๒๒ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

วันนี้เป็นวันอังคารที่ ๒๒ เดือนกรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ ศาสนาพุทธ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ศาสนาคริสต์ ฮิจเลาะห์ศักราช ๑๔๔๖ ศาสนาอิสลาม

 

พรหมจรรย์มีอยู่หลายระดับ อยู่ในระดับผู้ครองเรือนที่เป็นฆราวาส ฆราวาสก็ได้แก่ผู้ที่ไม่ได้ออกบรรพชาอุปสมบท นับเอาตั้งแต่พระราชามหากษัตริย์ ข้าราชการนักการเมือง นี้อยู่ในระดับผู้ครองเรือน ครองบ้าน ครองเมือง อยู่ในระดับเบื้องต้นในการรักษาศีล ๕ นี้เป็นพรหมจรรย์ของผู้ครองเรือน ครองบ้านครองเมือง

 

ศีลอุโบสถ ผู้ที่เป็นฆราวาสครองบ้านครองเมือง ปกติรักษาศีล ๕ การประพฤติการปฏิบัติเอาพรหมจรรย์นำชีวิต ประพฤติปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์แปด เอาการทำธุรกิจหน้าที่การงานกับเรื่องใจไปพร้อม ๆ กัน พัฒนาทั้งวัตถุพัฒนาใจไปพร้อม ๆ กัน เช่น วันจันทร์อังคารพุธพฤหัสศุกร์เป็นวันทำธุรกิจหน้าที่การงานพร้อมกับการประพฤติการปฏิบัตเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่แยกธุรกิจหน้าที่การงาน ไม่แยกเรื่องจิตเรื่องใจ ปฏิบัติพร้อม ๆ กัน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพื่อไม่ให้เสียธุรกิจหน้าที่การงาน ไม่ให้เสียเรื่องจิตเรื่องใจ

 

วันเสาร์วันอาทิตย์ เป็นวันอุโบสถ เป็นวันที่ยกเลิกธุรกิจหน้าที่การงานทางวัตถุ ไปเน้นเรื่องจิตเรื่องใจ รักษาศีลอุโบสถ รักษาศีล ๘ ผู้ที่ถือศาสนาพุทธก็ไปที่วัด ถือศาสนาคริสต์ก็ไปที่โบสถ์ ถือศาสนาอิสลามก็ไปที่มัสยิด ผู้ที่ถือศาสนาพราหมณ์ฮินดูซิกส์ก็ไปที่วิหารสถานที่ทางพระศาสนา พากันไปประพฤติไปปฏิบัติธรรม นี้เป็นหลักการมาตั้งแต่โบร่ำโบราณหลายร้อยหลายพันหลายหมื่นปีมาแล้ว สมัยโบราณก็เอาวัน ๗ ค่ำ ๘ ค่ำ เป็นวันพระน้อย วัน ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ เป็นวันพระใหญ่ ปัจจุบันนี้แหละทางสากลทุก ๆ ประเทศนี้เอาวันเสาร์วันอาทิตย์เป็นวันหยุด เพื่อพัฒนาเรื่องจิตเรื่องใจ เพื่อเป็นหลักการของหมู่มวลมนุษย์

 

หมู่มวลมนุษย์ต้องเอาทางวัตถุกับทางใจไปพร้อม ๆ กันเพื่อเป็นทางสายกลาง ผู้ที่บวชเป็นชีได้สมาทานถือศีลอุโบสถทุกวัน สามเณร สามเณรี ผู้ที่ยังเด็กอยู่ยังไม่ครบ ๒๐ ปี ยังบวชเป็นพระไม่ได้ ผู้ที่จะบวชเป็นพระได้อายุต้องครบ ๒๐ ปี นับเอาตั้งแต่มาปฏิสนธิในครรภ์มารดา ถ้าจะให้ดีที่สุดก็นับเอาตั้งแต่วันที่คลอดออกมาจากครรภ์ของมารดาเพื่อความสบายใจ

 

ศีลของผู้ที่บวชเป็นพระในพุทธศาสนา คิดเป็นปิฎกของพระไตรปิฎกจะมีอยู่ ๓ ปิฎก ในพระไตรปิฎกว่ามี ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ แบ่งเป็นวินัยปิฎก ๒๑,๐๐๐ สุตตันตปิฎก ๒๑,๐๐๐ และอภิธรรมปิฎก ๔๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ การที่ระบุว่าพระไตรปิฎกมี ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์นั้น แท้จริงแล้วเป็นเพียงคำเปรียบเปรยว่า พระไตรปิฎกมีหมวดธรรมจำนวนมากเท่านั้น มิใช่เป็นระบุจำนวนนับที่แท้จริง ถ้านับอย่างพิศดารมีทั้งหมด ๙๑,๘๐๕,๐๑๖,๐๐๐ (เก้าหมื่นหนึ่งพันแปดร้อยห้าล้านหนึ่งหมื่นหกพันสิกขาบท)

 

เราทุกคนเรียกว่าทุกคนก็แล้วกัน เพราะยังเป็นเสขบุคคล เป็นบุคคลที่ยังไม่มีสติสัมปชัญญะที่สมบูรณ์ คือเป็นบุคคลที่ยังประพฤติยังปฏิบัติอยู่ ปฏิบัติเพื่อให้เป็นพระธรรมเป็นพระวินัย เป็นบริสุทธิคุณทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพและใจ เป็นพรหมจรรย์ พระธรรมพระวินัยที่เป็นหลักใหญ่ ที่เป็นต้นของพรหมจรรย์มีทั้งหมดอยู่ ๔ อย่าง ๔ อย่างมีอะไรบ้าง

 

อย่างแรกก็ได้ การมีเพศสัมพันธ์กับมนุษย์ จะเป็นมนุษย์ผู้หญิงผู้ชาย มนุษย์ที่ตายแล้วแต่ยังมีรูปร่าง ไม่เน่าเปื่อยสิ้นสลาย 

 

ไม่มีเพศสัมพันธ์กับอมนุษย์ อมนุษย์หมายถึง ไม่ใช่มนุษย์เป็นอมนุษย์ แต่มีลักษณะกายทิพย์เหมือนกับมนุษย์ มีสภาพเป็นกายทิพย์ โดยทั่วไปแล้วจะหมายถึง พวกเทพเทวาอยู่ในภพภูมิต่าง ๆ ไม่ใช่ภูมิเดียวกับมนุษย์ เป็นภพภูมิหนึ่ง แต่ไม่ใช่ภพภูมิเดียวกันกับมนุษย์ มีกายทิพย์ เป็นสิ่งมีชีวิตสามารถเนรมิตเป็นกายทิพย์ได้ในโลกทิพย์ต่าง ๆ เช่น เทพเทวา เทวดาในภพภูมิต่าง ๆ เทพอักษรอยู่ในป่าหิมพานต์ที่ปรากฏการณ์เป็นวรรณคดี

 

