๒๔ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

วันนี้เป็นวันพฤหัสบดีที่ ๒๔ เดือนกรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ ศาสนาพุทธ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ศาสนาคริสต์ ฮิจเลาะห์ศักราช ๑๔๔๖ ศาสนาอิสลาม

 

ศาสนาทุกศาสนาคือทางสายกลาง เอาทางสายกลางนำชีวิต เอาทั้งวิทยาศาสตร์เอาทั้งทางใจไปพร้อม ๆ กัน

 

เราต้องมารู้มาเข้าใจ เราจะได้เอาทั้งทางวิทยาศาสตร์เอาทั้งทางจิตใจไปพร้อม ๆ กัน เป็นการประพฤติเป็นการปฏิบัติในชีวิตประจำวัน วาระการประพฤติการปฏิบัตินั้นอยู่ที่ปัจจุบัน มีความตั้งใจตั้งเจตนาเพื่อให้การประพฤติการปฏิบัติของเรานั้นติดต่อต่อเนื่องไม่ขาดตกบกพร่อง

 

พระถึงมีความหมายคือผู้ที่เสียสละ ถ้าเราไม่เสียสละเราก็เป็นพระไม่ได้ พระถึงเป็นผู้รู้ผู้เข้าใจ เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เมื่อเห็นภัยในวัฏฏสงสารแล้วต้องเสียสละ ถ้าเราไม่เสียสละ เราก็ไม่มีศีลไม่มีสมาธิ ไม่มีปัญญา

 

ให้พวกเราพากันมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการเสียสละ เราต้องรู้ต้องเข้าใจเรื่องอายตนะภายในภายนอก อายตนะภายในภายนอกเราไม่เข้าใจ มันจะเป็นวัฏฏสงสาร ธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ ภายใน มันคือกรรมคือกฎแห่งกรรมคือผลของกรรม เราต้องรู้ข้อวัตรข้อปฏิบัติ ข้อวัตรข้อปฏิบัติเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องประพฤติต้องปฏิบัติ เพราะเป็นเรื่องของเรา ไม่มีใครที่จะปฏิบัติให้เราได้

 

เราทั้งหลายต้องพากันมาเป็นผู้รับผิดชอบ การประพฤติการปฏิบัติถึงไม่ได้เอาความชอบไม่ชอบนำชีวิต ความสงบกับปัญญาเป็นความปรุงแต่งจะหยุดความชอบไม่ชอบน่ะ การประพฤติการปฏิบัติถือว่าเป็นหน้าที่ อยู่นอกเหตุเหนือผล อยู่เหนือชอบความ อยู่เหนือความไม่ชอบ ความชอบไม่ชอบเราต้องยกเลิก เน้นความสงบเน้นปัญญา ความชอบไม่ชอบนั้นไม่ใช่ความสงบไม่ใช่ปัญญา มันเป็นความปรุงแต่ง

 

ความทุกข์ของมนุษย์มันอยู่ที่ความชอบไม่ชอบ อยู่ที่ความปรุงแต่ง ชอบหรือไม่ชอบนั้นไม่ใช่ทางสายกลาง มันเป็นการเหวี่ยงไปเหวี่ยงมา เหวี่ยงซ้ายเหวี่ยงขวา ภาษาหมอเรียกว่าเป็นโรคไบโพล่าที่อารมณ์เหวี่ยงไปเหวี่ยงมา มันเป็นขั้วบวกขั้วลบมันเป็นความปรุงแต่ง

 

เรามาบวชมาปฏิบัติ มายกเลิกความชอบไม่ชอบ พระสารีบุตรได้ฟังธรรมจากพระอัสสชิ ได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน เป็นผู้มีปัญญามากที่ได้บำเพ็ญสาวกบารมีมา ผู้มีปัญญามากนึกว่าตัวเองมีปัญญามากทุกสิ่งทุกอย่างต้องแก้ปัญหาได้ด้วยปัญญาของตน ความถูกต้องตามความเป็นจริงน่ะ ผู้มีปัญญามากก็ต้องมีความสงบมาก ความสงบกับปัญญาต้องไปพร้อม ๆ กันไปเสมอกัน ความสงบกับปัญญาต้องควบคู่กันไป

 

พระสารีบุตรได้ฟังพระธรรมเทศนาเรื่องทิฏฐิที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงแก่ทีฆนขะพราหมณ์ ทีฆบขะพราหมณ์เป็นหลานชายของพระสารีบุตร ไปตามหาพระสารีบุตร พระสารีบุตรได้อยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กำลังถวายอุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่

 

ในครั้งนั้นสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่ถ้ำสุกรขาตา ภูเขาคิชฌกูฏ เขตพระนครกรุงราชคฤห์ ครั้งนั้น ปริพาชกมีชื่อว่าทีฆนขะพราหมณ์ เป็นหลานของท่านพระสารีบุตร ได้เข้าไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ณ ที่ประทับ

 

ทีฆนขะพราหมณ์ แสดงความคิดเห็นว่า ทุกอย่างไม่ควรแก่ตน เช่น ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพรากไม่สมควรมีแก่ตน

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสโต้ตอบเพื่อให้เกิดปัญญาว่า ถ้าอย่างนั้นน่ะ ความเห็นอย่างนั้น ก็ไม่สมควรแก่ท่านเช่นเดียวกัน

 

ทีฆนขะพราหมณ์ ทูลถามต่อไปว่า ตนมีความชอบใจในสิ่งใด ก็สมควรที่จะได้รับในสิ่งนั้น ๆ มีความเห็นว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงในโลกนี้ต้องได้ตามใจตามปรารถนา

