๒๐ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๒๐ เดือนกรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ ศาสนาพุทธ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ศาสนาคริสต์ ฮิจเลาะห์ศักราช ๑๔๔๖ ศาสนาอิสลาม

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ วันอาทิตย์เป็นวันหยุดงานของผู้ที่ทำงานราชการ วันจันทร์อังคารพุธพฤหัสศุกร์เป็นวันทำงานของราชการ การทำงานกับการปฏิบัติธรรมมันต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มันจะได้ทั้งสองอย่าง ได้ทั้งงานได้ทั้งจิตใจไปพร้อม ๆ กัน

 

วันเสาร์วันอาทิตย์นี้เป็นวันหยุดทำงาน มันเป็นหลักการของหมู่มวลมนุษย์ เราเป็นมนุษย์เรามีการเรียนการศึกษาเพื่อให้เกิดความสงบเกิดปัญญา มีการเรียนการศึกษาทั้งหมด ๑๘ ศาสตร์ เพื่อรวมเป็นพุทธศาสตร์ พุทธศาสตร์นี้หมายถึงปัญญาที่เป็นบริสุทธิคุณ ไม่ใช่ปัญญาที่เป็นตัวเป็นตนเรียกว่าพุทธศาสตร์ เราเอาพุทธศาสตร์นำชีวิต  ศาตร์นี้ก็แปลว่าติดต่อประสาน ด้วยเหตุด้วยปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปถึงมี เอาปัจจุบันเป็นการประพฤติการปฏิบัติ ปัจจุบันเป็นวาระแห่งชาติของการประพฤติการปฏิบัติ อดีตก็มารวมที่ปัจจุบัน อนาคตที่จะก้าวไปข้างหน้าก็อยู่ที่ปัจจุบัน ปัจจุบันนี้ถึงเป็นวาระสำคัญ

 

มนุษย์เราต้องรู้หลักการที่ว่าอุดมการณ์ให้สมบูรณ์ทั้งความรู้กับการปฏิบัติ ชื่อว่าสมบูรณ์ด้วยทั้งอรรถะทั้งพยัญชนะ ต้องไม่ให้ขาดตกบกพร่อง เพื่อเอาความสงบเอาปัญญาก้าวล่วงไปพร้อม ๆ กัน ตีคู่กันไป เรามาถือนิสัย ๔ กิจที่ควรทำ เรามายกเลิกอกรณียกิจ กิจที่ไม่ควรทำ เพื่อให้เกิดความสงบเกิดปัญญา เกิดศีล เกิดสมาธิ เกิดปัญญา มนุษย์เรานี้ต้องมีปัญญา ถ้าไม่มีปัญญาไม่ใช่มนุษย์ ถ้าไม่มีปัญญาเรียกว่าคน คนคือเดินไปแล้วก็ถอยกลับ ไปไหนไม่ได้อยู่ที่เก่า ย่ำต๊อกอยู่ที่เก่าเค้าเรียกว่าคน มนุษย์คือผู้ที่รู้เข้าใจ มีปัญญาสัมมาทิฏฐิ เอาศีลเอาสมาธิเอาปัญญานำชีวิต ไม่เอาอวิชชา ไม่เอาความหลงนำชีวิต

 

ความเป็นพระนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ความเป็นพระนั้นมันเป็นสากล เช่น ความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพรากเช่นนี้เป็นสากล ถ้าใครมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้องทุกคนก็เป็นพระได้หมด พระนั้นคือพระธรรมคือพระวินัย คือความสงบและปัญญา ด้วยเหตุด้วยปัจจัยนี้ถึงเป็นพระได้ ทุก ๆ คน ทุกชาติทุกศาสนา ไม่เลือกชาติไม่เลือกศาสนา เพราะทุกอย่างนั้นมันเป็นธรรมเป็นสภาวธรรม

 

 เราทั้งหลายพากันมารู้มาเข้าใจ เรามาถือนิสัย ๔ กิจที่ควรทำ มายกเลิกอกรณียกิจ คือ กิจที่ไม่ควรทำ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เราทุกคนต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ถ้าเราไม่มีปิติไม่มีความสุขไม่มีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เราก็เป็นโรคซึมเศร้า โรคซึมเศร้าก็ได้แก่มีความทุกข์น่ะ เรายังมีตัวมีตนอยู่ โรคซึมเศร้าคือมีตัวมีตน เราจะเอาสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้มันได้ มันเป็นการลิดรอนความถูกต้อง ลิดรอนความเป็นธรรมความยุติธรรม เช่น เราอยากให้ช้าหรืออยากให้เร็ว อย่างนี้เรียกว่าลิดรอนสิทธิ เช่นเราไม่อยากแก่ไม่อยากเจ็บไม่อยากตายไม่อยากพลัดพรากอย่างนี้เรียกว่าลิดรอนสิทธิ

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงเมตตาบอกสอนเราว่าตัวตนนั้นแหละคือทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตึ้งอยู่ ทุกข์ดับไป นอกจากความทุกข์นั้นไม่มีเลย เราทั้งหลายต้องมารู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้เอาความผิดนำชีวิต เราทั้งหลายจะได้มีความสงบมีปัญญา ความปรุงแต่งที่เราตรึกนึกคิดในกามในพยาบาท เป็นสิ่งที่เริ่มต้นของความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวง ความสงบกับปัญญาเท่านั้นถึงจะแก้ปัญหาได้

 

ศีลนี้ท่านพุทธทาสภิกขุ สวนโมกขพลาราม ท่านชอบพูดบ่อย ๆ ว่า ศีลนั้นคือความปกติ ไม่มีศีลนั้นไม่ปกติ ศีลนั้นมันเป็นสมถะ ศีลนั้นคือความสงบ ความสงบคือศีลนะ ทำไมไม่ปกติล่ะ เพราะเรายังไม่รู้ไม่เข้าใจ เอาความหลงนำชีวิต เอาตัวตนนำชีวิต มันก็ไม่ปกติมันก็ไม่สงบ เพราะตัวตนมันไม่สงบ ตัวตนนั้นคือไม่มีศีลไม่มีสมาธิ เนื่องจากความไม่รู้ไม่เข้าใจ ไม่มีปัญญา

 

