๒๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ ๒๑ เดือนกรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ ศาสนาพุทธ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ศาสนาคริสต์ ฮิจเลาะห์ศักราช ๑๔๔๖ ศาสนาอิสลาม

 

เราพากันมาบวช พากันมาปฏิบัติ พากันมาประพฤติปฏิบัติพรหมจรรย์ มายกเลิกการเวียนว่ายตายเกิดเพื่อให้การประพฤติการปฏิบัตินั้นติดต่อต่อเนื่อง มาเป็นพระธรรมเป็นพระวินัย มีข้อวัตรกิจวัตร เรามาใช้ทรัพยากรของบุคคลอื่น เรามาดำรงธาตุดำรงขันธ์ดำรงอายตนะ เพื่อใช้ทรัพยากรของบุคคลอื่น

 

ผู้ที่มาบวชในประเทศไทยนี้ ๙๙.๙ เปอร์เซ็นต์เป็นส่วนใหญ่เป็นส่วนมากไม่ได้มุ่งมรรคผลพระนิพพาน มาบวชเพื่ออาศัยพระศาสนาเลี้ยงชีพ เอาแบบเอาแบรนด์เนมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อเลี้ยงชีพ พื้นฐานความเป็นจริงในปัจจุบันได้เป็นอย่างนี้ เรามาบวชมาปฏิบัติเราอย่าพากันคิดอย่างนั้น

 

 ให้เรารู้ให้เราเข้าใจ เราต้องมาเปลี่ยนความคิดของเราใหม่ ความคิดอย่างนั้นเราอย่าไปตรึกอย่าไปนึกอย่าไปคิด เราต้องเสียสละความคิดของเราอย่างนั้น มันจะเป็นกามมันจะเป็นพยาบาท อันนั้นเป็นความคิดเห็นผิดเข้าใจผิด ถ้าเราคิดอย่างนั้นน่ะ มันเป็นการแอบเป็นการแฝง การบวชนี้ดีที่สุดในโลก เพราะการบวชนี้เป็นการหยุดสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ทำแต่สิ่งที่ถูกต้อง

 

พระธรรมพระวินัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าค้นคว้าบำเพ็ญพุทธบารมีประพฤติปฏิบัติ บำเพ็ญพุทธบารมีเป็นเวลาหลายล้านปีหลายล้านชาติกว่าที่จะได้ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้กลั่นกรองออกมาเป็นบริสุทธิคุณ เป็นอริยมรรค เป็นหนทางในการประพฤติในการปฏิบัติ

 

ให้พวกเรารู้เข้าใจ เปรียบเสมือนอาหารนี้แหละ อาหารสำเร็จรูป เพื่อให้เราบริโภคพระธรรมพระวินัยข้อวัตรปฏิบัติเป็นสิ่งที่พวกเรามองเห็นคุณเห็นประโยชน์เพราะไม่มีโทษมีแต่คุณ เป็นพุทธคุณ ธัมมคุณ สังฆคุณ เพื่อให้ได้มาตรฐานให้ได้ มอก. ให้ทุกท่านทุกคนตั้งใจตั้งเจตนา การปฏิบัติธรรมนั้นต้องตั้งใจตั้งเจตนา ไม่มีต่อหน้าและลับหลัง ไม่มีทีมืดที่แจ้งน่ะ เป็นความสว่างทั้งกลางวันกลางคืน ด้วยพระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตร เราต้องวัดด้วยพระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ เพื่อให้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี การเจริญสติปัฏฐานนี้ ทุกคนต้องตั้งใจเจริญตั้งใจฝึก เพื่อให้ความสงบกับปัญญาไปพร้อม ๆ กัน ให้สมองกับลมหายใจไปพร้อม ๆ กัน

 

เราทุกคนน่ะต้องมีปิติมีความสุขกันเต็มที่ เป็นเอกัคคตารมณ์ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง เราหยุดเรื่องอดีตไว้หมด เพราะอดีตถือว่าเกษียณไปแล้ว อย่าให้อดีตมันปรุงแต่งเราได้ อนาคตเราก็หยุดเหมือนกัน อยู่กับปัจจุบัน อยู่กับสติสัมปชัญญะ อยู่กับความสงบอยู่กับปัญญา ให้การปฏิบัติของเรานั้นมันขลังมันศักดิ์มันสิทธิ์ คำว่าขลังหมายถึงอยู่ในกรอบอยู่ในพระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตร ศักดิ์สิทธิ์หมายถึงปัจจุบันมันไม่ช้าไม่เร็วมันไม่มากไม่น้อยมันเป็นความพอเพียงเพียงพอ มันเป็นทั้งความสงบเป็นทั้งปัญญาเพราะว่าเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม

 

เราทั้งหลายพากันมาเจริญสติปัฏฐาน ๔ กายวาจากิริยามารยาทอาชีพใจต้องอยู่กับปัจจุบัน ถ้าเราอยู่กับปัจจุบันไม่มีอดีตไม่มีอนาคต ปัจจุบันก็มีความสงบกับปัญญานี้มันจะเข้าถึงความพอดี เรามารวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน เพื่อความสมัครสมานสามัคคีกัน เป็นหมู่ใหญ่เป็นหมู่สงฆ์ สามัคคีไปทางหนึ่งทางเดียวกัน เค้าเรียกว่าสงฆ์ สงฆ์นั้นคือสามัคคี สามัคคีนั้นคือสงฆ์ สงฆ์นั้นคือผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบปฏิบัติตรง ปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์ เป็นผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เป็นผู้ปฏิบัติสมควร สมควรที่จะต้องเคารพกราบไหว้บูชา ตัวเองก็เคารพกราบไหว้บูชาตัวเองได้ คนอื่นก็เคารพบูชาได้อย่างสนิทใจ อย่างนี้เรียกว่าสงฆ์ เป็นผู้อยู่ก็มีแต่ความดับทุกข์ ไปก็มีแต่ความดับทุกข์ เป็นสุคโต