มีเพศสัมพันธ์กับสัตว์เดรัจฉาน สัตว์เดรัจฉานต่าง ๆ ทุก ๆ ชนิดของสัตว์เดรัจฉาน มนุษย์ที่ตายใหม่ ๆ ร่างกายยังดี ยังไม่เน่าเปื่อยสิ้นสลาย เราจะไปมีเพศสัมพันธ์ไม่ได้ แม้แต่มีเพศสัมพันธ์กับตัวเองก็ยังไม่ได้ เพศสัมพันธ์กับตัวเองอย่างไรล่ะ เพศสัมพันธ์กับตัวเองเช่น บุคคลที่หลังอ่อนหลังโค้งสามารถก้มมาอมองค์กำเนิดของตัวเอง อย่างนี้ก็ไม่ได้ จะพูดข้อแรกพอสังเขปก่อน เดี๋ยวเอาข้อที่สองเดี๋ยวจะวกกลับพูดข้อแรกให้ละเอียด ให้เข้าใจยิ่ง ๆ ขึ้นไป

 

พรหมจรรย์ข้อที่สองเกี่ยวกับความโลภ ความโลภนี้เป็นสาเหตุให้เกิดปัญหา ให้มาสร้างปัญหา เป็นการหาเรื่องหาราวให้กับตัวเอง เป็นการหาเรื่องหาราวให้กับคนอื่น ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่อดีต มันเกิดขึ้นในปัจจุบันหรือในอนาคตมันมาจากความโลภ ความโลภมีแต่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ แล้วก็ทุกข์ดับไป ไม่มีอะไรนอกจากความทุกข์

 

เราประพฤติพรหมจรรย์ เราต้องรู้ต้นตอรู้รากเหง้า เราถึงจะหยุดปัญหาแก้ปัญหา มนุษย์เราต้องรู้ต้องเข้าใจในเรื่องกรรมเรื่องกฎแห่งกรรมและผลของกรรม เราต้องรู้เรื่องกรรมเรื่องกฎแห่งกรรมเรื่องผลของกรรม อริยสัจสี่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค

 

พระพุทธเจ้าท่านจะบอกสอนให้เราเข้าใจ สาเหตุอยู่ที่เราไม่รู้ไม่เข้าใจ ความไม่รู้ไม่เข้าใจทำให้มีปัญหา สร้างปัญหา เรานึกว่าจะไปแก้ปัญหา กลับไปสร้างปัญหา มันเป็นการคิดที่จะเอาตัวรอด ความไม่รู้ไม่เข้าใจ มันเลยเป็นทางไม่รอด

 

มนุษย์เราต้องรู้อริยสัจสี่ รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ปฏิบัติถึงความดับทุกข์ มามีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อมาหยุดความทุกข์ของตัวเอง มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้เข้าถึงความสงบ เข้าพอเพียงเพียงพอ มนุษย์เราต้องรู้เข้าใจ จะไม่ได้หาเรื่องหาราวให้กับตัวเองให้เป็นทุกข์ จะไม่ได้หาเรื่องหาราวให้คนอื่นเป็นทุกข์

 

มนุษย์เราต้องรู้เข้าใจ ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจแล้วมันจะไม่สงบ มันจะปรุงแต่ง ตัวตนตัวความหลงความโลภความปรุงแต่งมันเป็นสิ่งเดียวกัน คือเป็นความไม่สงบเป็นความไม่เพียงพอ ความไม่พอเพียง ความไม่เข้าใจในเรื่องทุกข์ เรื่องเหตุเกิดทุกข์ ไม่เข้าใจเรื่องเข้าถึงความดับทุกข์มันถึงเป็นรากเหง้าของหมวดหมู่พรหมจรรย์ในข้อที่สองนี้

 

ข้อที่สามเป็นเรื่องของการความโกรธความขัดเคือง เป็นการพรากชีวิตของมนุษย์ เริ่มต้นตั้งแต่มนุษย์ที่มาตั้งปฏิสนธิในครรภ์มารดา การที่มาปฏิสนธิในครรภ์มารดาหลังจากขั้วบวกขั้วลบได้สปาร์คกัน เหมือนกระแสไฟฟ้าขั้วบวกขั้วลบ ระหว่างเพศตรงกันข้ามน่ะ ที่มีเพศสัมพันธ์

 

กำเนิดชีวิตมนุษย์ที่มาเกิดในครรภ์ทางพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าตรัสว่า...
ชีวิตมนุษย์จะเกิดขึ้นได้ต้องมีองค์ประกอบครบ ๓ อย่าง คือ


๑. มาตา อุตุนี โหติ หมายถึง มารดามีระดู (ตกไข่)


๒. มาตาปีตโร สนฺนิปติตา โหนฺติ หมายถึง มารดาบิดาอยู่ร่วมกัน มีเพศสัมพันธ์ระหว่างชายกับหญิง จะได้ด้วยสมัครใจหรือข่มขืน


๓. คนฺธพฺโพ ปจฺจุปฎฺฐิโต โหติ หมายถึง มีสัตว์มาเกิด (มีจุติวิญญาณ เคลื่อนมาเกิดปฏิสนธิ)


การกำเนิดชีวิตมนุษย์ในครรภ์ซึ่งเจริญเติบโตขึ้นโดยลำดับ คือ


รูปร่างนี้เป็น "กลละ" ก่อน (๑ สัปดาห์ เริ่มแรกเป็นหยาดน้ำใสขนาดเล็กละเอียด)


จากกลละเกิดเป็น "อัพพุทะ" (๒ สัปดาห์ เกิดผุดขึ้นเป็นฟอง มีสีเป็นดังน้ำล้างเนื้อ)


จากอัพพุทะเกิดเป็น "เปสิ" (๓ สัปดาห์ เกิดข้นแก่เข้าจนเป็นชิ้นเนื้อ สีดังตะกั่ว ,ดีบุก)


จากเปสิเกิดเป็น "ฆนะ" (๔ สัปดาห์ เกิดแข็งขึ้นจนเป็นก้อนเนื้อกลม มีสันฐานเท่าไข่ไก่)


จากฆนะเกิดเป็น "๕ ปุ่ม" (๕ สัปดาห์ เกิดเป็นปุ่มทั้ง ๕ คือ ศรีษะ ๑ ปุ่ม แขน ๒ ปุ่ม ขา ๒ ปุ่ม) ต่อจากนั้น "มีผม ขน เล็บ" เกิดขึ้น (ต่อจากนั้น จึงเกิดขึ้นมาเป็นร่างกาย มีผม ขน เล็บ เป็นต้น) มารดาผู้ตั้งครรภ์บริโภคข้าวน้ำโภชนาหารอย่างใด ทารกในครรภ์ก็ยังอัตภาพให้เจริญเติบโตไปด้วยอาหารอย่างนั้น

 

