๒๙ พฤษภาคม (สวดพระอภิธรรมคุณพ่อเลิศเดช วัดป่าตาขีดฯ)

วันนี้เป็นวันพฤหัสบดีที่ ๒๙ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

 

ค่ำคืนนี้คณะสงฆ์ พร้อมด้วยญาติและญาติธรรมได้ร่วมรวมกันบำเพ็ญบุญกุศลให้คุณพ่อเลิศเดช ภูชิตภัทรชัย ที่ได้ละสังขารวายชนม์จากไปตามอายุขัย

 

มนุษย์เราคือผู้ที่ประเสริฐ เมื่อดำรงชีวิตอยู่ ดำรงธาตุ ดำรงขันธ์ ดำรงอายตนะก็ต้องพัฒนาเรื่องจิตเรื่องใจ พัฒนาทั้งทางวิทยาศาสตร์ไปพร้อม ๆ กัน ได้ทั้งเรื่องจิตเรื่องใจได้ทั้งทางวิทยาศาสตร์ เพื่อความสะดวกความสบายในการอำนวยความสะดวกความสบายทางวัตถุ พร้อมทั้งพัฒนาเรื่องจิตเรื่องใจไปพร้อม ๆ กัน

 

เมื่อละสังขารวายชนม์แล้ว ผู้ที่ยังอยู่ก็ต้องมีความสมัครสมานสามัคคีอุทิศบุญกุศลส่งให้มอบให้ เพื่อไปสู่สุคติสรวงสวรรค์ มรรคผลพระนิพพาน

 

คืนนี้เป็นคืนสุดท้าย วันพรุ่งนี้เวลา ๘.๓๐ น. จะได้ทำบุญอุทิศกุศล

 

ประมาณ ๑๐ นาฬิกา จะได้สวดมาติกาบังสุกุลแสดธรรมอุทิศบุญกุศลและนำสรีระไปประชุมเพลิง ณ เมรุฯที่จัดขึ้นเฉพาะ ณ วัดป่าตาขีดธรรมารามแห่งนี้

 

เพราะเหตุผลว่าครูบาอาจารย์ที่มาร่วมงานมาจากต่างจังหวัดเดินทางระยะไกล เพื่อจะได้กลับบ้านกลับวัดไม่ดึกเกินไป

 

การบำเพ็ญบุญกุศลให้กับผู้ที่ละสังขารวายชนม์ให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจนะ ผู้ที่ละสังขารวายชนม์เราทุกคนที่มีชีวิตอยู่ ต้องพากันบำเพ็ญบุญกุศลให้กับผู้วายชนม์

 

ในหมู่บ้านหนึ่ง ๆ จะมีบ้านมีวัดมีโรงเรียนเป็นโครงสร้างของหมู่มวลมนุษย์นะ ต้องมีบ้านมีที่อยู่อาศัยมีที่ทำมาหากิน มีโรงเรียนเรียนหนังสือแล้วก็มีวัดเป็นที่อยู่ของนักบวช นี้คือโครงสร้างของมนุษย์ ทุกคนเกิดมาจากเหตุจากปัจจัยจากกรรมจากกฎของกรรม

 

ผลของความเกิดความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพรากนี้มาจากกรรมเค้าเรียกว่ากรรมเก่าได้ปรากฏทางร่างกายเป็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ  เป็นสังขารที่มีใจครอง ครองในธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ เป็นสังขารที่มีใจครอง เมื่อเรามีกรรม มันก็ต้องมีกฎแห่งกรรมทุกคนน่ะ อายุขัยมันไปตามวาระ ตามกาลเวลา ไปตามกฎแห่งกรรม เวลาละสังขารวายชนม์

 

มนุษย์นี้คือผู้ที่ประเสริฐ ผู้เอาธรรมนำชีวิต นำสรีระร่างกายบำเพ็ญบุญกุศล เพื่อมอบให้ส่งให้ผู้วายชนม์จากไป ผู้ที่จากไปต้องอาศัยบุญอาศัยกุศลของผู้ที่มีชีวิตอยู่ ลูกหลานญาติพี่น้องวงศ์ตระกูลเพื่อนบ้านมีความสมัครสามัคคีกัน พากันทำความดี รักษาศีล บริจาคทาน เจริญภาวนาเพื่อมอบความดีมอบบุญกุศล ให้เพื่อไปสู่สุคติ สรวงสวรรค์มรรคผลพระนิพพาน จึงได้มีประเพณีทำบุญทำกุศลสำหรับผู้วายชนม์

 

ผู้ที่เป็นหลักที่เป็นทั้งคนดีเป็นคนมีปัญญา ก็ได้แก่พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ผู้ทำตามปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า หรือผู้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเพื่อพัฒนาตัวเองเป็นพระอริยเจ้าที่จะเป็นเนื้อนาบุญ เราต้องให้ทานถวายทานกับท่านผู้นี้

 

การบำเพ็ญบุญกุศลให้พวกเราทั้งหลายเข้าใจนะ ต้องให้เป็นบุญกุศล อย่าพากันทำบาป ให้เป็นบุญเป็นกุศลคือไม่ทำบาปทั้งปวง ทำแต่บุญแต่กุศลให้ถึงพร้อมต้องไม่ทำบาป ต้องเอาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นหลัก ต้องเอาพระธรรมเอาพระวินัยเป็นหลัก เอาความถูกต้องเป็นหลัก พวกเราจะไม่ได้ทำอะไรตามใจตามอัธยาศัยตามพรรคตามพวก อย่าเอาโลกเป็นหลัก ต้องเอาธรรมเป็นหลักอย่าเอาโลกธรรมนำการจัดงาน ต้องเอาธรรมนำการปฏิบัติ ถึงจะเป็นบุญเป็นกุศล เน้นผู้ที่วายชนม์เน้นผู้ที่จากไป

 

