๒๕ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๒๕ เดือนกรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
เราพากันมาบวชมาประพฤติมาปฏิบัติธรรม การมาบวชมาประพฤติมาปฏิบัติธรรม เราทุกคนต้องตั้งใจตั้งเจตนา เพื่อประพฤติปฏิบัติปฏิปทาให้ติดต่อต่อเนื่องสม่ำเสมอ เอาพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ข้อวัตรกิจวัตรดำเนินชีวิตในชีวิตประจำวัน เน้นมาที่ตัวเรา ไม่มองคนอื่น ถ้ามองคนอื่นก็มองเพื่อจะเป็นผู้ให้เพื่อจะเป็นผู้เสียสละ การมาบวชของเราถึงจะมีบุญใหญ่มีอานิสงส์มาก
ใจของเราความรู้สึกนึกคิดของเรา คนอื่นเค้าไม่รู้แต่ตัวเราต้องรู้ ผู้ที่มาบวชมาปฏิบัติธรรม ต้องมายกเลิกในการตรึกนึกคิดในเรื่องของกาม ในเรื่องของพยาบาท เราต้องเป็นผู้ละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป ไม่ตรึกในกาม ไม่ตรึกในพยาบาท ถ้าเราตรึกในกามตรึกในพยาบาท ถึงเราจะปลงผมนุ่งห่มผ้าจีวร หรือใส่ชุดสีขาวปฏิบัติธรรมเช่นบวชเป็นชี ก็เป็นเพียงภายนอก เป็นเพียงรูปแบบ รูปแบบนั้นมันดีแล้ว เราต้องเข้าสู่รูปแบบทั้งกายวาจาใจกิริยามารยาท
เราต้องพากันนอนพากันพักผ่อนให้เพียงพอ นักบวชหรือผู้ปฏิบัติธรรมนอนวันละ ๕ ชั่วโมง ๖ ชั่วโมง นอน ๓ ทุ่มตื่นตี ๓ ปฏิบัติให้สมบูรณ์แบบ ทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพใจให้สมบูรณ์แบบ ให้เกิดความสงบเกิดปัญญา เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา
ให้มีปฏิปทาติดต่อต่อเนื่องสม่ำเสมอ ไม่มีมายาสาไถย ไม่มีต่อหน้าและลับหลัง เน้นบริสุทธิที่ใจที่เจตนา เพราะการประพฤติการปฏิบัติธรรมนั้นต้องไม่มีต่อหน้าและลับหลัง ถ้ามีต่อหน้าและลับหลังนั้นยังไม่ใช่ธรรมไม่ใช่ปัจจุบันธรรมมันยังเป็นตัวเป็นตนเป็นโลกธรรม
เราทุกคนต้องเอาความสงบกับปัญญาไปพร้อม ๆ กัน สติสัมปชัญญะ เป็นพื้นเป็นฐานของเราทุกคน ทุกคนต้องเจริญสติสัมปชัญญะเพื่อความสงบและปัญญา เป็นสติปัฏฐาน กายเวทนาจิตธรรม ให้ความสงบกับปัญญาเสมอกันไป
การปฏิบัตินั้นไม่ใช่เก่าไม่ใช่ใหม่ ให้เข้าใจอย่างนี้ ถ้ามีเก่ามีใหม่มันก็ไม่ใช่ความสงบ ไม่ใช่ปัญญา เพราะมันมีความปรุงแต่ง มันยังเป็นตัวเป็นอยู่ เราทุกคนมาทำหน้าที่ของตัวเองให้สมบูรณ์ด้วยบริสุทธิคุณ คำว่าคุณนี้ไม่มีโทษ พุทธคุณ ธัมมคุณ สังฆคุณเป็นสิ่งที่ไม่มีโทษ เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบปฏิบัติตรง เป็นความสงบเป็นปัญญา เราต้องเอาปฏิปทานี้มาประพฤติมาปฏิบัติ อย่าให้สัญชาตญาณที่มันเป็นนิติบุคคลตัวตนมาครอบงำเรา มาครองใจของเรา
พระพุทธเจ้าท่านเป็นลูกหลานของศาสนาพราหมณ์มาก่อน ท่านมีความเห็นว่าเข้าใจว่า ศาสนาพราหมณ์อาศัยความสงบอาศัยความวิเวก อาศัยความตั้งใจเจตนา ท่านมีความเห็นความเข้าใจด้วยปัญญาว่า มนุษย์เรานี้มันไม่ใช่มีแต่ใจอย่างเดียว มันมีกายด้วย ท่านถึงมาพิจารณาด้วยปัญญา เรื่องปฏิจจสมุปบาท
ปฏิจสมุปบาทได้แก่เรื่องจิตเรื่องใจ เรื่องเหตุเรื่องผล เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี ถ้าไม่มีเหตุไม่มีปัจจัยสิ่งต่อไปมันก็ไม่มี มันก็มีเพียงแค่นี้ ท่านถึงให้เอาปัญญากับความสงบมาประพฤติมาปฏิบัติ เพื่อจะให้เราเข้าถึงความว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ไม่ใช่ว่างจากสิ่งที่ไม่มี ถ้าไม่อย่างนั้นเราก็จะไปหาความสงบจากตาไม่เห็นรูป หูไม่ได้ยินเสียง จมูกไม่ได้ดมกลิ่น ลิ้นไม่ได้ลิ้มรส กายไม่ได้สัมผัส จะไปหาความสงบความวิเวกจากสิ่งที่ไม่มี มันก็เป็นเรื่องยากเป็นของยาก
ท่านถึงมีหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม ให้มีพรหมจรรย์สำหรับฆราวาสสำหรับประชาชน ให้มีพรหมจรรย์สำหรับนักบวช พรหมจรรย์สำหรับประชาชนสำหรับฆราวาสผู้ครองเรือน อยู่ในระดับที่เอาธรรมนำชีวิต มีธุรกิจหน้าที่การงานที่เป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ มีความสงบและปัญญาไปพร้อม ๆ กัน เอาการเอางานกับการปฏิบัติธรรมให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มนุษย์ก็จะได้ทั้งงานได้ทั้งจิตใจไปพร้อม ๆ กัน เพื่อเป็นธรรมเป็นธรรมนูญ