การทำให้ชีวิตของมนุษย์ที่เกิดมาตกไปน่ะ นับเอาตั้งแต่อยู่ในครรภ์ของมารดา เราจะให้คนอื่นพรากชีวิต หรือเราพรากชีวิตก็คืออย่างเดียวกัน เป็นบาปพอ ๆ กัน หญิงที่ยังถือเพศพรหมจรรย์ ถึงห้ามไม่มีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงานถูกต้องตามกฎหมายตามประเพณี เพื่อป้องกันความผิดพลาด จะไม่ได้ผิดพลาด ถ้าเราประมาท อาจจะผิดพลาดได้ อาจจะตั้งท้องตั้งครรภ์ได้ แม้ถูกเค้าข่มขืนทำอนาจาร ภายใน ๗ วันต้องหาวิธีแก้ไขอย่างรีบด่วน อย่าไปประมาท เพื่อไม่ให้ตั้งท้องตั้งครรภ์ ภายใน ๗ วันต้องทำให้ถูกต้องตามหลักเหตุผลตามหลักวิทยาศาสตร์ ถ้าเกิน ๗ วัน เลยอาทิตย์หนึ่งไปแล้วยังแก้ปัญหาไม่ได้ ถ้าเราปล่อยให้ตั้งท้องตั้งครรภ์แล้วทำแท้งถือว่าเป็นฆ่ามนุษย์ ทำลายมนุษย์ เราจ้างวานให้เค้าฆ่า หรือเราฆ่าเองก็มีบาปพอ ๆ กันไม่แตกต่างกัน เพราะเป็นสาเหตุมาจากเรา มาจากเจตนาของเรา

 

พ่อแม่ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงที่เข้าโรงพยาบาล ที่เค้ายังมีชีวิตอยู่ แต่เราคิดในใจว่าเค้าต้องตายแน่นอน เราเอาสายออกซิเจนออกอย่างนี้ก็ถือว่าเป็นการฆ่า ที่เราจะเอาสายออกซิเจนออกต้องให้สมองไม่ทำงานหยุดทำงาน เราถึงจะเอาออกได้ ถ้าสมองเค้ายังทำงานนั้นหมายถึงเค้ายังมีชีวิตอยู่ ถ้าบุคคลนั้นเค้าเป็นพ่อเป็นแม่เราจะเป็นบาปเป็นกรรมถึงขั้นอนันตริยกรรม ถ้าเราเห็นว่าเค้ากำลังช็อคไป เราก็พูดกับหมอว่าไม่ต้องปั๊มหัวใจ ปล่อยให้เค้าไปโดยธรรมชาติ เพื่อเค้าจะไม่ได้ทรมาน เพื่อเค้าจะละสังขารไปอย่างสงบ สบาย ไม่ต้องรบกวน

 

การบรรยายเรื่องทำลายมนุษย์พรากชีวิตของมนุษย์ เบื้องต้นเอาพอสังเขปเท่านี้ก่อนถึงย้อนมาบรรยายให้ชัดเจนอีกในทีหลัง

 

พรหมจรรย์ที่เป็นต้นพรหมจรรย์ ที่เป็นสิกขาบทหลักในข้อที่ ๔ ได้แก่ อวดคุณวิเศษที่ไม่มีในตัวอย่างนี้เรียกว่าอวดอุตริมนุษธรรม เพื่อหวังผลประโยชน์ตอบแทนด้วยลาภสักการะเสียงเยินยอ ได้มาซึ่งปัจจัย ๔ ที่เป็นผลประโยชน์ตอบแทน

 

พรหมจรรย์ ๔ ข้อเป็นสิกขาบทเป็นต้นตอของพรหมจรรย์ พระธรรมพระวินัยที่ย่อยออกมาแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์เนื่องมาจาก ๔ ข้อนี้เอง สิ่งเหล่าแหละ เป็นอกรณียกิจเป็นกิจที่ห้ามทำ ไม่ควรทำ เรามาพินิจพิจารณาให้เกิดปัญญา เพื่อเราที่เป็นผู้ประพฤติผู้ปฏิบัติจะได้แก้ที่ต้นเหตุ จะไม่ได้ไปแก้ที่ปลายเหตุ เพราะสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นมันเกิดจากต้นเหตุไม่ใช่ปลายเหตุ

 

พระธรรมพระวินัยเป็นสิ่งที่เราต้องรู้เข้าใจ ที่เราจะต้องเอามาใช้เอามาปฏิบัติ เพราะว่าพระธรรมพระวินัยเป็นอุปกรณ์ อุปกรณ์ที่เราจะต้องเอามาใช้เอามาปฏิบัติ เพราะทุกอย่างน่ะมันคือกรรมคือกฎแห่งกรรมคือผลของกรรม

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสบอกพวกเราทั้งหลายว่าอย่าพากันประมาท พระพุทธเจ้านั้นคือผู้ไม่ประมาท พระอรหันต์คือผู้ที่ไม่ประมาท ความประมาทคือไม่รู้ทุกข์ไม่รู้สาเหตุเกิดทุกข์ ไม่รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์

 

พระอานนท์รู้เข้าใจในหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม จึงได้กราบเรียนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อจะได้มีหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม พระอานนท์ได้กราบเรียนถวายพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า การประพฤติการปฏิบัติพรหมจรรย์นี้ที่เกี่ยวข้องกับผู้หญิงที่เกี่ยวข้องกับสตรีนี้จะให้ข้าพเจ้าประพฤติปฏิบัติอย่างไร

 

พระอานนท์ กราบทูลถามพระพุทธองค์ว่า

 

“ในพรหมจรรย์นี้ มีสตรีเข้ามาเกี่ยวข้องในหลากหลายบทบาท เป็นมารดา เป็นพี่น้อง เป็นญาติ เป็นผู้มีศรัทธาในพระรัตนตรัย พระภิกษุทั้งหลายควรปฏิบัติต่อสตรีเหล่านี้อย่างไรจึงจะเหมาะสม?”

 

องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกับพระอานนท์ว่า

 

“อานนท์ การที่ภิกษุจะ ไม่จ้องมองหรือให้ความสนใจแก่สตรีเพศเลย นั่นแหละ เป็นสิ่งที่ดี”

 

พระอานนท์ กราบทูลถามต่อว่า

 

“ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ จำเป็นต้องเห็น ต้องพบปะ จะวางตนอย่างไร พระเจ้าค่ะ?”

 

พระพุทธองค์ ตรัสว่า

“หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็ อย่าได้พูดคุยหรือสนทนาด้วย นั่นแหละเป็นการดี”

 

พระอานนท์ กราบทูลถามต่อว่า

“ถ้าจำเป็นต้องพูด ต้องสนทนาด้วยเล่า จะปฏิบัติตนอย่างไร พระเจ้าค่ะ?”

