๒๙ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
วันนี้เป็นวันอังคารที่ ๒๙ เดือนกรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ศาสนาพุทธ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ศาสนาคริสต์ ฮิจเลาะห์ศักราช ๑๔๔๖ ศาสนาอิสลาม
มนุษย์เราพากันรู้พากันเข้าใจ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจการดำเนินชีวิตมันก็จะไปกับความไม่รู้ไม่เข้าใจ เราต้องรู้ต้องเข้าใจว่าธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ มันเกิดจากความไม่รู้ไม่เข้าใจ มันได้ก้าวไปด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ
เราทั้งหลายต้องมารู้ทุกข์ มารู้เกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เราจะเอาธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ มาเป็นเรานี้ไม่ได้ จะเป็นสาเหตุแห่งการเวียนว่ายตายเกิด ความไม่รู้ไม่เข้าใจเป็นสาเหตุให้เกิดความปรุงแต่ง
ให้มนุษย์ทั้งหลายพากันรู้ว่า ความปรุงแต่งนั้นเกิดจากความไม่รู้ไม่เข้าใจที่เราปรุงแต่งในเรื่องกามในเรื่องพยาบาท เราทั้งหลายจะหยุดการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสารก็ด้วยความรู้ความเข้าใจ แล้วเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่า
มนุษย์ทั้งหลายพากันประพฤติพากันปฏิบัติพรหมจรรย์เถิด เพื่อตัวตนนั้นมันไม่ใช่พรหมจรรย์ พรหมจรรย์นั้นหมายถึงความรู้ความเข้าใจในเรื่องวัฏฏสงสาร การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสาร เราทั้งหลายจะได้หยุดกรรมหยุดเวรหยุดภัย ให้ทุกท่านทุกคนถือว่าเป็นธุรกิจเป็นหน้าที่การงานของตน ไม่มีใครมาประพฤติมาปฏิบัติให้เรา เรามามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เราจะเอาความชอบไม่ชอบนั้นไม่ได้
พากันประพฤติพากันปฏิบัติในปัจจุบัน ปัจจุบันถือเป็นวาระแห่งชาติในการประพฤติการปฏิบัติ เพราะอดีตมันก็มารวมที่ปัจจุบันแล้ว อนาคตที่ยังมาไม่ถึงมันก็มาอยู่ที่ปัจจุบัน
ความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงนั้นเกิดจากความไม่รู้ไม่เข้าใจ ความไม่รู้ไม่เข้าใจเกิดให้เรามีความปรุงแต่ง มันเป็นไปไม่ได้จะไปเอาความสุขจากความปรุงแต่ง เอาความสุขจากความหลงน่ะมันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้
เราต้องพากันรู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ความดับทุกข์มันขึ้นอยู่นอกเหตุเหนือผล อยู่นอกความปรุงแต่ง เราทั้งหลายต้องพากันมารู้เรื่องธาตุเรื่องขันธ์เรื่องอายตนะมันเป็นเรื่องของกรรมเก่า ธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทัง ๕ อายตนะทั้ง ๖ มันเป็นเรื่องของกรรมเก่า
