๒๘ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ ๒๘ เดือนกรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ศาสนาพุทธ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ศาสนาคริสต์ ฮิจเลาะห์ศักราช ๑๔๔๖ ศาสนาอิสลาม

 

เราทุกคนได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้รับทรัพยากรที่ประเสริฐ มนุษย์เราต้องเอาธรรมนำชีวิต เอาความสงบและปัญญานำชีวิต เพื่อหยุดในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่ถูกต้อง ความสงบและปัญญาไปพร้อม ๆ กัน เป็นการทำที่สุดแห่งความดับทุกข์ เป็นพรหมจรรย์ทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งอาชีพ รวมลงที่ใจ รู้เรื่องกรรม เรื่องกฎแห่งกรรม ผลของกรรม

 

ทุก ๆ มนุษย์ก็ประพฤติปฏิบัติในตัวของมนุษย์เอง ละเรื่องของกาม ละเรื่องของพยาบาท เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เพื่อให้สมองกับลมหายใจนี้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ถ้าเรามีความปรุงแต่งที่เป็นสัญชาตญาณที่เป็นตัวเป็นตน ระบบสมองกับลมหายใจมันจะไม่ไปทางอันหนึ่งอันเดียวกัน

 

ผู้ที่เวียนว่ายตายเกิดคือไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ ไม่รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ พากันไปเข้าตัวรอดในทางที่ไม่รอด พากันเอาธาตุเอาขันธ์เอาอายตนะที่เป็นตัวเป็นตน คิดว่าเอาตัวรอดแต่ว่ามันเป็นความไม่รอด

 

มนุษย์เราต้องพากันรู้อริยสัจสี่ รู้เรื่องกรรมรู้กฎของกรรมรู้ ผลของกรรม เราไม่รู้ไม่เข้าใจ เราถึงต้องเวียนว่ายตายเกิด การเวียนว่ายตายเกิดนี้มาจากความไม่รู้ไม่เข้าใจ ความไม่รู้ไม่เข้าใจได้ไปเอาความปรุงแต่งนำชีวิต เอาความหลง เอาอวิชชานำชีวิต ความปรุงแต่งนี้ถึงเป็นความทุกข์ เมื่อเรามีความปรุงแต่งเมื่อไหร่ เมื่อนั้นก็มีความทุกข์

 

เราทั้งหลายเมื่อมีตามันก็มีรูป เมื่อมีหูมันก็มีเสียง เมื่อมีจมูกก็มีกลิ่น เมื่อมีลิ้นก็มีรส เมื่อมีกายก็มีสัมผัส เมื่อมีใจก็ต้องมีอารมณ์ เจตสิกต่าง ๆ

 

สิ่งต่าง ๆ นั้นเราต้องรู้เราต้องเข้าใจ ให้รู้เข้าใจว่าการเวียนว่ายตายเกิดของเรานี้มันมาจากความไม่รู้ไม่เข้าใจ สิ่งที่มันผ่านมาแล้วเราแก้ไขอะไรไม่ได้ ให้พวกเราเข้าใจอย่างนี้ ความแก่ความเจ็บไข้ไม่สบายความตายความพลัดพรากนี้มันปลายเหตุแล้ว  เราทั้งหลายต้องมาหยุดความปรุงแต่งของเราให้ได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ

 

การเจริญสติถึงเป็นสิ่งที่สำคัญ สติคือความสงบ สงบด้วยความรู้ความเข้าใจว่าความปรุงแต่งนี้คือการเวียนว่ายตายเกิด ความชอบใจไม่ชอบใจคือการเวียนว่ายตายเกิด เราต้องรู้จักใจของเรา รู้จักความคิดของเรา

 

เมื่อเรายังมีอายุขัยอยู่ เรามีธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ ธาตุขันธ์อายตนะเค้าต้องทำหน้าที่ของเค้าเอง ให้เราจบลงเพียงเวทนา อย่าให้มีความปรุงแต่งต่อไป พระพุทธเจ้าถึงไม่ให้เราปรุงแต่งต่อ อย่าไปตรึกในกาม อย่าไปตรึกในพยาบาท เพราะกามกับพยาบาทนั้นคือสิ่งเดียวกัน ก็คือความปรุงแต่ง

 

ให้เข้าใจว่าความปรุงแต่งนั้นคือการเวียนว่ายตายเกิด คือไม่อยากได้ ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น คืออยากได้ อยากมี อยากเป็น มันเป็นสิ่งอันเดียวกัน มันเป็นความปรุงแต่งเราไม่ตายก็ต้องมีความปรุงแต่งให้เข้าใจอย่างนี้

 

เราทั้งหลายต้องเข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ปัจจุบัน พระนิพพานคือหยุดความปรุงแต่ง ด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา ถ้าเรามีการประพฤติการปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องก็จะเป็นสัมมาสมาธิคือความตั้งใจมั่น การประพฤติการปฏิบัติของเราถึงอยู่ที่ปัจจุบัน อดีตก็มารวมที่ปัจจุบัน อนาคตที่จะก้าวไปก็มารวมที่ปัจจุบัน พระนิพพานถึงเป็นเรื่องปัจจุบัน ปัจจุบันถึงเป็นสิ่งที่สำคัญ เป็นวาระแห่งชาติในการเกิดหรือว่าในการไม่เกิด สำคัญอยู่ที่ปัจจุบัน