 

ให้พวกเรารู้เข้าใจเพราะเราใช้ทรัพยากรของบุคคลอื่น นักบวชของเราถึงไม่สะสมอะไร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้ผู้ที่มาบวชมีเพียงผ้าจีวรกับบาตรเท่านั้นเอง ไม่ให้รับเงินไม่ให้รับสตางค์ ไม่ให้เก็บอาหารไว้สำหรับฉันวันพรุ่งนี้ เราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมุ่งมรรคผลนิพพานประชากรของโลกเค้าย่อมให้ความเคารพนับถือเลื่อมใส

 

เรามาอยู่กันเป็นกลุ่มเป็นก้อนอย่างนี้จะมีการเช็ครายชื่อในการทำข้อวัตรกิจวัตร ทำวัตรสวดมนต์ การบิณฑบาต เพื่อให้เข้าสู่ความเป็นมาตรฐาน เข้าสู่ มอก. เพื่อจะไม่ให้ใครมาอยู่มาอาศัยพระศาสนาหาอยู่หาฉันหาเลี้ยงชีพ พระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตรเป็นเครื่องวัดเป็นเครื่องกลั่นกรอง

 

เรามาบวชแล้วเราพากันยกเลิกความตามใจของตัวเอง เรามาบวชมาปฏิบัติ เราต้องไม่ตามใจของตัวเอง หยุดทำตามใจของตัวเอง ถ้าไปทำตามใจตัวเองอยู่นั้นมาบวชก็เท่ากับไม่ได้บวช บวชแต่กายแต่ใจไม่ได้บวช อย่างนี้ไม่ได้ เพราะเราใช้ทรัพยากรของบุคคลอื่น ของประชาชนเค้า เราพากันมาอาศัยพระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตร เราทั้งหลายจะไม่ได้เป็นผู้หลอกลวง ถ้าเราไม่มุ่งมรรคผลพระนิพพานด้วยความตั้งใจตั้งเจตนา เรานี้แหละจะเป็นผู้ต้มตุ๋น ผู้หลอกลวง เรามาอาศัยพระวินัยนิกขาบทน้อยใหญ่ มาอาศัยข้อวัตรกิจวัตร มาอาศัยประพฤติปฏิบัติเป็นกลุ่มเป็นก้อน ให้เป็นคนตั้งใจตั้งเจตนา อย่าเอาความสงบจากความหลง เราเอาความสงบจากความหลงได้อะไรตามใจมันก็สงบน่ะ อันนั้นมันเป็นความสงบหรือความรอดของความไม่รอด เราต้องรู้เข้าใจ ถ้าเราไม่รู้เข้าใจเดี๋ยวกรรมมันจะเช็คบิลเรา

 

ให้พวกเราตั้งใจทุก ๆ คน ว่าคนก็แล้วกัน เพราะว่ายังเป็นเสขบุคคล บุคคลที่จะต้องประพฤติปฏิบัติ เราพากันมาเจริญสติเจริญสัมปชัญญะ เราพากันมานอนพากันพักผ่อนให้พอ นอน ๕ ชั่วโมง ๖ ชั่วโมง ขนาดไหนพอ เพียงพอ เรามาบวชแล้วเค้าไม่เรียกว่านอน เค้าเรียกว่าจำวัด พวกมาบวชเค้าเรียกว่าจำวัด เราพากันจำวัด ๓ ทุ่ม ตื่นตี ๓ เราเลิกจากทำวัตรนั่งสมาธิส่วนรวม เราเลิกกันสองทุ่ม กลับกุฏิ จำวัด ๓ ทุ่ม

 

เราทำอะไรปฏิบัติอะไร ให้ใจอยู่กับสิ่งนั้นเต็มที่ ถ้าใจของเราไม่อยู่กับสิ่งนั้นเต็มที่มันจะไม่เป็นปัจจุบันธรรม มันจะเป็นปัจจุบันที่เป็นตัวเป็นตน การเดินการเหินการนั่งการนอนให้ใจอยู่กับเนื้อกับตัวให้เต็มที่ ให้มีความสงบและปัญญาอยู่กับปัจจุบันให้เต็มที่ อย่างนี้เรียกว่าการประพฤติการปฏิบัติพรหมจรรย์

 

พระพุทธเจ้าน่ะเป็นลูกหลานของศาสนาพราหมณ์มาก่อน พราหมณ์ก็เน้นเรื่องจิตเรื่องใจเรื่องเจตนาเรื่องความสงบ เพื่อให้สอดคล้องของการดำเนินชีวิต องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านมาปฏิรูปใช้เป็นอริยมรรคมีองค์แปด เอาความสงบกับปัญญามารวมกัน การเจริญสติปัฏฐานนี้ถึงเอาไปใช้งานเป็นอริยมรรค