เราต้องเอาทั้งสองสามอย่างนี้ คือศีลสมาธิปัญญามารวมกันเป็นศีลเป็นเอกัคคตาถึงจะเป็นความสงบเป็นปัญญา หลักการให้เรารู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะเป็นผู้เหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรมนั้นมันเป็นไปไม่ได้ เรามาเอาหลักการที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้บำเพ็ญพุทธบารมีหลายล้านชาติ หลายล้านปี หลายอสงไขยนี้ มาเป็นหลักการในการประพฤติการปฏิบัติ เพราะจะได้หยุดกงล้อกงรรมกงเกวียนของการเวียนว่ายตายเกิดเป็น cycle of life ด้วยความรู้ความเข้าใจ เรามาถือนิสัยหรือว่ามาถือพระธรรมถือพระวินัย เอาพระธรรมพระวินัยเป็นพื้นเป็นฐานเป็นกรรมเป็นกฎของกรรม ถึงจะเป็นพระกรรมฐาน

 

 พระนั้นให้เรารู้เข้าใจ พระนั้นคือพระธรรมคือพระวินัย พระธรรมพระวินัยน่ะให้เรารู้เข้าใจ ให้รู้เข้าใจเหมือนต้นไม้ต้นหนึ่งนี้แหละ ต้นไม้ต้นหนึ่งนั้นเค้าต้องได้อาหารมาจากทุกทิศทุกทางของต้นไม้ ไม่ใช่ได้เฉพาะมาจากทางใดทางหนึ่ง ไม่ได้มาจากเฉพาะทาง ต้องได้มาจากทั้งทางรากทางใบทางกิ่งก้านสาขาทางยอดตลอดปริมณฑล แสงแดด อากาศออกซิเจนต้นไม้ต้นนั้นถึงจะเจริญงอกงาม สง่างาม ธรรมะที่เรารู้เข้าใจจะเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ เป็นการเจริญสติปัฏฐาน เจริญสติปัฏฐานทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพใจ เจริญพระกรรมฐาน

 

แต่ก่อนเราไม่รู้ไม่เข้าใจ เราไปนึกว่าพระที่มีบาตรใหญ่ ๆ นุ่งห่มผ้าสีกรัก สีแก่นขนุนว่าเป็นพระกรรมฐาน พระกรรมฐานต้องเน้นมาที่ตัวเรา ให้มนุษย์เรามีหลักการมีอุดมการณ์อุดมธรรมเพื่อเอาทั้งทางวัตถุเอาทั้งทางจิตใจไปพร้อม ๆ กัน เพื่อให้มองข้ามในปัจจุบัน ทำหน้าที่ของเราในปัจจุบันให้สมบูรณ์ ด้วยปิติด้วยความสุขด้วยเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพราะการประพฤติการปฏิบัตินั้นไม่มีใครปฏิบัติแทนใครได้ วันหนึ่งคืนหนึ่งเราต้องเอาธรรมนำชีวิตด้วยความรู้ความเข้าใจด้วยความไม่ประมาท เราทั้งหลายจะได้ใช้เวลาคุ้มค่าด้วยความรู้ความเข้าใจ ไม่อย่างนั้นเราก็จะปล่อยให้ความไม่รู้ไม่เข้าใจมันเดินไปด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ

 

มนุษย์เราทุกคนให้รู้เข้าใจ ต่างคนก็ต่างเดินไปด้วยความรู้ความเข้าใจ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เราถึงจะไม่มีความทุกข์ เราถึงจะไม่เป็นโรคซึมเศร้า เราทั้งหลายน่ะ ไม่ต้องไปแก้ที่คนอื่น เราทั้งหลายต้องเน้นประพฤติปฏิบัติตัวของเราเอง เรามองคนอื่นนั้น มองเพื่อจะเป็นผู้ให้ มองเพื่อจะเป็นผู้เสียสละ เพราะตัวตนนั้นมันไปไม่ได้ ให้รู้เข้าใจ ทำไมถึงไปไม่ได้ เพราะมันไม่ใช่ทาง มันไม่มีทาง เค้าถึงเรียกว่ามันเป็นทางตัน ศัพท์นี้ก็ลึกซึ้งมากเพราะมันเป็นทางตัน มันไม่มีทางไปมันเป็นทางตัน มันเป็นการหาเรื่องหาราวให้กับตัวเอง หาเรื่องหาราวให้กับคนอื่น เราต้องรู้เข้าใจ เราจะไม่ได้หาเรื่องหาราวให้ตัวเอง ไม่ได้หาเรื่องหาราวให้กับคนอื่น เราเป็นประชากรของมนุษย์

 

 เราต้องพากันรู้เข้าใจ พากันเน้นมาที่ตัวเรานี้แหละ เราอย่าไปโทษสิ่งภายนอก เพราะสิ่งภายนอกนั้นมันเป็นปลายเหตุ สิ่งภายนอกที่มันเป็นความเกิดความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพรากมันเป็นปลายเหตุนะ ร่างกายนี้ รูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณนี้มันเป็นปลายเหตุ ต้นเหตุอยู่ที่ตัวรู้ตัวไม่รู้นี้แหละ

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงเมตตาบอกสอนเรา เราต้องเอาความรู้เอาความเข้าใจเอาปัญญานำ ถ้าอะไรไม่แจ่มแจ้งก็ถามพ่อถามแม่ถามครูบาอาจารย์ หรือมีการค้นคว้าเข้าห้องแล็บในการค้นคว้าทางเหตุทางผลทางวิทยาศาสตร์ เมื่อเห็นว่ามันถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ถึงค่อยทำ ถึงค่อยปฏิบัติ เพราะก่อนที่เรายังไม่ทำมันยังไม่ได้เป็นกรรม เป็นกฎของกรรม เมื่อเราทำไปแล้วมันก็เป็นกรรมเป็นกฎแห่งกรรมเป็นผลของกรรม เหมือนพระโมคคัลลา ความไม่รู้ไม่เข้าใจ เอาความเห็นผิดเข้าใจผิด เลี้ยงพ่อแม่ตาบอด มีภรรยาน่ะ ตัวตนมันคือเป็นคนตาบอดนะ ตัวตนมันมีครอบครัว มีผัวมีเมีย ตัวตนมันไม่มีตาปัญญา ตัวตนมันเป็นคนตาบอด ตัวตนมันฟังอวิชชาฟังความหลง ตัวตนมันไปมีครอบครัว ไปมีผัวมีเมียมีภรรยา ให้รู้เข้าใจ พระโมคคัลลา ไม่รู้ไม่เข้าใจ เอาอวิชชาความหลงนำชีวิต ไปเอาสัญชาตญาณที่มันเป็นตัวเป็นตน ที่สำคัญมั่นหมายว่าเราเป็นผู้หญิงผู้ชายเป็นคนหนุ่มคนสาวคนแก่คนเฒ่าคนชราคนตายคนพลัดพรากนำชีวิต ตกอยู่ในสัญชาตญาณ ตกอยู่ในตัวในตน เป็นคนตาบอดนะ ดีเอ็นเอตัวตนนี้มันบอดมันไม่มีปัญญา