 

พระพุทธองค์ ตรัสตอบว่า

“อานนท์ หากจำเป็นต้องพูด ต้องสนทนาด้วย ก็พึงมี สติ ระลึกอยู่เสมอ สำรวมกาย วาจา ใจ ควบคุมอินทรีย์ และ กล่าวคำอย่างสำรวม อย่าให้ความกำหนัด ความยินดี หรือความหลงไหล ครอบงำจิตใจได้”

 

พระพุทธองค์ยังตรัสเตือนใจอีกว่า

“สิ่งงดงามวิจิตรที่ตาเห็นนั้น แท้จริงไม่ใช่กาม แต่ความกำหนัดที่เกิดจากความดำริ คือกามของคน

เมื่อละความพอใจเสียได้แล้ว สิ่งงดงามก็ยังคงอยู่อย่างนั้น แต่ไม่อาจทำให้จิตใจเป็นพิษได้อีกต่อไป…”

 

ผู้ที่บวชมาให้เอาคติธรรมที่ท่านพระอานนท์ได้ตรัสถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้ถือเอาอย่างที่พระอานนท์ถามแล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสหลักการเพื่อให้เป็นอุดมการณ์อุดมธรรม เรื่องสตรีเรื่องนารีสีกานี้เป็นเรื่องใหญ่ การเวียนว่ายตายเกิดนี้ มันมีขั้วบวกขั้วลบ เราต้องรู้ขั้วบวกขั้วลบ อย่าให้ขั้วบวกลบมันสปาร์คกัน อย่าให้ขั้วบวกขั้วลบมันทำงาน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงไม่ให้เราตรึกในเรื่องผู้หญิงที่เป็นเรื่องของกาม ถ้าเราไปตรึกในเรื่องผู้หญิงไปตรึกในกาม การบวชของเรามันก็จะบวชแต่กาย ใจมันไม่ได้บวช

 

เบื้องต้นต้องเอาเรื่องกายก่อน เรื่องวาจากิริยามารยาทอาชีพ ต้องเอาศีลเอาสมาธิก่อน ใจมันไม่สงบก็ให้กายมันสงบก่อน ใจไม่สงบก็ให้วาจากิริยามารยาทอาชีพของเราให้มันสงบก่อน พระวินัยเกี่ยวกับสตรีเกี่ยวกับผู้หญิงนี้สำคัญ เพราะเรายังเป็นเสขบุคคล เป็นบุคคลที่ยังต้องประพฤติปฏิบัติ เรายังมีขั้วบวกขั้วลบกับเพศตรงกันข้ามอยู่ ศีลสังวร พระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ อินทรีย์สังวร สังวรตาหูจมูกลิ้นกายใจ ปาริสุทธิสังวร สังวรในการเลี้ยงอาชีพ ศีลนี้คือความสงบ เราจะสงบได้ก็เพราะเอาธรรมนำชีวิต เอาพระธรรมพระวินัยนำชีวิตมันถึงจะสงบได้นะ

ให้เรารู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะไม่ได้พากันตั้งอยู่ในความประมาท พระพุทธเจ้าให้เราเห็นภัยในวัฏฏสงสาร มีความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป คำว่าพระนั้นน่ะคือผู้ที่มีปัญญาสัมมาทิฏฐิ เป็นผู้ที่เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เป็นผู้ละอายต่อบาป เกรงกลัวต่อบาป เน้นมาที่จิตที่ใจ รักษาใจเหมือนกับรักษาดวงตา ถ้าเราไม่มีตาแล้วเราก็ไปไหนไม่ได้ พระธรรมพระวินัยนี้เป็นสิ่งที่ขลังศักดิ์สิทธิ์ เป็นคุณเป็นประโยชน์ เป็นสิ่งที่ปกป้องภัยอันตรายทั้งหลายทั้งปวง พระธรรมพระวินัยถึงเป็นสิ่งที่ขลังศักดิ์สิทธิ์ พรหมจรรย์เป็นสิ่งที่ขลังศักดิ์สิทธิ์

 

เราจะเอาไฟฟ้ามาใช้งาน ไฟฟ้ามันมีสายลบและสายบวก สายไฟฟ้านั้นต้องมีฉนวนอย่างดี มาตรฐาน ไฟฟ้านั้นถึงจะไม่สปาร์คกัน ถึงจะไม่ทำงานน่ะ

 

เราเอาหลักการของท่านพระอานนท์ว่า พระพุทธเจ้าบอกพระอานนท์ว่า อานนท์ สิ่งที่เกี่ยวข้องกับสตรีน่ะให้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร ไม่เห็นนั่นแหละดี อานนท์ก็ทูลถามว่า เรามีตาก็ต้องเห็น ถ้าเห็นก็ต้องสำรวมระวัง เห็นภัยในวัฏฏสงสาร ถ้าเห็นแล้วก็อย่าไปพูด มันอยากพูดก็ไม่ต้องไปพูด จะพูดสองต่อสองหรือพูดหลายคนก็อย่าไปพูด ต้องพากันเจริญสติปัฏฐาน ๔ มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม เพื่อไม่ให้ไฟภายในออกไฟภายนอกเข้าน่ะ

 

พระพุทธเจ้าถึงให้อุบายในการภาวนา ก่อนผู้ที่จะครองผ้ากาสาวพัสตร์ ท่านได้บอกกรรมฐานก่อนน่ะ เพื่อให้เอาไปประพฤติไปปฏิบัติเพื่อเป็นการเป็นงานในการประพฤติการปฏิบัติ ท่านให้สาธยายกายให้แยกออกเป็นชิ้นเป็นส่วน อาการ ๓๒ ของร่างกาย ให้เอาผมออก เอาขนออก เอาหนังออก ถ้าเราเอาหนังออกเราก็จะไม่รู้ว่าใครเป็นผู้หญิงผู้ชาย ให้ภาวนาวันหนึ่งหลาย ๆ รอบ เอาความสงบกับปัญญาควบคู่กันไป เพื่อเราจะไม่มีนิมิตความมั่นหมายในเรื่องเป็นผู้หญิงเป็นผู้ชาย เพื่อเราจะไม่ได้มีนิมิต เราจะไม่มีความมั่นหมาย เราต้องพากันเอาหลักของพระอานนท์ทูลถามพระพุทธเจ้า ความประมาทคิดว่าไม่เป็นไร นี้จะทำให้ความเสียหายเกิดขึ้น

 

เราต้องปฏิบัติให้พระธรรมพระวินัยมันขลังมันศักดิ์สิทธิ์ เราต้องเอาธรรมเอาปัจจุบันธรรม เรารักษาธรรมรักษาพระวินัยเหมือนกับรักษาดวงตา เราต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสาร เหมือนเด็กน้อย ๆ สมัยโบราณ สมัยโบราณเมื่อยังไม่เจริญเราต้องใช้ไฟตะเกียง ไฟจากการก่อกองไฟ เด็กน้อยมันไม่รู้ไม่เข้าใจ ห้ามเท่าไหร่มันก็ไม่ฟัง คนผู้ปกครองต้องปล่อยให้มันจับซักครั้งหนึ่ง เมื่อจับแล้วเด็กน้อยมันจะร้องไห้ทันทีเลย เพราะมันเจ็บมันแสบมันร้อน