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสตอบให้เข้าใจว่า คนที่พูดอย่างนี้ ยังไม่ละทิฏฐินั้น ๆ ของตัวเอง ซ้ำยังไปถือทิฏฐิมานะอัตตาตัวตนของตนเอง และถือทิฏฐิมานะอัตตาของคนอื่นมีอยู่อีกเป็นส่วนมาก แต่คนที่พูดอย่างนี้แล้วจะละทิฏฐิมานะอัตตาตัวตนของตนนั้นไม่ได้ เพราะยังเป็นความปรุงแต่ง ยังเป็นตัวเป็นตนอยู่ ไม่ใช่ความสงบไม่ใช่ปัญญา มันยังเป็นอัตตาเป็นตัวเป็นตน มันเป็นความปรุงแต่ง เพราะความปรุงแต่งนั้นมีแต่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป นอกจากทุกข์ไม่มี ความดับทุกข์นั้นไม่มีอยู่ในความปรุงแต่ง

 

ครั้นแล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมให้ทีฆนขะพราหมณ์เพื่อความรู้ความเข้าใจ สมณพราหมณ์บางพวกที่มีความเห็นว่า ทุกสิ่งสมควรแก่ตนบ้าง ทุกสิ่งไม่สมควรแก่ตนบ้าง เห็นว่า บางอย่างสมควร บางอย่างไม่ควรบ้าง

 

ฝ่ายที่เห็นว่า ทุกสิ่งสมควรแก่ตน ไปทางยินดี ไปในทางยึดมั่นถือมั่น มันเป็นตัวเป็นตน เป็นความยึดมั่นถือมั่น นั้นมันเป็นทุกข์เพราะเป็นความปรุงแต่ง จิตใจอีกฝ่ายหนึ่งมีความเห็นว่า ทุกสิ่งทุกอย่างไม่สมควรแก่ตนเลย จิตใจอย่างนี้ไปในทางปฏิเสธ ไปในทางไม่ยินดี เป็นใจที่ปฏิเสธ ปฏิเสธกับความยินดีก็คือความปรุงแต่งเช่นเดียวกัน ความปรุงแต่งนั้นเป็นทุกข์ทั้งสิ้นเป็นทุกข์ทั้งหมด ไม่ใช่ความสงบไม่ใช่ปัญญา

 

ทีฆนขะพราหมณ์ปริพพาชกจึงกล่าวต่อไปว่า สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้กล่าวยกย่องความเห็นของตน พระผู้มีพระภาคจึงตรัสต่อไปอีกว่า ฝ่ายที่เห็นว่าบางอย่างนั้นสมควรแก่เรา บางอย่างนั้นไม่สมควรแก่เรานี้ไม่ใช่ทางสายกลาง มันเป็นที่สุดสองทางที่บรรพชิตไม่พึงประพฤติไม่พึงปฏิบัติ อันหนึ่งมันซ้ายจัด อันหนึ่งมันขวาจัด ไม่ใช่ทางสายกลาง นั้นคือความปรุงแต่ง

 

 แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสต่อไปว่า วิญญูชนย่อมพิจารณาเห็นว่า การยึดถือทิฏฐิเหล่านี้ ย่อมทำให้เกิดการทะเลาะวิวาทกันเปล่า ๆ ทำให้เกิดการเบียดเบียนซึ่งกันและกัน จึงต้องละทิฏฐิมานะอัตตาตัวตนเหล่านั้น และไม่ยึดมั่นถือมั่นในทิฏฐิของตนและทิฏฐิผู้อื่นด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิ

 

แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสสอนว่า ควรพิจารณาเห็นว่าร่างกายนี้โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นโรคเป็นภัย มีโรคมีภัย พิจารณาด้วยปัญญาอย่างนี้แหละ จนเห็นสภาวธรรมตามความเป็นจริงว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ละความพอใจในกายออกเสียได้ถึงจะเกิดความสงบเกิดปัญญา หยุดความปรุงแต่ง

 

ครั้นแล้วตรัสเรื่องเวทนาทั้ง ๓ คือ ความสุข ความทุกข์ ความไม่ทุกข์ความไม่สุข และชี้ให้เห็นด้วยปัญญาว่าเป็นความไม่เที่ยง อาศัยเหตุอาศัยปัจจัยเกิดขึ้นของเวทนาเหล่านั้นเนื่องมาจากเหตุปัจจัยด้วยปัญญารู้แจ้งเห็นจริง

 

เมื่อรู้เห็นอย่างนี้ อริยสาวกย่อมเบื่อหน่ายคลายความยึดมั่นถือมั่นในเวทนาทั้ง ๓ นั้น เมื่อเบื่อหน่ายก็คลายกำหนัด และหลุดพ้น รู้ว่าหลุดพ้นแล้ว สิ้นชาติ อยู่จบพรหมจรรย์ ทำหน้าที่เสร็จแล้ว ผู้มีจิตหลุดพ้นอย่างนี้ ย่อมไม่วิวาทมีแต่ความสงบมีแต่ปัญญา สิ่งใดที่เขาพูดกันในโลกนี้ ก็พูดตามโวหารนั้น แต่ไม่มีความยึดมั่นถือมั่น

 

พระสารีบุตรนั่งพัดอยู่เบื้องพระปฤษฏางค์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า มีจิตหลุดพ้นจากอาสวะ ไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน เป็นพระอรหันต์ขีณาสพ ส่วนปริพพาชกชื่อทีฆนขะพราหมณ์ได้ดวงตาเห็นธรรม เป็นพระโสดาบัน เมื่อเห็นธรรมบรรลุธรรมแล้ว ได้กราบทูลสรรเสริญในพระธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้แสดงตนเป็นอุบาสกเอาพระรัตนตรัยเป็นสรณะในการประพฤติการปฏิบัติตลอดชีวิต