เดี๋ยวนี้โลกสมัยใหม่ได้พัฒนาเหตุผลพัฒนาวิทยาศาสตร์มีถนนหนทางลาดยาง หรือว่าลาดปูนซิเมนต์ ระยะทางหลายสิบกิโลใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมง ไม่เหมือนแต่ก่อน  แต่ก่อนใช้เดินเท้า เดี๋ยวนี้การบำเพ็ญบุญบำเพ็ญกุศล เราสามารถที่จะนำสรีระร่างกายของผู้ที่วายชนม์จากไปมาบำเพ็ญบุญกุศลในสถานที่ที่สงบวิเวกได้

 

การที่พระท่านปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรง ปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์ผู้ปฏิบัติสมควร ท่านเอามรรคเอาผลเอาพระนิพพานท่านไม่เอาโลกธรรม ท่านเอาธรรรมเอาพระวินัย ถึงจะอยู่ไกลเราก็สามารถไปได้ เพราะการสัญจรคมนาคมนั้นสะดวกสบาย

 

ให้พวกเราทั้งหลายพากันเข้าใจอย่างนี้เราต้องเน้นผู้ที่วายชนม์ อย่าเอาความสะดวกสบายของพวกเรา ผู้ที่ส่งบุญกุศลได้ก็คือบริสุทธิคุณ ที่ทำความดีเพื่อความดี รักษาศีลเพื่อศีล เจริญปัญญาเพื่อปัญญา ท่านเหล่านั้นเป็นสุปฏิปันโน ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรง ปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์ให้เข้าใจอย่างนี้

 

การบำเพ็ญกุศลให้พวกเราเข้าใจ เราอย่าไปเอาหน้าเอาตาเอาชื่อเอาเสียง อันนั้นมันไม่ใช่ธรรมะ อันนั้นมันเป็นโลก เรียกว่าโลกครอบงำธรรมเป็นโลกธรรม เพราะเอาหน้าเอาตาเอาชื่อเอาเสียงนั้นมันไม่ใช่

 

การจัดงานเราต้องยกเลิกโลกธรรมอย่าให้มีโลกธรรม พวกยศพวกตำแหน่ง ยกเลิกก่อนอย่างนี้ ตำแหน่งที่เป็นธรรมเป็นปัจจุบันมันเป็นตำแหน่งของผู้นั้น ท่านยกเลิกตัวตนต่างหาก ไม่เอาโลกธรรมนำชีวิต ยกเลิกตัวตน มันถึงเป็นตำแหน่งทางธรรมะเป็นตำแหน่งที่เป็นประภัสสร เป็นตำแหน่งที่ยกเลิกตัวตน ไม่สำคัญมั่นหมายว่าเป็นหญิงชายเป็นชาย มียศถาบรรดาศักดิ์ มีแต่ความสงบมีแต่ความเย็นเป็นพระนิพพาน

 

เหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าน่ะท่านรักษาศีลเพื่อศีล รักษาธรรมเพื่อธรรม ท่านเสียละเพื่อสละ ไม่เอาอะไร เป็นความสงบเป็นความเย็นเป็นพระนิพพาน ไม่มีโลกมาครอบงำธรรม มีแต่พระธรรมพระวินัย มีแต่ความสงบ มีแต่ความเย็นเป็นพระนิพพานเคลื่อนที่ในปัจจุบัน เราต้องรู้ต้องเข้าใจอย่างนี้นะ

 

เราบำเพ็ญบุญกุศล เราอย่าไปเอาหน้าเอาตาเอาชื่อเอาเสียง ปกติเรามันก็หลงอยู่แล้วเรายังจะมาเอาตัวเอาตนหลง ทำความดีเพื่อหลง อย่างนี้ไม่เอาไม่ถูกต้อง เราต้องทำความดีเพื่อความดี บุญกุศลนี้จึงจะถึงญาติบรรพบุรุษของเรา ให้พวกเราทั้งหลายเข้าใจ

 

การจัดงานจัดการต้องเอาพระพุทธเจ้าเจ้าเป็นหลัก เอาพระธรรมพระวินัยเป็นหลัก ถ้าไม่เป็นอย่างนั้นมันก็ไม่เป็นธรรมไม่เป็นพระวินัย มันเป็นตัวเป็นตน มันก็เป็นโลกธรรม ทำให้เสียหาย ไม่ถูกต้อง พากันทำบุญกัน บุญมันเป็นตัวเป็นตน อย่างนั้นไม่ถูกต้อง บุญมันต้องยกเลิกตัวตน เราอย่าไปเอาหน้าเอาตา ใครจะไปใครจะมาก็ไม่เป็นไร ใครไม่ไปไม่มาก็ไม่เป็นไร เราจะไปหลงไปทำไม จะงมงายไปทำไมเราต้องเข้าใจเราต้องมีความสงบมีปัญญา มีปัญญามีความสงบ

 

การทำไม่ถูกต้องก็ทำให้เสียเวลาเสียงบประมาณ เลิกร้างงานแล้วก็ไม่มีประโยชน์อะไร ต่างคนก็ต่างรับรางวัลก็คือความหลงไป หลงในโลกธรรมหลงในตัวตน

 

ให้พวกเราทั้งหลายเข้าใจคำว่าพระนะ พระคือผู้ที่มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ไม่ให้ตัวตนมันครอบงำเราไม่ให้ตัวตนมันครอบงำเรา คิดดี ๆ พูดดี ๆ กิริยามารยาทอาชีพดี ๆ ที่ประกอบด้วยปัญญายกเลิกตัวตน บุคคลนั้นแหละถึงเรียกว่าพระ พระคือผู้ที่วางภาระหนักคือตัวตน มีความสุขในการเรียนหนังสือหรือว่ามีความสุขในการทำงานเสียสละตัวตนทุกคนก็พากันเป็นพระ

 