 

พระโมคคัลลาถึงมีกรรมมีเวรมีภัย ถึงจะเก่งเท่าไหร่เหาะเหินเดินอากาศหายตัวได้ เป็นผู้เลิศทางอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ มันก็หนีกรรมไปไม่ได้ หนีกรรมไปไม่พ้น เอาทั้งหลายให้ถือเป็นคติธรรมนะว่าเราทั้งหลายเอาตัวตนนำชีวิตเรียกว่ามันไม่มีทางไม่ใช่ทาง เราทั้งหลายถึงพากันมาถือนิสัย มาถือพระธรรมถือพระวินัย ยกเลิกกิจที่ไม่ควรทำ

 

เราพากันมาบวชมาปฏิบัติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าน่ะหน้าฝนไม่ให้สัญจรไปมา ให้อยู่กับที่กับทาง ตั้งแต่เดือน ๘ แรม ๑ ค่ำไปถึงวันเพ็ญเดือน ๑๑ ให้อยู่กับที่ ไม่จาริกไปในที่ต่าง ๆ หลักการของประเทศไทยก็เป็นหลักการยกเลิกทาส ยกเลิกชั้นวรรณะ ยกเลิกตัวตน เอาธรรมนำชีวิต เอาปัญญาบริสุทธิคุณนำชีวิต ไม่ใช่ประเทศไทยอย่างเดียว ทุก ๆ ประเทศอยู่ในโลกนี้ปัจจุบันนี้มี ๑๙๕ ประเทศ ก็ใช้หลักการเดียวกันนี้หมด เพื่อเป็นธรรมนูญ เป็นรัฐธรรมนูญ โลกนี้หมุนรอบตัวเองเป็นกลางวัน ๑๒ ชั่วโมง เป็นกลางคืน ๑๒ ชั่วโมง มีประชากรของโลกอยู่แปดพันกว่าล้านคน ใช้หลักการเดียวกันหมด เดือนหนึ่งมีหยุดทำงานราชการ ๘ วัน ถ้ามีวันนักขัตฤกษ์ต่าง ๆ ก็มากกว่านั้น

 

มนุษย์เรานี้ถ้าเอาธรรมนำชีวิต มนุษย์เราก็จะไม่มีทุกข์อะไร มนุษย์เราก็จะมีแต่ปิติมีแต่ความสุขมีแต่เอกัคคตาไม่มีทุกข์อะไร เพราะความรู้ความเข้าใจ ใจเรามีปัญญาเราจะไม่มีความทุกข์อะไร ความทุกข์นั้นอยู่ที่เราไปปรุงไปแต่ง ความปรุงแต่งนี้เป็นความไม่สงบ มันเป็นการหาเรื่องหาราวให้กับตัวเอง

 

เราต้องรู้เข้าใจ พระธรรมพระวินัยที่จะให้เราหยุดความปรุงแต่ง พระธรรมพระวินัยเป็นสิ่งที่เซฟตี้ เซฟตี้กายวาจากิริยามารยาท เซฟตี้ใจของเรา เค้ามีเซฟตี้ เซฟตี้ด้วยปัญญา เซฟตี้ด้วยความสงบ อย่างเราใส่รองเท้าสวมรองเท้าเรียกว่าเซฟตี้เท้า เราจะขับขี่จักรยานยนต์ ซ้อนจักรยานยนต์ก็ต้องมีเซฟตี้คือหมวกกันน็อค ประเทศที่เค้าเจริญเค้าถึงมีเครื่องเซฟตี้ ขึ้นที่สูงก็ต้องมีเซฟตี้ กายวาจากิริยามารยาทอาชีพใจของเรามันต้องมีสิ่งที่เซฟตี้ เราต้องเซฟตี้ตัวเองด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิ เราจะเอาความไม่รู้ไม่เข้าใจ หรือว่าเอาตัวเอาตนนำชีวิตนั้นไม่ได้ ปัญญาสัมมาทิฏฐิถึงเป็นสิ่งที่สำคัญ เราอยู่ร่วมรวมกันเป็นมนุษย์

 