 

เราต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสาร เพื่อเป็นประโยชน์ต่อส่วนของเราเอง ประโยชน์ของมหาชน ได้ทั้งประโยชน์ส่วนตัวของมหาชน พระธรรมพระวินัยเกี่ยวกับเรื่องผู้หญิงเรื่องสตรีเราทุกคนต้องเคร่งครัด เราต้องเคร่งครัด เพราะอันนี้เป็นพระธรรมเป็นพระวินัย เราไม่ต้องไปเคร่งเครียด เราเคร่งครัด เพราะตัวตนน่ะมันอยากพูดอยากคุยกับผู้หญิงอยู่สองต่อสองกับผู้หญิง ถ้าไม่ได้พูดไม่ได้คุยไม่ได้เห็นมันเคร่งเครียด ตัวตนนี้มันร้ายนักนะ มันไม่เอาพระธรรมไม่เอาพระวินัย ตัวตนมันจะไม่ละอายต่อบาปไม่เกรงกลัวต่อบาป ใหม่ ๆ ก็กลัวน่ะ เมื่อทำครั้งหนึ่งก็มีครั้งสองครั้งสาม มันมีความแก่กล้ามากขึ้นทุกทีน่ะ

 

เราต้องพากันรู้ทั้งฝ่ายพระฝ่ายโยมนะ ว่าพระธรรมพระวินัยนี้เค้าจะไม่ให้พระอยู่สองต่อสองกับผู้หญิง หรือผู้หญิงเป็นหลายสิบคนนี้แต่ไม่มีพระอยู่ด้วยไม่มีโยมผู้ชายอยู่ด้วย พระนั้นก็ต้องเป็นพระที่มุ่งมรรคผลพระนิพพาน โยมก็ต้องเป็นผู้มุ่งมรรคผลนิพพาน ไม่ใช่พวกเดียวกัน พวกที่เป็นสามัญชนเหมือนกัน

 

ผู้ที่เป็นผู้หญิงเป็นญาติเป็นพี่เป็นน้องที่เป็นผู้หญิงน่ะ จะมาหาพระนี้ต้องรู้จักพระธรรมพระวินัย ว่าพระธรรมพระวินัย พระพุทธเจ้าไม่ให้ผู้หญิงมาเกี่ยวข้องกับพระ มาคลุกคลีกับพระ เพราะว่าพระไม่ใช่สามีของผู้หญิงคนใดนะ ผู้หญิงที่มาก็ให้เข้าใจว่าเราไม่ใช่เป็นภรรยาของพระ ไม่ใช่เป็นเมียของพระนะ

 

เราต้องสงบเราต้องเคารพในความถูกต้อง เพื่อประโยชน์ของตัวเอง ประโยชน์ของมหาชน พระนี้น่ะ ตามพระธรรมพระวินัยแล้วจะสงบเสงี่ยมเรียบร้อย พระรุ่นใหม่สมัยใหม่อยู่ในร่ม อยู่ในอาคาร ไม่ได้ทำเกษตรกรรมอุตสาหกรรมผิวพรรณผ่องใส มันจะเสียอย่างเดียวมันอ้วนเกินไป เพราะอยู่ดีกินดีพากันอ้วนลงพุง ไม่เหมือนพระสมัยเก่าสมัยโบราณ อยู่ตามป่าอยู่ตามเขาอยู่ตามโคนไม้ไม่สนใจเรื่องผิวพรรณวรรณะ เน้นแต่การเจริญสติสัมปชัญญะ เน้นแต่ความสงบปัญญาน่ะ มีแต่ความสงบมีแต่ปัญญา มองดูแล้วก็เย็นอกเย็นใจ มีประกายภายในสว่างไสว มีทั้งความสงบมีปัญญา ถึงจะตัวดำคล้ำเพราะลมแสงแดด แต่แววตานั้นผ่องใส ต่างกับพระสมัยปัจจุบัน ผิวพรรณผ่องใสแต่มองดูตาแล้วขุ่นมัว ฝ้าฟาง

 

พระนี้กิริยามารยาทดี พูดเพราะ เพราะมีคุณสมบัติของผู้ดี ไม่มีคุณสมบัติของผู้ชั่ว เป็นพระธรรมเป็นพระวินัย พูดจากิริยามารยาทพูดเพราะ ถึงมีสตรีทั้งหลายสาวเล็กสาวใหญ่สาวแก่แม่หม้ายติดกันตรึมเลย

 

อย่างพระมหายานนี้ เค้าไม่เคร่งครัดในพระวินัย ผู้หญิงทั้งหลายมาถวายเงินถวายสตางค์กันตรึมเลย เพราะอยากจะเข้าใกล้เพื่อสนทนา ดีหน่อยน่ะพระมหายานสมัยโบราณท่านสมาทานบวชไม่สึก ถ้าใครบวชแล้วต้องไม่สึก สมัยทุกวันนี้ก็ว่าสมาทานบวชไม่สึกก็พากันสึกเยอะอยู่เหมือนกัน

 

ผู้ที่มาบวชเณรบวชพระ เมืองไทยประเทศไทยถ้าบ้านนอกโบราณจะนั่งอยู่ห่าง ๆ พระอยู่ไกล ๆ โน้น ต้องให้ผู้ชายมาคั่นไว้ก่อน ให้ผู้หญิงให้สตรีไปนั่งอยู่ห่าง ๆ โน้น เพื่อขั้วบวกขั้วลบไว้ พวกพระบ้านนอกเณรบ้านอกพากันไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพมหานคร

 

กรุงเทพมหานครน่ะเป็นศูนย์รวมทุกสิ่งทุกอย่าง ศูนย์รวมทางราชการนักการเมืองการค้าการขาย ศูนย์รวมสั่งงานเรื่องเกษตรอุตสาหกรรมอยู่ที่โน่นน่ะ ที่อยู่ที่อาศัยของพระนี้ก็มีห้องเล็ก ๆ ห้องไม่ใหญ่ เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ผู้หญิงให้สตรีต้องมานั่งใกล้พระ มานั่งที่ในห้องพระ ใหม่ ๆ ก็มีพระมานั่งด้วย พระที่ไหนเขาจะมาคอยรักษาพระธรรมพระวินัยให้เรา เค้าก็ปล่อยให้อยู่สองต่อสอง อย่างนี้มันเสียหาย

 

เวลากลับไปบ้าน กลับไปชนบท ชาวบ้านเค้าเห็นตกใจเลย กลับไปบ้านมีผู้หญิงสาว ๆ สวย ๆ ติดตามเหมือนย่ามติดตัว ใหม่ ๆ ก็วิพากษ์วิจารณ์ทั้งบ้านตั้งหลายหมู่บ้าน นาน ๆ ไปก็เฉย ๆ การทำอะไรไม่ถูกต้องน่ะใหม่ ๆ ก็จะกระดาก แต่นานไปก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ทำผิดพระธรรมพระวินัยเป็นเรื่องธรรมดาไป