วัน ๗ ค่ำ ๘ ค่ำ วัน ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำเป็นวันหยุดงานของฆราวาสผู้ครองเรือน เพื่อไปรักษาศีลอุโบสถอยู่ที่วัด เพื่อยกเลิกธุรกิจหน้าที่การงาน ไปรักษาศีลอุโบสถ ประพฤติปฏิบัติธรรมด้วยการถือศีลอุโบสถ สมัยพุทธกาลมีหลักการผู้ที่เป็นฆราวาสผู้ครองเรือนที่เป็นมนุษย์อยู่ที่ไหนก็รักษาศีลอุโบสถ อยู่บ้านก็รักษาศีลอุโบสถอยู่ที่บ้าน ไปวัดไปอยู่ที่วัดก็รักษาศีลอุโบสถอยู่ที่วัด เน้นที่ใจเน้นที่เจตนา เน้นที่ตัวของผู้นั้นเพื่อตั้งใจตั้งเจตนา เพื่อฝึกตั้วเองปฏิบัติตัวเอง เดือนหนึ่งมีเวลาอยู่ ๘ วัน วัน ๗ ค่ำ ๘ ค่ำ เป็นวันพระน้อย วัน ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำเป็นวันพระใหญ่
ปัจจุบันนี้โลกได้พัฒนาเทคโนโลยีเพื่ออำนวยความสะดวกความสบาย ได้มีความเห็นไปในทางเดียวกัน เอาวันเสาร์วันอาทิตย์เป็นวันหยุด เพื่อพัฒนาจิตใจคุณธรรม เพื่อเอาธรรมนำชีวิต เอาความสงบและปัญญานำชีวิต ได้มีการหยุดวันเสาร์วันอาทิตย์เพื่อพัฒนาธรรมพัฒนาคุณธรรม เดือนหนึ่งก็วันหยุดภาคบังคับ ๘ วันเช่นเดียวกัน
เราทั้งหลายพากันรู้พากันเข้าใจ ที่พากันมาบวชพากันมาปฏิบัติ เราเป็นฆราวาสก็ต้องเน้นที่จิตที่ใจที่เจตนา ไม่มีต่อหน้าและลับหลังเช่นเดียวกัน เพราะคำว่าต่อหน้าและลับหลังมันเป็นเรื่องของความมารยาสาไถยหลีกเลี่ยงแก้ตัวมันเป็นการสร้างภาพ มันเป็นการหลอกลวง เราทุกคนพากันดูใจของตัวเอง เรามีต่อหน้าและลับหลังไหม ทุกคนก็ต้องรู้แก่ใจ การที่มีความรู้สึกต่อหน้าและลับหลังมันคือความด่างพร้อย มันคือความสกปรกความเศร้าหมอง
การที่เราประพฤติปฏิบัติในหน้าที่ทุกอย่างให้รู้เข้าใจ เราปฏิบัติเพื่อให้เกิดความสงบให้เกิดปัญญา ไม่เป็นคนมักง่าย หยาบคายเห็นแก่ตัว เราถึงลงรายละเอียดของเรา เพื่อไม่ให้เราเห็นแก่ตัวไม่ให้เราฟุ้งซ่าน เข้าสู่ความสงบและปัญญาเรียกว่าเข้าสู่มาตรฐาน เข้าสู่ มอก. เอากายวาจากิริยามายาทอาชีพธุรกิจหน้าที่การงานให้เกิดความสงบเกิดความพอเพียงเพียงพอ ความสงบกับความเคารพไม่มีมารยาสาไถย ไม่หลีกเลี่ยงแก้ตัว เป็นเรื่องสติเรื่องสัมปชัญญะ
กลางวันเป็นเวลาทำงาน กลางคืนเป็นเวลาพักผ่อน มนุษย์เราอยู่กับการทำงาน กลางวันอยู่กับการทำงาน มีความสุขกับการทำงาน งานทางกายวาจากิริยามารยาทงานที่เป็นอริยมรรคเป็นหลักของความสงบ เป็นหลักของปัญญา
พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ไม่มีประวัติศาสตร์ในการนอนการพักผ่อนกลางวัน ถ้าจะพักผ่อนก็พักผ่อนด้วยสมาธิด้วยสมาบัติด้วยนิโรธสมาบัติ พระพุทธเจ้าทรงบรรทมพักผ่อนเพื่อให้ธาตุให้ขันธ์อายตนะพักผ่อนภายใน ๒๔ ชั่วโมง ทรงบรรทมพักผ่อนเพียง ๔ ชั่วโมง เพื่อเสียสละให้ธาตุให้ขันธ์ให้อายตนะ เพื่อให้ธาตุขันธ์อายตนะหยุดทำงาน การบรรทมการพักผ่อนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือการเสียสละ พระพุทธเจ้าทรงทำงานเพื่อหมู่มวลมนุษย์เทพเทวา ให้กับสรรพสัตว์ทั้งหลาย ๒๐ ชั่วโมง พระพุทธเจ้านั้นท่านมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตา มีศีลมีสมาธิมีปัญญา มีพระนิพพานอยู่ตลอดกาลตลอดเวลาด้วยมีสติมีความสงบมีสัมปชัญญะ
เรามาบวชมาปฏิบัติธรรมเราต้องเอาพระพุทธเจ้าเป็นหลัก พระพุทธเจ้าน่ะไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน พระพุทธเจ้าคือพระธรรมพระวินัย ที่ย่อยออกมาเป็นข้อวัตรกิจวัตร
เราอยู่ที่บ้านเราอยู่กับการงาน อยู่กับธุรกิจหน้าที่การงาน เป็นเครื่องอยู่ทั้งกายวาจาใจกิริยามารยาทเป็นเครื่องอยู่ เรามาบวชมาประพฤติปฏิบัติธรรม เราต้องมีพระธรรมพระวินัยเป็นเครื่องอยู่ อยู่กับความสงบอยู่กับปัญญา ยกเลิกวัฏฏสงสาร ยกเลิกตัวยกเลิกตน เราเอาพระธรรมพระวินัยข้อวัตรข้อปฏิบัติเป็นกัลยาณมิตร เพื่อพระธรรมพระวินัยเป็นเครื่องอยู่ การคบค้าสมาคม อะเสวะนา ที่เกี่ยวข้องนั้นถึงเป็นเบื้องต้นของชีวิต