เราต้องรู้ต้องเข้าใจ เราทั้งหลายจะได้หยุดความวุ่นวาย จะได้หยุดความปรุงแต่ง ชื่อว่าความปรุงแต่งนั้นจะเป็นความสุขไปได้นั้นไม่มี มีแต่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป นอกจากทุกข์นั้นไม่มี ให้เราหยุดที่เวทนาด้วยการหยุดปรุงแต่ง ความสงบสงบด้วยปัญญาด้วยความรู้ความเข้าใจ การมาสงบระงับสังขารถึงเป็นความสุขหรือว่าเป็นความดับทุกข์
เราทั้งหลายต้องไม่เอาธาตุเอาขันธ์เอาอายตนะมาเป็นตัวเรา และไม่เอาธาตุเอาขันธ์เอาอายตนะเป็นของคนอื่น ภายในของเราก็ให้มันอยู่ที่ของเรา ภายนอกของเค้าก็ให้มันอยู่ที่ของเค้า เราจะได้รู้เข้าใจว่าธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ ภายในมันเป็นธรรมเป็นสภาวธรรมที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ตามเหตุตามปัจจัย เราจะไปแก้ไขนั้นไม่ได้ ให้เรารู้เข้าใจ ถ้าเราไม่รู้เข้าใจมันก็จะเป็นทุกข์เปล่า ๆ ทุกอย่างนั้นไม่ได้ไปตามความต้องการของเรา
เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ จะไม่ได้ไปปรุง ไม่ได้ไปแต่ง ให้พวกเรารู้เข้าใจว่า สิ่งเป็นกรรมเก่าก็ให้เป็นประภัสสรของกรรมเก่า สิ่งเป็นกรรมใหม่เป็นสิ่งใหม่เป็นสิ่งภายอก รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะธรรมารมณ์มันเป็นสิ่งใหม่ ให้เรารู้ให้เราเข้าใจ เรามาบวชมาปฏิบัติธรรม ให้พากันรู้พากันเข้าใจ เราจะได้มีหลักการมีอุดมการณ์อุดมธรรม
ให้พวกเรารู้เรื่องในการประพฤติการปฏิบัติ เราไม่ต้องไปเอาความสุข ไปเอาความดับทุกข์จากความหลงน่ะ ต้องเอาความรู้ความดับทุกข์จากความรู้ความเข้าใจ พากันมามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตามาก ๆ ในการประพฤติการปฏิบัติ ให้ทุกคนรู้เข้าใจ เพราะอันนี้มันเป็นกรรม เป็นกฎแห่งกรรมเป็นผลของกรรม
เราพากันมาประพฤติมาปฏิบัติ พากันนอนพากันพักผ่อนให้เพียงพอ นอน ๕ ชั่วโมง ๖ ชั่วโมง เข้านอนพักผ่อนเวลา ๓ ทุ่ม ตื่นนอนตี ๓ กลางวันเราไม่นอน ถ้าเราจะพักผ่อนพักผ่อนด้วยการนั่งสมาธิ องค์สมด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านไม่ทรงบรรทมพักผ่อนเวลากลางวัน พระอรหันต์ขีณาสพท่านไม่จำวัด ท่านไม่นอนไม่พักผ่อนเหมือนสามัญชน ท่านพากันนั่งสมาธิ เข้าสมาธิพักผ่อน เข้าฌานสมาบัติพักผ่อน เข้านิโรธสมาบัติพักผ่อน
เรามาบวชมาปฏิบัติธรรม เราพากันมาฝึกสมาธิที่ศาลา กลับไปที่กุฏิเราก็ไปฝึกทำสมาธิที่กุฏิ อย่าให้มีต่อหน้าและลับหลัง อย่าปฏิบัติหน้าต่อหน้านั้นอย่างหนึ่ง ปฏิบัติเมื่อคนไม่เห็นนั้นอย่างหนึ่ง การปฏิบัติของเราทั้งต่อหน้าและลับหลังก็ให้มันเหมือนกัน การประพฤติการปฏิบัติของเราจะได้ติดต่อต่อเนื่อง ถ้ามันมีต่อหน้าและลับหลังนั้นมันเป็นการปรุงแต่ง