 

เราพากันมารู้จักข้อสอบ พากันมารู้จ้กข้อตอบ เราพากันมาละกาม มาละวัฏฏสงสาร ให้เข้าใจ ตัวตนนั้นคือกามคือวัฏฏสงสาร การประพฤติการปฏิบัติถึงมีหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจก็จะตกอยู่ในสัญชาตญาณ สัญชาตญาณได้แก่อวิชชาความหลง ได้แก่ตัวได้แก่ตนที่มีความสำคัญมั่นหมายว่าธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ นี้เป็นเรา เป็นผู้หญิงเป็นผู้ชาย เป็นคนหนุ่มคนสาว เป็นผู้ที่เจ็บไข้ไม่สบาย เป็นคนแก่คนเฒ่าคนชรา เป็นคนตายไป เป็นคนดีกว่าเขา เก่งกว่าเขา ฉลาดกว่าเขา มีเพาเวอร์สูง หรือว่าเสมอเขา สู้เขาไม่ได้ ความรู้สึกว่าเป็นเขาเป็นเรานี้เรียกว่าสัญชาตญาณที่เป็นนิติบุคคลตัวตน

 

สิ่งนี้แหละเราต้องรู้เข้าใจ ว่าสิ่งเหล่านี้เองทำให้เราเวียนว่ายตายเกิด เป็นเหตุให้เกิดภพเกิดชาติ เกิดชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ

 

เราพากันมาประพฤติมาปฏิบัติ พากันมาเจริญสติสัมปชัญญะ เราต้องเข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ การประพฤติการปฏิบัตินั้นปฏิบัติได้ทุกกาลสถานที่ ทุกกาลสถานที่เราต้องมีข้อวัตรข้อปฏิบัติ

 

เรามาวัด ข้อวัตรข้อปฏิบัติเราต้องเน้นมาที่ตัวของเราเอง เพื่อจะไม่ได้เลือกกาลเลือกเวลาเลือกสถานที่ ต้องเน้นที่ปัจจุบัน เรามีธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ เราต้องปฏิบัติอยู่ทุกหนทุกแห่ง มันเป็นระบบความคิดคำพูดการกระทำกิริยามารยาทอาชีพใจที่มีปัญญาสัมมาทิฏฐิ ไม่เอาสัญชาตญาณนำชีวิต ต้องเอาธรรมนำชีวิต ชีวิตของเราก็ต้องก้าวไปด้วยความสงบและปัญญา ปัญญาและความสงบ ไม่มีการเบียดเบียน ไม่มีความโลภ เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ ไม่หลงไม่เพลิดเพลินตั้งอยู่ในความประมาท

 

ทุกคนรู้ว่าปฏิบัติธรรมดีแต่ส่วนใหญ่ไม่รู้การประพฤติการปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมน่ะเป็นอริยมรรค  อริยมรรคก็หมายถึงหนทาง หนทางในการประพฤติการปฏิบัติ มีอยู่ในชีวิตประจำวันของเรา

 

วิถีชีวิตของเรา ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ นี้เป็นพรหมจรรย์ เป็นความสงบและปัญญา เป็นการเบรกกรรม เบรกเวร เบรกภัย รถก็ต้องมีเบรก เครื่องบินก็มีเบรก เรือก็มีเบรก กายวาจากิริยามารยาทใจของเราก็ต้องมีเบรก เบรกก็ได้แก่ความสงบ ทำไมถึงต้องเอาความสงบ เพราะความสงบนี้จะเป็นสาเหตุให้เราหยุดกรรม หยุดเวร หยุดภัย หยุดวัฏฏสงสาร ถ้าเราไม่มีความสงบ เราไม่สามารถที่จะหยุดกรรม หยุดเวร หยุดภัย หยุดวัฏฏสงสารได้

 

หลักการที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ท่านบำเพ็ญพุทธบารมีมาหลายล้านชาติ หลายอสงไขย เป็นหลักการที่ดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นบารมี ๑๐ ทัศ ๒๐ ทัศ ๓๐ ทัศ

 

ให้พวกเราเข้าใจ พระธรรมพระวินัย ข้อวัตรกิจวัตรนี้มันเป็นเบรก เป็นเซฟตี้ เซฟตี้กายวาจากิริยามารยาท เซฟตี้ใจของเรา ความสงบด้วยศีลด้วยสมาธิ มันเป็นเซฟตี้ทั้งกายวาจากิริยามารยาท ปัญญามันเป็นสิ่งที่เซฟตี้ไม่ให้เราตรึกในกาม ไม่ให้เราตรึกในพยาบาท มันเป็นการอบรมบ่มอินทรีย์เพื่อให้บารมีอย่างต้นอย่างกลางอย่างละเอียด ด้วยความตั้งใจตั้งเจตนา

 

ให้พวกเราเข้าใจ เหมือนเข้าใจต้นไม้ต้นหนึ่ง ต้นไม้ต้นหนึ่งที่ได้อาหารมาเลี้ยงลำต้นกิ่งก้านสาขาตลอดยอด ได้มาจากทุกทิศทุกทางของต้นไม้ ไม่ใช่ได้มาจากทางรากอย่างเดียว ต้องได้มาจากทั้งรากทั้งใบทั้งกิ่งก้านสาขาตลอดทางยอดตลอดปริมณฑล แสงแดดอากาศออกซิเจนต้นไม้นั้นถึงจะอุดมสมบูรณ์