 

มีผู้ทูลถามปัญหาเรื่องตายเรื่องเกิดว่าตายแล้วเกิดอีกไหม หรือว่าตายแล้วก็สูญไป องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านไม่ทรงตอบว่าตายแล้วเกิดหรือว่าตายแล้วสูญ ท่านตอบว่าแล้วแต่เหตุแล้วแต่ปัจจัย ถ้าสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปก็ต้องมี ถ้าสิ่งนี้ไม่มีสิ่งต่อไปก็ไม่มี เพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นขึ้นอยู่ที่เหตุที่ปัจจัย

 

ปัญหาที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงตอบ ให้เรารู้เข้าใจด้วยปัญญา

 

มีปัญหาบางประเภทที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงตอบ ปัญหาดังกล่าวนั้นมีอะไรบ้าง และเพราะเหตุอะไร พระพุทธองค์ถึงไม่ทรงตอบ

 

พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า “... ดูก่อนมาลุงกยบุตร... เธอทั้งหลายจงจำปัญหาที่เราไม่พยากรณ์ และจงจำปัญหาที่เราพยากรณ์... อะไรเล่าที่เราไม่พยากรณ์

 

ดูก่อนมาลุงกยบุตร ทิฐิที่ว่า โลกนี้เป็นของเที่ยง โลกนี้เป็นของไม่เที่ยง โลกนี้มีที่สุด โลกนี้ไม่มีที่สุด ชีพอันนั้น สรีระก็อันนั้น ชีพอย่างหนึ่ง สรีระอย่างหนึ่ง สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปไม่มีอยู่ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไป มีอยู่ก็มีไม่มีอยู่ก็มี สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไป มีอยู่ก็หามิได้ ไม่มีอยู่ก็หามิได้ ดังนี้เราไม่พยากรณ์ปัญหานั้น

 

ก็เพราะเหตุไร ข้อนั้นเราจึงไม่พยากรณ์ เพราะข้อนั้นไม่ประกอบด้วยคุณไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่เป็นเบื้องต้นแห่งการประพฤติการปฏิบัติพรหมจรรย์ ไม่เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย คลายความยึดมันถือมั่น เพื่อความเบื่อหน่ายคลายความกำหนัดคลายความยินดี เพื่อความดับทุกข์ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อพระนิพพาน ดูก่อน มาลุงกยบุตร ด้วยเหตุนั้น เราจึงไม่พยากรณ์ในเรื่องนั้น ๆ ในข้อนั้น ๆ

 

     “... ดูก่อนมาลุงกยบุตร... อะไรเล่าที่เราพยากรณ์ ดูก่อนมาลุงกยบุตร ความเห็นว่านี้คือความทุกข์ นี้เหตุให้เกิดความทุกข์ นี้เหตุให้เกิดความดับทุกข์ นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ดังนี้เราพยากรณ์ ก็เพราะเหตุไรเราจึงพยากรณ์ข้อนั้น เพราะข้อนั้นประกอบด้วยคุณและประโยชน์ เป็นเบื้องต้นแห่งการประพฤติการปฏิบัติพรหมจรรย์ เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อความคลายกำหนัด เพื่อความดับทุกข์ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน เหตุนั้น เราจึงพยากรณ์ตรัสให้เข้าใจในปัญหานั้น ๆ ให้แจ่มแจ้งให้เข้าใจ

 

“... ดูก่อนมาลุงกยบุตร... บุคคลใดแลจะพึงกล่าวอย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคจักไม่ทรงพยากรณ์แก่เรา ในเรื่องทิฐิ ๑๐ ประการนั้น เพียงใด เราจักไม่ประพฤติปฏิบัติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาคเพียงนั้น พระตถาคตจะไม่พึงพยากรณ์ในข้อนั้น ๆ ในสิ่งเหล่านั้น เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่ปัญหารีบด่วน ไม่ใช่เรื่องธรรมไม่ใช่เรื่องปัจจุบันธรรม เราตรัสให้มีปัญญา ให้รู้เข้าใจ ให้เกิดความสงบเกิดปัญญา เพราะปัจจุบันเป็นวาระสำคัญของการประพฤติการปฏิบัติ การประพฤติการปฏิบัตินั้นไม่ใช่เรื่องอดีตไม่ใช่เรื่องอนาคต มันเป็นเรื่องปัจจุบัน ปัจจุบันนั้นเป็นเรื่องกรรมเรื่องกฎของกรรม แล้วจะเป็นผลของกรรม

 

ดูก่อนมาลุงกยบุตร เปรียบเหมือนบุรุษผู้หนึ่ง ถูกยิงด้วยลูกศรอาบยาพิษที่ฉาบทาไว้หนา มิตรอำมาตญาติสายโลหิตของบุรุษนั้น พึงไปหาแพทย์ผู้ชำนาญในการผ่าตัดอย่างรีบด่วน แต่บุรุษผู้ถูกยิงด้วยลูกศรนั้นกล่าวอย่างนี้ว่า เรายังไม่รู้จักบุรุษผู้ยิงเรานั้นว่าเป็นใคร เป็นกษัตริย์ เป็นพราหมณ์ เป็นแพศย์ เป็นหรือศูทร มีชื่อว่าอย่างนี้ มีโคตรอย่างนี้ มีชาติมีตระกูลตระกูลต่ำหรือปานกลาง ผิวดำหรือผิวขาวหรือผิวสองสี อยู่บ้านไหนอยู่นิคมไหน หรือในนครไหนนครโน้นนครนี่ ถ้าเราไม่รู้จักคนยิงลูกศร เราจะไม่นำลูกศรนี้ออกจากร่างกาย

 