เราทุกคนต้องรู้เข้าใจเรื่องผัสสะ เรื่องสิ่งแวดล้อม เรามีตาหูจมูกลิ้นกายใจมันก็มีสิ่งแวดล้อม เราต้องมีปัญญา เราต้องมีความสงบ เป็นผู้มีพระธรรมพระวินัยเป็นเครื่องอยู่ มีข้อวัตรข้อปฏิบัติเป็นเครื่องอยู่ เรามาทำหน้าที่ของตัวเราให้สมบูรณ์ เป็นตัวของตัวเอง เป็นส่วนของเรา เป็นส่วนภายใน เป็นส่วนภายนอก ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะตั้งอยู่ด้วยความสงบด้วยปัญญา ไม่มีการลิดรอนสิทธิซึ่งกันและกันด้วยความรู้ความเข้าใจ
เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เราต้องเอาพระธรรมนำชีวิต เอาข้อวัตรกิจวัตรนำชีวิต เราต้องตัดเราตัดเขา ส่วนภายนอกให้เป็นภายนอกไปเป็นปกติของภายนอก ส่วนภายในก็เป็นปกติของภายใน ถ้าเรามีความปรุงแต่งหรือไปตามสิ่งแวดล้อมก็ชื่อว่าไม่ปกติน่ะ ศีลถึงมีความหมายที่ออกจากปัญญา ศีลนี้เป็นสิ่งที่ไม่ไปตามผัสสะ ไม่ไปตามอารมณ์ ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม ศีลนี้ถึงให้ความหมายว่าปกติ หรือให้ความหมายว่าสงบ หรือให้ความหมายว่าสมถะ
เราอยู่ที่บ้าน อยู่กับในเรื่องกามในเรื่องพยาบาท อยู่กับหนังอยู่กับละคร อยู่กับเพลงอยู่กับคอนเสิร์ต เรามาอยู่วัดเราต้องหยุดเครื่องอยู่ที่มีเครื่องอยู่อย่างนั้น คนรุ่นใหม่สมัยใหม่อยู่กับโทรศัพท์มือถือ อยู่กับอินเทอร์เนทเฟซบุ๊ค ทุกคนน่ะทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ทั้งผู้เฒ่าอากงอาม่า เรามาบวชมาปฏิบัติธรรม เราต้องหยุดเครื่องอยู่สิ่งเหล่านั้น
ตามหลักการแล้ว ผู้ที่เป็นนักบวชผู้ที่ประพฤติปฏิบัติธรรม ต้องมาเปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่ด้วยความรู้ความเข้าใจ มาฝึกมาปฏิบัติ มาเจริญสติสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อมให้มากขึ้น ให้มีความสงบมีปัญญาให้มากขึ้น ทุก ๆ คนน่ะมุ่งฝึกตัวเอง ตั้งใจตั้งเจตนา
ในเมืองไทยเราในประเทศไทยเรา ๙๙.๙ เปอร์เซ็นต์ยังไม่รู้ไม่เข้าใจ ละเอียดลึกซึ้ง เข้าใจเพียงผิวเผิน ไม่เข้าถึงการประพฤติการปฏิบัติ เป็นเพียงรูปแบบ ทำตามกันที่เป็นประเพณีที่ดีงาม ยังไม่เข้าถึงความละเอียดความประณีต ยังไม่เข้าถึงความสงบถึงปัญญา ได้พากันมาบวชในรูปแบบ ปลงผมนุ่งห่มผ้าจีวร ยังไม่ได้เข้าถึงความตั้งใจเจตนา ยังไม่ได้เข้าถึงความสงบถึงปัญญา
ความรู้ความเข้าใจนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ เราไปเรียนไปศึกษาที่โรงเรียนก็เพื่อความรู้ความเข้าใจเราไปค้นคว้าทางเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ ก็เพื่อความรู้ความเข้าใจ ฟังการบรรยายก็เพื่อความรู้ความเข้าใจ ถ้าเรารู้เราเข้าใจแล้ว จะได้เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตใหม่ เพื่อเป็นไปตามกระบวนการของปฏิจสมุปบาททั้งฝ่ายวัตถุทั้งทางกายวาจากิริยามารยาททั้งทางใจด้วยความตั้งใจตั้งเจตนา พระศาสนาเป็นสิ่งที่ขลังศักดิ์สิทธิ์ พระธรรมพระวินัยเป็นสิ่งที่ขลังศักดิ์สิทธิ์ เป็นสิ่งที่เซฟตี้ทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพ เซฟตี้ทางใจ พระธรรมพระวินัยถึงเป็นสิ่งที่ขลังศักดิ์สิทธิ์ให้พวกเราเข้าใจ เราจะไปทิ้งพระธรรมพระวินัยมันจะขลังศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร เราไปเอาพระธรรมพระวินัยที่ขลังศักดิ์สิทธิ์มาหาอยู่หาฉัน นั้นไม่ได้ เพราะทรัพยากรนั้นได้มาจากงบประมาณแผ่นดิน ได้มาจากศรัทธาประชาชน ไม่ใช่ได้มาจากของเราเอง ได้มาจากของผู้อื่นน่ะ
ผู้ที่มาบวชมาปฏิบัติธรรมให้รู้ให้เข้าใจว่าเรากำลังใช้ทรัพยากรของแผ่นดิน ใช้ทรัพยากรของศรัทธามหาชน เราต้องทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ทั้งประโยชน์มหาชนและประโยชน์ของเราด้วยความตั้งอกตั้งใจตั้งเจตนาด้วยความไม่ประมาท เราไม่มีความทุกข์อยู่แล้ว เพราะเรารู้เข้าใจ เพราะว่าพระธรรมพระวินัยมีแต่คุณมีแต่ประโยชน์ เพราะสิ่งเหล่านั้นเป็นพุทธคุณ ธัมมคุณ สังฆคุณ เป็นสุคโต อยู่ด้วยพระธรรมพระวินัยมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตา
ชีวิตของเราก้าวไปด้วยความสว่างไสวเหมือนขบวนเสด็จมีไซเรนจราจรสว่างไสวทั้งข้างหน้าข้างหลังด้วยเสียงหวอ ว้าว ว้าว ว้าว ไป พระธรรมพระวินัยก็เช่นเดียวกัน มีแต่ความสงบมีแต่ปัญญา มันเป็นการทำที่สุดแห่งความดับทุกข์ มีแต่คุณไม่มีโทษ
เรามาบวชมาปฏิบัติเราต้องตั้งใจ ต่อยอดจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต่อยอดจากพระอรหันต์ขีณาสพให้เข้าใจอย่างนี้ เราอย่าพากันมาบวชเพื่อเอาพระศาสนาหาอยู่หากินหาหลงเพราะว่าไม่ถูกต้องไม่เป็นธรรมไม่ยุติธรรม เราบวชมาทุกคนก็เห็นด้วยทุกคนก็โอเค ให้เอาตัวอย่างแบบอย่างขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เอาตัวอย่างแบบอย่างของพระอรหันต์ขีณาสพ อย่าไปกลัวตายอย่าไปกลัวอดตาย อย่าไปรับเงินรับสตางค์ อย่าไปเก็บสังฆทาน เพราะทุกคนเห็นดีด้วยทุกคนโอเคด้วย
เราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตัวของเราเองก็ภูมิใจ เคารพกราบไหว้ คนอื่นก็เคารพศรัทธา เป็นตัวอย่างเป็นแบบอย่าง เป็นแบบเป็นพิมพ์ เราจะเป็นใครมาจากไหน อาการครบ ๓๒ นั้นเป็นอันใช้ได้ ไม่เป็นคนพิการ ไม่เป็นคนบ้า ไม่เป็นคนโรคจิตโรคประสาท ถ้าเราเป็นโรคประสาทไม่มากเกิน คนที่เป็นโรคประสาทถ้ามาประพฤติปฏิบัติความดีที่ประกอบด้วยปัญญานั้นก็จะทำให้สมองนั้นได้เซฟตี้ ความดีที่ประกอบด้วยปัญญามันจะเซฟตี้ มันจะทำให้สมองนั้นดีขึ้น ให้มีความสงบมีปัญญาดีขึ้นด้วยการประพฤติการปฏิบัติติดต่อต่อเนื่อง
การปฏิบัติความดีที่ประกอบด้วยปัญญามันต้องติดต่อต่อเนื่องเหมือนไก่มันฟักไข่ ใช้เวลา ๓ อาทิตย์ถึงออกมาเป็นลูกไก่ จะฟักด้วยไฟฟ้า หรือฟักด้วยแม่ไก่ก็ใช้เวลา ๓ อาทิตย์เหมือนกัน ความดีที่ประกอบด้วยปัญญาบริสุทธิคุณที่เป็นสัมมาทิฏฐินั้น จะทำให้โรคประสาทนั้นหายได้ เราไปกินยารักษาโรคจิตโรคประสาทนั้นเราไปแก้ที่ปลายเหตุ ต้นเหตุนั้นอยู่ที่ใจ ใจต้องรู้ต้องมีหลักการที่จะหยุดความปรุงแต่ง เพราะความปรุงแต่งนั้นคือความไม่สงบ คือความไม่หยุด คือความปรุงแต่ง
ถ้าเรามามีความสุขในการทำงาน ในการรักษาศีล ในการปฏิบัติธรรม ความสุขนั้นจะทำให้เราหายจากโรคจิตโรคประสาทโรคซึมเศร้าได้ ตัวตนนั้นแหละมันเป็นโรคซึมเศร้า โรคซึมเศร้านั้นคือโรคลิดรอนสิทธิความอยากได้อยากมีอยากเป็นนี้คือการลิดรอนสิทธิ ความไม่อยากได้ไม่อยากมีอยากเป็น นี้แหละคือการลิดรอนสิทธิ มันไม่ใช่ความสงบมันไม่ใช่ปัญญา แต่มันเป็นนิติบุคคลตัวตน มันจะทำให้เราเป็นโรคจิตโรคประสาท เราทั้งหลายถึงต้องไม่ทำตามใจตัวเอง เราไปตามใจตัวเองจนเคยชิน ถ้าเปรียบถนนก็เปรียบถนนโล่งเคยชินเป็นซุปเปอร์ไฮเวย์เลย นี้โล่งสว่างไสวด้วยความหลง สว่างไสวด้วยความเคยชิน
อานาปานสติเรามาบวชมาปฏิบัติเราต้องเอามาใช้เอามาปฏิบัติ อานาปานสติก็ได้แก่ลมหายใจเข้าหายใจ พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ก็อยู่กับความสงบอยู่กับปัญญา อยู่กับอานาปานสตินี้แหละ อานาปานสติคืออยู่กับลมหายใจเข้าหายใจออก เพราะปกติเรามีตาหูจมูกลิ้นกายใจ เราสัมผัสอะไรก็ไปตามผัสสะนั้น ๆ เราต้องใช้หลักอานาปานสตินี้แหละเป็นเครื่องฝึก ฝึกหายใจเข้าฝึกหายใจออกให้ชำนิชำนาญ พากันประพฤติปฏิบัติทุกอิริยาบถ ฝึกหายใจเข้าหายใจออกให้สบาย หายใจเข้าให้สบายหายใจออกให้สบายเพื่อเราจะไม่ได้ไปตามผัสสะ ไม่ได้ไปตามสิ่งแวดล้อม
ประเทศไทยเราน่ะ ท่านหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายกรรมฐาน ท่านได้สอนให้บริกรรมพุทโธควบคู่ไปกับลมหายใจเข้าหายใจออก เพื่อเป็นหลักการ เพื่อเป็นการเจริญสติสัมปชัญญะ เพื่อให้อยู่กับความสงบอยู่กับปัญญา เพื่อจะลดแรงอารณ์ลดแรงผัสสะ เราจะได้ชะลอความเร็วของความปรุงแต่ง
การเจริญอานาปานสตินี้ไม่ใช่ใช้เฉพาะนั่งสมาธินะ เพื่อให้สติสัมปชัญญะของเราสมบูรณ์ ต้องฝึกทุก ๆ อิริยาบถ การฝึกอานาปานสตินี้มันจะมีความสงบมีปัญญา จะทำให้ศีลสมาธิปัญญานี้มีความก้าวหน้าติดต่อต่อเนื่อง เมื่อเรามีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ มันก็จะตัดเรื่องอดีตอนาคต ปัจจุบันก็มีแต่ความว่าง มีแต่ความสงบมีแต่ปัญญา มีแต่พระธรรมพระวินัย คนที่ฟุ้งซ่านระลึกถึงความตายก็ไม่สงบ อยู่กับลมหายใจก็ไม่สงบ ให้ใช้ไม้ตายไม้เด็ดขาดเลย สต๊อปอยู่ลมหายใจไว้ ใจมันจะขาดเดี๋ยวมันก็จะสงบเอง ทำอย่างนี้หลาย ๆ ครั้ง ใช้เวลา ๑๐ นาที ๑๕ นาที ๓๐ นาที อย่างนี้แหละแก้ปัญหาได้ เพราะเราเป็นคนมีปัญญามาก คนมีปัญญามามันก็ฟุ้งซ่านมาก เพราะความสงบกับปัญญามันไม่สมดุลกัน
