ สิ่งที่สัมผัสกับเราทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ เราทุกคนต้องมีสติมีสัมปชัญญะ ถ้าเราไม่มีสติไม่มีสัมปชัญญะนั้นเราจะหยุดสัญชาตญาณของตัวเรานั้นไม่ได้
เราทุกคนมาเน้นสติเน้นสัมปชัญญะ มาเน้นที่จิตที่ใจ เน้นที่ตั้งใจตั้งเจตนาว่าเราต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติด้วยมีสติมีสัมปชัญญะ นี้แหละคือภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ถ้าเราไม่มีสติไม่มีสัมปชัญญะก็ไม่มีภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เพราะการประพฤติการปฏิบัตินั้นไม่มีใครมาประพฤติมาปฏิบัติให้เราแทนเราได้ ทุกคนถึงต้องตั้งใจตั้งเจตนา เราทุก ๆ คนอย่าไปกลัวผัสสะ ทุกคนให้มีสติมีสัมปชัญญะ ถ้าเรามีสติมีสัมปชัญญะเราจะไม่มีความกลัว ให้เรารู้จักผัสสะ ถ้าไม่มีผัสสะก็ไม่มีข้อสอบ ให้เราเข้าใจอย่างนี้
ถ้าเรามีสติมีสัมปชัญญะ ผัสสะทั้งหลายนั้นก็จะทำอันตรายอะไรแก่เราไม่ได้ ผัสสะที่เคยทำให้เรามีปัญหาก็จะได้หยุดปัญหาด้วยสติด้วยสัมปชัญญะ ปัญหาทั้งหลายนั้นจะหยุดลงที่มีสติมีสัมปชัญญะ เราทุกคนมาตั้งอกตั้งใจตั้งเจตนา เราทุก ๆ คนมีเวลาพอ ๆ กัน ไม่มีใครมากใครน้อย พอ ๆ กัน
เรามาเจริญสติสัมปชัญญะทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพมารวมลงที่ใจ ที่มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบันด้วยความยึดมั่นถือมั่นที่เป็นปัญญา ความยึดมั่นถือมั่นที่เป็นปัญญาที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นสติเป็นสัมปชัญญะ เป็นการหยุดภพหยุดชาติ เป็นความดีเป็นบารมีเบื้องต้น ท่ามกลาง ถึงที่สุด อยู่ที่ปัจจุบัน อยู่ที่สติที่สัมปชัญญะ
เราทุกคนตั้งอกตั้งใจ เราตั้งอกตั้งใจทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ เพราะธรรมะนั้นคือหน้าที่ หน้าที่ของเราคือธรรมะ ให้เราทุกคนมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติในการทำหน้าที่ เราต้องมีความยึดมั่นถือมั่นที่เป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ ความยึดมั่นถือมั่นในปัญญาสัมมาทิฏฐิคือสติคือสัมปชัญญะนะ คือความสงบและปัญญา เป็นการทำหน้าที่ที่มีแต่ปิติมีแต่สุขมีแต่เอกัคคตาที่เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม ไม่มีนิติไม่มีบุคคลไม่มีตัวตน มีแต่สติมีแต่สัมปชัญญะ
ถ้าเรามีสติมีสัมปชัญญะ ความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงนั้นก็ย่อมไม่มี ปัญหาทั้งหลายทั้งปวงนั้นก็ย่อมไม่มีถ้าเรามีสติมีสัมปชัญญะ เพราะสติสัมปชัญญะนั้นจะหยุดปัญหาจะไม่มีปัญหา จะมีตั้งแต่ปัญญา จะเป็นความยึดมั่นถือมั่นที่เป็นปัญญา เราจะได้หยุดสัญชาตญาณที่เอาความหลงนำชีวิต เอาความผิดนำชีวิต เอาทุจริตนำชีวิต เพราะความไม่ถูกต้องนั้นมันย่อมเกิดความเสียหาย เกิดเป็นความพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกันกับตึกสตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทย ตึกไหน ๆ เค้าก็ไม่ทลาย พังตึกเดียวเฉพาะตึก สตง. ตึกอื่น ๆ ใหญ่กว่าสูงกว่ามีมาก