 

ให้ตั้งใจตั้งเจตนาให้มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน เพื่อความสงบกับปัญญาจะได้สมบูรณ์เป็นพรหมจรรย์ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เธอทั้งหลายจงพากันประพฤติพรหมจรรย์เถิด เอาความสงบกับปัญญาไปพร้อมกันให้เป็นมรรคเป็นอริยมรรค เพราะกายวาจากิริยามารยาทอาชีพใจนั้นเป็นวาระของวาระอยู่แล้ว

 

ให้รู้จักการประพฤติการปฏิบัติ ความสงบและปัญญาถึงเป็นการทำที่สุดแห่งความดับทุกข์ แห่งความไม่มีทุกข์ ความสงบนั่นแหละคือพระ ปัญญาบริสุทธิคุณยกเลิกตัวตนนั้นคือพระ พระนี้ถึงอยู่กับเราทุกหนทุกแห่งที่เรารู้เข้าใจแล้วเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ มีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ

 

เราทุกคนต้องพากันเป็นพระธรรมเป็นพระวินัย เราทั้งหลายมายกเลิกเขามายกเลิกเรา ไม่ต้องมีเขาไม่ต้องมีเรา สมมมติต่าง ๆ มีหลายล้านสมมติ ให้เรารู้ให้เข้าใจเพื่อเอาจะได้เอามาประพฤติเอามาปฏิบัติ สมมตินั้นเป็นเพียงมาใช้การใช้งาน เพื่อความสะดวกความสบายให้รู้เข้าใจ สมมติให้เราเป็นอะไรมันก็ไม่เป็นอะไรหรอกเพราะมันเป็นเพียงสมมติ แต่เราก็ต้องปฏิบัติต่อสมมติให้ถูกต้อง เราต้องเคารพในสมมติ เราต้องคารวะในสมมติ เราต้องทำหน้าที่ในการปฏิบัติสมมติที่เค้าแต่งตั้งให้เราเป็นอะไรก็ทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ เราต้องมีความสุขในการปฏิบัติหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ ถ้าเรามีความฟุ้งซ่าน การประพฤติการปฏิบัติมันก็ไม่สมบูรณ์

 

ศีลนี้คือหน้าที่ ศีลนี้คือความสงบ ศีลนี้คือความปกติ เราต้องมีความสงบเป็นพื้นฐาน ศีลนี้จึงเป็นพื้นเป็นฐาน ผู้จะเป็นพระอริยเจ้าถึงต้องมีศีลเป็นพื้นเป็นฐาน ถ้าเรามีศีลติดต่อต่อเนื่องกันถึงจะเป็นสัมมาสมาธิ การประพฤติการปฏิบัติของเราถึงไม่ให้ศีลขาดศีลด่างศีลพร้อยศีลเศร้าหมอง ต้องวัดที่ใจวัดที่เจตนา ให้เราตั้งใจตั้งเจตนา ไม่ปฏิบัติศีลเพื่อตัวเพื่อตน ไม่ได้ปฏิบัติข้อวัตรกิจวัตรเพื่อตัวเพื่อตน ถ้าปฏิบัติศีลเพื่อตัวเพื่อตนไม่ใช่สัมมาทิฏฐิ มันยังมีตัวตนแอบแฝง การรักษาศีลวัดด้วยความตั้งใจตั้งเจตนามีแต่ความซื่อสัตย์ ความซื่อสัตย์กับความสงบก็คืออันเดียวกัน ความซื่อสัตย์หรือว่าสัจจะอันนี้คือสิ่งเดียวกัน ถ้าเราไม่มีศีลชื่อว่าเราไม่ซื่อสัตย์ เราไม่สงบ เราทุจริต เรามีตัวมีตน

 

ให้เรารู้ให้เราเข้าใจ พระศาสนาเป็นอริยมรรคมีองค์แปด ถือเอาพระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ ที่เอาหลักของพระพุทธเจ้า เอาหลักของพระอรหันต์ ที่ถ่ายทอดมาเป็นเถรวาท เป็นพระไตรปิฎก

 

เราอย่าไปพากันคิดว่าพระศาสนาเป็นสิ่งที่บริสุทธิคุณทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพในโลกนี้จะมีใครปฏิบัติได้ ทุกคนนั้นปฏิบัติได้ ถ้าใครมีธาตุทั้ง ๔ มีขันธ์ทั้ง ๕ มีอายตนะภายใน ๖ ทุกคนทำได้ปฏิบัติได้ สิ่งที่ว่าไม่ได้ก็คือความคิดเห็นผิดเข้าใจผิด เมื่อไหร่มีตัวมีตนเมื่อไหร่เราก็ปฏิบัติไม่ได้ ให้รู้เข้าใจ ตัวตนนั้นปฏิบัติไม่ได้ ตัวตนนั้นไม่มีทางได้ เพราะตัวตนนั้นไม่ใช่ทางไม่มีทาง มันเป็นทางตัน เค้าถึงมีศัพท์เรียกว่าตัณหา ศัพท์นี้ลึกซึ้งกินใจ หาเรื่องหาราวให้กับตนเอง หาเรื่องหาราวให้กับคนอื่น คนที่ปฏิบัติไม่ได้คือผู้ที่เอาตัวเอาตนนำชีวิตนี้ปฏิบัติไม่ได้แน่นอน แล้วก็พวกคนบ้าคนสมองเสีย สมองพิกลพิการ เพราะสมองเสียเพราะเป็นคนบ้า ทางส่วนราชการนักการเมืองพ่อค้าประชาชนนักบวชทั้งหลายถึงไม่เอาเรื่องกับคนบ้า