ผู้ที่มาบวชอยู่ที่วัด ที่มาปลงผมนุ่งห่มจีวรที่วัดเหมือนพระพุทธเจ้านี้ พวกนี้ไม่ใช่พระ ถ้าเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เหมือนพระพุทธเจ้าอย่างเดียวก็คือปลงผมเหมือนพระพุทธเจ้านุ่งห่มผ้าเหมือนพระพุทธเจ้าแต่การประพฤติการปฏิบัติ มันไม่เหมือนพระพุทธเจ้า อย่างนี้มันไม่ใช่พระ ไม่ใช่พระธรรมพระวินัย เราต้องเข้าใจ ถึงจะบวชถูกต้องตามกฎหมายบ้านเมืองตามพระธรรมพระวินัย แต่การประพฤติการปฏิบัติยังไม่ได้เข้าสู่ มอก. ยังไม่ได้เข้าสู่มาตรฐาน อย่างนี้ก็ยังไม่ใช่พระธรรมพระวินัย ยังเป็นนิติบุคคลตัวตน เราต้องรู้จักพระอย่างนี้นะ

 

พระนี้อยู่กับตัวเราทุกคน ให้พวกเราเข้าใจ

พระนี้ท่านนับเอาตั้งแต่พระโสดาบันจนถึงพระอรหันต์ ฆราวาสที่ไม่ได้บวชก็เป็นพระได้ ฆราวาสที่ยังไม่ได้บวชก็เป็นพระได้ตั้งแต่พระโสดาบันถึงพระอนาคามีนะ แต่ผู้ที่เป็นพระอรหันต์ต้องเป็นนักบวช เพราะเป็นฆราวาสมีภาระมากมีการงานเยอะ ต้องดูแลตัวเอง ดูแลญาติพี่น้องวงศ์ตระกูล ดูแลธุรกิจหน้าที่การงาน ต้องเสียภาษีอากรให้ส่วนรวม ต้องบำรุงศาสนา ศาสนาในโลกนี้ก็มีหลายศาสนา แต่ศาสนาก็คือความหมายอันเดียว ศาสนาก็คือธรรมะ ธรรมะคือศาสนา ศาสนาคือปัญญาบริสุทธิคุณ เราเอาความถูกต้องเอาธรรมนูญนำชีวิตเรียกว่าพระศาสนา ศาสนามีหลายศาสนา

 

ฆราวาสดำค์รงตน ดำรงค์ส่วนรวม ดำรงค์พระศาสนาน่ะเป็นพระได้ถึงระดับอนาคามี เราถึงมีคำว่าฆราวาสปฏิบัติธรรมหรือว่าฆราวาสธรรม ฆราวสาสต้องเอาธรรมนำชีวิต ไม่เอาตัวตนนำชีวิต อยู่ในระดับพระธรรมนำชีวิต เรียกว่าตั้งอยู่ในศีล ๕ ถ้าเรายกเลิกตัวตนเมื่อไหร่บุคคลก็จะมีศีลมีสมาธิมีปัญญา อยู่ในพรหมจรรย์ในระดับศีล ๕ ฆราวาสก็นับเอาตั้งแต่เจ้าฟ้ามหากษัตริย์ เชื้อพระวงศ์ ข้าราชการนักการเมือง ประชาชนทั้งหลาย เรียกว่าฆราวาส ผู้ที่ไม้ได้บวชเรียกว่าฆราวาสนะ ฆราวาสต้องเอาธรรมนำชีวิต ถึงได้มีการพัฒนาเรื่องจิตใจเพื่อเข้าหาธรรมเข้าหาฆราวาสธรรมน่ะ

 

วันเสาร์วันอาทิตย์เป็นการหยุดการหยุดงานเพื่อเอาธรรมนำชีวิต เพื่อเราจะได้เจริญสติสัมปชัญญะ ตัดสิ่งภายนอก อยู่กับสติสัมปชัญญะ เค้าเรียกว่าถือศีลปฏิบัติธรรม ยกเลิกตัวตน เจริญสติสัมปชัญญะ มาภาวนา เอาออกซิเจนเข้าสู่ร่างกาย เอาคาร์บอนไดออกไซด์ เอาของเสียออกไป เอาความยึดมั่นถือมั่นออกไป มาอยู่กับความสงบกับปัญญา ยกเลิกเรื่องอดีตหมด อนาคตปัจจุบันก็ว่างจากตัวตน ยกทุกอย่างเข้าสู่พระไตรลักษณ์

 

เดือนนึงมีอยู่ ๓๐ วัน วันหยุดของหมู่มวลมนุษย์มันมีอยู่ ๘ วัน วันหยุดครั้งโบราณกาลเค้าหยุดวันพระน้อยวันพระใหญ่อย่างนี้แหละ ๗ ค่ำ ๘ ค่ำ ๑๔ ค่ำ  ๑๕ ค่ำ เดือนนึงก็หยุด ๘ วันอย่างนี้นะ เดี๋ยวนี้นะทางสากลเค้าเอาวันเสาร์อาทิตย์เป็นวันหยุด วันหยุดเพื่อพัฒนาใจพัฒนาจิตวิญญาณ เพื่อเราจะไม่ได้ติดในความสุขความสะดวกความสบาย เราพัฒนาวัตถุพัฒนาวิทยาศาสตร์มันมีความสะดวกสบาย เค้าต้องมีหลักการมีอุดมการณ์อุดมธรรม เพื่อถือศีลอุโบสถถือศีลอดอย่างนี้นะ  ยกเลิกความสะดวกความสบายยกเลิกสิ่งภายนอกหมด ให้อยู่กับความสงบ อยู่กับปัญญา ให้อยู่ปัญญากับความสงบ อย่างนี้นะเราต้องเข้าใจ เราทุกคนก็พากันเป็นพระได้หมดน่ะ

 