 บุรุษผู้ที่ถูกยิงด้วยลูกศรนั้นด้วยคำกล่าวอย่างนี้ว่า เรายังไม่รู้จักธนูที่ใช้ยิงเรานั้นเป็นชนิดมีที่แร่หรือเกาทัณฑ์ สายที่ธนูที่ยิงเรานั้นเป็นสายทำด้วยปอ หรือไม้ไผ่ หรือเอ็น ป่าน หรือเยื่อไม้ ลูกธนูที่ยิงเรานั้น ทำด้วยไม้ที่เกิดเองหรือไม้ที่ปลูก เกาทัณฑ์ที่ยิงเรานั้นเขาเสียบด้วยขนปีกนกแร้ง นกตะกรุม เหยี่ยว นกยูง หรือนกชื่อว่าสิถิลหนุ (คางหย่อน) เกาทัณฑ์นั้นเขาพันด้วยเอ็นวัว ควาย ค่าง หรือลิง ลูกธนูชนิดที่ยิงเรานั้นเป็นชนิดอะไร ดังนี้ เราจักไม่นำลูกศรนี้ออก

 

 ดูก่อนมาลุงกยบุตร บุรุษนั้นพึงรู้ข้อนั้นไม่ได้เลย โดยที่แท้บุรุษนั้นพึงทำกาละไปฉันใด

 

  ดูก่อนมาลุงกยบุตร บุคคลใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่ทรงพยากรณ์ทิฐิ ๑๐ นั้น แก่เราให้เราเข้าใจ เราจะไม่ประพฤติเราจะไม่ปฏิบัติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาค ข้อนี้พระตถาคตเจ้าไม่พยากรณ์เลย โดยที่แท้บุคคลนั้นพึงทำกาละไปเปล่าๆ เพราะจะไปแก้ปัญหาปลายเหตุ มันปัญหาต่าง ๆ มันอยู่ที่เหตุ ปัญหารีบด่วนคือเรื่องปัจจุบัน ปัจจุบันถึงเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นวาระสำคัญ ปัจจุบันเป็นสิ่งที่รีบด่วน ด่วนยิ่ง เราทั้งหลายถึงเอาเรื่องปัจจุบันเป็นเรื่องสำคัญ ปัจจุบันถึงเป็นวาระแห่งชาติ เพราะอดีตมันก็มารวมอยู่ที่ปัจจุบัน อนาคตที่จะไปข้างหน้ามันก็อยู่ที่ปัจจุบัน ปัจจุบันให้เรารู้เข้าใจ ปัจจุบันถ้าเราไม่รู้เข้าใจเอาความหลงนำชีวิต เราเอาทิฏฐิมานะอัตตาตัวตนนำชีวิต พระโมคคัลาสารีบุตร ไปบรรพชาอุปสมบทกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระโมคคัลลานั้นได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ขีณาสพก่อน ผู้ที่มีทิฏฐิมานะมากอัตตาตัวตนมาก มีตัวมีตนมากก็ย่อมได้บรรลุธรรมช้า เพราะทิฏฐิมาก ปัญญามาก ความสงบกับปัญญาไม่เสมอกัน เช่น ระบบสมองของมนุษย์กับลมหายใจนี้ไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ความสงบกับปัญญานั้นไม่ได้เป็นคู่กันไป

 

พระโมคคัลลานะไปอุปสมบทกับพระพุทธเจ้าเพียง ๗ วันก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ขีณาสพ

 

พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้มีสัพพัญยุตญาณ ได้ทอดพระเนตรเห็นพระโมคัลลานะด้วยพระญาณ นั่งสมาธิโงกง่วงอยู่ ณ บ้านกัลลวาลมุตตคาม แคว้นมคธ ด้วยทิพยจักษุ จึงเสด็จมาหาและตรัสบอกเหตุให้ละจากความง่วง อุบายแก้ง่วง ๘ อย่าง

 

- เมื่อมีสัญญาอย่างไรอยู่ ความง่วงนั้นย่อมครอบงำได้ พึงทำไว้ในใจซึ่งสัญญานั้นให้มาก

- พึงตรึกตรองพิจารณาถึงธรรมตามที่ได้สดับแล้ว ได้เรียนมาแล้วด้วยใจ

- พึงสาธยายธรรมตามที่ได้สดับมาแล้ว ได้เรียนมาแล้วโดยพิสดาร

- พึงยอนช่องหูทั้งสองข้าง เอามือลูบตัว

- พึงลุกขึ้นยืน เอาน้ำล้างตา เหลียวดูทิศทั้งหลาย แหงนดูดาวนักษัตรฤกษ์

- พึงทำในใจถึงเอาโลกสัญญา ตั้งความสำคัญในกลางวันและกลางคืนว่าเหมือนกัน มีใจเปิดเผยอยู่ ไม่มีอะไรหุ้มห่อ ทำจิตให้เกิดแสงสว่าง

- พึงอธิษฐานจงกรม กำหนดหมายเดินกลับไปกลับมา สำรวมอินทรีย์ ใจไม่คิดไปในภายนอก

- พึงสำเร็จสีหไสยา คือนอนตะแคงเบื้องขวา ซ้อนเท้าเหลื่อมเท้า มีสติสัมปชัญญะ ทำความหมายในอันจะลุกขึ้น พอตื่นแล้วพึงรีบลุกขึ้นด้วยตั้งใจว่า จักไม่ประกอบความสุขในการนอนการเอนข้าง การเคลิ้มหลับ

 