 

การประพฤติการปฏิบัติของเราในชีวิตประจำวันถึงต้องอาศัยความสงบและปัญญา เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงการประพฤติการปฏิบัติของเราในปัจจุบันให้สมบูรณ์ ตั้งใจตั้งเจตนาประพฤติปฏิบัติทำหน้าที่ทุกอย่างทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งใจต้องให้เป็นความสงบและปัญญา ความสงบและปัญญาจะเป็นบริสุทธิคุณ จะหยุดความปรุงแต่ง หยุดตัวหยุดตน จะได้ทำงานเพื่องาน ทำอะไรเพื่ออะไร เพื่อความสงบและปัญญา เพื่อเราทั้งหลายจะไม่ได้มีความปรุงแต่ง เพื่อเราจะไม่ได้มีพยาบาท เพื่อเราจะไม่ได้มีกาม

 

เราคิดดูดี ๆ สิ ขณะนี้เวลานี้ มีสงครามประเทศไทยกับเขมรชายแดนระหว่างชายแดนไทยกับเขมร ให้เรารู้เข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้มันคือความปรุงแต่ง มันคือตัวคือตน มันไม่ใช่ความสงบและปัญญา ไม่ใช่ปัญญาและความสงบ

 

เราต้องรู้เข้าใจ เราต้องเอาความสงบนำชีวิต เอาปัญญานำชีวิต ไม่ใช่เอาตัวเอาตนนำชีวิต เพราะปรุงแต่งมันคือความไม่ถูกต้อง ตัวตนคือความไม่ถูกต้อง เราเกิดมาทำไม ให้เรารู้เข้าใจ ไม่ใช่เกิดมาเพื่อเอาความหลงนำชีวิต

 

เราต้องรู้เข้าใจว่าเราเรียนหนังสือทำไม เราเรียนหนังสือไม่ใช่เพื่อมาเอาความหลงนำชีวิต เราต้องรู้เข้าใจว่าเราทำงานทำไม เราไม่ได้เอาความหลงนำชีวิตไม่ได้เอาตัวตนนำชีวิต เราต้องรู้เข้าใจเราถึงจะยกเลิกตัวยกเลิกตน ยกเลิกกาม ยกเลิกพยาบาท เพราะกามพยาบาทนั้นให้รู้เข้าใจว่าคือความปรุงแต่ง เราจะไปเอาความสุขจากความหลงไม่ได้ จาการฆ่าสัตว์ลักทรัพย์ประพฤติผิดในกาม ความสุขนั้นเป็นสิ่งที่ดี เทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งที่ดี เราต้องมีสติมีปัญญา จะได้เอาความสุขนั้นให้เป็นคุณ อย่าเอาความสุขนั้นเป็นความหลงเป็นตัวเป็นตน

 

เราต้องละปาณาติบาต ละที่จะเอาของเค้า เราไม่เอาของใคร เรารู้เข้าใจเราไม่เอาของใคร

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านรู้เข้าใจท่านไม่เอาของใคร ท่านเป็นแต่ผู้ให้เป็นผู้เสียสละ วันหนึ่งคืนหนึ่ง ท่านเป็นแต่ผู้ให้เป็นผู้เสียสละ ท่านให้ธาตุให้ขันธ์ให้อายตนะด้วยการบรรทมการพักผ่อนวันละ ๔ ชั่วโมง ๒๔ ชั่วโมงท่านพักผ่อน ๔ ชั่วโมง อีก ๒๐ ชั่วโมงก็เสียสละให้หมู่เทพเทวา หมู่มวลมนุษย์สรรพสัตว์ทั้งหลายอย่างไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ

 

เราต้องรู้เข้าใจว่าเราเป็นมนุษย์เกิดมาเราต้องมีสัมมาทิฏฐิ เรามาหยุดวัฏฏสงสารด้วยความรู้ความเข้าใจ เราต้องหยุดมาเอาอะไร ต้องเป็นผู้ให้เป็นผู้เสียสละ ถ้าเราจะเอาเราไม่เสียสละ มันก็จะเกิดความไม่สงบน่ะ ตัวเราก็ไม่สงบ คนอื่นก็ไม่สงบ มันจะเป็นสงคราม ความไม่สงบมันได้เกิดขึ้นแก่เราภายใน มันก่อกระบวนการให้เกิดภายนอกขึ้นอีก

 

เราทั้งหลายต้องพากันรู้เข้าใจ เข้าใจทั้งตัวเราเข้าใจทั้งคนอื่น เราอย่าไปเห่อเหิมว่าตัวเองดีกว่าเขาเก่งกว่าเขา ว่าประเทศเล็ก ๆ อย่างประเทศเขมรนี้จะกำเริบเสิบสานเหรอ เดี๋ยวข้าจะเอา F16 เอาระเบิดไปบอม ให้มีจิตใต้สำนึก เราทั้งหลายน่ะให้พากันมีความสงบมีปัญญานะ เราอย่าไปคิดอย่างนั้น เราอย่าไปเอาตัวเอาตนนำชีวิต