เรามาบวชมาปฏิบัติ ต้องให้ใจของเราสะอาด วาจาของเราสะอาดกิริยามารยาทสะอาด อาชีพของเราสะอาด อาชีพของเราน่ะคือสัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีวิตชอบด้วยพระธรรมพระวินัยปฏิบัติธรรมมุ่งมรรคผลพระนิพพาน ไม่มีต่อหน้าและลับหลัง ไม่มีมารยาสาไถย เราต้องสะอาดทั้งภายนอกภายในให้เข้าใจอย่างนี้
ที่เรามองเห็นภายนอก วัดวาอารามไม่สะอาด ห้องน้ำห้องสุขากุฏิวิหารลานเจดีย์ไม่สะอาด นี้เป็นเครื่องหมายของวัดนั้นไม่มีการประพฤติการปฏิบัติธรรม ถ้ามีการประพฤติการปฏิบัติธรรมวัดต้องสะอาด วัดต้องสงบ วัดเราขณะนี้เวลานี้แหละความสะอาดอยู่ที่ประชาชนมองเห็นว่า วัดนี้สะอาดดีห้องน้ำห้องสุขากุฏิวิหารอะไรก็สะอาด น่าชื่นน่าชม สะอาดระดับนี้ก็ยังจัดอยู่ในระดับอยู่ระดับคนบ้า ระดับคนโรคจิตโรคประสาทนะ
ทำไมถึงว่าอย่างนั้น ก็เพราะหลวงพ่อฯให้พวกคนโรคจิตโรคประสาททำความสะอาดห้องน้ำห้องสุขาดูแลต้นไม้ให้เขียวชอุ่มเขียวขจี ยังถือว่าไม่ใช่ระดับปัญญาชนนะ ยังไม่ใช่สุปฏิปันโนปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เพราะคนพวกนี้หลวงพ่อฯหางานให้เค้าทำ เค้าจะได้มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาเค้าจะได้มีความดีมีเครื่องอยู่ จิตใจเค้าจะได้สงบลง ถ้าเค้าตั้งใจทำอย่างนี้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติเดี๋ยวเค้าก็จะค่อยดีขึ้น เมื่อเรารู้เข้าใจอย่างนี้แหละ
เราทั้งหลายต้องรู้ว่าพระธรรมพระวินัยนี้แหละที่ตั้งใจตั้งเจตนา ไม่มีต่อหน้าและลับหลัง ต้องสะอาด ผู้ที่บวชมาถึงต้องสะอาด เราอย่าไปคิดว่าเรื่องใจของเราน่ะไม่มีใครมารู้มาเห็นมันเป็นเรื่องของเราเป็นเรื่องส่วนตัว อย่างนั้นไม่ได้ มันบวชแต่กายใจมันไม่ได้บวชมันจะมีประโยชน์อะไร เราคิดอย่างนั้น เราจะพากันมาบวชทำไม มาบวชแล้วก็ไม่ได้เป็นพระธรรมเป็นพระวินัย มันยังเป็นตัวเป็นตนอย่างนี้
เราอย่าไปคิดว่าถ้าปฏิบัติเหมือนพระพุทธเจ้าเหมือนพระอรหันต์ในโลกนี้จะมีใครทำได้ปฏิบัติได้
การบวชการปฏิบัตินี้ให้เรารู้เข้าใจนะ สิ่งที่มันทำไม่ได้ก็เพราะเราเอาตัวเรานำชีวิต เอาตัวตนนำชีวิต ไม่เอาความสงบม่ได้เอาปัญญานำชีวิต เราไม่ได้ยกเลิกตัวตนมันจะปฏิบัติได้อย่างไร เพราะตัวตนนั้นคือการทำไม่ได้ ถ้าเรายกเลิกตัวตนแล้วมันได้น่ะ
ให้พากันเข้าใจ ถ้าคิดว่าทำไม่ได้ปฏิบัติไม่ได้ก็อย่าพากันมาบวช มาบวชแล้วปฏิบัติไม่ได้ก็ให้พากันลาสิกขาเสีย ให้ถือคติว่าไม่มีพระก็อย่าให้มีโจร ให้มันเจ๊ากันไป จะได้ไม่เสียงบประมาณแผ่นดิน จะได้ไม่เสียงบประมาณของศรัทธาผู้สนับสนุนด้วยปัจจัย ๔ ที่เค้าพากันสร้างบารมี
เราบวชมาถ้าเราไม่ตั้งอกตั้งใจ เราทั้งหลายจะไม่ได้เป็นพระธรรมเป็นพระวินัยนะ จะพากันมาเป็นสมีนะ สมีก็หมายถึงว่าเป็นสามี สามีคือมาเป็นผัวเขาน่ะ ตัวตนคือมีลูกมีเมียมีครอบครัว นั่นแหละคือสมี เราไม่เอาพระธรรมพระวินัยนั่นแหละเรากำลังเป็นสมีอยู่ ถ้าเรามีตัวมีตนอยู่ในเครือข่ายของสมีทั้งนั้น เพราะบริสุทธิคุณทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งใจคือความสงบคือปัญญา มันยกเลิกครอบครัว ยกเลิกสมี
ให้รู้ให้เข้าใจ นักบวชชายก็ให้เข้าใจอย่างนี้ นักบวชหญิงก็ให้เข้าใจอย่างนี้ ให้เข้าใจคำว่าครอบครัว ใครมีตัวมีตนคือบุคคลนั้นมีครอบครัว มันครอบไว้ ครอบงำไว้ มันเป็นความปรุงความแต่ง เป็นความวุ่นวายเป็นความขัดข้อง มันเป็นความไม่สงบ เหมือนพระยสะผู้เป็นบุตรชายของเศรษฐี มีตัวมีตนมันก็ทุกข์ เพราะตัวตนนั้นมีแต่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป เพราะตัวตนนั้นคือความทุกข์ เพราะตัวตนนั้นคือความปรุงแต่ง ได้เดินไปบ่นไป