พระผู้มีพระภาคทรงตรัสสอนพระโมคคัลลานะ ไม่ให้ชูงวงเข้าไปสู่ตระกูล เพราะถ้าในตระกูลมีกิจหลายอย่าง ไม่ใส่ใจภิกษุผู้มาแล้ว ภิกษุย่อมเก้อเขิน และมีความคิดฟุ้งซ่านว่ามีใครยุยงให้เราแตกในสกุลนี้ บุคคลจึงไม่ควรพูดถ้อยคำซึ่งจะเป็นเหตุให้เถียงกัน เพราะจะเกิดการพูดมาก เมื่อเกิดความคิดฟุ้งซ่านขึ้น ย่อมไม่สำรวม จิตย่อมห่างจากสมาธิ และทรงตรัสว่าพระองค์ไม่สรรเสริญความคลุกคลีด้วยหมู่ชน ทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิต แต่ทรงสรรเสริญความคลุกคลีด้วยเสนาสนะอันเงียบเสียง ไม่อื้ออึง ปราศจากการสัญจรของหมู่ชน ควรเป็นที่ประกอบกิจของผู้ต้องการความสงัด ที่หลีกเร้น

 

พระพุทธเจ้าตรัสว่า ข้อปฏิบัติที่ทำให้ภิกษุเป็นผู้หลุดพ้นแล้วเพราะสิ้นตัณหา มีความสำเร็จ มีธรรมเป็นแดนเกษมจากโยคะ เป็นพรหมจารี  มีที่สุด ประเสริฐกว่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เมื่อได้สดับว่าธรรมทั้งปวงไม่ควรถือมั่น ย่อมรู้ชัดธรรมทั้งปวงด้วยปัญญา  ย่อมกำหนดรู้ธรรมทั้งปวง เมื่อได้เสวยเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งสุข ทุกข์ และไม่สุข ไม่ทุกข์ ย่อมพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในเวทนาเหล่านั้น พิจารณาเห็นความคลายกำหนัด ความดับ ความสละคืน เมื่อนั้นย่อมไม่ยึดมั่นอะไรในโลก ไม่มีความสะดุ้ง ย่อมปรินิพพานเฉพาะตัวทีเดียว รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี

 

เมื่อท่านพระมหาโมคคัลลานะฟังแล้ว เจริญวิปัสสนาก็ได้บรรลุพระอรหัตผล

 

ความสงบกับปัญญาต้องไปพร้อม ๆ กัน ความสงบกับความเคารพความซื่อสัตย์ไม่มีต่อหน้าและลับหลัง ไม่มีที่ลับที่แจ้ง เราทั้งหลายมาเข้าใจเรื่องพระสารีบุตรผู้มีปัญญามาก เรามารู้เข้าใจเรื่องพระโมคคัลลาผู้มีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์มาก สองอย่างนี้เราต้องเอามารวมกันเป็นหนึ่งนะ ให้เรารู้เข้าใจเรื่องความสงบและปัญญา งานปฏิบัติถึงเป็นงานที่รีบด่วน ไม่ต้องมีข้อแม้ใด ๆ ทั้งสิ้น เพื่อเราทั้งหลายจะได้เจริญสติปัฏฐาน เอาความสงบกับปัญญาไปพร้อม ๆ กัน ถ้าความสงบไปพร้อม ๆ กันมันจะเป็นความพอดี ความพอเพียงเพียงพอ เพื่อให้การประพฤติการปฏิบัติมันติดต่อต่อเนื่อง ถ้าเราเอาแต่ความสงบไม่เอาปัญญา ปัญญาเราก็ขาดหายไป ถ้าเราเอาแต่ปัญญา ไม่เอาความสงบความสงบก็ย่อมหายไป เพราะทุกอย่างคือเหตุคือปัจจัย

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงตรัสกับมาลุงกยบุตร ว่าเรื่องตายแล้วเกิดมันขึ้นอยู่ที่เหตุที่ปัจจัย สมาธิกับปัญญาต้องไปพร้อม ๆ กัน โดยอาศัยศีลเป็นพื้นฐาน เมื่อศีลติดต่อต่อเนื่องด้วยความตั้งใจตั้งเจตนาถึงจะเป็นสัมมาสมาธิคือความตั้งมั่น เราทั้งหลายพากันมาบวชมาปฏิบัติ พากันตั้งใจ เพราะความเป็นพระนั้นอยู่ที่เรารู้เข้าใจมีการประพฤติการปฏิบัติติดต่อ เน้นการประพฤติการปฏิบัติที่ปัจจุบัน

 

ปีนี้พรรษานี้พากันตั้งอกตั้งใจ ให้พากันเป็นพระธรรมเป็นพระวินัย พระธรรมพระวินัยมันจะเป็นความสงบเป็นปัญญาด้วยปฏิปทาที่ติดต่อต่อเนื่อง การประพฤติการปฏิบัตินี้ต้องติดต่อต่อเนื่อง ที่ผ่าน ๆ มา สถิติที่ผ่านมา คนที่ขาดทำวัตรเช้าขาดทำวัตรเย็น ขาดทำข้อวัตรกิจวัตร ส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนเก่าเป็นคนเดิม ถ้าเราเป็นคนเก่าคนเดิมไม่ได้ มันต้องเป็นธรรมเป็นปัจจุบันเป็นพระธรรมพระวินัยเป็นข้อวัตรกิจวัตร หยุดยกเลิกทำอะไรตามใจตามอัธยาศัย พากันนอนพากันพักผ่อนให้เพียงพอ เข้านอนเข้าพักผ่อน ๓ ทุ่ม ตื่นตี ๓ ข้อวัตรกิจวัตร อย่าให้ขาดตกบกพร่อง

 