การปฏิบัติธรรมก็ให้เข้าใจเหมือนต้นไม้ต้นหนึ่ง ให้เข้าใจ ต้นไม้ต้นหนึ่ง ต้องได้อาหารวิตามินเกลือแร่แร่ธาตุทุกทิศทุกทาง ทั้งทางรากทางใบทางกิ่งทางต้นที่มันได้จากดินจากน้ำจากลมจากไฟอะไรต่าง ๆ ที่เป็นมรรคเป็นอริยมรรค การปฏิบัติของเราในปัจจุบัน มันถึงได้มาความคิดคำพูดกิริยามารยาททั้งอาชีพ ยกเลิกสิ่งที่เป็นตัวเป็นตน มันจะได้มาจากทุกทิศทาง มันจะสมบูรณ์พูนผลด้วยวิตามินโปรตีนเกลือแร่แร่ธาตุด้วยการประพฤติการปฏิบัติ เราต้องรู้เข้าใจอย่างนี้

 

ความเป็นพระของเราทุกคนก็เป็นได้ สำหรับนักบวชผู้ที่บวชนี้ยกเลิกตัวตนหมด ยกเลิกสิ่งภายนอก มาถือศีลอย่างละเอียดสูงสุดเลย ไม่เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เสียสละหมดไม่เอาอะไรเลย ปล่อยวางหมดเลย มีความเป็นอยู่ด้วยการภิกขาจาร หรือว่าขอทานเค้าฉัน วันหนึ่งพวกนี้ทานอาหารวันละ ๑ ครั้ง หรือว่าฉันอาหารวันละ ๑ ครั้ง เพราะคนเราถ้ายกเลิกตัวตนมันก็มีความสุขสงบเย็น เพราะความปรุงแต่งที่เป็นนิติบุคคลตัวตนนี้มันกดดันเรา ความปรุงแต่งมันกดดันเรานะ ตัวตนมันกดดันเรา ตัวตนน่ะเห็นรูปสวย ๆ มันก็ร้องโอย ๆ ไป ได้ยินเสียงเพราะ ๆ ก็ร้องโอย ๆ ไป สิ่งที่มาถูกต้องอะไรต่าง ๆ มันก็ร้องโอย ๆ ไป ตัวตนมันกดดันเรา เมื่อเรายกเลิกตัวตนชีวิตของผู้ที่มาบวชก็สงบเย็นเป็นพระนิพพาน มันเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม ผู้ที่มาบวชเค้าถึงเรียกว่า “พระ” พระคือพระธรรมพระวินัย ยกเลิกตัวตนเค้าเรียกว่าพระนะ

 

การทำบุญกุศลก็ให้ทำกับพวกนี้ พวกนี้เป็นทรัพยากรที่ดีเป็นทรัพยากรที่เป็น บริสุทธิคุณ ปัญญาธิคุณ ยกเลิกตัวตน ถ้าพวกนี้มาอาศัยพระศาสนาหาอยู่หาฉัน พวกนี้ก็ไม่ใช่พระธรรมพระวินัยเป็นตัวเป็นตน ถึงจะบวชถูกต้องตามกฎหมาย แต่พวกนี้ก็ยังไม่ใช่พระ เราต้องเข้าถึงภาคประพฤติภาคปฏิบัติทั้งกายวาใจกิริยามารยาททั้งอาชีพยกเลิกตัวตน ต้องเข้าสู่ความเป็นพระ เข้าสู่พระธรรมพระวินัย

 

เราถึงพากันเอาสรีระร่างกายของผู้วายชนม์ไปบำเพ็ญกุศลที่วัดสถานที่ที่พระท่านอยู่ เพราะสถานที่นั้นน่ะเป็นสถานที่สงบวิเวก การบำเพ็ญกุศลงานต่าง ๆ อย่างนี้ถึงไม่มีมหรสพ ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต มีการเล่นการพนัน มันต้องเป็นบุญเป็นกุศลยกเลิกตัวตนยกเลิกนิติบุคคลตัวตน ยกเลิกอบายมุขอบายภูมิอย่างนี้มันถึงจะเป็นบุญเป็นกุศลนะ

 

เราทุกคนน่ะก็จะไปสู่สถานที่ที่สีขาวสีบริสุทธิ์ ยกเลิกตัวตน บุคคลที่เข้าไปถึงรู้ถึงเข้าใจ แม้แต่เมาเหล้าเมาเบียร์เมาอะไรต่าง ๆ บุคคลเช่นนั้นก็ไม่สมควรที่จะไป ให้เรารู้เข้าใจนะ เราต้องอาศัยสถานที่นั้นเป็นสถานที่บำเพ็ญบุญกุศล เพราะสถานที่นั้นน่ะพระท่านบวชท่านปฏิบัติที่นั่น

 

คำว่าพระนี้คือพระธรรมพระวินัยนะ ไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน พระคือผู้ที่เสียสละ  ไม่เสียละนั้นก็ไม่ใช่พระ ไม่เสียสละก็เป็นนิติบุคคลตัวตน บุคคลที่บวชมาแม้วันเดียวอย่างนี้มันก็ดีกว่าผู้ที่บวชตั้งเกือบร้อยปี หรือว่าเกือบร้อยพรรษาพวกเราต้องเข้าใจอย่างนี้นะ ที่เรานำลูกหลานมาบวชต้องเข้าใจว่าต้องเอาพระธรรมพระวินัย อย่าเป็นตัวตนเลย เพราะตัวตนนี้มันไม่ใช่พระ

 

คนเราจะมีประโยชน์อะไร ถึงจะมีชีวิตอยู่เป็นร้อย ๆ ปีเอาตัวตนเป็นที่ตั้งไม่มีประโยชน์ ต้องเข้าใจอย่างนี้ เราถึงได้เอาสรีระของผู้วายชนม์ไปบำเพ็ญบุญกุศลที่นั่น

 