 

เราทั้งหลายที่เป็นทั้งคฤหัสถ์ทั้งนักบวชต้องรู้ความบกพร่องในเหตุการณ์ที่ผ่านมา เพราะกรรมเป็นสิ่งที่มีจริง เวรเป็นสิ่งที่มีจริง ภัยเป็นสิ่งที่มีจริง กรรมมันจะเช็คบิล เวรมันจะเช็คบิล ภัยมันจะเช็คบิล ขณะนี้เวลานี้กรรมมันกำลังจะเช็คบิลจากความประมาท ความผิดพลาด พากันมาทำความดีแต่ประมาท เลยทำความเสียหายทำลายความมั่นคงของชาติศาสน์กษัตริย์

 

ขณะนี้เวลานี้แหละมันหนักมาก น่าจะหนักมากกว่าสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชเสียอีก พระผู้ใหญ่ผู้ที่มีการเรียนการศึกษา ทิ้งพระธรรมทิ้งพระวินัย ทิ้งสิกขาบทน้อยใหญ่ ทิ้งข้อวัตรกิจวัตร เอาตัวเอาตนเอาความหลงนำชีวิต ความประมาทคิดว่าตัวเองเก่งตัวเองฉลาด ให้รู้เข้าใจไม่มีใครเหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรม

 

สำนักงานทางพระศาสนาได้ตั้งขึ้นเมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๕ เพื่อจะมาปกป้องทางพระศาสนา แต่กลับตรงกันข้าม พากันมาร่วมมือร่วมใจกันมาทำลายพระศาสนา พากันมาจัดสรรงบประมาณเพื่อตัวเพื่อตน ร่วมกับพระผู้ใหญ่ปกครองเป็นเงินทอดวัด พากันเป็นสีดำสีเทาสีสกปรกเต็มไปหมด สมัยพระเจ้าอโศกมหาราชหลังพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน พ.ศ.๒๗๐ - พ.ศ.๓๑๑

 

ครั้งหนึ่งในอดีต “พระเจ้าอโศกมหาราช” ทรงร่วมปฏิรูปพระศาสนา จับสึกพระอลัชชีผู้ตกอยู่ใต้อำนาจกิเลส สั่งสมของมัวเมาในลาภสักการะ เหลวไหลในเกียรติ เห่อเหิมและเพลิดเพลินในโลกียวัตถุ จากนั้นทรงเป็นศาสนูปถัมภกในการสังคยานา และส่งสมณฑูตประกาศพระพุทธศาสนา

 

 

เมื่อเกิดเหตุการณ์นักบวชนอกศาสนามาปลอมบวช เพื่อหวังลาภสักการะและบิดเบือนคำสอนองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

 

พระเจ้าอโศกมหาราช (AShoka the great) แห่งราชวงศ์ โมริยะ กษัตริย์ผู้ปกครองดินแดนอินเดีย พระองค์ทรงมีพระทัยเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า ได้ทรงทำนุบำรุงพุทธศาสนา เช่นทรงสร้างวัด วิหาร พระสถูป พระเจดีย์ และหลักศิลาจารึกเป็นต้น ได้บำรุง พระภิกษุสงฆ์ด้วยปัจจัย ๔ คือ อาหาร ที่อยู่ อาศัย เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค การที่พระองค์ทรงบำรุงพระภิกษุสงฆ์เช่นนี้ ก็เพื่อจะได้พระภิกษุในพุทธศาสนาได้รับความสะดวก มีโอกาสบำเพ็ญสมณธรรมได้เต็มที่ ไม่ต้องกังวลในการแสวงหาปัจจัย ๔ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น

แต่กลับปรากฏว่ามีพวกนักบวชนอกศาสนาเป็นจำนวนมาก ปลอมบวชในพุทธศาสนา เพราะเห็นแก่ลาภสักการะ เมื่อบวชแล้วก็คงสั่งสอนลัทธิศาสนาเก่าของตน โดยอ้างว่าเป็นคำสอนของพุทธศาสนา แสดงลัทธิธรรมให้ผิดคลองพระพุทธบัญญัติกระทำให้สังฆมณฑลยุ่งเหยิง แตกสามัคคีด้วยสัทธรรมปฏิรูป

 

ข้อนี้ทำให้พระโมคคัลลีบุตรติสสะเถระ (คนละรูปกับพระมหาโมคคัลลานะเถระในพุทธกาล) ซึ่งเป็นผู้ที่มีความแตกฉานในพระไตรปิฎก เกิดความระอาใจต่อการประพฤติปฏิบัติของเหล่าพระภิกษุอลัชชีที่ปลอมบวชทั้งหลาย จึงได้ปลีกตัวไปอยู่ที่ ถ้ำอุโธตังคบรรพต เจริญวิเวกสมาบัติอยู่ที่นั้นอย่างเงียบๆ เป็นเวลา ๗ ปี และมอบภารกิจคณะสงฆ์ให้พระมหินทเถระดูแลแทน

 

 เมื่อจำนวนพระอลัชชีมีมากกว่าพระภิกษุแท้ ๆ จนพระภิกษุผู้บริสุทธิ์ งดทำอุโบสถสังฆกรรมร่วม ถึง ๗ ปี

 

ในสมัยนั้นจำนวนของพระอลัชชี มีมากกว่าพระภิกษุแท้ ๆ จึงทำให้ต้องหยุดการทำอุโบสถสังฆกรรมถึง ๗ ปี เพราะเหตุที่พระสงฆ์ ผู้มีศีลบริสุทธิ์ไม่ยอมร่วมกับพระอลัชชีเหล่านั้น

 

จึงทำให้พระเจ้าอโศกมหาราชไม่สบายพระหฤทัยในการแตกแยกของพระสงฆ์ ทรงปวารณาจะให้พระสงฆ์เหล่านั้นสามัคคีกัน จึงได้ตรัสสั่งให้อำมาตย์หาทางสามัคคี ฝ่ายอำมาตย์ฟังพระดำรัสไม่แจ้งชัด สำคัญผิดในหน้าที่ จึงได้ทำความผิดอันร้ายแรง คือ ได้บังคับให้พระภิกษุบริสุทธิ์ทำอุโบสถร่วมกับพระอลัชชี พระภิกษุผู้บริสุทธิ์ต่างปฏิเสธที่จะร่วมอุโบสถสังฆกรรม อำมาตย์จึงตัดศีรษะเสียหลายองค์

 

เมื่อพระเจ้าอโศกมหาราชทราบข่าวนี้ ทรงตกพระทัยยิ่งจึงเสด็จไปขอขมาโทษต่อพระภิกษุที่อาราม และได้ตรัสถามสงฆ์ว่า การที่อำมาตย์ได้ทำความผิดเช่นนี้ ความผิดจะตกมาถึงพระองค์หรือไม่ พระสงฆ์ถวายคำตอบไม่ตรงกัน บ้างก็ว่า ความผิดจะตกมาถึงพระองค์ด้วยเพราะอำมาตย์ทำตามคำสั่ง แต่บางองค์ก็ตอบว่าไม่ถึงเพราะไม่มีเจตนา