ให้มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เรื่องความคิดความปรุงแต่งเรื่องกามเรื่องพยาบาทต้องหยุดมันไว้ให้ได้ ต้องเบรกมันไว้ให้ได้ อย่าไปปล่อยให้ใจมันตรึกนึกคิด อย่าไปปล่อยให้ใจมันปรุงแต่ง ให้ใจของเราหยุดมีครอบครัว หยุดมีภรรยา หยุดมีลูกมีหลาน มีญาติพี่น้องวงศ์ตระกูล ถ้าเรามีสติมีสัมปชัญญะติดต่อต่อเนื่องความคิดอย่างนี้ก็จะเกิดไม่ได้ เพราะเรามีสติมีสัมปชัญญะ เรารู้เข้าใจเราก็ไม่คิด เพราะการมาบวชของเราต้องบวชทั้งกายบวชทั้งใจไม่ใช่บวชตั้งแต่เพียงกาย กายวาจากิริยามารยาท

 

การกระทำทุกอย่างมันมาจากใจนะ เพราะกายวาจากิริยามารยาทอาชีพเป็นอุปกรณ์ของจิตของใจ เราทั้งหลายต้องไม่ไปตรึกนึกคิด เราเซฟตี้สมองเราไว้ เซฟตี้ด้วยพระธรรมด้วยพระวินัย เพื่อพระธรรมพระวินัยมันจะได้เดินไปให้ติดต่อต่อเนื่อง เรามาคิดดูดี ๆ นะ ทำไมพระถึงไม่มีปัญญา เณรไม่มีปัญญา แม่ชีไม่มีปัญญา ภิกษุภิกษุณีไม่มีปัญญา มันจะมีปัญญาอะไร เพราะมันบวชแต่กายใจมันไม่ได้บวช เราลองคิดดูดี ๆ นะ ถ้าเรารักษาใจของเราดี ๆ มีปฏิปทาติดต่อต่อเนื่อง รักษาใจของเราดี ๆ เหมือนพระโปฐิละ

 

พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระเถระนามว่าโปฐิละ

         ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "โยคา เว" เป็นต้น.

         ดังได้สดับมา พระโปฐิละนั้นเป็นผู้ทรงพระไตรปิฎกในศาสนาของพระพุทธเจ้า ๗ พระองค์ บอกธรรมแก่ภิกษุ ๕๐๐ รูป. พระศาสดาทรงดำริว่า "ภิกษุนี้ ย่อมไม่มีแม้ความคิดว่า เราจักทำการสลัดออกจากทุกข์แก่ตน เราจักยังเธอให้สังเวช.

"

         จำเดิมแต่นั้นมา พระองค์ย่อมตรัสกะพระเถระนั้น ในเวลาที่พระเถระมาสู่ที่บำรุงของพระองค์ว่า "มาเถิด คุณใบลานเปล่า, นั่งเถิด คุณใบลานเปล่า, ไปเถิด คุณใบลานเปล่า แม้ในเวลาที่พระเถระลุกไป ก็ตรัสว่า "คุณใบลานเปล่าไปแล้ว."

 

         พระโปฐิละนั้นคิดว่า "เราย่อมทรงไว้ซึ่งพระไตรปิฎกพร้อมทั้งอรรถกถา บอกธรรมแก่ภิกษุ ๕๐๐ รูป ถึง ๑๘ คณะใหญ่ ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น พระศาสดายังตรัสเรียกเราเนืองๆ ว่า "คุณใบลานเปล่า" พระศาสดาตรัสเรียกเราอย่างนี้ เพราะความไม่มีคุณวิเศษ มีฌานเป็นต้นแน่แท้."

 

         ท่านมีความสังเวชเกิดขึ้นแล้ว จึงคิดว่า "บัดนี้ เราจักเข้าไปสู่ป่าแล้วทำสมณธรรม" จัดแจงบาตรและจีวรเองทีเดียว ได้ออกไปพร้อมด้วยภิกษุผู้เรียนธรรม แล้วออกไปภายหลังภิกษุทั้งหมดในเวลาใกล้รุ่ง. พวกภิกษุนั่งสาธยายอยู่ในบริเวณ ไม่ได้กำหนดท่านว่า "อาจารย์." พระเถระไปสิ้น ๑๒๐ โยชน์แล้ว, เข้าไปหาภิกษุ ๓๐ รูป ผู้อยู่ในอาวาสราวป่าแห่งหนึ่ง ไหว้พระสังฆเถระแล้ว กล่าวว่า "ท่านผู้เจริญ ขอท่านจงเป็นที่พึ่งของกระผม."

 

         พระสังฆเถระ. "ผู้มีอายุ ท่านเป็นพระธรรมกถึก สิ่งอะไรชื่อว่าอันพวกเราพึงทราบได้ ก็เพราะอาศัยท่าน, เหตุไฉน ท่านจึงพูดอย่างนี้?"

         พระโปฐิละ. ท่านผู้เจริญ ขอท่านจงอย่าทำอย่างนี้ ขอท่านจงเป็นที่พึ่งของกระผม.

         ก็พระเถระเหล่านั้นทั้งหมด ล้วนเป็นพระขีณาสพทั้งนั้น. ลำดับนั้น พระมหาเถระส่งพระโปฐิละนั้นไปสู่สำนักพระอนุเถระ ด้วยคิดว่า "ภิกษุนี้มีมานะ เพราะอาศัยการเรียนแท้." แม้พระอนุเถระนั้นก็กล่าวกะพระโปฐิละนั้น อย่างนั้นเหมือนกัน. ถึงพระเถระทั้งหมด เมื่อส่งท่านไปโดยทำนองนี้ ก็ส่งไปสู่สำนักของสามเณรผู้มีอายุ ๗ ขวบผู้ใหม่กว่าสามเณรทั้งหมด ซึ่งนั่งทำกรรมคือการเย็บผ้าอยู่ในที่พักกลางวัน. พระเถระทั้งหลายนำมานะของท่านออกได้ด้วยอุบายอย่างนี้.