การบำเพ็ญบุญกุศลก็ให้พวกเราเข้าใจ ถ้าเราถวายทานอย่างนี้ก็สมควรจะถวายให้เป็นของวัดของสงฆ์เพื่อใช้ในส่วนรวม ใช้ในพระศาสนา เช่น เป็นค่าน้ำค่าไฟ ค่าภิกษุผู้ป่วยอาพาธ ไม่ต้องให้ค่าตัวส่วนตัวกับพระองค์ใดองค์หนึ่ง ถ้าเราให้ส่วนตัวพระองค์ใดองค์หนึ่งมันก็เท่ากับให้ค่าคอนเสิร์ตเค้านี้แหละ เค้าจัดคอนเสิร์ตเค้าเชิญนักร้องไปร้องไปรำไปยกแข้งยกขา เมื่อเสร็จงานแล้วก็ให้ค่ายกแข้งยกขาร้องรำคอนเสิร์ตนี้นะ ถ้าเราไปให้พระถวายเป็นส่วนตัวอย่างนี้ มันก็ไม่ต่างอะไรกับคอนเสิร์ตเราต้องรู้เข้าใจ เพราะเราทุกคนจะได้มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง เพื่อคงไว้ซึ่งความถูกต้อง คงไว้ซึ่งพระศาสนา อย่าเอาความไม่ถูกต้องนำชีวิตหรือว่าเอาโลก หรือว่าโลกธรรมนำชีวิตอย่างนี้ เราต้องเข้าใจอย่างนี้

 

เราอย่าไปคิดอย่างปัญญามองไม่ไกลอย่างนี้แหละ เราต้องคิดให้ไกล คิดถึงภาพรวมส่วนรวมน่ะ เราอย่าไปคิดว่าถ้าทำอย่านั้นพระจะอยู่ได้อย่างไร ผู้ที่มาบวชจะอยู่ได้อย่างไร เราต้องเข้าใจว่า ถ้าเราเป็นพระธรรมพระวินัยแล้วทุกคน ก็มีความเลื่อมใสทุกคนก็แย่งกันจะถวายทาน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบอกว่า เราต้องทำความดีมันก็เป็นเหมือนกับธนาคารแห่งความดีของประชาชนของมหาชน ใครเค้าก็อยากถวายใครก็อยากให้ พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าอย่าไปเก็บเงินเก็บสตางค์ อย่าไปเก็บสังฆทาน ฉันครั้งเดียวแล้วก็เสียสละหมด อย่าไปเก็บอะไรไว้ เราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ คนเค้าก็จะมาถวายอย่าไปเก็บอะไรไว้ เพราะพระนี้คือเนื้อนาบุญของโลก เพียงได้ยินชื่อก็เป็นบุญกุศล ได้กราบได้ไหว้ได้ให้ก็เป็นบุญกุศล เราต้องเข้าใจ

 

เราไม่ต้องกลัวพระอดพระอยากพระตายหรอก เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันทำลายความมั่นคงนะ ทำลายพระศาสนา ทำลายความถูกต้อง ทำลายพระธรรมพระวินัย เราต้องรู้เข้าใจเราจะไม่ได้ทำลายพระศาสนา ให้เข้าใจนะ ถ้าไม่มีพระก็อย่าให้มีโจรเลยให้มันเจ๊ากันไป

 

ให้เข้าใจอย่างนี้ เราจะได้ก้าวไปด้วยความดีด้วยปัญญา ด้วยปัญญาด้วยความดีอย่างนี้ เราต้องเข้าใจพระศาสนาพระดำรงค์พระศาสนา อย่าไปบำรุงนิติบุคคลตัวตน อย่าไปบำรุงโจรให้มันมีที่ซ่องสุมโจร เอาตัวตนเป็นที่ตั้งเค้าเรียกว่าโจร ให้เข้าใจ

 

ตัวตนนี้เค้าเรียกว่ามันเป็นโจรนะ ตัวตนคือเจ้าเสือร้ายนะ

 

ความคิดอย่างนี้เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันก็เห็นอกเห็นใจกัน เราเป็นโจรแล้วก็ยังไปส่งเสริมมหาโจรอีก ไม่ได้นะ

 

เราจะเข้าใจผิด เราจะใจอ่อนไม่ได้ เค้าเรียกว่ารักลูกให้เป็น รักหลานให้เป็นเราต้องมีสติมีปัญญา เราอย่าไปโอ๋ให้เสียพระศาสนา หรือว่าเสียพระนะ เอาตัวตน เป็นที่ตั้งมันเสียพระธรรมเสียพระวินัยเราต้องเข้าใจนะ

 

เราต้องมีความสงบมีปัญญา มีปัญญามีความสงบ เราต้องมีหลักการ เช่นว่า เรานิมนต์พระไปทำบุญที่บ้าน เราต้องเข้าใจว่า เราไปทำบุญที่บ้าน เราก็จัดอาหารให้อาหารอย่างนี้แหละ ถ้าเราเอารถเราไปรับก็เป็นหน้าที่ของเราอย่างนี้ สมัยใหม่อันนี้ใหม่ทางวัดเค้ามีรถเอารถมา เราเข้าใจเราก็เพียงแต่ค่าน้ำมันให้รถให้มันเจ๊ากันไป อย่าให้เดือดร้อนทางวัด เดี๋ยวเราจะไปเบียดเบียนวัด เค้าเรียกว่าวัดมันเงินส่วนรวม มันเงินสงฆ์ สงฆ์รับกรัฐบาลก็อันเดียวกัน การกินของสงฆ์หรือกินของหลวงก็บาปพอ ๆ กันเพราะมันเป็นส่วนรวมมันเป็นมหาชน เราต้องเข้าใจ

 

เราจะไปให้ส่วนตัวท่านเจ้าคุณนี้ตำแหน่งใหญ่ให้เยอะ พระครูนี้ตำแหน่งน้อยลดลง ลูกวัดนี้ก็น้อยลงอีก อย่าไปเอาอย่างนั้น อย่างนั้นเรียกว่าค่าตัว เค้าเรียกว่า ค่าคอนเสิร์ตไม่ดีไม่ถูกต้องนะ เราต้องเข้าใจ เพราะเราเป็นมนุษย์เป็นผู้ประเสริฐ เป็นผู้มีปัญญา เป็นทั้งคนดีคนมีปัญญา ต้องรู้เข้าใจเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ

 

หลักการอุดมการณ์อุดมธรรมนี้ หลวงปู่ชาแห่งวัดหนองป่าพง ทำถูกต้องดีมาก ของทุกอย่างที่เค้าถวายมา ท่านจะให้รวมกันเป็นคลังใหญ่คลังหลวงเลย พวกแฟ้บ พวกสบู่ธูปเทียนยารักษาโรคให้รวมกัน แล้วก็ตั้งผู้ดูแลรักษาคงคลังเรียกว่าคลังใหญ่คลังหลวงอย่างนี้แหละ ใครจะไปเอาก็ต้องขอ ทุกอย่างน่ะอย่าถือพรรคถือพวกอย่าเอาของดี ๆ ให้พรรคให้พวกอย่างนี้ ทุกคนจะเป็นผู้แจกสิ่งเหล่านี้ก็ต้องมีจิตใจเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม ยกเลิกไม่อคติทั้ง ๔ ไม่มีความลำเอียง ของทุกอย่างปัจจัยที่ไปรับกิจนิมนต์อย่างนี้ก็ให้ไปของวัดของสงฆ์เพื่อให้ดูแลส่วนรวม ไม่ให้พระเป็นเจ้าของเงินเจ้าของสตางค์อย่างนี้แหละ ระบบอย่างนี้ดีมันเป็นพระธรรมเป็นพระวินัย ดีมาก พระที่วัดก็จะไม่แย่งขยะกัน ไม่แย่งอวิชชาไม่แย่งความหลง  ไม่ได้สนใจเรื่องของ ไม่ได้สนใจเรื่องเงินเรื่องสตางค์ อย่างนี้ดีมาก ระบบอย่างนี้ดีมาก

 

ตัวตนมันเสียหายมากนะ สังเกตดูน่ะ ไอ้พวกเถ้าแก่ทั้งหลายน่ะเอาลูกมาบวชก็แอบเอาเงินไปฝากไว้กับคนดูแลวัด ไปกระซิบบอกว่าดูแลลูกผมหน่อยลูกชั้นหน่อย อันนี้มันเสียหาย มันเป็นนิติบุคคลตัวตน

 

พระพุทธเจ้าท่านบอกให้พระเราทุกคนเสียสละมันถึงเป็นพระธรรมเป็นพระวินัย อย่างนี้แหละ หลวงปู่ชาท่านบอกลูกศิษย์ลูกหาให้เสียสละ อย่าเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง  เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันมีทิฐิมานะ เราก็ไม่ได้เป็นพระธรรมไม่ได้เป็นพระวินัย เราก็มีแต่ทิฐิมีแต่มานะ อัตตาตัวตน เรามาบวชก็บวชแต่กายใจไม่ได้บวช หัวใจของเราก็เป็น นิติบุคคลตัวตน หัวใจมันก็ยังเป็นฆราวาสอยู่ เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง มันฆราวาส มันอาละวาดมันระราน

 

เจ้าอาวาสต้องรู้จักต้องคุมตัวเองให้อยู่ในคอนโทรลในพระธรรมพระวินัย ส่วนใหญ่เจ้าอาวาสจะฟุ้งซ่านมากกว่าเค้านะ ฟุ้งซ่านมากกว่าลูกวัดอีกนะ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งเจ้าอาวาสทั้งหลายฟุ้งซ่านมาก ไปแก้ไขตั้งแต่มัคทายก ไปแก้ไขตั้งแต่ประชาชนแก้ไขแต่ลูกวัดน่ะ เจ้าอาวาสลืมไป ลืมตัวลืมตนไม่ได้แก้ตัวเอง

 

ไม่เหมือนหลวงปู่ชา หลวงปู่ชาท่านบอกว่าท่านสอนว่า ผมนี้นะรู้ธรรมะปฏิบัติธรรมะเข้าใจธรรมะ บอกตัวเองสอนตัวเองปฏิบัติตัวเองร้อยเปอร์เซ็นต์ บอกท่านทั้งหลายบอกประชาชนเพียงห้าเปอร์เซ็นต์เท่านั้นนะมันถึงพอไปได้ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งไม่ได้มันเสียหาย ต้องเอาความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติต้องมีความสุขในการประพฤติปฏิบัติอย่างนี้

 

เราทุกคนไม่ต้องตกอกตกใจหรอกว่าพระไม่รับเงินไม่รับปัจจัยมันจะอยู่ไม่ได้  พระไม่รับเงินน่ะ จึงเรียกเป็นพระเป็นพระศาสนา เอาตัวตนเป็นที่ตั้งไปรับเงินรับปัจจัย ไปเก็บสะสมของไว้มันเป็นพระที่ได้ไหน มันเป็นนิติบุคคลตัวตน

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบอกว่า ผู้เอาตัวตนเป็นที่ตั้งเป็นเดียรถีย์ ไม่ใช่พระ เดียรถีย์กับเดรัจฉานก็คืออันเดียวกัน มันหลงอยู่ในสังสาระในวัฏฏสงสาร มันก็อันเดียวกันกับสัตว์เดรัจฉาน เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง มันมีชีวิตตกอยู่ในอบายมุขอบายภูมิเรียกว่าอยู่ในระดับเดียรถีย์ระดับเดรัจฉานนะ ให้พวกเราเข้าใจ ไม่ต้องกลัวอดตายหรอก ไม่ต้องกลัวเหนื่อยกลัวยากลำบาก ต้องยกเลิกตัวตนน่ะ เราถึงจะมีความสงบมีปัญญา มีปัญญามีความสงบอย่างนี้

 

พวกเราทั้งหลายต้องพากันเข้าใจ ไม่เข้าใจเราจะใจอ่อน ไปตามสิ่งแวดล้อมไปตามผัสสะ ไปตามอารมณ์ อย่าปล่อยโลกธรรมมันครอบงำเรานะ นิติบุคคลตัวตนครอบงำน่ะ ไวรัสจะเล่นงานเรานะ ตัวตนจะเล่นงาน