 

ทุกคนทำได้ปฏิบัติได้ให้รู้เข้าใจ เรามีตัวมีตนเราถึงทำไม่ได้

 

ผู้ที่บวชมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงให้หลักการอุดมการณ์อุดมธรรม ผู้ที่บวชมาต้องเจริญพระธรรมฐาน ที่มีความยึดมั่นถือมั่นในตัวในตน ในหญิงในชาย ในการเกิดแก่เจ็บตายพลัดพราก

 

ท่านจึงให้มาพิจารณาร่างกายเข้าสู่พระไตรลักษณ์ ให้มาสาธยายหลักการให้เอาผมออก เอาหนังออก แยกชิ้นส่วนออกเป็นชิ้น ๆ เลย ร่างกายของเรามนุษย์เรามันมีอยู่ ๓๒ ชิ้นส่วน ให้แยกออก เพื่อจะคลายความยึดมั่นถือมั่น

 

ให้พากันทำอย่างนี้แหละ พิจารณาสาธยายอย่างนี้ วันหนึ่งหลาย ๆ ครั้ง เพื่อเราจะได้คลายความยึดมั่นถือมั่น เราทุกคนน่ะเมื่อเอาหนังออกแล้วก็จะไม่รู้ว่าเป็นผู้หญิงผู้ชาย สิ่งทั้งหลายในร่างกายนี้ล้วนแต่ปฏิกูลทั้งนั้น ต้องอาบน้ำแปรงฟันด้วยเกลือเค็ม ๆ หรือแปรงฟันด้วยยาสีฟัน ต้องอาบน้ำถูสบู่ เสื้อผ้าอาภรณ์ก็ต้องซักฟอก ทำความสะอาด ถ้าเรามาพิจารณาอย่างนี้แหละ จะทำให้เราคลายความกำหนด คลายความยินดี

 

เรามาบวชมาปฏิบัติ ต้องพากันพิจารณาร่างกายวันหนึ่งหลาย ๆ รอบนะ พิจารณาความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพราก ปู่ย่าตายายบรรพบุรุษของเรา พากันตายพากันพลัดพราก เพราะทุกอย่างมันเป็นธรรมเป็นสภาวธรรม ไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน

 

เราทั้งหลายต้องพากันพิจารณาเหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าน่ะท่านตรัสถามพระอานนท์ว่า อานนท์เอย วันหนึ่งพระอานนท์พิจารณาความตายวันละกี่ครั้ง พระอานนท์วันละ ๗ ครั้งพระเจ้าค่ะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่าไม่ได้นะ มันต้องมากกว่านั้นพระตถาคตเจ้าพิจารณาความตายตลอดกาลตลอดเวลาเลย คำว่าพิจารณาคือมองเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วดับไป อย่างนี้เรียกว่าพิจารณาเรื่องเกิดดับ พิจารณาเรื่องความตาย อย่างนี้ให้เข้าใจ

 

เราเจริญสติสัมปชัญญะมาก ๆ ติดต่อต่อเนื่องกัน มีศีลมีสมาธิมีปัญญาติดต่อต่อเนื่องมันจะค่อย ๆ ดีขึ้น มันจะชำนิชำนาญขึ้น เราทั้งหลายต้องหยุดส่งใจไปภายนอก หยุดคลุกคลีพูดคุยกัน การที่มาทำวัตรสวดมนต์ ทำอะไรพร้อมกันนี้ถือว่าไม่ใช่คลุกคลี เป็นหน้าที่น่ะ ต่างคนก็ต่างทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ ให้มีความสุขในการทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ ถ้าเราทำอะไรไม่ใช่เพื่อตัวเพื่อตนถือว่าไม่คลุกคลีถือว่าเป็นความสงบ ความสงบความเคารพปัญญามันคืออันหนึ่งอันเดียวกัน ให้เรารู้ให้เข้าใจ

 

เราคิดว่าเราระดับอุดมศึกษาแล้ว เราไม่ใช่อนุบาลนะ เราไม่ใช่ประถมนะ เราอย่าไปคิดอย่างนั้น ธรรมะมันเป็นเรื่องปัจจุบันไม่มีเก่าไม่มีใหม่ มันจะมีแต่ความสงบมีแต่ปัญญา มีแต่ปัญญามีแต่ความสงบ เราต้องรู้เข้าใจ อย่าไปหลงตัวเอง ว่าตัวเองอุดมศึกษาแล้ว เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ อย่างนี้มันก็ไม่เป็นอิสระสิ อย่าไปคิดว่าครั้งพุทธกาลต่างคนต่างปฏิบัติ ไม่มีมาทำวัตรเป็นหมู่ นั่งสมาธิเป็นหมู่ ต่างคนต่างปฏิบัติ ถ้าเรามีความสงบมีปัญญาอยู่ทุกหนทุกแห่งมันก็จะมีแต่ความสงบมีแต่ปัญญา

 