ให้รู้เข้าใจ การปฏิบัติธรรมถึงไม่มีต่อหน้าและลับหลัง ไม่มีที่ลับแล้วก็ไม่มีที่แจ้ง ให้เน้นที่ใจที่บริสุทธิคุณ เน้นที่เป็นความสงบประกอบด้วยปัญญา เป็นปัญญาที่ประกอบด้วยความสงบ เราต้องรู้จักการปล่อยวาง การปล่อยวางนั้นเราต้องมาปล่อยวางธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ ไม่ใช่ปล่อยวางข้อวัตรกิจวัตร ไม่ใช่มาปล่อยวางพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยข้อวัตรปฏิบัติมันเป็นทางสายกลาง เพื่อจะให้เราทั้งหลายหยุดความปรุงแต่ง เพื่อให้เราทั้งหลายไม่มีความปรุงแต่ง เพื่อเราจะไม่ได้ตรึกในกามตรึกในพยาบาท
พระธรรมพระวินัยที่เราจะเอามาใช้เอามาปฏิบัตินี้มันถึงเป็นสิ่งที่รีบด่วนในปัจจุบัน ปัจจุบันเป็นสิ่งที่รีบด่วน ปัจจุบันเราถึงเอาทั้งปัญญากับความสงบมาใช้มาปฏิบัติ เพื่อเราจะได้เอาพระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตรมาใช้มาปฏิบัติ เพื่อจะไม่ให้มีเรา ไม่ให้มีคนอื่น สุขเป็นของที่มีอยู่ ทุกข์เป็นของที่มีอยู่ ธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ เป็นของที่มีอยู่ นรก สวรรค์ เปรต อสุรกาย มนุษย์ เทวดา พรหม พระอริยเจ้าเป็นสิ่งที่มีอยู่
เราทั้งหลายต้องรู้ต้องเข้าใจ เราทั้งหลายจะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ด้วยความรู้ความเข้าใจ เพื่อเราจะไม่ให้ความปรุงแต่ง ปรุงแต่งจิตใจของเรา เราต้องหยุดเวียนว่ายตายเกิดด้วยความรู้ความเข้าใจ
เรามาบวชมาปฏิบัติให้เรามาภาวนาพิจารณาธรรมในสภาวธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเราให้พิจารณาร่างกาย ร่างกายของมนุษย์มีชิ้นส่วนอยู่ ๓๒ ชิ้นส่วน มันแยกออกเป็นชิ้นเป็นส่วน แยกออกให้หมด แล้วก็เอามาประกอบกันด้วยชิ้นส่วน เอาผมออก เอาหนังออก ถ้าออกถึงหนังแล้วก็จะไม่รู้ว่าเป็นผู้หญิงผู้ชาย เป็นคนหนุ่มคนสาว
เรามาบวชเรามาปฏิบัติธรรม เราต้องมาพิจารณาร่างกาย สาธยายร่างกายด้วยแยกเป็นชิ้นเป็นส่วนแล้วเอามาประกอบกันให้เป็นรูปร่างกายของมนุษย์
เราทั้งหลายจะได้เข้าใจว่านี้ไม่ใช่เราไม่ใช่คนอื่น มันเป็นธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ ที่มาประชุมกันประกอบกันที่มีอายุชัยอยู่ได้ร่วม ๆ ร้อยปี เราทำอย่างนี้ดี ดีกว่าเราไปนั่งหลับนั่งโงกง่วง เราทั้งหลายจะได้พากันเบื่อหน่ายในการเวียนว่ายตายเกิด
ถ้าเราไปเอาแต่สมาธิ เอาแต่ความสงบเราก็จะไม่เกิดปัญญาวิปัสสนา เราก็จะมีแต่สมถะ มีแต่ความสงบ มีแต่สมาบัติ เราพากันตั้งอกตั้งใจ ปฏิบัติติดต่อต่อเนื่อง เพราะความสงบจากการพิจารณาร่างกายนี้มันจะดีกว่าการนั่งสมาธิสงบธรรมดา เรามีสมาธิธรรมดา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่าเปรียบเสมือนหินทับหญ้า เพื่อเอาหินออก หญ้านั้นก็เจริญงอกงาม สมาธินั้นให้เป็นพื้นเป็นฐานในการพิจารณาทั้งกาย ใช้การพิจารณาเวทนา พิจารณาจิต พิจารณาธรรม