เราต้องรู้เข้าใจ พุทธบริษัททั้ง ๔ ต้องรู้เข้าใจ พุทธบริษัทก็ต้องเข้าใจ คริสต์บริษัทก็ต้องเข้าใจ อิสลามบริษัทก็ต้องเข้าใจ พรามหณ์ฮินดูบริษัทก็ต้องเข้าใจ เราต้องเข้าใจในเรื่องความคิด คำพูด กายวาจากิริยามารยาทอาชีพ ตลอดถึงใจของเรา เราต้องรู้เข้าใจ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจมันก็จะเข้าสู่กระบวนการของความไม่รู้ไม่เข้าใจ มันจะเป็นความหลงน่ะ เราจะเอาความหลงนำชีวิตไม่ได้ เราต้องพัฒนาทั้งใจทั้งวัตถุไปพร้อม ๆ กันด้วยความสงบด้วยปัญญา เราถึงต้องมีศีลมีสมาธิมีปัญญา เราจะไม่ได้ไปตามผัสสะ ไม่ได้ไปตามสิ่งแวดล้อมด้วยความรู้ความเข้าใจเพราะสิ่งทั้งหลายนั้นอยู่ที่เหตุที่ปัจจัย เราต้องรู้เข้าใจ เราจะไม่ได้ไปตามผัสสะ ไม่ได้ไปตามสิ่งแวดล้อม ไม่ได้ไปตามธาตุตามขันธ์ตามอายตนะ ให้ถือโอกาสถือเวลาที่เอาธาตุเอาขันธ์เอาอายตนะนี้มาเป็นหลักการในการประพฤติการปฏิบัติ ที่เป็นวาระสำคัญในปัจจุบัน เป็นหลักการอย่างนี้ เป็นอุดมการณ์ทั้งความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ เป็นความพอเพียงเพียงพออยู่ที่ปัจจุบัน เพราะทุกอย่างมันเป็นวาระวาระไป มันจะไม่มีหลายอย่าง เพราะใจของเราก็คิดได้ทีละอย่าง วาจาของเรามันก็พูดได้ทีละอย่าง ทานอาหารก็ได้ทีละอย่าง ทุกอย่างทีละอย่างไม่ใช่หลายอย่างนะ ปัจจุบันถึงเป็นสิ่งที่สำคัญ ปัจจุบันเป็นสิ่งที่สำคัญของมนุษย์ เราทั้งหลายจะไม่ได้ไปตามผัสสะตามความไม่รู้ไม่เข้าใจ ชีวิตของเราถึงจะมีความสงบมีปัญญา

 

เราทุกคนเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสาร เราต้องพากันรู้เข้าใจ เราจะได้พากันแก้ไขพากันประพฤติปฏิบัติ ทุกคนถือว่าหน้าที่การงานไม่มีคำว่าเก่าไม่มีคำว่าใหม่ ไม่มีคำว่าคนเก่าคนใหม่ หรือว่าพระใหม่พระเก่า เพราะมันเป็นธรรมเป็นสภาวธรรมม ที่เรามีความสงบมีปัญญามันจะเป็นความพอดีเป็นความไม่ปรุงแต่งไม่มีคำว่าเก่าไม่มีคำว่าใหม่ ไม่มีคำว่าไปไม่มีคำว่ามา มันเป็นความพอดีเป็นความสงบเป็นปัญญา

 

เราทั้งหลายเน้นมาที่ตัวเรานี้แหละ ให้มีความสงบให้เต็มที่ ให้มีปัญญาให้เต็มที่ไปพร้อม ๆ กัน ความสงบและปัญญานี้มันจะหยุดความปรุงแต่ง เราต้องเข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ยังไม่ตายนี้แหละ อย่าไปเอาความหลงนำชีวิต เอาตัวตนนำชีวิต จะไปเอาพระนิพพานเมื่อตายแล้ว เราตายแล้วมันจะมีประโยชน์อะไร ความดับทุกข์หรือว่าความไม่มีทุกข์มันต้องอยู่ที่ปัจจุบัน ไม่ใช่อยู่ที่อนาคต เราจะวิ่งตามความหลงวิ่งตามความปรุงแต่งนั้นมันไม่ถูกต้อง

 

เราต้องรู้เข้าใจเรื่องอริยสัจสี่ เรื่องทุกข์ เรื่องเหตุเกิดทุกข์ เรื่องข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เราต้องรู้เข้าใจ ถ้าไม่ร็เข้าใจมันก็จะไปของมันเรื่อยเพราะพูดถึงรูปมันก็ไม่จบ รูปนี้เกิดขึ้นรูปนี้ตั้งอยู่รูปนี้ดับไปมันเปลี่ยนแปลงไปทุกขณะ ๆ มันไม่จบน่ะ เรามารู้เรื่องเวทนาก็เช่นเดียวกัน สัญญาก็เช่นเดียวกัน สังขารก็เช่นเดียวกัน วิญญาณก็เช่นเดียวกัน เราทั้งหลายจะได้เอาความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ เหมือนกับเครื่องบินอยู่ระดับสูงนี้มันจะเข้าสู่รันเวย์เข้าสู่สนามมันต้องผ่อนเครื่องชะลอเครื่องด้วยเบรกให้ลงรันเวย์อย่างนิ่มนวล เพื่อไม่ให้กระแทกกับพื้นดิน เพื่อไม่ให้ล้อของเครื่องบินกระแทกกับพื้นดิน

 

เราพากันมาบวชมาปฏิบัติธรรมให้พวกเรารู้เข้าใจ เราต้องเอาพระพุทธเจ้าเป็นหลัก เอาพระธรรมพระวินัยเป็นหลัก ให้รู้เข้าใจ ให้เราพากันรู้เข้าใจทั้งผู้ที่มาบวชและผู้ที่อยู่ที่บ้านให้รู้เข้าใจ เพื่อเราจะได้เข้าถึงบริสุทธิคุณ ด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจนี้ข้าราชการก็เสียหาย นักการเมืองก็เสียหาย นักบวชก็เสียหาย ด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ ให้เรารู้เข้าใจใครจะอยู่เหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรม ไม่มีใครเหนือ มนุษย์เรานี้ประเสริฐในการพัฒนา มีการเรียนการศึกษา มีการประพฤติการปฏิบัติ ด้วยเหตุด้วยปัจจัยนี้เราถึงได้พากันมาบวช ผู้ที่อยู่ที่วัดเรียกว่ามาบวช ผู้ที่อยู่บ้านถึงไปบวช

 

ครั้งพุทธกาลเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ พระพุทธเจ้าก็บรรยายธรรมแสดงธรรมให้หมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายรู้เหตุรู้ปัจจัย เรื่องทุกข์เรื่องเหตุเกิดทุกข์เรื่องข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ พูดเรื่องเวียนว่ายตายเกิดให้ฟัง พูดเรื่องหยุดเวียนว่ายตายเกิดให้ฟัง กุลบุตรคนหนุ่มคนสาวทั้งบุตรได้พากันมาบรรพชาอุปสมบทกัน เพราะรู้เข้าใจว่าพระธรรมพระวินัยเป็นขบวนการ ชีวิตที่หยุดความทุกข์หรือหยุดวัฏฏสงสาร พากันออกบวชกันหลายร้อยหลายพันหลายหมื่นหลายแสน เพราะทุกอย่างมันคือเหตุคือปัจจัยเลยพากันออกบวชกันตั้งหลายแสนคน

 

การมาบวชเป็นพระนี้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ถ้าเป็นฆราวาสเป็นพระได้ถึงพระอนาคามี เลยพากันออกบวช ผู้ที่มีภาระมากที่ดูแลพ่อแม่ ดูแลกิจการ ต้องดูแลบ้านดูแลเมือง พากันปฏิบัติธรรมเป็นพระโสดาบันถึงพระอนาคามี  คำว่าเป็นนั้นหมายถึงความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ เพราะความรู้กับการประพฤติการปฏิบัติคืออันเดียวกัน เป็นการทำงานเพื่องาน เป็นการเรียนเพื่อรู้เข้าใจ ทำอะไรมีความรู้พร้อมกับความสงบ ถึงมีหลักการ จันทร์อังคารพุธพฤหัสศุกร์เป็นวันทำงานกับการปฏิบัติธรรมไปพร้อม ๆ กัน เป็นการพัฒนาวัตถุกับใจไปพร้อม ๆ กัน วันเสาร์วันอาทิตย์ถึงเป็นวันหยุดทำงานของราชการ เค้าหยุดทำไม ก็เพราะไปพัฒนาใจ เพื่อยกเลิกการทำงาน ผู้ที่ถือศาสนาพุทธก็พากันไปที่วัด ผู้ถือศาสนาคริสต์ก็พากันไปที่โบสถ์ ผู้ถือศาสนาอิสลามก็ไปที่มัสยิด ผู้ถือศาสนาพราหมฮินดูก็ไปที่วิหารเทวสถาน เพื่อไปพัฒนาใจเจริญสติสัมปชัญญะยกเลิกตัวตน ไปไหว้พระสวดมนต์นั่งสมาธิภาวนา

 

สมัยครั้งพุทธกาลเค้าเอาวันพระ วัน ๗ ค่ำ ๘ ค่ำเรียกว่าวันพระน้อย วันพระใหญ่ก็วัน ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำเค้าทำกันอย่างนี้ แต่ปัจจุบันเอาหลักการของสากลหยุดวันเสาร์วันอาทิตย์แต่ก็ยังใช้หลักการอันเดียวกันนี้แหละ เพื่อที่จะเอาความสงบกับปัญญานำชีวิต เราจะไม่ได้เอาความผิดนำชีวิต เราจะไม่ได้เอาตัวเอาตนนำชีวิต เอาความผิดนำชีวิตเอาตัวตนนำชีวิตมันก็ย่อมพังทลายเหมือนตึก สตง.

 

ตึกสตง.ของเมืองไทย สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินอยู่เมืองกรุงเมืองหลวง ไปตรวจแต่การใช้เงินใช้ทรัพยากรไปตรวจแต่คนอื่นแต่ไม่ได้ตรวจตัวเอง ไม่ได้ปฏิบัติตัวเอง ความถูกต้องแล้วเราต้องเน้นที่เราทุกคนนี้แหละ ไม่ต้องไปเน้นที่ผู้อื่น ต้องเน้นที่ตัวเรา ถ้าเราไม่เข้าใจก็จะเป็นเหมือนกันทุก ๆ ประเทศ ทุก ๆ ประเทศก็จะไม่มีข้าราชการมีแต่ข้าราชกิน ทุก ๆ ประเทศก็จะไม่มีนักการเมืองจะมีแต่นักกินเมือง ทุก ๆ ประเทศก็จะไม่มีพระศาสนา มีแต่ตัวมีแต่ตน

 

เหตุการณ์ที่ผ่านมาทางประวัติศาสตร์ หลังพุทธกาล พระเจ้าอโศกมหาราช ครองราชย์ พ.ศ.๒๗๐ - พ.ศ.๓๑๑ พระพุทธศาสนาที่ประเทศอินเดียเนปาลศรีลังกา ได้มีพุทธบริษัทมีความเคารพศรัทธาเลื่อมใส เอาพระพุทธศาสนานำชีวิต ได้มีผู้มาบวชเพื่อเอาพระศาสนาหาอยู่หากินหาเลี้ยงชีพ จุดมุ่งหมายไม่ใช่มาบวชเพื่อมรรคผลพระนิพพาน ได้พากันมาบวชถูกต้องตามกฎหมายลายเซ็นต์ แต่งกายเลียนแบบ ปลงผมนุ่งห่มผ้าจีวรผ้ากาสาวพัสตร์ มาเอารูปแบบมาเอาแบรนด์เนมเป็นนักบวช เพราะการบวชนี้ ได้รับปัจจัย ๔ จากข้าราชการนักการเมืองพ่อค้าประชาชน มาใช้ของฟรี มาฉันของฟรี ข้าวไม่ได้ซื้อมีที่อยู่มีที่อาศัยมีปัจจัยมากมาย ได้พากันมาบวชเพื่อปัจจัย ๔ เพื่อยศเพื่อตำแหน่ง เพื่อเอาตำแหน่งนั้นหาอยู่หาบริโภค เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้พระอรหันต์ขีณาสพมีความเห็นว่าอันนี้ไม่ถูกต้อง เพราะไม่ได้มาบวชมาเอาพระธรรมพระวินัยเอามรรคผลพระนิพพาน มาบวชเพื่อเอาพระพุทธศาสนาหาอยู่หาฉัน นี้จัดเป็นบุคคลที่หลอกลวง ไม่ใช่พระธรรมไม่ใช่พระวินัย มันเป็นตัวเป็นตน พระอรหันต์ขีณาสพเจ้าถึงไม่คบค้าสมาคม ไม่ลงอุโบสถลงสังฆกรรมเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า ๗ ปี ๗ พรรษา พระเจ้าอโศกมหาราช พระราชบพิตรผู้ปกครองแผ่นดิน มีความเห็นว่าทำไมพระไม่สมัครสมานสามัคคีกัน จึงได้กราบเรียนถามพระอรหันต์ขีณาสพผู้ทรงอภิญญาว่าทำไมถึงไม่มีความสมัครสมานสามัคคีร่วมกันลงอุโบสถ พระอรหันต์เจ้าผู้ทรงอภิญญาณถึงได้กราบทูลถวายความเป็นจริงให้พระเจ้าอโศกมหาราชฟัง พระเจ้าอโศกถึงได้ให้พระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญาตรวจตราผู้ที่มาบวชไม่ได้มุ่งมรรคผลพระนิพพานให้ลาสิกขา ให้ไปทำมาหากินเป็นฆราวาสเสีย ไม่ต้องพากันมาบวชเพื่อเอาพระศาสนาหาอยู่หาฉัน ศึกไปหลายหมื่นรูปเกือบแสนน่ะ เราพากันมาคิดดูดี ๆ นะ เพราะความไม่ถูกต้องถึงได้มีเหตุการณ์อย่างนั้น