 

มนุษย์เราทั้งหลายที่อยู่ในโลกนี้ ปัจจุบันมีแปดพันกว่าล้านคน การพัฒนาเทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์นั้นมันดีแล้วถูกต้องแล้ว แต่ต้องพัฒนาทั้งใจไปพร้อม ๆ กัน เราทั้งหลายจะไม่ได้เอาความหลงนำชีวิต จะได้เอาความสงบและปัญญานำชีวิต

 

มนุษย์เราต้องยกเลิกการเบียดเบียน ยกเลิกพยาบาท ต้องพากันรู้เข้าใจ พากันปฏิบัติตัวใครตัวมัน เพราะไม่มีใครปฏิบัติแทนกันให้กันได้ เราคิดดูดี ๆ ผู้มีปัญญามากก็ต้องมีความสงบ ผู้มีความสงบก็ต้องมีปัญญา เพื่อสองอย่างนี้จะไปพร้อม ๆ กัน ความสงบกับปัญญาไปพร้อม ๆ กัน คารวะหรือว่าความเคารพกับความสงบ ถึงเป็นความพอดี จะได้หยุดความปรุงแต่ง

 

เราทุกคนพากันมาเน้นที่ตัวเรา วันหนึ่งคืนหนึ่งเรานอนเราพักผ่อนให้เพียงพอ เรานอนพักผ่อน ถ้าชนบทก็ ๕,๖ ชั่วโมง อากาศดี ค่าพีเอ็มทางอากาศดี ถ้าอยู่ในตัวจังหวัดมีห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ ก็ต้องนอน ๖,๗ ชั่วโมง ถ้าอยู่ในกรุงเทพมหานครก็ต้องนอน ๗,๘ ชั่วโมง เพราะค่าพีเอ็มของอากาศนั้นไม่ดี ถึงเราจะมีเทคโนโลยีทันโลกทันสมัย มีแอร์มีเครื่องฟอกอากาศมันอย่างดี ก็ต้องนอนพักผ่อน ๗,๘ ชั่วโมง เดี๋ยวนี้แหละค่าพีเอ็มในเมืองเจริญมันอยู่ในระดับอันตราย

 

การทำงานของเรากับการปฏิบัติธรรมนี้ต้องให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เราจะไปแยกงานจากการปฏิบัติธรรมไม่ได้ เราจะแยกการปฏิบัติจากการทำงานไม่ได้ มันต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มันถึงจะสมดุลระหว่างทางวิทยาศาสตร์กับทางจิตใจไปพร้อม ๆ กัน ถ้าเราแยกกันเมื่อไหร่มันก็จะเกิดความปรุงขึ้นมาทันที

 

เราทั้งหลายต้องพากันมีความสุขในการทำงานกับการปฏิบัติธรรม ต้องเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอให้ได้ ปัจจุบันมนุษย์เราต้องมีความสุขในปัจจุบัน ถ้าเราไม่มีความสุขเราก็เป็นโรคซึมเศร้า ให้เข้าใจ

 

เราอย่าไปคิดว่า เราเรียนหนังสือเราทำงานก็เพราะความจำเป็นของธาตุของขันธ์ของอายตนะ เราคิดอย่างนั้นน่ะมันไปแต่ทางตัวไปแต่ทางตนไปแต่ทางวัตถุไม่ได้พัฒนาใจไปพร้อม ๆ กัน มันไปทิ้งธรรมเอาแต่วิทยาศาสตร์ ความคิดอย่างนี้เป็นความคิดผิดพลาด มันเป็นความคิดที่จะเอาตัวรอด มันเป็นทางก้าวไปในทางไม่รอด ทำให้หมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายไม่มีความสงบไม่มีปัญญา มีแต่ตัวแต่ตนมีแต่ทุกข์เกิดขึ้นทุกข์ตั้งอยู่ทุกข์ดับไป นอกจากทุกข์ไม่มีเลยมันเป็นทะเลไม่อิ่มด้วยน้ำ เป็นไฟที่ไม่อิ่มด้วยเชื้อมันบกพร่องอยู่ตลอดกาลตลอดเวลา มันเป็นการหาเรื่องให้กับตัวเอง หาเรื่องให้กับคนอื่น

 

เราต้องรู้การประพฤติการปฏิบัติ ให้พากันประพฤติพากันปฏิบัติในปัจจุบัน เห็นปัจจุบันเป็นวาระสำคัญ อย่าเอาตัวเอาตนต้องยกเลิกตัวตน จะได้เอาทั้งวัตถุ เอาทั้งใจไปพร้อม ๆ กัน เป็นความสงบเป็นปัญญา ให้มีความเคารพ อย่าไปมีตัวมีตน ถ้าเรามีตัวมีตนมันจะไม่มีความสงบ ถ้าเราไม่มีความเคารพเราก็ตั้งอยู่ในความประมาทเป็นบุคคลที่มีทิฏฐิมานะอัตตาตัวตนอย่างนี้เรียกว่าเป็นความปรุงแต่ง

 