 

       พระโปฐิละนั้นมีมานะอันพระเถระทั้งหลายนำออกแล้ว จึงประคองอัญชลีในสำนักของสามเณรแล้วกล่าวว่า "ท่านสัตบุรุษ ขอท่านจงเป็นที่พึ่งของผม."

 

         สามเณร. ตายจริง ท่านอาจารย์ ท่านพูดอะไรนั่น ท่านเป็นคนแก่ เป็นพหูสูต เหตุอะไรๆ พึงเป็นกิจอันผมควรรู้ในสำนักของท่าน.

 

         พระโปฐิละ. ท่านสัตบุรุษ ท่านอย่าทำอย่างนี้ ขอท่านจงเป็นที่พึ่งของผมให้ได้.

 

         สามเณร. ท่านขอรับ หากท่านจักเป็นผู้อดทนต่อโอวาทได้ไซร้ ผมจักเป็นที่พึ่งของท่าน.

 

         พระโปฐิละ. ผมเป็นได้ ท่านสัตบุรุษ, เมื่อท่านกล่าวว่า "จงเข้าไปสู่ไฟ" ผมจักเข้าไปแม้สู่ไฟได้ทีเดียว.

 

         พระโปฐิละปฏิบัติตามคำสั่งสอนของสามเณร 

      

         ลำดับนั้น สามเณรจึงแสดงสระๆ หนึ่งในที่ไม่ไกล แล้วกล่าวกะท่านว่า "ท่านขอรับ ท่านนุ่งห่มตามเดิมนั่นแหละ จงลงไปสู่สระนี้."

 

         จริงอยู่ สามเณรนั้น แม้รู้ความที่จีวรสองชั้นซึ่งมีราคามาก อันพระเถระนั้นนุ่งห่มแล้ว เมื่อจะทดลองว่า "พระเถระจักเป็นผู้อดทนต่อโอวาทได้หรือไม่" จึงกล่าวอย่างนั้น.

 

         แม้พระเถระก็ลงไปด้วยคำๆ เดียวเท่านั้น.

 

         ลำดับนั้น ในเวลาที่ชายจีวรเปียก สามเณรจึงกล่าวกะท่านว่า "มาเถิด ท่านขอรับ" แล้วกล่าวกะท่านผู้มายืนอยู่ด้วยคำๆ เดียวเท่านั้นว่า "ท่านผู้เจริญ ในจอมปลวกแห่งหนึ่ง มีช่องอยู่ ๖ ช่อง, ในช่องเหล่านั้น เหี้ยเข้าไปภายในโดยช่องๆ หนึ่ง บุคคลประสงค์จะจับมัน จึงอุดช่องทั้ง ๕ นอกนี้ ทำลายช่องที่ ๖ แล้ว จึงจับเอาโดยช่องที่มันเข้าไปนั่นเอง, บรรดาทวารทั้งหก แม้ท่านจงปิดทวารทั้ง ๕ อย่างนั้นแล้ว จงเริ่มตั้งกรรม ๑ นี้ไว้ในมโนทวาร."

 

         ด้วยนัยมีประมาณเท่านี้ ความแจ่มแจ้งได้มีแก่ภิกษุผู้เป็นพหูสูต ดุจการลุกโพลงขึ้นแห่งดวงประทีปฉะนั้น.

 

         พระโปฐิละนั้นกล่าวว่า "ท่านสัตบุรุษ คำมีประมาณเท่านี้แหละพอละ" แล้วจึงหยั่งลงในกรชกาย

 

         พระศาสดาประทับนั่งในที่สุดประมาณ ๑๒๐ โยชน์เทียว ทอดพระเนตรดูภิกษุนั้นแล้วดำริว่า "ภิกษุนั้นเป็นผู้มีปัญญา (กว้างขวาง) ดุจแผ่นดินด้วยประการใดแล, การที่เธอตั้งตนไว้ด้วยประการนั้นนั่นแล ย่อมสมควร." แล้วทรงเปล่งพระรัศมีไป ประหนึ่งตรัสอยู่กับภิกษุนั้น

 

ปัญญาย่อมเกิดเพราะการประกอบแล, ความสิ้นไปแห่ง

 

ปัญญาเพราะการไม่ประกอบ, บัณฑิตรู้ทาง ๒ แพร่งแห่งความ

 

เจริญและความเสื่อมนั่นแล้ว พึงตั้งตนไว้โดยประการที่ปัญญาจะเจริญขึ้นได้.

 

         บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โยคา ความว่า เพราะการกระทำไว้ในใจโดยอุบายอันแยบคายในอารมณ์

 

         คำว่า "ภูริ" นั่น เป็นชื่อแห่งปัญญาอันกว้างขวาง เสมอด้วยแผ่นดิน. ความพินาศ ชื่อว่าความสิ้นไป.

 

         สองบทว่า เอตํ เทฺวธา ปถํ คือ ซึ่งการประกอบและการไม่ประกอบนั่น.

         บาทพระคาถาว่า ภวาย วิภวาย จ คือ แห่งความเจริญและความไม่เจริญ.

         บทว่า ตถตฺตานํ ความว่า บัณฑิตพึงตั้งตนไว้โดยประการที่ปัญญา กล่าวคือภูรินี้จะเจริญขึ้นได้.