พระยสเถระ ท่านเป็นบุตรของเศรษฐี ในกรุงพาราณสี ซึ่งมีเรือน ๓ หลังเป็นที่อยู่ในสามฤดู ครั้งหนึ่งในช่วงของฤดูฝน ยสกุลบุตรอาศัยอยู่ในเรือนซึ่งเป็นที่อยู่ในฤดูฝน มีสตรีล้วนประโคมดนตรีบำรุงบำเรอ ในคืนหนึ่ง ยสกุลบุตรนอนหลับก่อนหมู่ชนที่เป็นบริวาร
เมื่อตื่นขึ้นมาตอนใกล้รุ่ง จึงเห็นหมู่ชนที่เป็นบริวารของตนนอนหลับมีอาการพิกลต่าง ๆ ไม่เป็นที่พอใจปรากฏแก่ยสกุลบุตร ดุจซากศพที่ทิ้งอยู่ในป่าช้า ยสกุลบุตรเกิดความสลดใจ เบื่อหน่าย จึงอุทานออกมาว่า "ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ" สวมรองเท้าเดินออกจากประตูเมือง มุ่งหน้าไปสู่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน
ในเวลาจวนใกล้รุ่ง พระบรมศาสดาเสด็จจงกรมอยู่ในที่แจ้ง ทรงได้ยินเสียงยสกุลบุตรเปล่งอุทานเดินใกล้เข้ามา จึงตรัสเรียกว่า "ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง มาที่นี่เถิด เราจักแสดงธรรมแก่ท่าน"
ยสกุลบุตรได้ยินเสียงตรัสเรียกอย่างนั้นแล้วจึงถอด รองเท้าเดินเข้าไปถวายบังคม นั่ง ณ ที่สมควรแห่งหนึ่ง พระบรมศาสดาทรงแสดงพระธรรมเทศนาชื่อว่า "อนุปุพพิกถา" เพื่อฟอกจิตใจยสกุลบุตรให้ห่างไกลจากความยินดีในกาม ต่อมาพระองค์ทรงแสดง "อริยสัจ ๔" ยสกุลบุตรได้เห็นธรรมพิเศษ ณ สถานที่นั้นนั่นเอง ในภายหลังได้พิจารณาภูมิธรรมที่ตนเห็นแล้ว จิตก็พ้นจากอาสวะ ไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน สำเร็จเป็นพระอรหันต์
ส่วนมารดาของยสกุลบุตร (มารดาของยสกุลบุตร คือนางสุชาดา ผู้เคยถวายข้าวมธุปายาสแด่พระมหาบุรุษก่อนตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า) พอรุ่งเช้าก็ขึ้นไปบนเรือนไม่เห็นลูก จึงบอกแก่เศรษฐีผู้เป็นสามีให้ทราบ
เศรษฐีใช้ให้คนไปตามหาในทิศทั้งสี่ ส่วนตนเองก็เที่ยวตามหาอีกทางหนึ่งด้วย แต่บังเอิญเดินทางมุ่งสู่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ได้เห็นรองเท้าของลูกชายวางอยู่ ณ ที่นั้นจึงตามไป
เมื่อเศรษฐีเดินไปถึงแล้วพระบรมศาสดาจึงแสดงพระธรรมเทศนาชื่อว่า อนุปุพพิกถา และ อริยสัจ ๔ ในที่สุด แห่งพระธรรมเทศนา เศรษฐีได้ดวงตาเห็นธรรม ทูลสรรเสริญพระธรรมเทศนา แสดงตนเป็นอุบาสก ว่า "ข้าพระพุทธเจ้าขอ ถึงพระองค์ พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นสรณะ ที่พึ่งที่ระลึก ขอพระองค์จงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสกผู้ถึงพระรัตนตรัย เป็นที่ระลึกตลอดชีวิตตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป"
เศรษฐีนับได้ว่าเป็นอุบาสกที่อ้างเอาพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เป็น สรณะก่อนกว่าชนทั้งปวงในโลก
เศรษฐี ผู้เป็นบิดายังไม่ทราบว่า ยสกุลบุตรเป็นผู้ที่สิ้นอาสวะแล้ว จึงขอร้องให้กลับไปเพื่อให้มารดาคลายจากความโศกเศร้าเสียใจ ภายหลังเมื่อทราบว่ายสกุลบุตรมีอาสวะสิ้นแล้ว ไม่สามารถจะหวนกลับไปครอบครองเรือนบริโภคกามคุณเหมือนแต่ก่อน จึง ทูลอาราธนาพระบรมศาสดากับยสะเป็นปัจฉาสมณะตามเสด็จรับบิณฑบาตในเวลาเช้า พระองค์ทรงรับด้วยอาการดุษณียภาพ (ดุษณีภาพ คือการรับนิมนต์ของพระบรมศาสดา ได้แก่ ทรงนิ่ง)
เศรษฐีทราบว่าพระองค์ทรงรับนิมนต์ จึงลุกขึ้นจากที่นั่ง ถวายอภิวาท กระทำประทักษิณแล้วก็หลีกไป เมื่อเศรษฐีกลับไปแล้ว ยสกุลบุตรจึงทูลขอบรรพชาอุปสมบทกับพระบรมศาสดา พระองค์ทรงอนุญาตให้เป็นภิกษุด้วยพระวาจาว่า "เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว เธอจงประพฤติพรหมจรรย์ เถิด" ในที่นี่ไม่ได้ตรัสว่า "เพื่อจะทำให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบ" เพราะพระยสะได้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ คือได้บรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว
เช้าวันรุ่งขึ้น พระบรมศาสดามีพระยสเป็นปัจฉาสมณะ ตามเสด็จไปรับบิณฑบาตในเรือนของเศรษฐี พระองค์ทรงแสดงพระธรรมเทศนา ชื่อว่า อนุปุพพิกถา และ อริยสัจ ๔ แก่สตรีทั้งสอง คือ มารดาและภรรยาเก่าของพระยสะ ปรากฏว่าสตรีทั้งสองได้ดวงตาเห็นธรรม แสดงตนเป็นอุบาสิกา ถึงพระรัตนตรัยเป็นที่ระลึก และนับได้ว่าสตรีทั้งสองเป็นอุบาสิกาที่เกิดขึ้นในโลกก่อนกว่า หญิงอื่นใด เมื่อเสร็จภุตกิจ ตรัสเทศนาสั่งสอนชนทั้งสามแล้วพรองค์จึงเสด็จกลับไปป่าอิสิปตนมฤคทายวัน
การอุปสมบทของพระยสะในครั้งนี้ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะว่าเป็นสิ่งอำนวยประโยชน์สุขให้หมู่ชนเป็นอันมาก เพราะว่าท่านยังสามารถ ชักจูงผู้อื่นเข้ามาอุปสมบทด้วย เช่น สหายของท่านอีก ๕๔ คน
๕๔ คนน่ะมาเอาพระธรรมพระวินัยมาเอาความสงบมาเอาปัญญา ๕๔ คนก็พากันได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ขีณาสพทั้งหมด ไม่มีใครยกเว้น เพราะว่าพระธรรมพระวินัยมันเป็นความสงบเป็นปัญญา มันเป็นหลักการเป็นอุดมการณ์อุดมธรรม
ให้ทุกคนน่ะอย่าไปมองคนอื่น อย่าไปจับผิดจับถูกคนอื่น ถ้ามองคนอื่นก็ให้ถือหลักการว่าเราจะช่วยเค้าอย่างไร เราจะทำอย่างไร อย่าไปคิดเหมือนคนที่ไม่ได้เอาธรรมนำชีวิต ไม่ได้เอาความสงบเอาปัญญานำชีวิต ไปคิดว่าลูกหลานเหลนต่อไปเค้าจะทำมาหากินอะไรชีวิตเค้าถึงจะอยู่ได้ไปได้ ความคิดอย่างนี้แหละมันเป็นความคิดที่เห็นแก่ตัว ความคิดอย่างนี้เป็นสิ่งที่น่าเกลียด เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจมากนะ เราต้องละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป เราต้องเปลี่ยนความคิดของเราใหม่นะ ความคิดอย่างนี้มันเป็นความคิดที่เอาตัวรอดในทางที่ไม่รอด มันเป็นความคิดที่เป็นกับดักให้กับตัวเองนะ
เป็นความคิดที่ไม่ดี เป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง เราต้องพากันมีความคิดที่ดี เราต้องพากันตั้งใจใหม่ เราคิดในใจของเราว่า เราเกิดมาเราต้องมาเสียสละ เราต้องมาเป็นผู้ให้มาเป็นผู้เสียสละ เราจะให้อะไรแก่ใคร ทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งใจ เราต้องเป็นผู้ให้เป็นผู้เสียสละ ความคิดของเราเราต้องพากันคิดอย่างนี้ ถ้าเราคิดอย่างนี้แหละใจของเรามันจะมีความสุข ใจของเรามันจะไม่มีความเครียด ใจของเราสงบมีปัญญา ใจของเรามันจะโล่งโปร่งเบาสบาย ไม่มีความทุกข์อะไร ความคิดอย่างนี้เป็นประโยชน์ทั้งส่วนตัว เป็นประโยชน์ของส่วนรวม
ในชีวิตประจำวันเราต้องขวนขวายในการเสียสละ การเสียสละเป็นคุณธรรมของคนดีของผู้ดี เป็นความคิดที่เป็นสุคโต มันเป็นความคิดที่ให้เกิดความสงบ เกิดปัญญา
ให้พวกเราเข้าใจในเรื่องของความคิดนะ กามนั้นน่ะคือความปรุงแต่ง กามนั้นคือจะเอา คือจะได้จะมีจะเป็น แล้วจะไม่อยากได้ไม่อยากมีไม่อยากเป็น ที่มันเป็นพยาบาทเป็นปฏิฆะที่มันเป็นโรคไบโพล่า เหวี่ยงไปเหวี่ยงมาเป็นปฏิปทาของมิจฉาทิฏฐิ ที่พากันไปตรึกในกามตรึกในพยาบาท เป็นปฏิปทาของเหตุปัจจัย เป็นวัฏฏสงสาร ให้เรารู้เข้าใจในวัฏฏสงสาร เราทั้งหลายต้องพากันมาเน้นที่ตัวเรา ทำไมล่ะ ปกติมนุษย์เราต้องเอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิต ถ้าเอาธรรมนำชีวิตเอาธรรมนูญนำชีวิต พัฒนาทั้งวิทยาศาสตร์พัฒนาทั้งใจเราก็มีความสุขอยู่แล้ว ที่มนุษย์เราต้องพัฒนาเพื่อหยุดความปรุงแต่ง เพื่อยกเลิกในเรื่องกามในเรื่องพยาบาท เพื่อมาเน้นเรื่องจิตเรื่องใจ ถึงเป็นหลักการ
ศาสนาพุทธนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็ให้ผู้มาบวชทานอาหารวันหนึ่งเพียงหนเดียว ผู้ที่มาบวชเรียกฉันภัตตาหาร เพราะหลีกเลี่ยงแยกศัพท์จากฆราวาส เพราะมีเพศต่างจากฆราวาสแล้ว มาใช้ศัพท์ใหม่ว่าฉันภัตตาหาร
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านพาฉันภัตตาหารวันหนึ่งเพียงหนเดียวไม่ให้ฉันหลายมื้อ ฉันวันหนึ่งเพียงหนเดียว ไปภิกขาจารบิณฑบาต