เราคิดดูดี ๆ สิ เราจะเอาแต่ดี เราจะเอาแต่วัตถุ ดีกับชั่วมันก็คืออันเดียวกันคือความปรุงแต่ง คือตัวคือตน มนุษย์เรามาเอาธรรมนำชีวิต มันเป็นพรหมจรรย์ระดับฆราวาสผู้ครองเรือน ฆราวาสผู้ครองเรือน ถ้าเอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนญนำชีวิต จะไม่มีคำว่ายากจน จะมีแต่ความสงบอบอุ่น แต่อยู่ในระดับฆราวาสผู้ครองเรือน ถึงมีหลักการวัน ๗ ค่ำ ๘ ค่ำ ไปรักษาศีลอุโบสถรักษาศีลอดอยู่ที่วัดอยู่ที่อาราม ผู้ถือศาสนาก็ไปที่วัดผู้ถือศาสนาคริสต์ก็ไปที่โบสถ์ ถือศาสนาอิสลามก็ไปที่มัสยิด ถือศาสนาพราหมณ์ฮินดูก็ไปเทวสถานเทวาลัย วัน ๗ ค่ำ ๘ ค่ำถือว่าเป็นวันพระน้อย วัน ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำเป็นวันพระใหญ่ เพื่อไปพัฒนาใจ เพราะความอร่อยทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ มันทำให้เราติดเป็นภพเป็นชาติ

 

ต้องพัฒนาเรื่องจิตเรื่องใจ พากันไปรักษาศีล ๘ รักษาศีลอุโบสถ ไปฟังพระธรรมคำสั่งสอนของพระศาสนา ศาสนาทุกศาสนาไปในทางเดียวกันหมด เพราะศาสนานั้นไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน ศาสนาคือความสงบและปัญญา ปัญญาและความสงบ ศาสนาเป็นธรรมะเป็นพระธรรมพระวินัย ยกเลิกการทำอะไรตามใจตามอัธยาศัยต้องให้เกิดความสงบเกิดปัญญา ศาสนาจะไม่เป็นนิติบุคคลตัวตน ศาสนานี้ต้องเป็นความสงบและปัญญา

 

ให้เราทั้งหลายพากันรู้เข้าใจ ถ้าเราเอาศาสนานำชีวิตจะไม่มีปาณาติบาทจะไม่มีเอาของคนอื่น ต้องเป็นผู้ให้เป็นผู้เสียสละ ต้องเป็นผู้ไม่หลงไม่เพลิดเพลินไม่ตั้งอยู๋ในความประมาท จะมีแต่ความสงบมีแต่ปัญญาความหมายของศาสนาเป็นไปอย่างนี้ ไม่มีความรู้สึกว่าตัวเราตัวคนอื่น ไม่มีความสำคัญมั่นหมายว่าดีกว่าเค้าฉลาดกว่าเค้ามีเพาเวอร์มากกว่าเค้าไม่ใช่อย่างนั้น

 

ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาบำเพ็ญพุทธบารมีเพื่อมายกเลิกชาติชั้นวรรณะนิติบุคคลตัวตน มายกเลิกเขามายกเลิกเรา หยุดชูงวง หลงตัวเอง ยกหูชูหาง ไม่ให้หลงยศหลงตำแหน่งที่เค้าแต่งตั้งให้เป็นผู้หญิงผู้ชายเป็นข้าราชการนักการเมือง ไม่ให้หลงน่ะ ให้มีความสงบให้มีปัญญา เพื่อให้เป็นพระศาสนาเป็นความสงบเป็นปัญญา พระศาสนามีความหมายอย่างนี้

 

สมัยปัจจุบันนี้แหละก็ใช้หลักการเดียวกัน วันจันทร์อังคารพุธพฤหัสศุกร์เป็นวันทำงานเป็นการปฏิบัติธรรมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน วันเสาร์วันอาทิตย์เป็นวันหยุดทำงานเพื่อพัฒนาเรื่องจิตเรื่องใจ เพราะคนเรามันติด ถึงมายกเลิกเรื่องกามเรื่องพยาบาท เมื่อสิ่งภายนอกไม่ได้อำนวยความสะดวกความสบาย สิ่งภายนอกที่อยู่ระดับศีล ๕ เราก็มีความสุขระดับหนึ่งน่ะ แต่ความสุขนั้นก็ยังเป็นวัฏฏสงสารยังเวียนว่ายตายเกิด เพราะคนเราน่ะไม่มีใครเหนือความแก่เจ็บตายพลัดพราก

 

เราต้องพัฒนาใจเพื่อไม่ให้หลงในกามในความสุขความสะดวกความสบาย เราทั้งหลายถึงมาพัฒนาใจ มาเจริญสติสัมปชัญญะ มามีสติในกายในจิตใจธรรม เพื่อให้กายบริสุทธิให้เวทนาบริสุทธิ ให้จิตใจบริสุทธิ ให้ธรรมบริสุทธิ สิ่งภายนอกภายในจะได้เป็นความสงบเป็นปัญญา มาเน้นเรื่องจิตเรื่องใจ

 

เหมือนนักบวชที่บวชในพระพุทธศาสนา มาประพฤติปฏิบัติพระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตรต่าง ๆ ยกเลิกตัวเองหมดน่ะ มีแต่ความสงบมีแต่ปัญญา ไม่มีอัตตาตัวตน มีแต่พระธรรมพระวินัย เพื่อให้การปฏิบัติติดต่อต่อเนื่อง มาบวชทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งใจต้องบวชหมดน่ะ ด้วยเอาความสงบและปัญญาเจริญสติปัฏฐาน