เราอย่าไปคิดว่าการทำอะไรตามใจตามอัธยาศัยมันคืออิสระ นั้นคืออิสรภาพ ความคิดอย่างนั้นมันเป็นอัตตาตัวตนนำ มันไม่ได้ยกเลิกตัวตน ให้รู้เข้าใจ

 

พระธรรมพระวินัยแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์นี้ให้เรามายกเลิกตัวตนต่างหาก เราจะได้สงบตัวตนด้วยพระธรรมพระวินัยด้วยหมู่ด้วยคณะ เราอย่าเอาความหลงนำชีวิต เราจะเอาความสงบอยู่ข้างหน้า ความสงบต้องอยู่กับปัจจุบัน พระนิพพานต้องเป็นความว่างจากสิ่งที่มีอยู่ไม่ใช่ว่างจากสิ่งไม่มี ว่างจากสิ่งไม่มีมันจะมีประโยชน์อะไร ว่างจากตาไม่ได้เห็นรูป หูไม่ได้ยินเสียง จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่ได้รส กายไม่ได้สัมผัส  ว่างจากความรู้สึกนึกคิดมันจะมีประโยชน์อะไร

 

ให้รู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้พากันว่างจากตัวตน ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ อันนั้นเป็นการที่เราไปจัดการภายนอก มันเป็นความว่างของภายนอก

 

เราต้องรู้เข้าใจ เราต้องว่างด้วยความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง เพื่อเป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา เราทั้งหลายจะได้เข้าสู่กรอบ เข้าสู่ข้อวัตรกิจวัตรพระธรรมพระวินัยแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์เราจะได้ศักดิ์สิทธิ์รู้แจ้งเห็นจริงในปัจจุบัน ใจของเราจะได้สงบอยู่กับปัญญา

 

เราดูแล้วเหตุการณ์ที่ผ่านมาเราเอาอัตตาตัวตนเป็นที่ตั้งมันถึงเป็นตัวเป็นตนถึงเป็นการเวียนว่ายตายเกิด การเช็คชื่อเช็คเวลาก็เพื่อที่จะมองเห็นปฏิปทาใครเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ใครไม่เอาตัวตนเป็นที่ ใครเอาพระธรรมพระวินัยเป็นที่ตั้ง อันนี้เป็นเครื่องวัด

 

สถิติที่ผ่านมาคนที่ขาดทำวัตรเช้าทำวัตรเย็น คนที่ทำผิดส่วนใหญ่ก็จะเป็นแต่คนเก่า พระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตรนี้ถึงจะเปลี่ยนแปลง เพราะเราต้องเข้าสู่หลักการ เอาสู่กรรม เข้าสู่กฎแห่งกรรม เพื่อจะได้เปลี่ยนแปลง เพราะการดำรงชีพดำรงธาตุดำรงขันธ์ดำรงอายตนะของเรา

 

เรานี้มันไม่ได้ใช้ทรัพยากรของตัวเอง มันใช้ทรัพยากรจากคนอื่น จากงบประมาณของแผ่นดินจากทานของประชาชน เราจะได้กลั่นกรองคัดกรอง ถ้าใครทำไม่ได้ปฏิบัติไม่ได้ก็ให้พากันลาสิกขาไปเสีย เราอย่าพากันมาบวชเพื่อเลี้ยงชีพ เพราะอยู่ทางบ้านมีปมด้อย ไม่มีความสามารถในการหาอยู่หากินหาเลี้ยงชีพ ไม่มีความสามารถที่จะมีเงินไปหาแพทย์หาหมอไปโรงพยาบาล อย่ามาบวชเพื่อหาหมอรักษาตัวรักษาตน เพราะทางบ้านไม่มีเงินไม่มีสตางค์ เรื่องเจ็บไข้ไม่สบายเรื่องไม่มีเงินไม่มีสตางค์ใครเค้าไม่ว่าอะไรหรอก ขอเพียงอย่ามาเอาพระศาสนามาหาอยู่หากิน หรือว่าเอาพระศาสนาไปหาหมอไปโรงพยาบาล

 

เราต้องเปลี่ยนทัศนคติใหม่ตั้งใจตั้งเจตนา เพื่อไม่ให้มีตัวมีตน ให้มีแต่ความสงบมีปัญญา เราต้องเสียสละตัวเสียสละตน ถ้ามีตัวมีตนแล้วมันจะไม่สงบ มันจะไม่มีปัญญา มันจะไม่มีสติปัฏฐานทั้ง ๔ ที่เป็นความสงบเป็นปัญญา

 

ต้องไม่มาเป็นนักบวชที่หลอกลวง เป็นนักบวชที่ต้มตุ๋น ด้วยไม่ตั้งใจตั้งเจตนา เราเจริญสติสัมปชัญญะเข้าถึงบริสุทธิคุณ ความคิดอย่างนี้มันจะค่อยดีขึ้น มันจะเปลี่ยนฐานชีวิตขึ้น การมาทำวัตรสวดมนต์หรือไปทำวัตรสวดมนต์มันจะดีขึ้น มันจะไม่มีข้อแม้ใด ๆ ให้รู้เข้าใจ

 

ถ้าเราไม่ตั้งอกตั้งใจ ไม่ตั้งเจตนามันจะเปลี่ยนแปลงตัวเองไม่ได้ มันยิ่งทวีคูณ คนพวกนี้ชนิดนี้แหละถือว่างานหนัก เพราะตัวตนมันคืองานหนัก ตัวตนมันคือทำไม่ได้ปฏิบัติไม่ได้