เราต้องรู้ต้องเข้าใจ ความยึดมั่นถือมั่นในพระรัตนตรัย ในพระธรรมในพระวินัยที่เป็นข้อวัตรข้อปฏิบัติ เราทั้งหลายต้องมีปิติมีความสุขมีความยึดมั่นถือมั่นในการประพฤติการปฏิบัติ ความยึดมั่นถือมั่นในพระธรรมพระวินัยข้อวัตรข้อปฏิบัตินี้คือหลักการ นี้คืออุดมการณ์อุดมธรรม ที่เราทุกคนต้องมายกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ยกเลิกตัวยกเลิกตน เพราะมีตัวมีตนอยู่ที่ไหน ที่นั่นก็เป็นทุกข์ เป็นคนรวยก็ทุกข์เพราะมีตัวมีตน เป็นข้าราชการก็เป็นทุกข์เพราะมีตัวมีตน เป็นข้าราชการก็มีทุกข์เพราะมีตัวมีตน เป็นนักบวชก็มีทุกข์เพราะมีตัวมีตน เราต้องรู้ต้องเข้าใจ เราจะได้หยุดสัญชาตญาณที่เป็นนิติบุคคลตัวตน เราต้องหยุดสัญชาตญาณด้วยการเจริญสติสัมปชัญญะ
เราต้องรู้เข้าใจว่าพระธรรมพระวินัยแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์นั้นเป็นอุปกรณ์ในการประพฤติในการปฏิบัติ ให้รู้ว่าพระธรรมพระวินัยนั้นเป็นอุปกรณ์ในการประพฤติการปฏิบัติ ให้เราเข้าใจว่า สมมติสัจจะทั้งหลายมีหลายล้านสมมติสัจจะนั้น นี้คืออุปกรณ์ในการประพฤติการปฏิบัติ ให้เรารู้ให้เราเข้าใจ เราทั้งหลายต้องมีความยึดมั่นถือมั่น มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในความยึดมั่นถือมั่นในการประพฤติการปฏิบัติในการทำหน้าที่ ให้เราทุกคนรู้เข้าใจ ไม่มีใครอยู่เหนือกรรมอยู่เหนือกฎแห่งกรรมอยู่เหนือผลของกรรม เราทุกคนต้องเลิกทำอะไรตามใจทำตามความรู้สึก เราจะเลิกได้อย่างไร เลิกด้วยมีสติมีสัมปชัญญะ มีความตั้งใจตั้งเจตนา
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านรับรองว่า ถ้าเรามีสติมีสัมปชัญญะนั้นเราจะไม่มีความทุกข์ มนุษย์เราถึงต้องหยุดสัญชาตญาณ มาเสียสละ มาพัฒนาวัตถุ พัฒนากายวาจากิริยามารยาทอาชีพด้วยสติด้วยสัมปชัญญะ มามีความยึดมั่นถือมั่นในพระธรรมในพระวินัย ข้อวัตรกิจวัตร เป็นผู้รู้เข้าใจ เป็นผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เมื่อมันผ่านไปแล้วก็ให้ปล่อยให้วาง เพราะที่ผ่านไปแล้วคือความเกษียณไปแล้ว เราต้องปล่อยต้องวาง ถึงมีศัพท์ว่าไม่ยึดมั่นถือมั่น
เราต้องรู้เข้าใจ เบื้องต้นคือความยึดมั่นถือมั่น มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติในการทำหน้าที่ด้วยความยึดมั่นถือมั่นเพื่อให้มีแต่ปิติมีแต่ความสุขมีแต่เอกัคคตา เพราะความยึดมั่นถือมั่นนั้นมันเป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ ถ้าเรามีสติมีสัมปชัญญะแล้วความทุกข์ของเราทุกคนจะไม่มีสำหรับผู้ที่มีสติมีสัมปชัญญะ สติสัมปชัญญะนั้นเป็นพระนิพพานตั้งแต่ปัจจุบัน เป็นพระนิพพานเบื้องต้น ท่ามกลาง ที่สุดนั้นอยู่ที่ปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญ นี้มันไกลเหลือเกิน มันอยู่เบื้องหน้าโน้นเทอญ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เราเอาที่ปัจจุบันปัจจุบันเราต้องมีสติมีสัมปชัญญะ เป็นประโยชน์ทั้งปัจจุบันและอนาคต ไม่ต้องลังเลสงสัยว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร เมื่อเรามีสติมีสัมปชัญญะให้เรารู้เข้าใจ ทุกอย่างนั้นไม่มีปัญหา ถ้าเรายกเลิกตัวยกเลิกตนทุกอย่างไม่มีปัญหา ถ้าเรามีตัวมีตนทุกอย่างนั้นก็ย่อมมีปัญหา