 

การประพฤติการปฏิบัติมีหลักการอย่างนี้มีอุดมการณ์อย่างนี้ พระพุทธเจ้าถึงตรัสว่า สมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ นั้นอยู่ที่เรารู้เข้าใจแล้วพากันมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติเพื่อเข้าถึงพรหมจรรย์ พรหมจรรย์สำหรับผู้ที่ครองเรือน พรหมจรรย์สำหรับผู้ที่เป็นข้าราชการนักการเมือง สำหรับผู้ที่เป็นนักบวช ต้องเข้าถึงพรหมจรรย์คือความสงบและปัญญา ทำหน้าที่ของตัวเองให้สมบูรณ์ด้วยความสงบด้วยปัญญา

 

คนรุ่นใหม่สมัยใหม่ใช้เครื่องจักรใช้เครื่องทุ่นแรง ใช้เทคโนโลยี ไม่เหมือนสมัยโบราณ ทำไร่ทำนา ทำสวน คนรุ่นใหม่ไม่ได้ออกกำลังกาย ใช้ปัญญาเป็นส่วนใหญ่ การออกกำลังกายนี้เป็นสิ่งที่สำคัญนะ มนุษย์เราถ้าไม่ออกกำลังกายก็ไม่แข็งแรง ต้องออกกำลังกายด้วยการทำโยคะอยู่ที่บ้าน

 

ทางพระนี้ก็ทำข้อวัตรกิจวัตร เดินจงกรมกลับไปกลับมาให้แข็งแรง ต้องพากันออกกำลังกาย สัญชาตญาณที่เป็นนิติบุคคลตัวมันจะไม่อยากออกกำลังกาย ร่างกายแก่ คนแก่ไม่ออกกำลังกาย

 

คนแก่ทั้งหลายให้รู้เข้าใจนะ เราต้องออกกำลังกายให้ตั้งใจตั้งเจตนา คนหนุ่มทั้งหลายให้เข้าใจนะต้องออกกำลังกาย

 

เราเป็นคนรุ่นใหม่สมัยใหม่มันจะอยู่กับความหลงอยู่กับโทรศัพท์มือถือ อยู่กับอินเตอร์เนทเฟซบุ๊คโซเชียลต่าง ๆ มันจะไม่อยากออกกำลังกาย ต้องพากันออกกำลังกาย

 

คนรุ่นเก่าสมัยเก่าทั้งหลายอย่าพากันทำให้ร่างกายนี้ท้องผูกนะ ทุกวันนี้คนเป็นมะเร็งตายกันเป็นส่วนใหญ่ก็เพราะท้องผูกน่ะ เดี๋ยวนี้เค้ามีวิธีการสมัยใหม่ด้วยการดีท็อกซ์ ดีท๊อกซ์ไม่ให้ท้องผูก ดีท็อกซ์ทุกวันเวลาเช้าให้ไปศึกษาเอา ดีท็อกซ์อย่างไร เข้าใจแล้วก็พากันปฏิบัติเอาเอง เพราะคนสมัยใหม่เป็นโรคมะเร็งโรคตับโรคไตโรคอะไรต่าง ๆ มาจากท้องผูก เมื่ออาหารเก่าไม่ได้ถ่ายเท อาหารเก่ามันก็กลับมาเลี้ยงร่างกายอีก ปกติของเก่ามันต้องไป ของใหม่มันต้องมา เพื่อความพอดีความพอเพียง ร่างกายไม่ถ่ายเทก็ทำให้ร่างกายมันเสียหายด้วยโรคภัยไข้เจ็บ

 

จิตใจที่มีความยึดมั่นถือมั่นในตัวในตนไม่ปล่อยไม่วางในสิ่งที่เป็นอดีต เดี๋ยวมันจะเป็นโรคทางกายโรคทางใจนะ

 

เราต้องเอาธรรมนำชีวิตนะ อย่าเอาตัวตนนำชีวิตนะ ตัวตนเค้าเรียกว่าโลกธรรม โลกมันทำลายธรรม มันเป็นโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ มันไม่ใช่ความสงบไม่ใช่ปัญญา

 

เราทุกคนอยู่กับหน้าที่การงาน อยู่กับกายวาจากิริยามารยาทอยู่กับอาชีพอยู่กับใจ เราต้องรู้เข้าใจ เราต้องเอาสิ่งนี้แหละมาประพฤติมาปฏิบัติธรรม ต้องทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์

 

เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะไม่ได้ตั้งอยู่ในความประมาท คนเรากว่าจะรู้มันก็สายไปแล้วนะ มันเป็นโรคเป็นภัยถึงกับเข้าห้องไอซียูแล้ว ตัวตนนี้แหละคือเป็นโรคเป็นภัยให้เข้าใจ

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบอกพวกเราทั้งหลายว่าอย่าให้ตั้งอยู่ในความหลงความประมาท เราอย่าคิดว่าไม่เป็นไร เราคิดอย่างนั้นมันด่างมันพร้อยมันเศร้าหมองมันเป็นตัวเป็นตน

 