 

         ในกาลจบพระคาถา พระโปฐิละเถระตั้งอยู่ในพระอรหัตแล้ว ดังนี้

 

พระธรรมพระวินัยนั้นมากมายแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ มันย่นย่อลงที่สติสัมปชัญญะ การเจริญสติสัมปชัญญะให้ปัญญากับความสงบไปพร้อม ๆ กัน มันจะได้ผลจะเห็นผล อย่างองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสว่าพระธรรมพระวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเปรียบเสมือนป่าไม้ทั้งป่าในโลกนี้ เราต้องรู้เข้าใจ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจเรื่องใบไม้  

 

พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมโปรดภิกษุที่ป่าประดู่ลาย โดยทรงหยิบใบไม้ขึ้นมากำมือหนึ่ง แล้วถามภิกษุว่า ใบไม้ในกำมือของพระองค์ กับใบไม้ทั้งหมดในป่าประดู่นี้ ใบไม้ที่ไหนมีมากกว่ากัน ภิกษุก็ได้ตอบว่า ใบไม้ในป่านี้ทั้งหมดมีมากกว่าในกำมือของพระองค์


    พระองค์จึงทรงตรัสต่อไปว่า เรื่องที่เรารู้น่ะเท่ากับใบไม้ทั้งป่า แต่ที่นำมาสอนเธอเท่ากับใบไม้ในกำมือ คือ สอนแต่เรื่องทุกข์กับเรื่องดับทุกข์เท่านั้น ส่วนเรื่องอื่น ๆ มีมากมาย เพราะตถาคตเจ้านั้นไม่ได้สอน สอนแต่เรื่องทุกข์กับเรื่องความดับทุกข์

การที่เรามีความเห็นที่สำคัญ เห็นคุณเห็นประโยชน์ในการเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ เพื่อการเจริญสติสัมปชัญญะ เอาความสงบกับปัญญา เอาสมถะกับวิปัสสนามาประพฤติมาปฏิบัติเพื่อติดต่อต่อเนื่องเพื่อเป็นมรรคเป็นอริยมรรค จะเป็นคุณเป็นประโยชน์ พระหลายรูปมีสติมีปัญญามาก ถ้าเอาสติปัญญามาใช้มาปฏิบัติการมาบวชก็จะเป็นคุณเป็นประโยชน์ ก็น่าเห็นอกเห็นใจทุก ๆ คน มาบวชมาปฏิบัติรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะธรรมารมณ์มีแต่ของอร่อยของแซบของลำของนัวของหรอยทั้งนั้น

 

การเดินทางด้วยความยากลำบาก เหมือนบุรุษผู้หญิงที่เดินข้ามทะเลทราย ทะเลทรายนั้นมันกันดาร ไม่มีอาหาร ไม่มีที่พักผ่อน บุรุษนั้นได้แบกไหน้ำผึ้งที่หวานหอม แต่ในน้ำผึ้งนั้นเจือด้วยยาพิษ ใครดื่มไปแล้วบริโภคไปแล้วก็ต้องตายทุกคน เราทั้งหลายต้องพากันเข้าใจอย่างนี้ว่าเราต้องผ่านธาตุผ่านขันธ์ผ่านอายตนะ สิ่งเหล่านี้เรียกว่านิมิต สิ่งที่ผ่าน ต้องเอาธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ เอาอายตนะ ๑๒ นี้มาพิจารณาเข้าสู่พระไตรลักษณ์ ว่าทุกอย่างไม่แน่ไม่เที่ยงไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน มาเห็นกรรมเก่าที่เราได้เกิดมาเราก็ต้องได้รับผลของกรรม เราต้องผ่านไปด้วยความรู้ความเข้าใจเราไม่ต้องไปสร้างกรรมใหม่ด้วยความรู้ความเข้าใจ เราต้องเข้มแข็งไม่ไปดื่มไปบริโภคอวิชชาความหลง เพราะนี้เป็นไฟต์ในการประพฤติการปฏิบัติของเรา ถ้าเราสงบมาก ๆ เห็นภัยในวัฏฏสงสาร ถ้าเรามีปัญญามาก ๆ รู้ว่านี้เราต้องผ่านไป เราเซฟตี้เราด้วยความรู้ความเข้าใจ ไม่เห็นความปรุงแต่งมาปรุงแต่งเราได้ ระลึกถึงพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ประเสริฐ ที่ท่านตรัสก่อนไว้ก่อนที่จะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานท่านเมตตาตรัสไว้ว่า

 

“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”

 

เราจะไปใจอ่อนไม่ได้ สัมมาสมาธิต้องใจตั้งมั่นต้องหยุดความปรุงแต่งด้วยความตั้งใจมั่น เพราะความปรุงแต่งนี้มันเป็นวัฏฏสงสาร เพราะความปรุงแต่งนั้นมันเป็นตัวเป็นตนให้รู้เข้าใจในความปรุงแต่ง ความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงนั้นอยู่ที่ความปรุงแต่ง การมาระงับสังขารความปรุงแต่งนั้นคือความดับทุกข์ ให้พวกเราระลึกถึง พระธรรมคำสั่งสอนของหลวงปู่มั่น ท่านเมตตาตรัสไว้ว่า

 

ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ

ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ

ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู

ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรม ความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละ คือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะ พระนิพพานคือความสงบและปัญญา พระนิพพานนั้นอยู่นอกเหตุเหนือผล ต้องหยุดความปรุงแต่งด้วยความรู้ความเข้าใจ ขออนุโมทนากับท่านทั้งหลายนะ ท่านทั้งหลายเป็นผู้ประเสริฐเป็นผู้ที่มีลมปราณ ได้มีโอกาสได้มีเวลาได้มาบรรพชาอุปสมบท ได้มาประพฤติปฏิบัติได้มาอยู่ร่วมรวมกันได้ไปในทางหนึ่งทางเดียวกัน จุดมุ่งหมายปลายทางคืออันเดียวกัน คือพระนิพพาน

 

 

-----------------------------

 

โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม

เมตตาให้ไว้ในเช้าวันที่ ๒๔ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

 ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

 

Visitors: 98,212