 

เราอย่าหนีวัตรกิจวัตร การหนีข้อวัตรกิจวัตรมันเป็นความมายาสาไถยหลีกเลี่ยงแก้ตัว มันมีข้อแม้ต่าง ๆ พระธรรมพระวินัยมันเป็นความพอดีเป็นความพอเพียงเพียงพอ

 

พระที่หลวงพ่อให้มีโทรศัพท์มือถือ ผู้ที่ทำการสงฆ์ทำการส่วนรวม นอกจากนั้นจะไม่ให้ใครมีโทรศัพท์มือถือ ใครบ้างล่ะ จะไม่ได้บอกในที่นี้ เพราะพูดไปแล้วดังทั้งประเทศทั้งต่างประเทศว่าใครบ้าง หลวงพ่อจะมีลายเซ็นต์เป็นลายลักษณ์อักษร ถ้าใครไม่มีลายเซ็นต์เป็นลายลักษณ์อักษรแสดงถึงบุคคลนั้นไม่ได้รับการแต่งตั้ง ให้เข้าใจตามนี้

 

ข้อวัตรกิจวัตรพระธรรมพระวินัย สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงทุก ๆ คนได้หมด ให้รู้เข้าใจ พระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตรมีแต่คุณมีแต่ประโยชน์

 

เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้แล้วเป็นพระพุทธเจ้า ท่านจะพูดแต่เรื่องความสงบแต่ปัญญาเรื่องสติปัฏฐานทั้ง ๔ เรื่องอริยสัจสี่เป็นเวลา ๒๐ ปี ๒๐ พรรษา ถือว่าเป็นหลักการเป็นอุดมการณ์อุดมธรรม ท่านจึงได้ทรงบัญญัติพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ให้เป็นอาหารที่สำเร็จรูปแล้ว ให้บุคคลนั้นบริโภคใช้สอย

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนที่ท่านจะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานท่านก็ประชุมสงฆ์สาวกว่า สิกขาบทไหนต้องการที่จะยกเลิก สิกขาบทไหนจะตัดออกก็ให้บอกกราบเรียน มีความเห็นพร้อมเพรียงกันว่าพระธรรมพระวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ดีแล้ว ไม่ต้องตัด พระเจ้าค่ะ

 

หลังจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานได้สังคายนาว่าสิกขาบทไหนบ้าง เห็นว่าไม่จำเป็น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็ให้ตัดออก จะได้ไม่ต้องปฏิบัติ พระอรหันต์ทั้งหมดก็เห็นสมควรว่า ไม่ต้องตัดไม่ต้องเพิ่ม หลักการประพฤติปฏิบัติธรรม

 

เราใช้สติกับความสงบเป็นพื้นฐาน ให้เป็นอริยมรรคมีองค์แปด ทำอะไรก็มีสติมีสัมปชัญญะในเรื่องนั้นให้สมบูรณ์ เพื่อเป็นทั้งความสงบเป็นทั้งปัญญาให้สมบูรณ์ ถ้าไม่ได้ทำอะไรก็ให้ใช้หลักอานาปานสติเป็นหลักคือใช้ลมหายใจเป็นหลัก พระพุทธเจ้าก็อยู่ด้วยอานาปาสติ คือลมหายใจเข้าหายใจออก อานาปานสตินี้เราต้องเอามาใช้ทุก ๆ อิริยาบถ อยู่กับสติอยู่กับลมหายใจเข้า ให้มีความสุขกับการหายใจเข้า ให้มีความสุขกับการหายใจออก เพราะเรามีตาหูจมูกลิ้นกายใจ

 

เราต้องมีหลัก ถ้าเราไม่มีหลักมันก็จะไปตามตาหูจมูกลิ้นกายใจ อานาปานสติถึงเป็นหลักที่จะเป็นเครื่องอยู่ เราทั้งหลายถึงจะไม่ได้ไปตามผัสสะ ไม่ได้ไปตามสิ่งแวดล้อม

 

หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เป็นสงฆ์สาวกอรหันต์ขีณาสพรูปหนึ่งของเมืองไทย ท่านก็ใช้หลักการอานาปานสตินี้แหละ แต่ท่านมาเพิ่มเข้าไปอีก หายใจเข้าก็ท่องพุทธ หายใจออกท่องโธ ระลึกถึงพุทธคุณ พุทธคุณคือบริสุทธิคุณทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งอาชีพมันบริสุทธิ มันไม่มีตัวมีตนมันบริสุทธิ มันคือความสงบคือปัญญา เพื่อให้ระลึกเป็นพุทธานุสสติ

 

อานาปานสตินี้เราต้องเอามาใช้เอามาปฏิบัติทุก ๆ อิริยาบถนะ ให้เรารู้เข้าใจ ไม่ใช่เราใช้เฉพาะนั่งสมาธิอย่างเดียวนะ เพื่อเป็นหลักการ เป็นอุดมการณ์อุดมธรรม การพิจารณาร่างกายนี้ให้ถือว่าเป็นหลักสำคัญนะ เราอย่าพากันนั่งหลับนั่งคอตกนั่งสัปหงก เรามาสาธยายร่างกาย มาแยกชิ้นส่วนของร่างกาย ดีกว่านั่งสัปหงกโงกง่วง เคารพอ่อนน้อมต่อความหลง เพื่อเราจะได้หยุดนิมิต หยุดตัวหยุดตน เราถือเอานิมิตเอาตัวเอาตน