เราต้องรู้การประพฤติการปฏิบัติของเรา หลักการให้เราเอาอานาปานสติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เอาอานาปานสติเป็นหลัก ให้หายใจเข้าก็ให้สบาย หายใจออกให้สบาย หายใจเข้าเอาออกซิเจนเข้าไป หายใจออกเอาของเสียออกไปให้ปฏิบัติอย่างนี้ ให้ทำทุกอิริยาบถเลยนะ ไม่ใช่เฉพาะตอนนั่งสมาธิ เพราะเรามีตาหูจมูกลิ้นกายใจ ถ้าเราไม่มีหลักการประพฤติการปฏิบัติเราจะไปตามผัสสะ เราจะไปตามสิ่งแวดล้อมเราจะได้มีหลักในการประพฤติการปฏิบัติ

 

ประเทศไทยของเรานี้ใช้อานาปานสติเป็นใหญ่ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เพื่อให้การประพฤติการปฏิบัติเกิดปิติเกิดสุขเกิดเอกัคคตาหายใจเข้าท่องพุทธ หายใจออกท่องโธ ให้เอาหลักการนี้ไปใช้ไปปฏิบัติ เรื่องลมหายใจเค้าจะทำอะไรนี้ก็ต้องปรับที่ลมหายใจนะ ถ้ามันฟุ้งซ่านมากก็หยุดหายใจมันเลย กลั้นลมหายใจไว้เลย ใจมันจะขาดเดี๋ยวมันก็กลับมา ทำอย่างนี้แหละไม่เกินครึ่งชั่วโมง ติดต่อต่อเนื่องเดี๋ยวมันก็จะสงบเองให้รู้เข้าใจ

 

เราทั้งหลายพากันมาบวชมาปฏิบัติธรรม ให้พากันตั้งอกตั้งใจ ทั้งผู้เก่าผู้ใหม่ พระเก่าพระใหม่ ความเป็นจริงแล้วน่ะไม่มีเก่าไม่มีใหม่ มีแต่ธรรมมีแต่ปัจจุบันธรรม ให้เข้าใจอย่างนี้ มีแต่ความสงบมีแต่ปัญญาอย่างนี้ ไม่มีอัตตาตัวตน ไม่มีความรู้สึกสำคัญมั่นหมายว่าเราเป็นใครมาจากไหนมันต้องมีแต่ความสงบมีแต่ปัญญา ก้าวไปด้วยศิลปะแห่งชีวิตเรียกว่าก้าวไปด้วยศีลสมาธิปัญญา ด้วยความงามเบื้องต้นท่ามกลางที่สุดด้วยความสง่างามด้วยทานศีลเมตตาภาวนา

 

เราทั้งหลายต้องพากันเข้าถึงพื้นถึงฐาน ฐานคือความรู้ความเข้าใจคือกรรมเรื่องกฎแห่งกรรมเรื่องผลของกรรม ไม่มีใครในโลกนะ จะเหนือกรรมเหนือกฎของกรรม กายวาจากิริยามารยาทนี้เป็นอุปกรณ์ของกรรมนะ

 

เรามีการพูดว่ากรรมฐาน มีกรรมเป็นพื้นฐาน เราทั้งหลายต้องรู้ว่าที่เรามีเขาก็เพราะมีสิ่งภายนอกแล้วก็มีสิ่งภายในให้เข้าใจ เราจะได้มีความรู้สึกสักแต่ว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้ตรัสแก่พระโมฆราช

 

 ท่านพระโมฆราช เป็นบุตรพราหมณ์ ในพระนครสาวัตถี เมื่อเจริญวัยแล้วได้ไปฝากตัวเป็นศิษย์ของพราหมณ์พาวรี ผู้เป็นปุโรหิตของพระเจ้าปเสนทิโกศล เพื่อศึกษาศิลปวิทยาตามประเพณีพราหมณ์


    ครั้นพราหมณ์พาวรีมีความเบื่อหน่ายในฆราวาส ได้ทูลลาพระเจ้าปเสนทิโกศลออกจากหนย้าที่ปุโรหิต ออกบวชเป็นชฎิลประพฤติตามลัทธิของพราหมณ์ตั้งอาศรมอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำโคธาวารี ที่พรหมแดนแห่งเมืองอัสสกะและเมืองอาฬกะติดต่อกัน เป็นคณาจารย์ใหญ่บอกไตรเพทแก่หมู่ศิษย์ โมฆราชมาณพพร้อมกับมาณพสิบห้าคนออกบวชติดตามไปอยู่ด้วย และอยู่ในมาณพ 16 คน ที่พราหมณ์พาวรีได้ผูกปัญหาให้ไปทูลถามพระบรมศาสดาที่ปาสาณเจดีย์ แคว้นมคธ


     โมฆราชมาณพ ปรารภจะทูลถามปัญหาเป็นคนที่สอง เพราะถือว่าตนเองเป็นคนมีปัญญาดีกว่ามาณพทั้งสิบหกคน คิดจะทูลถามปัญหาก่อน แต่เห็นว่าอชิตมาณพเป็นผู้ใหญ่กว่า และเป็นหัวหน้า จึงยอมให้ทูลถามปัญหาก่อน