นิสัย ๔ นิสัยคือปฏิปทาเข้าถึงความสงบเข้าถึงปัญญา ถือนิสัย ๔ เป็นปฏิปทา ออกภิกขาจารบิณฑบาต นุ่งห่มผ้าจีวรจากผ้าที่เค้าทิ้งแล้วเค้าไม่เอาแล้ว เค้าทิ้งตามป่าช้า ไปบังสุกุลเอาจากที่เค้าทิ้งแล้ว อยู่ตามโคนไม้ ไม่มีบ้านไม่มีเรือนแต่หน้าฝนต้องอยู่ในที่มุงที่บังเพื่อกันฝน หน้าฝน ๓ เดือนไม่ให้สัญจรไปหาให้อยู่กับที่ ถ้ามีเหตุจำเป็น จะจาริกไปได้เพียง ๗ วัน ฉันยาดองด้วยน้ำปัสสาวะที่สะอาดบริสุทธิ มันเป็นยานะ เจ็บไข้ไม่สบายให้ดื่มน้ำปัสสาวะ ที่ปัสสาวะของตัวเอง จะทำให้มีภูมิต้านทานดีขึ้น พระนี้ต้องมักน้อยสันโดษ เพื่อไม่ให้ติดความสุขความสะดวกความสบาย เพราะความดับทุกข์นี้เราคิดดูแล้วไม่ได้อยู่ที่อื่น อยู่ที่มีความสงบมีปัญญา ความสงบและปัญญานั้นคือความดับทุกข์ของเราทุก ๆ คน
เป็นพระนี้ให้พวกเรารู้เข้าใจ อยู่ที่เรามีความสงบมีปัญญา ถ้าเราไม่มีความสงบไม่มีปัญญาควบคู่กันไปมันดับทุกข์ไม่ได้ การเจริญสติปัฏฐานถึงดีมากเพอร์เฟคมากให้เรารู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ เรามาบวชนี้ เราพากันมาเจริญสติสัมปชัญญะ เพราะสิ่งภายนอกที่มันผัสสะทางตาหูจมูกลิ้นกายใจที่ผัสสะทางธาตุทางขันธ์ทางอายตนะเราต้องผ่านด้วยความรู้ความเข้าใจเพราะอันนี้เป็นข้อสอบเป็นข้อทดสอบ เราต้องผ่านไปด้วยความรู้ความเข้าใจ เราจะได้หยุดความปรุงแต่งด้วยความรู้ความเข้าใจด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา
เรามาบวชเราจะพยายามให้ความสงบความเข้มข้นมันติดต่อต่อเนื่องเพื่อเนกขัมมะบารมีเราจะได้ยกเลิกในเรื่องกามเรื่องพยาบาทด้วยสติสัมปชัญญะด้วยพระธรรมด้วยพระวินัย เรามาอยู่ร่วมรวมกันเป็นหมู่เป็นคณะ เป็นอุดมการณ์มีหลักการไปในทางเดียวกัน ให้ทุกคนเข้าใจอย่างนี้ ไม่มีความรู้สึกว่าเราว่าเขาว่าเก่าว่าใหม่ มีความรู้สึกว่าพระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตรเป็นสิ่งที่มีแต่คุณ
เราต้องใช้ทรัพยากรแห่งความเป็นมนุษย์ของเราให้คุ้มค่า ใช้ทรัพยากรของแผ่นดินงบประมาณแผ่นดิน ใช้ทรัพยากรของศรัทธาผู้ที่มุ่งมรรคผลนิพพานเค้าให้ทานเค้าเสียสละ เพื่อเราจะได้เป็นเนื้อนาบุญของเราด้วย เป็นเนื้อนาบุญของคนอื่น ให้เรารู้เข้าใจ ให้เราระลึกว่าเราได้มีโอกาสมีเวลามีลมปราณมีบุญมีวาสนาได้มาบวชมาปฏิบัติถือว่าเป็นคนโชคดีอย่างสุด ๆ เราต้องผ่านธาตุผ่านขันธ์ผ่านอายตนะไปด้วยความรู้ความเข้าใจ ให้พวกเราทั้งหลายมาระลึกถึงพุทธคุณคือคุณของพระคุณเจ้า ระลึกถึงธัมมคุณ คือคุณของพระธรรม ระลึกถึงสังฆคุณ คือคุณของพระอริยสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเพื่อเราจะได้เอาเป็นตัวอย่างแบบอย่างเป็นโมเดล
เรามาเห็นคุณเห็นประโยชน์อย่างนี้เราทุกคนอย่ามีความรู้สึกเหมือนแต่ก่อน อย่าไปเอาทางสายกลางของตัวเองต้องเอาทางสายกลางขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือพระธรรมพระวินัยคือความสงบและปัญญานี้คือความถูกต้องเราจะได้เข้าถึงพระนิพพานในปัจจุบันที่เรายังมีชีวิตอยู่นี้แหละปัจจุบันเราไม่มีพระนิพพานอนาคตมันจะมีพระนิพพานได้อย่างไร
ให้เข้าใจนะ เราจะอยู่ที่ไหนวัดไหนไม่สำคัญ อยู่ที่เราตั้งอกตั้งใจตั้งเจตนา เราอย่าไปคิดเหมือนแต่ก่อน ต้องไปอยู่กับพระพุทธเจ้าไปอยู่กับพระอรหันต์ ไปอยู่กับพ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบท่านเคร่งครัดเราอยู่ที่ไหนก็ไม่มีใครประพฤติปฏิบัติให้ก็เป้นเราเองนี้แหละเป็นผู้ประพฤติปฏิบัติ เราต้องตั้งใจตั้งเจตนาจับหลักให้ได้จับประเด็นให้ได้ เหมือนหลวงปู่ชาได้ไปฟังพระธรรมเทศนาจากท่านหลวงปู่มั่น เวลาไม่นานมากเพียง ๒,๓ วัน ๒,๓ วันก็ไม่ใช่ฟังทั้งวัน ฟังแต่ตอนเช้าตอนค่ำอย่างนี้ รู้เข้าใจแล้วก็เอาความรู้ความเข้าใจนั้นไปประพฤติไปปฏิบัติ การปฏิบัติธรรมไม่ใช่เลือกกาลสถานที่ เราอยู่ที่ไหนก็พากันปฏิบัติที่นั่นเรามีธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ อายตนะภายใน ๖ ภายใน ๖ เราก็ปฏิบัติที่นั่นถ้ามีการประพฤติการปฏิบัติอย่างนี้ก็จะไม่ว่างจากความสงบจากปัญญา จะไม่ว่างจากพระธรรมพระวินัยไม่ว่างจากพระอริยเจ้าทั้งหลายไม่ว่างจากพระอรหันต์
----------------------------------------
โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
เมตตาให้ไว้ในเช้าวันที่ ๒๕ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา