๒๖ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ (โยมแม่บุษกรคืนสุดท้าย)
วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๒๖ เดือนกรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายของการบำเพ็ญกุศลพิเศษให้โยมแม่บุษกร อินทุ่ง ที่ได้ละสังขารวายชนม์จากไปด้วยอายุขัย ๘๔ ปี ที่เป็นโยมแม่ของท่านพระอาจารย์ทิชา
ท่านพระอาจารย์ทิชาท่านได้บวชกับหลวงพ่อกัณหา ได้อยู่กับหลวงพ่อกัณหา ได้ไปอยู่กับหลวงพ่อทุย ท่านเป็นผู้ปฏิบัติที่มุ่งมรรคผลนิพพาน เป็นผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสารมุ่งมรรคผลพระนิพพาน เมื่อบำเพ็ญอินทรีย์บารมีแก่กล้า หลวงพ่อกัณหาจึงให้กลับมาที่เมืองแพร่ จังหวัดแพร่ มาอยู่วัดบุญรักษา ที่อยู่ติดกับเทศบาลอำเภอเมืองแพร่ พ่อแม่ญาติตระกูลของท่านอยู่ในเมืองแพร่ เพื่อมานำพระนำประชาชน เพื่อปฏิบัติธรรมเอาพระธรรมนำชีวิต มนุษย์เราต้องเอาธรรมนำชีวิต พัฒนาใจพัฒนาวัตถุไปพร้อม ๆ กัน เพื่อเอาธรรมนำชีวิต เป็นทางสายกลาง เพื่อได้ทั้งเรื่องจิตเรื่องใจ ได้ทั้งวัตถุไปพร้อม ๆ กัน
ท่านพระอาจารย์ทิชาท่านเป็นพระดี พระมีปัญญา เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบปฏิบัติตรง เพื่อประโยชน์ของมหาชน ประโยชน์ส่วนรวมประโยชน์ตน ครูบาอาจารย์ หลวงพ่อทุย หลวงพ่อกัณหา จึงให้มาอยู่ที่วัดบุญรักษา วัดบุญรักษาเดิมแท้เค้าถวายให้หลวงพ่อสนอง กตปุญโญ วัดสังฆทาน จังหวัดนนทบุรี ให้เป็นสาขาของท่าน ภายหลังหลวงพ่อสนองได้มอบหน้าที่ให้หลวงพ่อกัณหารับผิดชอบเพื่อดูแล
ครูบาอาจารย์ที่มาในงานของโยมแม่บุษกร มากันทั่วประเทศไทย ผู้ที่เกี่ยวข้องร่วมสุขร่วมทุกข์ในการประพฤติปฏิบัติธรรม ท่านพระอาจารย์ทิชาตลอดญาติโยมที่เกี่ยวข้องพากันมา เพราะท่านเป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ทุก ๆ คนลงใจว่าเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เป็นที่ไว้วางใจของทุก ๆ คน ปฏิบัติตามพระธรรมพระวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นบริสุทธิคุณ เป็นสิ่งที่หยุดวัฏฏสงสาร หยุดความปรุงแต่ง หยุดกงกรรมกงเกวียนของวัฏฏสงสาร ไม่ทำตามความชอบความไม่ชอบ รู้เข้าในเรื่องพระธรรมพระวินัย หลวงพ่อทุยกับหลวงพ่อกัณหาจึงให้พระอาจารย์ทิชาอยู่ประจำที่วัดบุญรักษา เดือนนี้เป็นเดือนกรกฎาคมปลายเดือน ปีนี้ฝนตกดี ที่แพร่จังหวัดแพร่ ถ้าปีไหนฝนดีน้ำปิงก็จะท่วมตลาดเมืองแพร่ ท่วมวัดบุญรักษา จึงได้นำสรีระร่างกายของโยมแม่บุษกรมาบำเพ็ญกุศล ณ วัดแพร่ธรรมารามแห่งนี้
วันพรุ่งนี้วันที่ ๒๗ เวลา ๑๐ นาฬิกา เราจะมาร่วมรวม ณ ศาลาวัดแพร่ธรรมารามแห่งนี้ เพื่อสวดมาติกาบังสุกุล แสดงธรรม เพื่อนำสรีระไปประชุมเพลิง ณ วัดแพร่ธรรมารามแห่งนี้ จะตีระฆังเพื่อเตรียมตัวเวลา ๙ นาฬิกา ๔๕ นาที เพื่อให้เตรียมพร้อม เพื่อความพร้อมเพรียงกัน
เราเป็นมนุษย์ ร่างกายของเราเป็นมนุษย์ อายุขัยของมนุษย์อยู่ได้ร่วม ๆ ศตวรรษหนึ่งคือร้อยปี ถ้าเจริญอิทธิบาททั้ง ๔ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติเอาทั้งเรื่องจิตเรื่องใจให้มีความสุข เอาการทำงานให้มีความสุข ชีวิตของมนุษย์อยู่ได้มากกว่าร้อยปี การประพฤติการปฏิบัตินั้น ถึงต้องเอาทางวัตถุเอาทั้งเรื่องจิตเรื่องใจไปพร้อม ๆ กัน ให้ได้ทั้งทางเรื่องจิตเรื่องใจ ให้ได้ทั้งทางวัตถุไปพร้อม ๆ กัน ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสกับผู้ที่มาบรรพชาอุปบททั้งหลาย ผู้ที่ได้ฟังพระธรรมเทศนาแล้วบรรลุเป็นพระอรหันต์ ท่านก็ตรัสว่าเธอจงประพฤติพรหมจรรย์เถิด หมายถึงเอาธรรมนำชีวิต เอาความสงบและปัญญานำชีวิต ไม่ใช่เอานิติบุคคลตัวตนนำชีวิต ถ้าท่านกับผู้ที่ยังเป็นสามัญชน ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ เป็นเสขบุคคลคือบุคคลที่ยังต้องสร้างบารมีและปัญญา ท่านจะตรัสว่าเธอจงประพฤติพรหมจรรย์เพื่อทำที่สุดแห่งกองทุกข์หรือความทุกข์เถิด
เราต้องพากันรู้พากันเข้าใจ ทุกคนที่เกิดมาต้องพากันประพฤติพากันปฏิบัติพรหมจรรย์ คือเอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิต พากันมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ให้สองอย่างนี้ไปพร้อมกันระหว่างวัตถุกับเรื่องจิตเรื่องใจ เราจะไม่ได้เสียเวลา เราจะไม่ได้ก้าวไปและถอยกลับมา ศัพท์ว่าคนก็หมายถึงก้าวไปก้าวหนึ่งแล้วถอยกลับก้าวหนึ่ง ไปไหนไม่ได้ อยู่ที่เก่าน่ะ
เรามาบวชถ้าผู้ที่อยู่วัดแล้วก็ว่ามาบวช ถ้าผู้ที่อยู่บ้านพูดว่าไปบวช บวชนี้คือมาเอาธรรมนำชีวิต มาเอาพระธรรมเอาพระวินัย ยกเลิกตัวของเราเอง ยกเลิกคนอื่น มาเอาธรรมนำชีวิต ไม่เอาเราไม่เอาคนอื่นนำชีวิต เป็นพระธรรมเป็นพระวินัย พระธรรมพระวินัยในพระพุทธศาสนามีแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ ยกเลิกความไม่ถูกต้อง ทำแต่สิ่งที่ถูกต้อง ผู้ที่มาบวชรู้อริยสัจสี่ คือรู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ หลักการฆราวาสผู้ครองเรือนกับผู้ที่ได้มาบรรพชาอุปสมบทก็ใช้หลักการเดียวกัน ต่างกันระดับสูงต่ำ เหมือนโรงเรียนอนุบาล ประถมศึกษา อุดมศึกษา แต่ก็หลักการอันเดียวกัน
ทุก ๆ คนต้องเอาธรรมนำชีวิต ถ้าไม่เอาธรรมนำชีวิตเรามาคิดดูดี ๆ นะ เพราะตัวตนนั้นมีแต่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ทุกข์ดับไป องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่าเป็นทุกข์ทั้งนั้น นอกจากความทุกข์ไปแล้วไม่มีอะไร เปรียบเสมือนทะเลมหาสมุทรไม่อิ่มไม่เต็มด้วยน้ำ เปรียบเสมือนไฟไม่อิ่มด้วยเชื้อของเพลิง มันบกพร่องอยู่เป็นนิจมันไม่เป็นธรรมเป็นปัจจุบันมันจะเป็นความปรุงแต่งเป็นความทุกข์เป็นความวุ่นวาย มนุษย์ต้องพากันรู้อริยสัจสี่ จะไม่ได้พากันหาเรื่องหาราวให้ตัวเอง ไม่หาเรื่องหาราวให้คนอื่น คนจนก็ต้องมีทุกข์ถ้ามีตัวมีตน คนรวยก็ต้องมีทุกข์ถ้ามีตัวมีตน ถ้าเราปรุงแต่งเมื่อไหร่ก็มีทุกข์ทั้งนั้น การมาสงบระงับสังขารทั้งหลายด้วยรู้ความเป็นจริง มันถึงไม่มีความทุกข์อะไร
เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจมันก็จะไปตามความไม่รู้ไม่เข้าใจ เราคิดอย่างไรมันก็ไปอย่างนั้น เราตรึกอย่างไรก็ไปอย่างนั้น เราพูดอย่างไร กิริยามารยาทอย่างไรอาชีพอย่างไรก็ไปอย่างนั้น เราต้องรู้เข้าใจ เราจะได้หยุดด้วยความรู้ความเข้าใจ สติคือความสงบ สัมปชัญญะคือตัวปัญญาถึงเป็นธรรมะที่มีความอุปการะมากแก่เรา มีแต่ประโยชน์มีแต่คุณ ถึงได้มีคำว่าพุทธคุณ ธัมมคุณ สังฆคุณ คุณพ่อคุณแม่ คุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยาย คุณศีลคุณธรรม หรือว่าพระคุณเจ้าทั้งหลาย
เราทุกคนพากันรู้พากันเข้าใจว่าพระธรรมพระวินัย ข้อวัตรข้อปฏิบัติเป็นสิ่งที่มีคุณมีประโยชน์ต่อเรา เราอย่าไปเอาสิ่งที่ไม่เป็นไปตามพระธรรมพระวินัยนำชีวิต มันจะสร้างปัญหา มันจะมีปัญหา มันจะหาเรื่องหาราวให้กับคนเรา หาเรื่องหาราวให้คนอื่น เราทุกคนก็พากันเน้นที่ตัวเรา เราดูแล้วพระพุทธเจ้าท่านบำเพ็ญพุทธบารมี พุทธกิจท่านก็เน้นที่ตัวของท่าน พระอรหันต์ขีณาสพทั้งหลายได้ฟังพระธรรมจากพระพุทธเจ้าท่านก็เน้นที่พระอรหันต์
เราทุกคนต้องรู้เข้าใจ ต้องมาเน้นที่ตัวเรา เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่มีใครประพฤติไม่มีใครปฏิบัติแทนกันได้ให้รู้เข้าใจ เราไม่ต้องไปแก้ไขคนอื่น ถ้าเราไปแก้ไขคนอื่นมันเป็นปลายเหตุ เอาแต่ทางวัตถุอย่างเดียวเอาแต่ทางวิทยาศาสตร์อย่างเดียวนั้นไม่ได้ต้องเอาทางจิตทางใจไปพร้อม ๆ กันเพื่อเป็นความสงบเป็นปัญญา ถ้าเอาแต่ปัญญาไม่เอาความสงบมันก็ไม่เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ ในหลวงท่านตรัสว่าให้เรารู้เรื่องอริยสัจสี่ เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอระหว่างใจกับวัตถุอยากได้มากก็ไม่มากมันก็เท่าเก่า อยากได้น้อยมันก็ไม่น้อยมันก็เท่ากัน
มนุษย์เราต้องพัฒนาทั้งวัตถุพัฒนาใจไปพร้อม ๆ กัน ทุกคนพากันมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เราต้องรู้เข้าใจ เราเน้นมาที่ตัวเรานี้แหละ เราจะไปมองคนอื่น ไปแก้ไขคนอื่น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบอกเราสอนเรา ว่าถ้าเรามองคนอื่นเราก็มองเป็นผู้ให้เป็นผู้เสียสละ ไม่ใช่ไปแก้ไขคนอื่น
เรามาคิดดูดี ๆ น่ะ พระพุทธเจ้าพูดดีพูดถูกต้อง ถ้าไปแก้ที่คนอื่น ชีวิตนี้ก็ต้องพังทลายเหมือนตึก สตง.นี้แหละ ตึกที่อื่นมากมายหลายสิบตึก ที่สูงกว่าตึกสตง.เค้าไม่พัง เพราะว่าสเตนท์เค้าดีกว่า ได้มาตรฐาน พอที่จะรับแผ่นดินไหวได้ แผ่นดินไหวอยู่ตั้งไกลอยู่ที่ประเทศพม่าเมืองมัณฑะเลย์อยู่ไกลจากกรุงเทพฯร่วมกิโล ความไม่ถูกต้อง เอาความหลงนำชีวิต ความหลงนั้นมันคือทุจริต เรียกว่าเอาทุจริตนำชีวิต ชีวิตนี้ก็ย่อมพังทลาย มันเป็นปัญญาคิดว่าจะเอาตัวรอดแต่มันไม่รอด เรียกว่าเอาตัวรอดในทางที่ไม่รอด พวกเราพากันเข้าใจ เราทั้งหลายจะได้แก้ที่เรา
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เรารู้เข้าใจเราต้องเอาความสงบและปัญญามาประพฤติมาปฏิบัติเราจะเอาความฟุ้งซ่านนำชีวิตได้อย่างไร ต้องเอาความสงบและปัญญาควบคู่กันไป เราพากันเข้าใจใหม่ เข้าใจเก่ามันเข้าใจเป็นตัวเป็นตนเป็นวัฏฏสงสาร ให้เราเข้าใจ เราต้องเอาปัญญาเอาความสงบนำชีวิต เน้นที่ตัวเรานี้แหละ ให้มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เราอย่าไปคิดเหมือนแต่ก่อน คิดว่าการเรียนหนังสือก็เพราะจำเป็น ทำงานก็เพราะจำเป็นทำอะไรก็เพราะจำเป็นเพราะเรามีธาตุมีขันธ์มีอายตนะทำอะไรก็เพราะจำเป็น
เราต้องคิดให้มันถูกต้องให้มันครบวงจรเราเป็นคนฉลาดเราก็ต้องเป็นคนรอบคอบ เราเป็นคนดีก็ต้องมีปัญญา เป็นผู้มีปัญญาก็ต้องเป็นคนดี เดี๋ยวมันจะเอาตัวรอดในทางที่ไม่รอด เราอยู่ที่ไหนเราต้องรู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ การประพฤติการปฏิบัติมันเป็นข้อวัตรปฏิบัติทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพ มันเป็นข้อวัตรข้อปฏิบัติของมนุษย์ที่เกิดมา มนุษย์ต้องพากันประพฤติพรหมจรรย์ทุกคนเพื่อความสงบและปัญญา เพื่อปัญญาและความสงบ ที่ว่าวัดนั้นก็หมายถึงข้อวัตรข้อปฏิบัติ เค้าจะปลูกบ้านสร้างเมืองสร้างประเทศเค้าต้องวัดสั้นวัดยาววัดสูงวัดต่ำวัดความหนักวัดความเบา เราต้องรู้เข้าใจเราต้องมีข้อวัตรข้อปฏิบัติต้องรู้ความจริงรู้อริยสัจสี่อย่างนี้ เราจะได้มีหลักการมีอุดมการณ์อุดมธรรม
วัดที่หมู่ภิกษุสงฆ์องค์สามเณรชีอยู่นี้เป็นสถานที่รวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนของผู้ที่มุ่งมรรคผลพระนิพพานที่ออกจากบ้านจากเรือนมาจากทุกทิศทุกทางทั้งภายในประเทศต่างประเทศ อันนี้มันเป็นวัดภายนอกให้เรารู้เข้าใจ วัดภายในก็กายวาจากิริยามารยาทอาชีพใจของเรานี้ต้องอยู่ในความสงบอยู่ในปัญญา หยุดความฟุ้งซ่านหยุดความปรุงแต่งด้วยความสงบด้วยปัญญา
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสรู้จากการบำเพ็ญพุทธบารมีใหม่ ๆ เป็นเวลายาวช้านานตั้ง ๒๐ ปี ท่านจะพูดเรื่องอริยสัจสี่ให้รู้เข้าใจ เพื่อจะได้เกิดความสงบเกิดปัญญา เพื่อให้เจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ กายเวทนาจิตธรรมเพื่อให้เจริญสติสัมปชัญญะ เพราะสิ่งทั้งหลายทั้งปวงมันรวมลงที่ความสงบและปัญญา อยู่ที่ตั้งใจตั้งเจตนา ไม่มีต่อหน้าและลับหลัง การประพฤติการปฏิบัตินี้ไม่มีต่อหน้าและลับหลัง ถ้ามีต่อหน้าและลับหลังมันยังเป็นโลกธรรมเป็นนิติบุคคลตัวตน มันเป็นความปรุงแต่ง ยังไม่ใช่ความสงบ ยังไม่ใช่ปัญญา มันเป็นการคิดว่าเอาตัวรอดแต่มันเป็นทางไม่รอด เราคิดดูดี ๆ นะ ใครจะพ้นความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพรากมันไม่รอดทุกคน เอาตัวตนนำชีวิตมันคือความไม่รอด เราต้องรู้เข้าใจ มนุษย์เราถึงมีหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม ต้องเอาธรรมนำชีวิตเอาธรรมนูญนำชีวิต
อย่างเดือนหนึ่งอย่างนี้มี ๓๐ วัน ก็ให้มีวันหยุดเดือนนึง ๘ วัน หยุดวันเสาร์วันอาทิตย์เดือนหนึ่งก็จะ ๘ วัน วันจันทร์อังคารพุธพฤหัสศุกร์เป็นวันทำงานกับการปฏิบัติธรรมไปพร้อม ๆ กัน วันเสาร์วันอาทิตย์ให้เป็นวันปฏิบัติธรรมไม่ต้องทำงาน ให้พากันรักษาศีลอุโบสถ สำหรับฆราวาสผู้ครองเรือน ฆราวาสผู้ครองเรือนที่ร่างกายแข็งแรงให้พากันถือศีลอุโบสถกัน จะไปถืออยู่ที่วัดที่พระสงฆ์อยู่ก็ได้จะถืออยู่ที่บ้านก็ได้อยู่ที่ไหนก็ปฏิบัติอย่างเดียวกัน เดินจงกรมนั่งสมาธิไหว้พระสวดมนต์ เช่นเดียวกัน ฆราวาสทุกคนต้องเอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิต ฆราวาสก็นับเอาตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ข้าราชการนักการเมือง พ่อค้าประชาชนทั้งหลายที่ไม่ได้ออกบวชเรียกว่าฆราวาส ต้องพากันประพฤติพากันปฏิบัติธรรมหมด ถ้าไม่ประพฤติปฏิบัติธรรมมันก็เป็นตัวตน มันก็เป็นความปรุงแต่ง มันก็เป็นทุจริต ตัวตนนั้นคือทุจริต มันไม่ใช่ความสงบไม่ใช่ปัญญา มันเป็นความปรุงแต่ง ฆราวาสทั้งหลายพากันรู้พากันเข้าใจนะ เพื่อจะได้มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อจะได้เสียสละตัวของเรา เสียสละบุคคลอื่น เพื่อที่จะทำที่สุดแห่งควาไม่มีทุกข์ความดับทุกข์ของเรา
เราต้องรู้เข้าใจ เน้นมาที่เราที่ตัวของเรา เรานอนเราพักผ่อนให้พอให้เพียงพอ เราเป็นฆราวาส เรานอนพักผ่อนให้เพียงพอ เพราะฆราวาสเราต้องทำงานหนัก ค่าพีเอ็มของการพัฒนาวิทยาศาสตร์ ทำให้อากาศไม่ดี อากาศเสีย เราอยู่ในเมืองหลวงเมืองกรุงปริมณฑลก็ต้องนอนมากนอนให้เพียงพอ ๖,๗,๘ ชั่วโมง อย่างนี้ถึงจะเพียงพอ ถึงจะมีการทำงานกะกลางวันกะกลางคืนก็ต้องนอนพักผ่อนให้เพียงพอ
คนรุ่นใหม่สมัยใหม่ใช้คอมพิวเตอร์ ออกกำลังกายน้อย สุขภาพไม่แข็งแรง ร่างกายไม่แข็งแรงก็ต้องพากันออกกำลังกายในบ้านของตัวเองคนเราจะแข็งแรงไปไม่ได้ถ้าไม่ออกกำลังกาย ออกกำลังกายท้องไม่ผูกน่ะ ท้องผูกก็กลับมาเป็นพิษกับตัวเอง ที่เป็นมะเร็งทั้งหลายเนื่องจากท้องผูกทั้งนั้น ใจผูกก็เช่นกัน ใจมีความยึดมั่นถือมั่นก็เป็ฯมะเร็งทางจิตทางใจเช่นเดียวกัน ความยึดมั่นถือมั่นถึงมีแต่ทุกข์เกิดขึ้นทุกข์ตั้งอยู่ทุกข์ดับไปมันทุกข์ทั้งกายทั้งใจมีแต่ทุกข์แท้ ๆ เราต้องรู้เข้าใจ
การทำงานก็ต้องมีความสุข ถ้าเราไม่มีความสุขเราก็เป็นโรคซึมเศร้า โรคซึมเศร้ากับความทุกข์ก็คืออันเดียวกัน เราไม่รู้ไม่เข้าใจเดี๋ยวก็ดีใจเสียใจ อารมณ์เหวี่ยงไปเหวี่ยงมา ภาษาแพทย์เค้าเรียกว่าเป็นโรคไบโพล่า มันก็คืออันเดียวกัน เราเอาหน้าที่เอาการงานไปป็นข้อวัตรกิจวัตรในการประพฤติการปฏิบัติ บำเพ็ญความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นบารมี ๑๐ ทัศเบื้องต้น เป็นบารมี ๒๐ ทัศท่ามกลาง เป็นบารมีสูงสุด ๓๐ ทัศที่สูงสุดให้รู้เข้าใจ
เราทั้งหลายต้องพากันเอาความดีและปัญญานำชีวิต เราไม่ต้องเอาความเสียหายเอาความไม่รู้ไม่เข้าใจนำชีวิต ให้พวกเรามีปัญญาสัมมาทิฏฐิรู้เข้าใจ ทุกคนพากันทำได้ปฏิบัติได้ ไม่มีใครเก่งไม่เก่งน่ะ ไม่มีคนเก่าคนใหม่ เพราะธรรมะอยู่ที่รู้เข้าใจมันเป็นเรื่องธรรมเรื่องปัจจุบันธรรม เราต้องรู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจชีวิตนี้ก็ย่อมพังทลายเหมือนตึก สตง.
ผู้ที่มาบวชหรือไม่ได้บวชก็ปฏิบัติธรรมเช่นเดียวกัน ประพฤติปฏิบัติพรหมจรรย์ พรหมจรรย์นี้ก็สำหรับฆราวาสผู้ครองเรือง สำหรับนักบวชทุก ๆ คนก็ประพฤติปฏิบัติพรหมจรรย์เหมือนกัน พรหมจรรย์นี้หมายถึงความสงบและปัญญา ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน พรหมจรรย์นี้ไมใช่เฉพาะนักบวชนะ ฆราวาสก็ต้องถือพรหมจรรย์เหมือนกัน เอาทั้งธุรกิจหน้าที่การงานเอาทั้งจิตใจไปพร้อม ๆ กันเพื่อเป็นพรหมจรรย์ของฆราวาสของข้าราชการนักการเมืองของนักบวช ปัญญาสัมมาทิฏฐินี้เป็นความรู้ความเข้าใจ
การประพฤติการปฏิบัติมันอยู่ที่ปัจจุบัน เพราะอดีตก็มารวมกันที่ปัจจุบันนี้แล้ว อนาคตที่จะไปข้างหน้ามันก็อยู่ในปัจจุบันไม่ใช่อยู่ในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญ คำว่าเทินนี้หมายถึงแบกความไม่ถูกต้องพาไปหรือแบกความหลงพาไป มันต้องอยู่ที่ปัจจจุบัน ถ้าปัจจุบันไม่มีเหตุไม่มีปัจจัยอนาคตมันก็เป็นไปไม่ได้
ระบบสมองกับลมหายใจมันต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างนี้ความสงบกับปัญญามันต้องควบคู่กันไป ผู้มีปัญญาก็ต้องมีความสงบ ผู้มีความสงบมากก็ต้องมีปัญญาต้องก้าวไปด้วยศีลสมาธิปัญญา ชีวิตของเราถึงจะสว่างไสวทั้งตาภายนอกตาภายในวัตถุก็สะดวกสบายจิตใจก็ไม่หลงน่ะ มีความสงบมีปัญญาอย่างนี้
เราทั้งหลายพากันมารู้มาเข้าใจเราอยู่ที่ไหนเรามีธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๖ อายตนะ ๖ ก็ปฏิบัติอยู่ที่นั่นให้รู้เข้าใจ กายกับใจมันแยกกันไม่ได้ ความสงบกับปัญญามันแยกกันไม่ได้มันต้องไปอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ให้เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม ปัจจุบันถือว่าเป็นไฟต์ ไฟต์หยุดวัฏฏสงสาร ไฟต์ที่มีแต่ความสงบมีแต่ปัญญาให้มันสว่างจ้าเหมือนรถจราจรนำทางเสด็จพระมหากษัตริย์ เปิดไซเรน เปิดหวอ ว้าว ว้าว ว้าว ไปให้เข้าใจอย่างนี้
เราทั้งหลายถึงต้องรู้การประพฤติการปฏิบัติ เพราะการประพฤติการปฏิบัติมันเป็นสิทธิของเรา ไม่มีใครมาปฏิบัติให้กันได้แทนกันได้ พระพุทธเจ้าท่านก็เน้นที่พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ผู้ฟังธรรมก็เน้นที่พระอรหันต์ เราเป็นใครมาจากไหนก็เน้นที่เรา ให้เข้าจอย่างนี้เราต้องพึ่งความรู้ความเข้าใจพึ่งการประพฤติการปฏิบัติ เราคิดดูดี ๆ คนรวยถ้ามีตัวมีตนก็มีทุกข์อย่างเก่า คนจนถ้ามีตัวมีตนก็ทุกข์อย่างเก่า ไม่มีอะไรมากไปกว่าทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป นอกจากทุกข์ไม่มี พระพธรรมพระวินัยถึงเป็นความสงบเป็นความพอดีเป็นความพอเพียงเพียงพอ
เราทั้งหลายน่ะไม่ต้องพึ่งพาอาศัย ไม่พึ่งพาอาศัยยังไม่พอเราต้องเป็นผู้ให้ ให้เข้าใจ เราอย่าเป็นผู้เอา เราเป็นผู้เอามีแต่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป นอกจากทุกข์ไม่มี เราต้องเข้าใจ ถึงเราจะอยู่หลายคนเป็นกลุ่มเป็นก้อน สิ่งภายนอกก็เป็นสิ่งภายนอก สิ่งภายในก็เป็นสิ่งภายใน ความสงบและปัญญามันต้องก้าวไปอย่างนี้ เราต้องมีข้อวัตรข้อปฏิบัติ เค้าจะสร้างบ้านสร้างเมืองสร้างเรือนสร้างโบสถ์สร้างวิหาร สร้างสภาสร้างรัฐสภาก็ต้องมีสถานที่ มีเครื่องวัดระยะสั้นระยะยาว ระยะสูงระยะต่ำ วัดน้ำหนักความหนักความเบา รับแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหว
เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายต้องมีข้อวัตรปฏิบัติทั้งกายวาจาใจกิริยามารยาททั้งอาชีพ เราต้องมีข้อวัตรข้อปฏิบัติด้วยความรู้ความเข้าใจ ระบบความคิดคำพูดการกระทำกิริยามารยาทอาชีพต้องให้มีความสงบมีปัญญา อย่าให้ความฟุ้งซ่านความปรุงแต่งมันมาแทรกแซง เราทั้งหลายจะได้มีศีลมีสมาธิมีปัญญา มีความสงบมีปัญญา
ให้พวกเราทั้งหลายเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจเราก็จะมีแต่ทุกข์เกิดขึ้นทุกข์ตั้งอยู่ทุกข์ดับไป นอกจากทุกข์นั้นไม่มีเลย เป็นคนจนก็ทุกข์เพราะไม่มี เป็นคนจนก็ทุกข์เพราะไม่รู้จักพอ มันก็ทุกข์อย่างนี้แหละ เราทั้งหลายต้องรู้ความทุกข์มันเผาเรา ความปรุงแต่งมันเผาเรา ยังไม่ตายก็เป็นทุกข์ตกนรกทั้งเป็นไม่ต้องรอชาติหน้า ปัจจุบันนี้มันก็นอนไม่หลับ อาศัยยานอนหลับ เพราะมันอยู่ด้วยความหลง ความหลงมันก็ต้องวุ่นวาย ความหลงก็ขัดข้องน่ะ
เราต้องรู้เข้าใจเราอย่าไปเอาความสุขจากความหลง ความสุขจากความหลงไม่มี เพราะความสุขต้องเกิดจากปัญญา มันต้องสงบด้วยปัญญา ด้วยความรู้ความเข้าใจ เรามองดูแล้วใคร ๆ ก็เป็นทุกข์ทั้งนั้น ผู้ที่ไม่มีความทุกข์เลยก็มีแต่พระพุทธเจ้ากับพระอรหันต์ ร่างกายนั้นมีทุกข์ทุกคนเลย แต่ว่าใจไม่มีความทุกข์น่ะ เราทั้งหลายไม่ต้องไปพึ่งพาอาศัยใคร ต้องพึ่งพาความสงบและปัญญา พึ่งพาศีลสมาธิและปัญญา
เราอย่าให้ความอยากมันครอบครองใจเรา เราอย่าให้ความชอบไม่ชอบมันครอบครองใจเราอย่าไปตรึกในกาม อย่าไปนึกไปคิดในเรื่องพยาบาท เราต้องยกเลิกสิ่งเหล่านี้หมด อย่าให้ติดค้างอย่าให้มีหนี้มีสิน สิ่งไหนมันผ่านมาแล้วคือเกษียณ มันกลับคืนไม่ได้ก็อย่าให้อดีตมันปรุงแต่งเราได้ อนาคตยังมาไม่ถึงอย่าให้อนาคตมันปรุงแต่งเราได้ เราต้องรู้เข้าใจต้องเข้าถึงบริสุทธิคุณ เพราะเรารู้อยู่แล้วความปรุงแต่งนี้มันมีอิทธิพลมาก มันทำให้ทุกคนต้องเวียนว่ายตายเกิด ถ้าเราไม่รู้ความปรุงแต่งเราก็ไม่รู้ทุกข์ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ไม่รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์
ให้พวกเราทั้งหลายระลึกถึงคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านเมตตาตรัสโอวาทครั้งสุดท้ายไว้ว่า
“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เมตตาให้โอวาทไว้ว่า
ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ
ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ
ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู
ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรม ความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบัน ไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรม พระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละ คือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะ
ขออนุโมทนากับท่านทั้งหลายนะ ที่ได้นำสรีระร่างกายของโยมแม่บุษกร ที่ละสังขารวายชนม์มาบำเพ็ญกุศล ณ วัดแพร่ธรรมารามแห่งนี้ พอจ.ธิชาน่ะ ท่านเป็นเจ้าอาวาสเป็นประธานสงฆ์อยู่ที่วัดบุญรักษา หลวงพ่อกัณหาให้ไปอยู่ ท่านเป็นพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามพระธรรมคำสั่งสอน ตามพระธรรมพระวินัย ท่านบรรพชาอุปสมบทเพื่อมรรคผลพระนิพพาน หลวงพ่อกัณหาจึงให้ไปอยู่ที่นั่นเพื่อนำคนชาวเมืองแพร่ประพฤติปฏิบัติธรรม ช่วงนี้เวลานี้แหละฝนตกมาก ถึงได้นำสรีระของโยมแม่บุษกรมาบำเพ็ญบุญกุศลที่วัดแพร่ธรรมาราม
เพื่อเป็นบุญเป็นกุศล เราเอาพระพุทธเจ้าเป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม ถึงจะอยู่ใกล้อยู่ไกลก็ไม่เป็นไร เพราะทุกวันนี้อยู่ไกลก็เหมือนอยู่ใกล้เพราะการคมนาคมมันสะดวกมันสบาย จะอยู่ใกล้อยู่ไกลหัวใจก็ต้องอยู่กับธรรมอยู่กับปัจจุบันธรรม อยู่กับความพอเพียงเพียงพอ อยู่กับความสงบอยู่กับปัญญา อยู่กับความพอเพียงเพียงพอ เหมือนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลยเดชท่านตรัสบอกประชากรของชาวไทยชาวโลก เราทั้งหลายต้องอยู่กับความสงบอยู่กับปัญญา อยู่กับธรรมอยู่กับปัจจุบันธรรม
บุญกุศลที่เราสมัครสมานสามัคคีร่วมกันบำเพ็ญในครั้งนี้ ขอมอบให้ส่งให้ โยมแม่บุษกร อินทุ่ง ผู้วายชนม์จากไปเพื่อเข้าสู่สรวงสวรรค์มรรคผลนิพพาน
ด้วยคุณพระศรีรัตนตรัยจงอำนวยอวยชัยให้ท่านทั้งหลายที่ได้มาร่วมรวมกันบำเพ็ญบุญกุศลให้กับโยมแม่บุษกร ได้มองเห็นแง่มุมเพื่อดำเนินชีวิตที่ประเสริฐ จะได้ปฏิบัติตามโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมา สัมพุทธเจ้า ท่านตรัสปัจฉิมโอวาทก่อนที่จะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานท่านให้โอกาสไว้ว่า เธอทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด เพราะปัจจุบันเป็นวาระสำคัญทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพทั้งใจ ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด
ให้เอาปัญญาสัมมาทิฐินำชีวิต เพื่อเป็นศิลปะของชีวิต ไม่ให้ประมาท ไม่ให้เพลิดเพลิน ปัจจุบันนี้ถือว่าเป็นวาระสำคัญ อดีตก็มารวมอยู่ที่ปัจจุบัน อนาคตที่จะก้าวไปข้างหน้าก็อยู่ที่ปัจจุบัน เห็นภัยในวัฏฏสงสาร ตั้งอยู่ในความ ไม่ประมาท ด้วยความรู้ความเข้าใจ ชีวิตของเราจะได้เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา พัฒนากายวากิริยามารยาทใจ เข้าถึงศีลสมาธิปัญญาที่บริสุทธิคุณนั่นแหละ คือบ้านของเรา พระนิพพานคือบ้านของเรา
การแสดงพระธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เป็นบริสุทธิคุณทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งอาชีพ สมควรแก่เวลาจึงได้สมมติยุติไว้ ณ เพียงเท่านี้ เอวังก็มีด้วยประการละฉะนี้
-------------------------
โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
เมตตาให้ไว้ในค่ำวันที่ ๒๖ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
ณ วัดแพร่ธรรมาราม ต.เด่นชัย อ.เด่นชัย จ.แพร่