 

เราทั้งหลายต้องผ่านนิมิต ผ่านตัวผ่านตน เราจะผ่านได้ก็ต้องพิจารณา ว่าทุกสิ่งทุกอย่างน่ะมันเป็นเหตุเป็นปัจจัย มันใช่ตัวใช่ตนที่ไหนล่ะ เราต้องอาศัยการภาวนาบ่อย ๆ ปฏิบัติบ่อย ๆ เพื่อให้ติดต่อต่อเนื่อง เราอย่าเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เพราะตัวตนคือระบบคนบ้าหรือว่าคนผีบ้า มันเชื้อบ้านะ ตัวตนนั้นแหละไม่สะอาดสว่างสงบนะ ตัวตนนั้นแหละมันคือความสกปรก

 

เราที่มาเจริญอานาปานสติมันจะเกิดความสงบเกิดสัมปชัญญะ ถ้าเราอยากให้ใจเรามีปัญญาเราก็ภาวนากำกับว่า หายใจเข้ามันก็ไม่แน่ไม่เที่ยง มันเข้าแล้วมันก็ออก ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน คนนั้นก็แก่ คนนั้นก็เจ็บ คนนั้นก็ตาย คนนั้นก็พลัดพรากไม่แน่ไม่นอน เราต้องพากันภาวนา พากันประพฤติปฏิบัติ ให้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ ถึงเราบวชชั่วคราวเราก็ต้องเป็นพระธรรมพระวินัยเป็นความสงบเป็นปัญญา

 

พูดถึงเรื่องความเข้าใจน่ะ มันไม่มีชั่วคราวและถาวรนะ ให้เข้าใจอย่างนี้ มันเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายจะได้หยุดตัวหยุดตน หยุดความหลงของตัวเองว่ามันเก่ามันใหม่ เรามาบวชเราจะได้ประพฤติปฏิบัติเต็มเม็ดเต็มหน่วย เวลาเราลาสิกขาไป อันนี้เป็นเรื่องภายนอก ให้รู้เข้าใจ เราไปใส่สูทผูกเนคไทร์ มันเป็นเรื่องภายนอกมันเป็นเพียงสมมติ

 

เราต้องรู้เข้าใจ ความเป็นพระนั้นอยู่ที่เรารู้เข้าใจ เอาความถูกต้องนำชีวิตเอาความสงบนำชีวิตไม่ได้เอาความฟุ้งซ่านนำชีวิตไม่ได้เอาตัวตนนำชีวิตเราลาสิกขาไปความรู้ความเข้าใจว่าคิดอย่างนี้มันไม่มีทุกข์ คิดอย่างนี้มันจะไม่มีปัญหาไม่สร้างปัญหา ความรู้ความเข้าใจอย่างนี้เราต้องเอาไปประพฤติปฏิบัติอยู่ทุกหนทุกแห่งด้วยความรู้ความเข้าใจ เราจะได้มีพื้นมีฐาน ให้ผู้บวชชั่วคราวเข้าใจอย่างนี้ อย่าไปเข้าใจเหมือนแต่ก่อนว่ามาบวชชั่วคราว ให้มันถึงเข้าถึงธรรมถึงปัจจุบันไปเรื่อย อย่ามีคำว่าชั่วคราวถาวร อย่าให้ความปรุงแต่งนั้นปรุงแต่งเรา อย่าไปแอบแฝงด้วยนิติบุคคลตัวตน ต้องเข้าถึงความสงบเข้าถึงปัญญา อย่าให้สิ่งที่เป็นตัวเป็นตนปรุงแต่งเราได้

 

พากันมีปิติมีความสุขในการประพฤติปฏิบัติทั้งพระเก่าพระใหม่ โยมเก่าโยมใหม่ เราต้องสงบด้วยความรู้ความเข้าใจด้วยการประพฤติการปฏิบัติ เราต้องเคารพอย่าเป็นคนแข็งกระด้าง ตัวตนคือแข็งกระด้าง ตัวตนมันมีต่อหน้าและลับหลัง

 

เรื่องเจ็บเรื่องป่วยนี้ให้พวกเราทำใจให้สบาย ใจมีความสุข ให้ถือหลักของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต นักบวชถาม ญาติโยมประชาชนถามว่า พ่อแม่ครูบาอาจารย์เป็นอะไร ท่านบอกว่า ท่านไม่ได้เป็นอะไร ไม่ได้ไม่เสียอะไร สิ่งที่มันเป็นไม่ใช่ท่าน มันเป็นธาตุเป็นขันธ์เป็นอายตนะต่างหาก เราคิดอย่างนี้แหละดีนะ พวกเจ็บไข้ไม่สบายพวกธาตุพวกขันธ์พวกเวทนาจะไม่ได้มาครอบงำเราที่เป็นตัวเป็นตน เราจะได้พากันมีจิตใจที่สบายจิตใจที่มีความสุข

 

เราต้องพากันออกกำลังกายให้เพียงพอนะ วัดเรามันถือว่ายังอยู่ใกล้ ไปบิณฑบาตไปกลับนี้ก็สองกิโลกว่า ๆ นี้ถือว่ายังออกกำลังกายยังไม่เพียงพอ เราต้องออกกำลังกายให้มากกว่านี้ การออกกำลังกายนี้ทำให้ร่างกายแข็งแรง การปัดกวาดเช็ดถู การเดินกลับไปกลับมา เพราะถ้าเดินไปเลยมันก็หลายกิโล เค้าก็มีจำกัด เดินไปแล้วกลับมาอย่างนี้ เดินให้มีความสุขเดินให้มีสติให้ร่างกายแข็งแรง คนเราไม่ออกกำลังกายไม่ทำโยคะมันก็ไม่แข็งแรง ร่างกายก็เสื่อม

 

ให้ทุกคนตั้งใจออกกำลังกายนะ ตรงกุฏิของเราที่มันว่าง ๆ ใส่รองเท้าแล้วก็เดินกลับไปกลับมาเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง ฤาษีชีไพรที่อยู่ในป่าในเขาประเทศอินเดียเนปาล เค้าพากันทำโยคะออกกำลังกายกัน คนประเทศจีนเค้าก็ทำโยคะ ทำไทเก๊ก จีนเก๊ก ถ้าประเทศจีนเค้าเรียกว่าจีนเก๊ก ประเทศไทยเค้าเรียกว่าไทเก๊ก นั้นคือการออกกำลังกายมันทำให้มีสติสัมปชัญญะ

 

อย่างคนป่วยคนอัมพาตอาศัยคนอื่นอาศัยพี่เลี้ยงมายกแขนยกขายกตัว อันนั้นมันเป็นคนอื่น คนอื่นมันไม่ได้มาจากใจมาจากสมองของเรา

 

เราทั้งหลายต้องตั้งใจตั้งเจตนาออกกำลังกายนะ ทุกคนต้องออกกำลังกาย จะได้บริหารกาย เวลาออกกำลังกายก็ให้มีสติสัมปชัญญะ อย่าให้ฟุ้งซ่าน

 

ที่ประเทศพม่าเค้าใช้หลักการเข้ากรรมฐาน เจริญสติปัฏฐาน ๔ เค้าอยู่ในห้องพักแคบ ๆ เค้าก็ทำโยคะ ออกกำลังกายอยู่ในห้องนั่นแหละ ถ้าไม่อย่างนั้นหลายเดือนสุขภาพร่างกายมันจะเสื่อมโทรม ต้องทำโยคะ การออกกำลังกายต้องเจริญสติสัมปชัญญะนะ ถ้าเรามีสติเมื่อไหร่มันก็สงบ เพราะสติคือความสงบ ถ้าเราพิจารณาให้รู้แจ้งเห็นจริงเมื่อไหร่เราก็เกิดปัญญา ความสงบกับปัญญาเราถึงเอามาใช้มาปฏิบัติให้รู้เข้าใจอย่างนี้

 

เรามาบวช เรามีเรื่องเก่า ๆ อารมณ์เก่า ๆ เรื่องพ่อเรื่องแม่ เรื่องเพื่อนเรื่องแฟน เรื่องอะไรต่าง ๆ เมื่อเรามาบวชเราต้องหยุดหมดเราต้องยกเลิกหมด ถ้าเราไม่มีความสงบไม่มีสติสัมปชัญญะมันก็หยุดไม่ได้ ยกเลิกไม่ได้ การเจริญสติปัฏฐานมันถึงมีคุณมีประโยชน์ มันจะหยุดมันจะยกเลิก

 

ให้พวกเราเอาหลักการอุดมการณ์ของพระพุทธเจ้าพากันมาใช้มาปฏิบัติ เพราะโอกาสของเรามาถึงแล้วให้พากันตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติเน้นมาที่ตัวเรา พากันมามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เราจะได้ไม่เสียเวลา ไม่เสียทรัพยากรที่ประเสริฐที่เราเกิดมา

 

ให้เราพากันมาถือนิสัยถือพระวินัย ในสิ่งที่ควรทำกิจที่ควรทำ ยกเลิกสิ่งที่ไม่ควรทำ เรียกว่านิสัยก็ ๔ อกรณียกิจก็ ๔ ด้วยความรู้ความเข้าใจ นี้เป็นโชคดีของเราทุก ๆ คนนะ ให้เราเข้าใจ ให้พวกเราระลึกถึงว่าการมาบวชมาปฏิบัติของเรานี้เป็นเรื่องปัจจุบัน เพราะอนาคตไม่ใช่การประพฤติไม่ใช่การปฏิบัติ อยู่ที่ปัจจุบัน ความสงบคือปัญญา

 

ได้พูดให้รู้เข้าใจเรื่องกิจที่ควรทำและสิ่งที่ไม่ควรทำพอรู้พอเข้าใจโดยสังเขป พรุ่งนี้จะได้กล่าวจะได้พูดเรื่องต้นเหตุของการประพฤติการปฏิบัติพรหมจรรย์ สิ่งไหนไม่ใช่พรหมจรรย์ เพราะจะพูดทั้งพระธรรมพระวินัยไปพร้อม ๆ กัน เพื่อพุทธบริษัทจะได้รู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ วันนี้จบไว้เพียงเท่านี้ก่อน

 

-------------------------------

 

โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม

เมตตาให้ไว้ใจเช้าวันที่ ๒๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

 

รายการล่าสุดที่คุณดู
Visitors: 98,212