 

คำวิสัชนาที่ขัดแย้งกันเช่นนี้ทำให้พระเจ้าอโศกมหาราชกระวนกระวายพระทัยยิ่งนัก ทรงปรารถนาที่จะให้พระภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง ผู้มีความสามารถและแตกฉานในพระธรรมวินัยถวายคำวิสัชนาอย่างแจ่มแจ้ง จึงได้ตรัสถามถึง พระภิกษุเหล่านั้นก็ได้ตรัสตอบว่า มีแต่พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระรูปเดียวเท่านั้นที่อาจแก้ความสงสัยได้

 

 พระเจ้าอโศกมหาราช จึงได้ส่งสาส์นไปอาราธนาพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ ให้ท่านเดินทางมายังเมืองปาฏลีบุตร แต่ไม่สำเร็จ เพราะพระเถระไม่ยอมเดินทางมาตามคำอาราธนา พระเจ้าอโศกมหาราชก็ทรงไม่หมดความพยายาม จึงได้รับสั่งให้พนักงานออกเดินทางโดยทางเรือรบท่านตามคำแนะนำของพระติสสะเถระ ผู้เป็นพระอาจารย์ของโมคคัลลีบุตรติสสะเถระ

ในที่สุดพระเถระก็ยอมมาและในวันที่ท่านเดินทางมาถึงนั้น พระเจ้าอโศกมหาราชได้เสด็จไปรับพระเถระด้วยพระองค์เอง ได้เสด็จลุยน้ำไปถึงพระชานุ แล้วยื่นพระกรให้พระเถระจับและตรัสว่า

 

"ขอพระคุณท่านจงสงเคราะห์ข้าพเจ้าเถิด"

 

แล้วได้นำท่านไปสู่อุทยาน ได้ทรงแสดงความเคารพพระเถระอย่างสูง และได้ตรัสถามพระเถระว่า การที่อำมาตย์ได้ตัดศีรษะพระภิกษุนั้นจะเป็นบาปกรรมตกถึงตนหรือไม่ พระเถระได้ตอบว่า

 

“มหาบพิตร จะเป็นเป็นบาปได้ก็ต่อเมื่อพระองค์มีเจตนาที่จะฆ่าเท่านั้น”

 

คำวิสัชนาของพระเถระนั้น ทำให้พระองค์ทรงพอพระทัยมาก

 

พระอลัชชีมัวเมาในลาภสักการะ แม้แต่พระภิกษุก็ยังตกภายใต้อำนาจ

 

ฝ่ายพระอลัชชีผู้ปลอมบวชในพุทธศาสนานั้นก็ยังพยายามที่จะประกอบมิจฉาชีพอยู่ต่อไป พระเหล่านั้นได้มัวเมาหลงใหลในลาภสักการะไม่พอใจในการปฏิบัติธรรม อาศัยผ้าเหลืองเลี้ยงชีพ ประพฤติผิดธรรมวินัยไม่สำรวมระวังในสีลาจารวัตร เที่ยวอวดอ้างคุณสมบัติโดยอาการต่าง ๆ เพื่อหลอกลวงประชาชนให้หลงเชื่อ เพื่อหาลาภสักการะเข้าตัว เพราะเหตุนี้จึงทำให้พระสัทธรรมอันบริสุทธิ์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องพลอยด่างพร้อยไปด้วย ความอลเวงได้เกิดขึ้นในวงการของพุทธศาสนาทั่วไปลาภสักการะมีอำนาจเหนือ อุดมคติของผู้เห็นแก่ได้

 

แม้กระทั่งผู้ทรงเพศเป็นพระภิกษุห่มเหลืองก็ยังตกอยู่ภายใต้อำนาจของมัน ที่จริงผู้มีลาภคือผู้มีบุญ แต่มัวเมาในลาภคือสั่งสมบาป การที่พระได้ของมามาก ๆ จากประชาชนที่เขาบริจาคด้วยศรัทธานั้น นับว่าเป็นการดีไม่มีผิด แต่การที่พระสั่งสมของมัวเมาในลาภ เหลวไหลในเกียรติ เห่อเหิมและเพลิดเพลินในโลกียวัตถุ จนลืมหน้าที่ของตนนั้นนับว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง

 

 เริ่มกระบวนการกวาดล้างพระอลัชชี เพื่อทำพระพุทธศาสนาให้บริสุทธิ์

 

พ.ศ.๒๘๗ พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ ได้ถวายเทศนาแก่พระเจ้าอโศกมหาราช จนพระองค์ทรงมีความเลื่อมใส และซาบซึ้งในหลักธรรมอันบริสุทธิ์ของพระพุทธองค์ ได้ประทับอยู่ที่อุทยานนับเป็นเวลา ๗ วัน เพื่อชำระพระศาสนาให้บริสุทธิ์จากเดียรถีย์ที่เข้ามาปลอมบวช ในวันที่ ๗ พระองค์ได้ประกาศบอกนัดให้พระภิกษุที่อยู่ในชมพูทวีปทั้งสิ้นให้มาประชุมที่อโศการามเพื่อชำระความบริสุทธิ์ของตน ภายใน ๗ วัน พระองค์ประทับนั่งภายในม่านกับท่านโมคคัลลีบุตรติสสเถระ ได้สั่งให้ภิกษุผู้สังกัดอยู่ในนิกายนั้น ๆ นั่งรวมกันเป็นนิกาย ๆ แล้วตรัสถามให้พระภิกษุเหล่านั้นอธิบายคำสอนของพระพุทธองค์ ซึ่งพระสงฆ์เหล่านั้นได้อธิบายผิดไปตามลัทธิของตน ๆ พระเจ้าอโศกมหาราชจึงได้ตรัสให้สึกพระอลัชชีเหล่านั้นทั้งหมด ซึ่งเป็นจำนวน ๖๐,๐๐๐ รูป

 

ครั้นกำจัดพระภิกษุพวกอลัชชีให้หมดไปจากพุทธศาสนาแล้ว พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ จึงได้จัดให้มีการทำสังคายนาครั้งที่ ๓ ขึ้น ณ อโศการาม เมืองปาฏลีบุตร โดยได้รับราชูปถัมภ์จากพระเจ้าอโศกมหาราชอย่างเต็มที่

 

การสังคายนาพระไตรปิฏก ครั้งที่ ๓ และเผยแผ่พระพุทธศาสนา ผ่านคณะสมณทูต

หลังจากที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเสด็จดับขันธปรินิพพานไปได้ประมาณ ๒๓๖ ปีเศษ คณะสงฆ์ได้ทําการสังคายนาครั้งที่ ๓

 