 

เห็นมั๊ยโควิดมาโลกนี้งอมทั้งโลกเลย เรียกว่าไวรัสครอบงำเรา โลกธรรมครอบงำ ก็อันเดียวกันน่ะ เราต้องเข้าใจ

 

เราต้องเข้าใจง่าย ๆ อย่างนี้แหละ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันเข้าใจยากเหลือเกิน เพราะตัวตนมันคือความมืดนะ เค้าเรียกว่าตามันสว่างอยู่อย่างนี้แหละแต่หัวใจมันมืดหัวใจเป็นนิติบุคคลตัวตน หัวใจมืดเค้าเรียกว่าหัวใจเดือนมืด หัวใจไม่สว่างไสว หัวใจไม่สงบไม่มีปัญญา

 

พวกเราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ การที่เอาญาติพี่น้องหรือเอาใครต่อใครมาบำเพ็ญกุศลเราต้องเข้าใจ ต้องรู้ธรรมรู้โลกธรรมอย่างนี้แหละ การจัดงานก็ให้พอดี ด้วยสมัครสามัคคีกัน อย่าเอาตัวตเนเป็นที่ตั้ง จัดงานแต่ละงานงอมไปหมด เริ่มต้นตั้งแต่เช้าจนเลิกจนค่ำเพราะเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง มันก็เป็นอย่างนี้แหละ

 

การจัดงานก็ให้ทำง่าย ๆ เหมือนงานหลวงงานพระราชทานอย่างนี้แหละ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาก็มาทอดผ้าบังสุกุลก็เดินกลับไปแล้วก็ประชุมเพลิงก็ไปอย่างนี้ เพราะเอาสมัครสมานสามัคคีปัญญาด้วยความดี ความดีด้วยปัญญา อย่าไปลีลายกแข้งยกขาเสียเวลาหลายชั่วโมงเกิน เพราะว่าวัดหนึ่ง ๆ อย่างนี้ในหมู่บ้านหนึ่งก็หลายคน คนตายมันไม่กี่วันก็ตายแล้ว พระในวัดก็งอมหมด ที่พวกนั้นพอมีชีวิตอยู่ได้ก็เพราะไปรับคอนเสิร์ตต่างหากล่ะอย่างนี้แหละ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งไม่เอาธรรมเอาพระวินัย พระพวกนั้นก็เท่ากับพระคอนเสิร์ตนะ

 

เราดูดี ๆ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งก็เหมือนพระคอนเสิร์ต พระในกรุงในเมืองหลวง มีศาลาสวดผีตั้งหลายศาลาน่ะ แต่ส่วนใหญ่ก็ไปสวดเหมือนคอนเสิร์ตรับตังค์แล้วก็จบไป เพราะเป็นพิธี เราต้องรู้เข้าใจ

 

เราไปบวชก็ต้องพากันบวชให้เป็นพระธรรมพระวินัย อย่าเป็นพระคอนเสิร์ต  อย่าเป็นพระรับตังค์รับเงินคอนเสิร์ต ตัวตนมันก็เทียบเท่ากับคอนเสิร์ตนี้นะ แต่ลีลามันอาจจะต่างกันจากประชาชน ประชาชนเค้ายกเลิกยกขามีลีลามาก แต่พวกพระทั้งหลายเดินสงบ ๆ พาดสังฆาฏิเดินเคร่ง ๆ ขรึม ๆ ไปอะไรอย่างนี้ แต่มันก็คืออันเดียวกัน เอาเงินเอาลาภยศสสรรเสริญเป็นที่ตั้ง มันก็คือคอนเสิร์ตนั้นเอง มันเปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามเฉย ๆ แต่ผลลัพธ์คืออันเดียวกันคือโลกธรรมคือตัวตน

 

ให้ทุกคนพากันเข้าใจนะ ถ้าไม่เข้าใจเดี๋ยวมันจะพังทลายเหมือนตึก สตง.

 

ความไม่รู้ไม่เข้าใจมันจะพังทลายเหมือนตึก สตง. ความไม่รู้ไม่เข้าใจนั้นมันจะเป็นอบายมุขอบายภูมิ มันเป็นความหลง ไม่ใช่ปัญญาบริสุทธิคุณ

 

เราทั้งหลายจะได้มีความสงบมีปัญญา มีศีลมีสมาธิมีปัญญา เราไม่ใช่ว่าเราจะเป็นพระบวชมาระดับคอนเสิร์ตอย่างนี้นะ บวชมาทำไม บวชมาระดับคอนเสิร์ต เราต้องเข้าใจ เราต้องเข้าถึงพระธรรมพระวินัย เข้าถึงความขลังศักดิ์สิทธิ์ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งไม่ขลังไม่ศักดิ์ไม่สิทธิ์ เพราะเค้าสรรเสริญก็ดีใจ เค้านินทาก็เสียใจ มันก็ซ้ายจัดขวาจัด ทางภาษาหมอเค้าเรียกว่าอยู่ในระดับตัวตนอยู่ระดับโรคไบโพล่า นิติบุคคลตัวตนเค้าเรียกว่าอยู่ในระดับไบโพล่านะ

 

วันนี้พูดให้เข้าใจให้เกิดปัญญาสัมมาทิฐิ เพราะการพัฒนามนุษย์เค้าต้องพัฒนาทั้งใจทั้งวิทยาศาสตร์ไปพร้อม ๆ กันให้เป็นทางสายกลาง ทางวิทยาศาสตร์กับทางใจมันแยกกันไม่ได้ มันต้องไปพร้อมกัน ความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติมันต้องไปพร้อมกันมันแยกจากกันไม่ได้มันต้องไปพร้อมกันอยู่ในเซทเดียวกัน

 

ทั้งทางฝ่ายนักบวชและทางฝ่ายฆราวาสปฏิบัติธรรม ฆราวาสธรรม เพื่อเข้าสู่ความเป็นพระ เข้าสู่พระศาสนา เพื่อความมั่นคงความถูกต้อง ต้องก้าวไปด้วยปัญญาสัมมาทิฐิของชาติ ของพระศาสนา ของพระมหากษัตริย์

 

ชาตินี้หมายถึงความเกิด เราเอาบริสุทธิคุณนำชีวิต พัฒนาใจพัฒนาวัตถุไปพร้อม ๆ กัน เอาความถูกต้องนำชีวิต เอาสัมมาทิฐิเค้าเรียกว่าเอาความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เอาปัญญาที่ประกอบด้วยความดี

 

พระศาสนาคือความดีที่ประกอบด้วยปัญญา ปัญญาที่ประกอบด้วยความดีนี้เรียกว่าพระศาสนา เป็นธรรม เป็นธรรมนูญ เป็นรัฐธรรมนูญ ไม่ทำอะไรตามใจ ตามอัธยาศัยตามความรู้สึก รู้จักดีรู้จักชั่วรู้จักผิดรู้จักถูก เป็นผู้บรรลุนิติภาวะนี้คือพระศาสนา นี้คือธรรมนูญ คือรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน เป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม ปัญญาสัมมาทิฐิเป็นสิ่งที่มีอุปการคุณ

 

เราทั้งหลายจะได้โฟกัสเข้าสู่ความถูกต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติเข้าสู่มรรคเข้าสู่อริยมรรค เพื่อเป็นมรรคเป็นผลเป็นพระนิพพาน เพื่อยกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพื่อความเป็นธรรมความยุติธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เป็นวาระแห่งชาติในการประพฤติการปฏิบัติ

 

กษัตริย์ก็หมายถึงธรรมที่เป็นปัญญาบริสุทธิคุณ ปัญญาที่ทำงานเพื่องานเรียนหนังสือก็เพื่อรู้เข้าใจ มีความสุขในการทำงานเสียสละ มาเป็นผู้ให้ เค้าเรียกว่าชีวิตของเราก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ ความรู้เข้าใจเค้าเรียกว่าปัญญาบริสุทธิคุณ สิ่งที่สูงสุดเค้าเรียกว่ากษัตริย์ ผู้นำตนเองนำผู้อื่นด้วยธรรมนูญถึงได้ทรงทศพิธราชธรรมอย่างนี้นะ

 

ขออนุโมทนากับท่านทั้งหลายนะ ที่ได้นำสรีระร่างกายของผู้ที่ละสังขารวายชนม์มาบำเพ็ญกุศล ณ วัดป่าตาขีดธรรมาราม เพื่อเอาพระพุทธเจ้าเป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม

 

ถึงจะอยู่ใกล้อยู่ไกลก็ไม่เป็นไร เพราะทุกวันนี้อยู่ไกลก็เหมือนอยู่ใกล้เพราะการคมนาคมมันสะดวกมันสบาย จะอยู่ใกล้อยู่ไกลหัวใจก็ต้องอยู่กับธรรมอยู่กับปัจจุบันธรรม อยู่กับความพอเพียงเพียงพอ อยู่กับความสงบอยู่กับปัญญาอยู่กับความพอเพียงเพียงพอ

 

เหมือนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลยเดชท่านตรัสบอกประชากรของชาวไทยชาวโลกว่า เราทั้งหลายต้องอยู่กับความสงบอยู่กับปัญญาอยู่กับธรรมอยู่กับปัจจุบันธรรม

 

บุญกุศลที่เราสมัครสมานสามัคคีร่วมกันบำเพ็ญในครั้งนี้ ขอมอบให้ส่งให้คุณพ่อเลิศเดช ภูชิตภัทรชัย ผู้วายชนม์จากไปเพื่อเข้าสู่สรวงสวรรค์มรรคผลนิพพาน

 

ด้วยคุณพระศรีรัตนตรัยจงอำนวยอวยชัยให้ท่านทั้งหลายที่ได้มาร่วมรวมกันบำเพ็ญบุญกุศลให้กับคุณพ่อเลิศเดช ภูชิตภัทรชัย ได้มองเห็นแง่มุมเพื่อดำเนินชีวิตที่ประเสริฐ จะได้ปฏิบัติตามโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านตรัสปัจฉิมโอวาทก่อนที่จะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานท่านให้โอกาสไว้ว่า เธอทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด

 

เพราะปัจจุบันเป็นวาระสำคัญ ทั้งกายทั้งวาจาทั้งกิริยามารยาททั้งอาชีพทั้งใจ ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด

 

ให้เอาปัญญาสัมมาทิฐินำชีวิต เพื่อเป็นศิลปะของชีวิต ไม่ให้ประมาท ไม่ให้เพลิดเพลิน ปัจจุบันนี้ถือว่าเป็นวาระสำคัญ อดีตก็มารวมอยู่ที่ปัจจุบัน อนาคตที่จะก้าวไปข้างหน้าก็อยู่ที่ปัจจุบัน เห็นภัยในวัฏฏสงสาร ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ด้วยความรู้ความเข้าใจ ชีวิตของเราจะได้เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา พัฒนากายวากิริยามารยาทใจ เข้าถึงศีลสมาธิปัญญาที่บริสุทธิคุณนั่นแหละ คือบ้านของเรา พระนิพพานคือบ้านของเรา

 

การแสดงพระธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เป็นบริสุทธิคุณทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งอาชีพ สมควรแก่เวลาจึงได้สมมติยุติไว้ ณ เพียงเท่านี้ เอวังก็มีด้วยประการละฉะนี้

 

----------------------------------

โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม

เมตตาให้ไว้ ณ วัดป่าตาขีดธรรมาราม ตำบลตาขีด อำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์

ค่ำวันพฤหัสบดีที่ ๒๙ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

 

Visitors: 94,982