 

เริ่มกระบวนการกวาดล้างพระอลัชชี เพื่อทำพระพุทธศาสนาให้บริสุทธิ์

พ.ศ.287 พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ ได้ถวายเทศนาแก่พระเจ้าอโศกมหาราช จนพระองค์ทรงมีความเลื่อมใส และซาบซึ้งในหลักธรรมอันบริสุทธิ์ของพระพุทธองค์ ได้ประทับอยู่ที่อุทยานนับเป็นเวลา 7 วัน เพื่อชำระพระศาสนาให้บริสุทธิ์จากเดียรถีย์ที่เข้ามาปลอมบวช ในวันที่ 7 พระองค์ได้ประกาศบอกนัดให้พระภิกษุที่อยู่ในชมพูทวีปทั้งสิ้นให้มาประชุมที่อโศการามเพื่อชำระความบริสุทธิ์ของตน ภายใน 7 วัน พระองค์ประทับนั่งภายในม่านกับท่านโมคคัลลีบุตรติสสเถระ ได้สั่งให้ภิกษุผู้สังกัดอยู่ในนิกายนั้น ๆ นั่งรวมกันเป็นนิกาย ๆ แล้วตรัสถามให้พระภิกษุเหล่านั้นอธิบายคำสอนของพระพุทธองค์ ซึ่งพระสงฆ์เหล่านั้นได้อธิบายผิดไปตามลัทธิของตน ๆ พระเจ้าอโศกมหาราชจึงได้ตรัสให้สึกพระอลัชชีเหล่านั้นทั้งหมด ซึ่งเป็นจำนวน 60,000 รูป

 

 ครั้นกำจัดพระภิกษุพวกอลัชชีให้หมดไปจากพุทธศาสนาแล้ว พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ จึงได้จัดให้มีการทำสังคายนาครั้งที่ 3 ขึ้น ณ อโศการาม เมืองปาฏลีบุตร โดยได้รับราชูปถัมภ์จากพระเจ้าอโศกมหาราชอย่างเต็มที่

 

หลังจากนั้นจึงได้ทำสังคายนา

หลังจากที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเสด็จดับขันธปรินิพพานไปได้ประมาณ 236 ปีเศษ คณะสงฆ์ได้ทําการสังคายนาครั้งที่ 3

 

 เมื่อทําสังคายนาเสร็จแล้ว พระเจ้าอโศกมหาราชได้ส่งคณะสมณทูตไปเผยแผ่ พระพุทธศาสนาในแคว้นและประเทศต่างๆ รวมทั้งหมดมี 9 สาย มีรายนามตามคัมภีร์ที่บันทึก เป็นภาษาบาลี ดังต่อไปนี้

 

1) คณะพระมัชฌันติกเถระ ไปแคว้นแคชเมียร์และคันธาระ ซึ่งอยู่ทางทิศ ตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดีย ได้แก่ แคว้นแคชเมียร์ในปัจจุบัน

2) คณะพระมหาเทวเถระ ไปมหิสสกมณฑลอยู่ทางตอนใต้ของดินแดน แถบลุ่มแม่น้ำโคธาวารี ทางภาคใต้ของอินเดีย ได้แก่ แคว้นไมซอร์ในปัจจุบัน

3) คณะพระรักขิตเถระ ไปวนวาสีประเทศ ซึ่งอยู่ในเขตกนราเหนือ ทาง ภาคตะวันตกเฉียงใต้ของอินเดีย แคว้นบอมเบย์ ในปัจจุบัน

4) คณะพระธัมมรักขิตเถระ ซึ่งท่านเป็นชนชาติกรีก ไปปรันตชนบท อยู่ ริมฝั่งทะเลอาระเบียน ทางทิศเหนือของบอมเบย์

5) คณะพระมหาธัมมรักขิตเถระ ไปแคว้นมหาราษฎร์ปัจจุบันเป็นดินแดน แถบตะวันออกเฉียงเหนือ ห่างจากเมืองบอมเบย์

6) คณะพระมหารักขิตเถระ ไปโยนกประเทศ ได้แก่ แคว้นของชาวกรีก ในทวีปเอเซียตอนกลาง เหนือประเทศอิหร่านต่อขึ้นไปจนถึงเตอร์กีสถาน

7) คณะพระมัชฌิมเถระและพระมหาเถระอีก 4 รูป คือ พระกัสสปโคตตะ พระมูลกเทวะ พระทุนทภิสสระ และพระเทวะ ไปแคว้นดินแดนแถบภูเขาหิมาลัย ได้แก่ เนปาล ซึ่งอยู่ตอนเหนือของอินเดีย

8) คณะพระโสณเถระ และพระอุตตรเถระ ไปสุวรรณภูมิ ได้แก่ ไทยพม่า ในปัจจุบัน

9) คณะพระมหินทเถระผู้เป็นโอรสของพระเจ้าอโศกมหาราช ได้นํา พระพุทธศาสนาไปประดิษฐานที่เกาะสิงหล หรือประเทศศรีลังกาเป็นครั้งแรก

 

เมื่อหลังจากได้สังคายนาพร้อมทั้งพระอรหันต์ขีณาสพไปเผยแผ่พระศาสนาถึงมีพระอรหันต์เกิดขึ้นหลายหมื่นหลายแสนนับเป็นล้าน ๆ

 

ถ้าเรามาคิดดูสมัยปัจจุบันนี้ นับว่าหนักมาก เสียหายมาก มากกว่าสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชเสียอีก นี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ทุก ๆ คนต้องพากันมาพิจารณา เพื่อเราจะได้ก้าวไปด้วยความถูกต้อง ก้าวไปด้วยปัญญา เพื่อเราจะได้เอาความถูกต้องนำชีวิต เอาบริสุทธิคุณนำชีวิตที่เค้าเรียกว่าคุณไม่มีโทษ ที่เรียกว่าพุทธคุณ ธัมมคุณ สังฆคุณ ถ้าเราเอาความไม่ถูกต้องนำชีวิตมันก็ต้องไม่มีคุณมีแต่โทษ พระพุทธเจ้าถึงให้พวกเรารู้เข้าใจ ถ้าเราปฏิบัติอย่างไม่ถูกต้องมันก็คือไม่ถูกต้อง เพราะนี้คือกรรมคือกฎแห่งกรรมคือผลของกรรม ทุก ๆ ศาสนาเสียหายเหมือนกันเลย ศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม ศาสนาพราหมณ์ฮินดูอะไรต่าง ๆ เสียหาย

 

เราต้องมีสำนึกมีจิตสำนึก เราทั้งจะได้จะได้เอาปัญญาบริสุทธิคุณนำชีวิต ไม่เอาความผิดนำชีวิต เราทั้งหลายให้พากันรู้ปัญหาเข้าใจปัญหา เรามาบวชมาปฏิบัติให้ทุกท่านรู้เข้าใจ รู้จักปัญหา เราจะได้แก้ปัญหา เรามาเน้นที่ตัวเรานี้แหละ เรามาเดินไปพร้อมกัน มีความสมัครสมานสามัคคีกัน

 

ทุกคนเอาพระธรรมเอาพระวินัย เอาข้อวัตรกิจวัตร พากันมามีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติพากันนอนพากันพักผ่อนให้เพียงพอ เรามาบวชมาประพฤติปฏิบัติเราต้องทำให้ถูกต้องเอาความสงบให้เต็มที่เอาปัญญาให้เต็มที่ เราจำวัดพักผ่อนนอน ๕ ชั่วโมง ๖ ชั่วโมง วัดเราน่ะนอน ๓ ทุ่ม ตื่นตี ๓ ทำข้อวัตรกิจวัตรถือนิสัยของพระพุทธเจ้า สมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ อยู่กับการประพฤติการปฏิบัติของเราเอง

 

เราต้องพากันรู้เข้าใจ เข้าสู่ความตั้งใจตั้งเจตนา ที่วัดนี้จะไม่มีการสูบบุหรี่กินหมากดื่มยาดองตราพญานาค หรือยี่ห้ออื่นต่าง ๆ น่ะ เพราะสิ่งเหล่านี้แหละถือว่ามันเป็นความไม่ถูกต้อง

 

วัดของเราน่ะพระทุกรูปจะไม่ให้มีโทรศัพท์มือถือ ไม่ให้ใช้โทรศัพท์มือถือ อย่าไปแอบมีโทรศัพท์มือถืออย่าไปแอบใช้โทรศัพท์มือถือ คนอื่นเค้าไม่รู้ไม่เห็น แต่เราก็รู้เราก็เห็นว่าเราทำไม่ถูกต้องน่ะ เราอย่าไปคิดว่าพระในประเทศไทยก็พากันมีโทรศัพท์มือถือใช้โทรศัพท์มือถือกันทั้งประเทศหรือพระหลายประเทศ ความคิดอย่างนั้นเราต้องยกเลิก เหตุการณ์ที่ผ่านมาหลายสิบปีนี้น่ะ ความเสียหายที่มันพังทลายเหมือนตึก สตง.ได้เกิดขึ้นอยู่ในวงการของนักบวช เรื่องโทรศัพท์มือถือนี้ร้ายมาก อันตรายมาก เพราะมันนำไฟในออกไป ไฟนอกเข้ามา

 

ให้เรารู้เข้าใจ เราทั้งหลายอย่าไปเหนือความถูกต้อง อย่าไปเหนือพระพุทธเจ้า ไม่มีใครเหนือกรรมเหนือผลของกรรมให้รู้เข้าใจ พระที่มาบวชใหม่นี้ก็ยังงานไม่หนักเท่ากับพระที่บวชเก่านะ พระที่บวชเก่าบวชมาหลายปีพากันมีโทรศัพท์มือถือ ใช้โทรศัพท์มือถือ นี้จะเป็นงานหนักนะ การมีโทรศัพท์มือถือใช้โทรศัพท์ยิ่งกว่ามีเมียหลายคนมีภรรยาหลายคน เพราะเมียหรือภรรยาน่ะมันเอาใส่กระเป๋าไม่ได้เอาใส่ย่ามไม่ได้นะ แต่โทรศัพท์มือถือนี้มันร้ายกว่าน่ะ เพราะที่ดี ๆ เก่ง ๆ เรียนสูง จบปริญญาตรีโทเอก จบเปรียญธรรม ๑-๙ เสียหายมาจากโทรศัพท์มือถือทั้งนั้นแหละ

 

ชีวิตของเราเราต้องรู้เข้าใจ ชีวิตของเรามีขั้วบวกขั้วลบนะ มีโลกกับธรรมให้รู้เข้าใจ เรามาบวชมาปฏิบัติเราต้องตัดทางโลกเอาแต่ทางธรรม เพราะชีวิตของเรามันคือขั้วบวกขั้วลบ เมื่อเอาขั้วบวกขั้วลบมาสปาร์คกันเมื่อไหร่ เมื่อนั้นมันก็จะทำงานมันจะเป็นวัฏฏสงสารมันจะเป็นกรรมเป็นกฎแห่งกรรมเป็นผลของกรรม

 

เรามาบวชมาปฏิบัติเราต้องหยุดกรรมหยุดกฏแห่งกรรมหยุดผลของกรรม เราต้องรู้เข้าใจ อย่างคนรุ่นเก่าคนโบราณสูบบุหรี่สูบยาฉุนกันเป็นร้อย ๆ ปีหลายร้อยปีจะไปทำไร่ทำนาทำสวนที่อยู่ห่างจากบ้านไปกิโลสองสามกิโล ถ้าวันไหนไม่ได้เอายาสูบลืมเอายาสูบไปสูบวันนั้นจะหงุดหงิดเพราะมันขาดสิ่งเสพติดทำให้อารมณ์ไม่ดี พระที่บวชมาตั้งแต่สามเณร ๒๐ ๓๐ ๔๐ พรรษา พังทลายเพราะโทรศัพท์มือถือ

 

 เราดูสิพระที่กำลังมีเรื่องมีราวมีปัญหามันมาจากโทรศัพท์มือถือทั้งนั้นมันอยู่ที่เอาสิ่งภายในส่งภายนอก นำสิ่งภายนอกกลับมาหาเราน่ะ ให้เรารู้เข้าใจ เราเป็นมนุษย์สมัยใหม่ เราเป็นคนมีปัญญาเราก็ต้องเป็นคนดี เป็นคนดีก็ต้องมีปัญญา มันจะเป็นคุณได้มันถึงจะไม่มีโทษเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์มันดีแล้วถูกต้องแล้ว อาหารมันดีแล้ว บ้านพักอาศัยมันดีแล้ว ยานพาหนะมันดีแล้วแต่เราต้องมีปัญญา มีความสงบมีปัญญาเพื่อให้เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรมรู้เข้าใจนะ เราอย่าเอาสัญชาตญาณนำชีวิตอย่าเอาความรู้สึกเอาตัวตนนำชีวิตนะต้องรู้เข้าใจ ต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสาต้องเป็นผู้ละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป ไม่เอาความหลงนำชีวิต ต้องหยุดทำผิดหยุดมีโทรศัพท์มือถือหยุดเล่นยูทูปอะไรต่าง ๆ คนมีปัญญามันแก้ปัญหาได้นะ เราไม่มีโทรศัพท์มือถือไม่เป็นไร เราอย่าคิดว่าจำเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ ตัวตนมันคิดว่าเป็นความจำเป็นนะ

 

 ให้รู้เข้าใจ เหตุการณ์ที่ผ่านมาบางคนได้ปริญญาตั้ง ๙ ใบก็พ่ายแพ้ลาภสักการะเสียงเยินยอ ก็แพ้สตรีสตางค์แพ้นารีสีกา แพ้นารีสีดำสีสกปรกนะให้รู้เข้าใจว่าพระธรรมพระวินัยนี้เป็นคุณเป็นอุปการคุณนะ เราอย่าไปทิ้งความดีอย่าไปทิ้งความถูกต้อง เรามาบวชมาปฏิบัติเดี๋ยวนี้น่ะเราพากันรู้เข้าใจนะ ด้วยประจักษ์พยานที่ตึกสตง.มันพัง เดี๋ยวนี้น่ะข้าราชมันก็จะพัง นักการเมืองก็จะพังนักบวชก็จะพังไม่แตกต่างอะไรเลยกับตึกสตง.เป็นประจักษ์พยาน เราทุกคนต้องสงบทุกคนต้องมีปัญญาความสงบกับปัญญานี้ต้องคู่กับเรา เป็นสติปัฏฐาน พระธรรมพระวินัยด้วยความรู้ความเข้าใจ ต้องเอาพระธรรมพระวินัยข้อวัตรปฏิบัติเป็นฐานเป็นสติปัฏฐานเป็นกรรมเป็นกฎของกรรม มันต้องเอาความสงบปัญญาเป็นฐาน เราพากันนอนพักผ่อนตั้งแต่ ๓ ทุ่มไปตื่นตี ๓ ทุกวัน ระบบความคิดอะไรเราก็ต้องมีปัญญาสัมมาทิฏฐิเพื่อเราจะได้มีศีล มีสมาธิ มีปัญญา เราถึงจะได้พากันเป็นมนุษย์ หยุดความเป็นคน ด้วยสติด้วยปัญญา เรามีบุญมีวาสนา อายุขัยของเราต้องเอามาใช้เอามาทำประโยชน์ ร่างกายของเรอายู่ได้ ๑ ศตวรรษคือร้อยปีถ้าเราทำดี ๆ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาอยู่ได้มากกว่าร้อยปีให้รู้เข้าใจ

 

เราทุกคนให้เอาโอวาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นหลักที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสโอวาทครั้งสุดท้ายก่อนเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานทางส่วนของร่างกายท่านตรัสว่า เราทั้งหลายต้องพากันรู้เข้าใจอย่าได้ประมาท ให้เอาวาระปัจจุบันเป็นวาระสำคัญแห่งการประพฤติการปฏิบัติเพราะทุกอย่างนั้นมันจะเอากลับคืนมาไม่ได้ เพราะธรรมพระวินัยเป็นพระรัตนตรัยเราก้าวไปด้วยพระธรรมพระวินัยก้าวไปด้วยพระรัตนตรัยให้พวกเรารู้เข้าใจ

 

อย่าไปเลียนแบบข้าราชการนักการเมือง อย่าไปเลียนแบบพระที่ไม่ได้มุ่งมรรคผลพระนิพพาน ต้องเอาพระพุทธเจ้าเป็นหลัก พระพุทธเจ้าน่ะคือพระธรรมคือพระวินัยให้เรารู้เข้าใจ พระพุทธเจ้าไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน พระพุทธเจ้าเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายน่ะจะได้ทำหน้าที่ของเราทุกคนยกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้อง

 

ขออนุโมทนากับท่านทั้งหลายนะ ท่านทั้งหลายเป็นมนุษย์เป็นผู้ที่ประเสริฐมีโอกาสมีเวลาให้พากันมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติให้พากันเข้าถึงพรหมจรรย์ที่เป็นบริสุทธิคุณ เป็นความสงบเป็นปัญญา ยกเลิกความไม่ถูกต้องให้ถือว่าความถูกต้องมันเป็นพระนิพพานเป็นบ้านของเรา ให้ระลึกถึงโอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านได้มีเมตตาตรัสเพื่อเป็นคติเพื่อให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาทเพื่อให้มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติเพื่อจะไม่ได้เสียเวลาเพื่อจะได้ใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่า ท่านตรัสว่า

ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ

ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ

ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู

ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรม ความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละคือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะ

 

-------------------------------

 

โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม

เมตตาให้ไว้ใจเช้าวันที่ ๒๐ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

 

-

 

รายการล่าสุดที่คุณดู
Visitors: 98,212