    พระบรมศาสดาจึงตรัสห้ามว่า โมฆราช ท่านรอให้มาณพอื่นได้ทูลถามปัญหาก่อนเถิด โมฆราชก็หยุดอยู่ แต่หลังจากที่มาณพคนอื่น ๆ ได้ทูลถามปัญหาเป็นคนที่เก้าอีก พระบรมศาสดาก็ทรงห้ามไว้ โมฆราชก็ยับยั้งนิ่งอยู่ รอให้มาณพอื่นทูลถามถึงสิบสี่คนแล้ว จึงทูลถามปัญหาเป็นคนที่สิบห้าว่า


     ข้าพระองค์ได้ทูลถามปัญหาถึงสองครั้งแล้ว พระองค์ไม่ทรงแก้ประทานแก่ข้าพระองค์ ข้าพระองค์ได้ยินว่า ถ้าทูลถามถึงสามครั้งแล้วพระองค์จะทรงแก้ จึงได้ทูลถามปัญหา เป็นคนที่สิบห้าว่า โลกนี้ก็ดี โลกอื่นก็ดี พรหมโลกกับเทวโลกก็ดีย่อมไม่ทราบความเห็นของพระองค์ เหตุฉะนี้ จึงมีปัญหามาถึงพระองค์ผู้ทรงพระปรีชาเห็นล่วงสามัญชนทั้งปวงอย่างนี้ ข้าพระองค์พิจารณาเห็นโลกอย่างไร มัจจุราช (ความตาย) จึงจะไม่แลเห็น คือ จะตามไม่ทัน ?


     พระบรมศาสดาทรงพยากรณ์ว่า ท่านจงเป็นคนมีสติ พิจารณาเห็นโลกโดยความเป็นของว่างเปล่า คำว่าว่างเปล่าก็หมายถึงมองเห็นเพียงภายนอกกับภายในสัมผัสกัน หาใช่มีนิติบุคคลตัวตนไม่ ทุกอย่างมีแต่เหตุมีแต่ปัจจัย สิ่งที่สัญจรไปมามันเป็นเพียงอาคันตุกะที่สัญจรไปมาครองธาตุครองขันธ์ครองอายตนะเท่านั้น หาใช่นิติบุคคลตัวตนไม่ พระธรรมเทศนาพระโมฆราชรู้เข้าใจ

 

 ถอนความเห็นว่า ความยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวเป็นตนของเราเสียเถิด ท่านรู้เข้าใจท่านจะหลุดพ้นจากมัจจุราชได้ด้วยอุบายอย่างนี้ ท่านพิจารณาเห็นโลกอย่างนี้แล มัจจุราชจะไม่แลเห็น จะเป็นความสงบเป็นปัญญา จะหยุดวัฏฏสงสารได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ


     พระบรมศาสดาทรงแก้ปัญหาจบลงแล้ว โมฆราชมาณพได้บรรลุพระอรหัตตผล


    ครั้นพระองค์ทรงพยากรณ์ปัญหาที่ ปิงคิยมาณพทูลถามจบลงแล้ว โมฆราชมาณพ พร้อมมาณพอีกสิบห้าคน ทูลขออุปสมบท ในพระธรรมวินัย พระองค์ทรงอนุญาตให้เป็นภิกษุด้วยวิธี เอหิภิกขุอุปสัมปทา


     ท่านพระโมฆราช เมื่อได้อุปสมบทแล้ว ท่านยินดีในการครองจีวรเศร้าหมองไม่ฉูดฉาด ด้วยเหตุนี้ จึงได้รับยกย่องจากพระบรมศาสดาว่า เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้ทรงจีวรเก่า ๆ สีเศร้าหมองไม่ฉูดฉาด

 

ท่านดำรงชนมายุสังขารอยู่โดยสมควรแก่กาลแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพาน

 

เราทั้งหลายต้องเข้าใจในเรื่องความดับทุกข์ เรื่องความดับทุกข์มันอยู่ที่รู้เข้าใจ มันจะเป็นความสงบ ความพอเพียงเพียงพอ เราทั้งหลายจะได้เข้าถึงความเป็นประภัสสรด้วยความรู้ความเข้าใจ ให้เราพากันรู้เข้าใจในการประพฤติปฏิบัติ

 

เราทั้งหลายต้องพากันรู้หลักการในการประพฤติการปฏิบัติอย่างนี้ ให้การประพฤติการปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องกัน เพื่อประโยชน์ของเราและประโยชน์มหาชน ให้เราพากันมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เข้าถึงพระนิพพานในปัจจุบันนี้แหละ ปัจจุบันเราต้องมีพระนิพพาน ปัจจุบันมีแต่ความปรุงแต่งปัจจุบันมีแต่ตัวแต่ตน ตัวตนนั้นแหละคือวัฏฏสงสาร ตัวตนนั่นแหละไม่ใช่พระนิพพาน การมาสงบระงับสังขารทั้งหลายคือความสงบความดับทุกข์

 

ให้ระลึกถึงพระธรรมของหลวงปู่มั่น ท่านได้มีเมตตาตรัสไว้ว่า

ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ

ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ

ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู

ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรม ความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบัน ไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละ คือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะ

 

-------------------------------------

 

โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม

เมตตาให้ไว้ในเช้าวันที่ ๒๘ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

 

 

 

Visitors: 98,212