เราต้องรู้ต้องเข้าใจ นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายผู้พัฒนาวัตถุทั้งหลายก็ต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตา มีความยึดมั่นถือมั่นที่เป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ ที่เป็นสติเป็นสัมปชัญญะ เพราะการพัฒนาวิทยาศาสตร์เราต้องมีสติมีสัมปชัญญะ มันจะเป็นการพัฒนาวิทยาศาสตร์พัฒนาใจไปพร้อม ๆ กัน การพัฒนาใจนั้นก็ให้เราเข้าใจ การพัฒนาใจต้องตั้งใจตั้งเจตนา ด้วยเหตุผลว่าผู้มีปัญญามาก ๆ ก็ต้องสงบมาก ๆ ถ้าเรามีสติมีสัมปชัญญะเราทุกคนก็ย่อมมีความสงบ เพราะความสงบอยู่ที่มีสติมีสัมปชัญญะ ผู้ที่พัฒนาใจด้วยอาศัยการเจริญสติสัมปชัญญะ เมื่อเรามีสติมีสัมปชัญญะมันก็สงบ เมื่อมีความสงบเราก็ต้องเสียสละ ธรรมเหล่าใดที่เป็นตัวเป็นตน เป็นความขี้เกียจขี้คร้าน ไม่ใช่ธรรมะนั้นคือตัวคือตน ให้เรารู้เข้าใจ ผู้มีความสงบมาก ๆ ก็ต้องเสียสละมาก ๆ ถึงจะเกิดปัญญา
เรามีความคิดเห็นผิดเข้าใจผิดในเรื่องการทำงาน การทำงานมาก การเสียสละมาก ไม่มีเวลาพักผ่อน ให้เรารู้ให้เข้าใจนะ การพักผ่อนนี้ให้เรารู้จักนะ เรามีสติมีสัมปชัญญะนั่นแหละคือการพักผ่อน ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ เรามีสติมีสัมปชัญญะ เราเป็นผู้ที่ยกเลิกตัวตน นั่นแหละคือการพักผ่อนนะ เราไม่ได้ยกเลิกตัวตน เราจะพักผ่อนได้อย่างไร การพักผ่อนทางกาย มนุษย์เรา ๒๔ ชั่วโมง พักผ่อนทางกายวันละ ๖ ชั่วโมงก็เพียงพอ การพักผ่อนทางใจนั้นให้เรารู้เข้าใจ การพักผ่อนทางใจนั้นคือการมีสติมีสัมปชัญญะ มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติในการทำหน้าที่ เป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นปัญญาประกอบด้วยความดี ถ้าเรามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการทำหน้าที่ ทุกข์ที่ไหนจะมีกับเรา
ให้เรารู้เข้าใจ เราต้องรู้เข้าใจ เราทุกคนต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการทำหน้าที่ วันหนึ่งคืนหนึ่งเรานอนพักผ่อนวันละ ๖ ชั่วโมงก็เพียงพอ ๖ ชั่วโมงก็ถือว่ามากแล้ว ในเวลาที่เราตื่นขึ้น เราต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการยึดมั่นถือมั่นทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพ อาชีพที่ตั้งใจตั้งเจตนา มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการทำหน้าที่ เราทุกคนต้องรู้จักพระศาสนาในลักษณะอย่างนี้
เมื่อสมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงตรัสรู้ ที่ท่านส่งสงฆ์สาวกอรหันต์ขีณาสพไปเผยแผ่ธรรมะให้แก่ประชาชนให้แก่มหาชน ให้ไปบอกอริยสัจสี่ ให้ไปบอกประชาชนทั้งหลาย รู้จักการดำเนินชีวิต ทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพรวมลงที่ใจ ให้มีหลักการในการประพฤติการปฏิบัติในการยังชีพ
มนุษย์เราต้องรู้เข้าใจ มนุษย์เราดับทุกข์ได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยสติด้วยสัมปชัญญะ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตามีความยึดมั่นถือมั่นในการประพฤติในการปฏิบัติ ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมันเป็นกระบวนการของเหตุของปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี หมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายจะได้จบลงในปัจจุบันด้วยความรู้ความเข้าใจ
ให้มนุษย์ทั้งหลายยกเลิกการเบียดเบียน มีแต่ความเมตตามีแต่ความกรุณาที่หาที่สุดหาประมาณมิได้ มนุษย์เราต้องเป็นผู้ให้เป็นผู้เสียสละ ไม่เอาของใครไม่เอาของผู้อื่น มนุษย์เราต้องเป็นผู้ให้ ให้ทางกายทั้งวาจาให้ทั้งกิริยามารยาทให้ทั้งใจ มนุษย์เราต้องมาเป็นผู้ให้มาเป็นผู้เสียสละ ให้ดูตัวอย่างแบบอย่างองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเป็นผู้ให้เป็นผู้เสียสละ ประเทศไทยเราก็ให้ดูตัวอย่างแบบอย่างที่ดี ๆ ที่ประกอบด้วยปัญญา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ ของเมืองไทยประเทศไทย ท่านประพฤติปฏิบัติเป็นตัวอย่างแบบอย่างที่ดี ท่านเป็นแต่ผู้ให้ เป็นแต่ผู้ที่เสียสละ เราต้องเป็นผู้ที่เสียสละเหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะเสียสละเหมือนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลยเดช เราต้องรู้ต้องเข้าใจ เราต้องมีสติมีสัมปชัญญะ
ทางสายกลางระหว่างเรื่องจิตเรื่องใจกับวัตถุที่พัฒนาใจพัฒนาวิทยาศาสตร์ไปพร้อม ๆ กันเพื่อหยุดสัญชาตญาณ ยกเลิกตัวยกเลิกตน ต้องอาศัยหลักเจริญสติสัมปชัญญะ เพื่อเราจะไม่เอาความชอบนำชีวิต เอาความชังนำชีวิต จะต้องเอาสติสัมปชัญญะนำชีวิตที่เป็นอริยมรรคทั้งกายวาจากิริยามารยาทมารวมลงที่ใจที่เจตนาตั้งใจ
เราทุกคนก็ต้องมองมาที่ตัวของเรานี้แหละ ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ เราเป็นข้าราชการเป็นนักการเมืองเป็นนักบวช ๓ สถาบันนี้ถือว่าเป็นสถาบันหลัก เราทุกคนก็มาเน้นที่ตัวเรา เพียงแต่ทุกคนทำหน้าที่ดีที่สุด ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ ดีที่สุดด้วยความตั้งใจตั้งเจตนา ด้วยมีสติมีสัมปชัญญะ ปัญหาต่าง ๆ นั้นก็จะได้คลี่คลายจากปัญหามาเป็นปัญญา ทุกวันนี้เราไม่ได้เดินทางสายกลาง ให้เรารู้เข้าใจ ทางสายกลางนั้นคือสติคือสัมปชัญญะ คือระหว่างเรื่องจิตเรื่องใจกับทางวิทยาศาสตร์ทางวัตถุ มันต้องไปพร้อม ๆ กัน
ธรรมะนั้นเป็นความยึดมั่นถือมั่นที่เป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ เป็นทางสายกลาง วาระต่าง ๆ ในการบริหารประเทศที่เค้าเลือกตั้งนักการเมืองถึงเป็นระยะเวลา ๔ ปี เพื่อให้ความดีและปัญญามันก้าวไป ๔ ปี เพื่อให้สติสัมปชัญญะก้าวไป ๔ ปีนะ การทำอะไรติดต่อต่อเนื่องเป็นความรู้ความเข้าใจในเรื่องผัสสะ เป็นสภาวธรรมที่หยุดอดีตหยุดอนาคตที่ไม่ถูกต้อง มีสติมีสัมปชัญญะที่ปัจจุบัน ที่ผ่าน ๆ มาเป็นเวลาหลายปีชั่วอายุที่เรามองกันเห็นนี้มันไม่ใช่ทางสายกลาง ไม่ใช่ความสงบและปัญญา เราได้รับหน้าที่เป็นข้าราชการเป็นักการเมืองเป็นนักบวช เราต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติในการทำหน้าที่
ทุกวันนี้ในความรู้สึกของเราทุก ๆ คน มีความรู้สึกว่าเรามองไปเห็นหน้าข้าราชการเท่ากับเห็นหน้าโจรลอยมาเลย มองดูหน้านักการเมืองก็ยิ่งไม่ใช่โจรธรรมดา โจรระดับมหาโจรระดับมหาโจรเลย เรามองดูหน้านักบวชก็เป็นหน้าโจรหน้ามหาโจร อันนี้แหละความจริงเป็นอย่างนี้นะ เราทุกคนรับหน้าที่เป็นข้าราชการนักการเมืองเป็นนักบวช ให้รู้เข้าใจเรื่องปัญหา เพื่อจะหยุดปัญหา เราทุกคนก็ต้องมาเน้นที่ตัวของเรานี้แหละ ตัวคนอื่นก็ให้เค้าเน้นที่ตัวของเขาเอง การแก้ปัญหาต้องแก้เรื่องตัวเรื่องตน ต้องแก้ที่ทุจริต ไม่ต้องไปทำอะไร ใครมาเป็นข้าราชการเป็นนักการเมืองเป็นนักบวชให้พากันมายกเลิกตัวยกเลิกตนยกเลิกการทุจริต ให้ข้าราชการนักการเมืองนักบวชประชาชนทุกคนเข้าใจ ตัวตนคือทุจริต เรามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เรามาทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ เราต้องแก้ปัญหาให้ถูกที่ให้ถูกทาง เราอย่าไปคิดว่าพระนิพพานอยู่ในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญ นั้นไม่ใช่เรื่องปัจจุบันนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเมตตาบอกเราทั้งหลายว่า อดีตก็มารวมอยู่ที่ปัจจุบันแล้ว อนาคตก็รวมที่ปัจจุบัน ปัจจุบันนี้ถึงเป็นวาระสำคัญในการประพฤติการปฏิบัติ ท่านถึงตรัสปัจฉิมโอวาทไว้ว่า
“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”
โอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ
ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ
ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู
ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร
ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละคือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะว่าสิ่งเดิมนั้นคือความว่างเปล่า สิ่งที่สัญจรไปมาเป็นเพียงอาคันตุกะ เราจะได้เอาหลักการอุดการณ์ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นมรรคเป็นอริยมรรคที่ตรงกันข้ามกับโลกธรรมมาประพฤติมาปฏิบัติ ให้รู้เข้าใจ เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรม พระนิพพานความรู้ความเข้าใจในเรื่องกระบวนการปฏิจจสมุปบาท กระบวนการของปฏิจจสมุปบาทจะได้จบลงเพียงผัสสะ จะได้เป็นปัญญาเป็นความสงบ จะเป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหตุเหนือผล หยุดความปรุงแต่ง นี้เป็นขบวนการที่ติดต่อต่อเนื่อง เป็นบารมีเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นพระนิพพานบ้านของเรา ไม่ใช่อวิชชาความหลงเป็นบ้านของเรานะ พระนิพพานคือบ้านของเรา ความสงบและปัญญาถึงเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราจะหยุดวัฏฏสงสารได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยพระธรรมด้วยพระวินัย เป็นขบวนการของกระแสในการประพฤติการปฏิบัติที่ได้นำเอาพระธรรมพระวินัยมาประพฤติมาปฏิบัติในปัจจุบันให้ติดต่อต่อเนื่อง
ความสงบและปัญญาที่เป็นพระธรรมพระวินัยถึงหยุดความปรุงแต่งได้ ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิคู่กับการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน พระธรรมพระวินัยที่เป็นความรู้ความเข้าใจ ที่จะหยุดความปรุงแต่งได้ เข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ปัจจุบัน ไม่ต้องรอชาติหน้า พระนิพพานต้องอยู่ที่ปัจจุบันเท่านั้น
------------------------------------------
โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
เมตตาให้ไว้ในเช้าวันอังคารที่ ๒ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