เมื่อทําสังคายนาเสร็จแล้ว พระเจ้าอโศกมหาราชได้ส่งคณะสมณทูตไปเผยแผ่ พระพุทธศาสนาในแคว้นและประเทศต่างๆ รวมทั้งหมดมี ๙ สาย มีรายนามตามคัมภีร์ที่บันทึก เป็นภาษาบาลี ดังต่อไปนี้

 

๑) คณะพระมัชฌันติกเถระ ไปแคว้นแคชเมียร์และคันธาระ ซึ่งอยู่ทางทิศ ตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดีย ได้แก่ แคว้นแคชเมียร์ในปัจจุบัน

 

๒) คณะพระมหาเทวเถระ ไปมหิสสกมณฑลอยู่ทางตอนใต้ของดินแดน แถบลุ่มแม่น้ําโคธาวารี ทางภาคใต้ของอินเดีย ได้แก่ แคว้นไมซอร์ในปัจจุบัน

 

๓) คณะพระรักขิตเถระ ไปวนวาสีประเทศ ซึ่งอยู่ในเขตกนราเหนือ ทาง ภาคตะวันตกเฉียงใต้ของอินเดีย แคว้นบอมเบย์ ในปัจจุบัน

 

๔) คณะพระธัมมรักขิตเถระ ซึ่งท่านเป็นชนชาติกรีก ไปปรันตชนบท อยู่ ริมฝั่งทะเลอาระเบียน ทางทิศเหนือของบอมเบย์

 

๕) คณะพระมหาธัมมรักขิตเถระ ไปแคว้นมหาราษฎร์ปัจจุบันเป็นดินแดน แถบตะวันออกเฉียงเหนือ ห่างจากเมืองบอมเบย์

 

๖) คณะพระมหารักขิตเถระ ไปโยนกประเทศ ได้แก่ แคว้นของชาวกรีก ในทวีปเอเซียตอนกลาง เหนือประเทศอิหร่านต่อขึ้นไปจนถึงเตอร์กีสถาน

 

๗) คณะพระมัชฌิมเถระและพระมหาเถระอีก ๔ รูป คือ พระกัสสปโคตตะ พระมูลกเทวะ พระทุนทภิสสระ และพระเทวะ ไปแคว้นดินแดนแถบภูเขาหิมาลัย ได้แก่ เนปาล ซึ่งอยู่ตอนเหนือของอินเดีย

 

๘) คณะพระโสณเถระ และพระอุตตรเถระ ไปสุวรรณภูมิ ได้แก่ ไทยพม่า ในปัจจุบัน

 

๙) คณะพระมหินทเถระผู้เป็นโอรสของพระเจ้าอโศกมหาราช ได้นํา พระพุทธศาสนาไปประดิษฐานที่เกาะสิงหล หรือประเทศศรีลังกาเป็นครั้งแรก

 

พระธรรมพระวินัยเกี่ยวกับเรื่องผู้หญิงนี้ถือว่าเป็นสิกขาบทหลัก สิกขาบทต้นของพรหมจรรย์ เราพัฒนาวิทยาศาสตร์พัฒนาเทคโนโลยีเพื่ออำนวยความสะดวกความสบายในการใช้งาน ได้แก่โทรศัพท์มือถือ โทรศัพท์มือถือนี้เป็นทั้งคุณเป็นทั้งโทษ คดีอธิกรณ์ทั้งหมดมาจากโทรศัพท์มือถือ มาจากการส่งข้อความไปมาหากัน ทำให้เหมือนไกลก็อยู่ใกล้ จากไม่เห็นก็ให้เห็น

 

เดี๋ยวนี้ขณะนี้แหละทั้งวัดบ้านวัดป่าพากันพังทลายกันไปหมดไม่มีอะไรเหลือ เช่นเดียวกันกับตึก สตง. ที่กรุงเทพมหานคร อย่างเดียวกันเลยเช่นเดียวกันเลย ถึงกาลถึงเวลาแล้ว เราจะได้พากันสมัครสมานสามัคคี เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่ต้องไปปกป้องสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะสิ่งที่ไม่ถูกต้องนั้นไม่ใช่พระศาสนา สิ่งที่ไม่ถูกต้องนั้นคือการทำลายพระศาสนา มันเป็นการทำลายพระธรรมพระวินัย

 

เราอย่าไปนึกปลอยใจตัวเองอย่าไปพูดปลอบใจคนอื่น ว่าพระดี ๆ นั้นมีอยู่เยอะ เราอย่าไปเอาความไม่ถูกต้อง ให้เอาตัวอย่างแบบอย่างของพระเจ้าอโศกมหาราช ถึงจะดีถึงจะถูกต้อง เพราะสิ่งนั้นเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา การปกครองมันต้องปกครองมีปรับไหม มีจำคุก มีประหารชีวิต

 

มีผู้ที่ไปทูลถามพระพุทธเจ้าว่า พระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่มีเมตตาอย่างไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ พระพุทธเจ้าน่ะทรงประหารชีวิตของผู้ที่ทำความผิดมั๊ย พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่าก็ต้องทรงประหาร แต่ประหารชีวิตด้วยการให้ลาสิกขา ให้กลับไปเป็นฆราวาสเสีย พระวินัยต้นสิกขาบทนี้เนื่องมาจากความตั้งใจตั้งเจตนา มันยกเลิกตัวตนจากความเป็นพระตั้งแต่ตั้งใจตั้งเจตนาแล้ว ไม่ต้องไปทำพิธีลาสิกขา เพราะการประพฤติการปฏิบัติเป็นบริสุทธิคุณทั้งต่อหน้าและลับหลัง ใครไม่รู้ไม่เห็นแต่ตัวเองรู้ตัวเองเห็น

 

ถ้าเราไม่เอาอย่างพระเจ้าอโศกมหาราชเราก็ไปแก้ปัญหาไม่ได้ เพราะการมาบวชคือมาบริโภคของฟรีใช้ของฟรี จึงได้มีคนประเภทนี้ ๙๙ เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่มาบวช ไม่ได้บวชเพราะศรัทธามุ่งมรรคผลพระนิพพาน ถ้าไม่เอาอย่างพระเจ้าอโศกมันคงแก้ปัญหาไม่ได้

 

เราในนามบริษัททั้ง ๔ พากันรู้เข้าใจ พากันมารู้พระธรรมพระวินัยเพื่อเข้าสู่ความสงบและปัญญา ปัญญาและความสงบ เพื่อให้เข้าสู่ความขลังศักดิ์สิทธิ์ เหมือนครั้งพระเจ้าอโศกมหาราช ให้ผู้ที่ไม่เอามรรคผลนิพพานนี้สึกไปหกหมื่นกว่ารูปถึงเกิดมีพระอรหันต์ขึ้นมามากมายนับเป็นล้าน ๆ รูป

 

-----------------------------------------

โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม

เมตตาให้ไว้ในเช้าวันที่ ๒๒ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

 ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

รายการล่าสุดที่คุณดู
Visitors: 98,212