การประพฤติการปฏิบัติต้องอาศัยพื้นอาศัยฐานคือความสงบ ความสงบกับปัญญานี้มันเป็นระบบของสมองกับลมหายใจมันจะได้ทำงานสัมพันธ์กัน เกี่ยวข้องกันไป ปัญญากับความสงบมันถึงเป็นความพอดี เป็นความพอเพียง ผู้มีปัญญามากก็ต้องมีความสงบควบคู่กันไป ผู้มีความสงบก็ต้องมีปัญญาควบคู่กันไป ผู้มีความสงบก็ต้องเสียสละ ถ้าไม่เสียสละมันก็ขี้เกียจขี้คร้าน ถ้าเราเจริญสมาธิเราเจริญสมาบัติเราก็จะเป็นคนขี้เกียจขี้คร้าน ไม่อยากทำงาน ไม่อยากเสียสละ
สมาธิเราต้องมาใช้งานอยู่ในระหว่างคณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ ถ้าเข้าถึงอัปณาแล้วจะเอามาใช้งานไม่ได้ ความสงบกับปัญญานี้ถึงไปพร้อม ๆ กัน ในชีวิตประจำวันของเราต้องมีขณิกสมาธิ อุปจารสมาบัติอยู่ในอิริยาบถทั้ง ๔ เพื่อให้ศีลสมาธิปัญญาทำงานติดต่อต่อเนื่อง
เราทั้งหลายต้องถือโอกาสเวลาวิเวกเป็นเวลาส่วนตัวในการเจริญสติปัฏฐาน เพื่อศีลสมาธิปัญญาของเราจะได้ทำงานเป็นสติปัฏฐาน การที่เรามีข้อวัตรข้อปฏิบัติ ถือว่ามันเป็นการทบทวนในการประพฤติการปฏิบัติ เราเอาพระธรรมเอาพระวินัยข้อวัตรกิจวัตรเป็นกัลยาณมิตร เรายกเลิกการคลุกคลี มาเอาศีลสมาธิปัญญาเป็นกัลยาณมิตร ให้พวกเรารู้เข้าใจ เราต้องถือเอาโอกาสนี้มาใช้มาประพฤติมาปฏิบัติ เราต้องให้มีวัตร มีข้อวัตรข้อปฏิบัติมีพระธรรมมีพระวินัย
ผู้ที่มาบวชในพระพุทธศาสนาให้รู้ให้เข้าใจ เราอย่ามาบวชเพราะความยากจน ความยากจน ไม่มีทรัพย์สมบัติแล้วพากันมาบวช เราเจ็บไข้ไม่สบาย ไม่มีทรัพย์สมบัติ ไม่มีเงินรักษาแล้วพากันมาบวช พระพุทธเจ้าท่านไม่ว่าอะไรใครจะจนใครจะเจ็บไข้ไม่สบาย มาประพฤติมาปฏิบัติได้ ให้พากันตั้งอกตั้งใจ พากันมาประพฤติพากันมาปฏิบัติ เพื่อให้เกิดความสงบเกิดปัญญา เพื่อให้เกิดปัญญาเกิดความสงบ ให้รู้ให้เข้าใจ ตัวตนมันคือความยากจน ตัวตนน่ะถึงจะมีอะไรมากมายมันก็ไม่รู้จักพอ ตัวตนมันเจ็บมันป่วยมันไข้ไม่สบาย เราทั้งหลายต้องมารู้เข้าใจ ในเรื่องตัวในเรื่องตน เรื่องความเจ็บไข้ไม่สบายในเรื่องความแก่ความเจ็บความตาย
เราทั้งหลายจะได้รู้ธรรมรู้สภาวธรรม เราพากันมามีความสงบให้เพียงพอ มีปัญญาให้เพียงพอด้วยความรู้ความเข้าใจ เรามาประพฤติเรามาปฏิบัติเป็นหมู่เป็นคณะเป็นทีม เป็นสงฆ์สาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราอย่ามาเป็นเพียงผู้อยู่ผู้อาศัย ต้องเป็นผู้รู้เป็นผู้ประพฤติเป็นผู้ปฏิบัติ ความทุกข์นั้นย่อมไม่มีด้วยความรู้ความเข้าใจ
เราอย่าไปให้ความปรุงความแต่งมันปรุงแต่งเราได้ ให้เราสงบระงับสังขารทั้งหลายอยู่ในระหว่างเวทนา เราคิดดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพานอยู่ในระหว่างฌาน ๓ และ ฌาน ๔ แสดงถึงความดับไม่เหลือซึ่งตัวตนด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิ เพื่อไม่ให้ความปรุงแต่งที่มันเป็นนิติบุคคลตัวตน เราต้องรู้เข้าใจ ว่าทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานระหว่างฌานที่ ๓ กับที่ ๔ น่ะ มันเป็นการดับไม่เหลือด้วยปัญญาบริสุทธิคุณ เราต้องรู้เข้าใจเรื่องความปรุงความแต่ง ทุกอย่างนั้นไม่มีอะไรหรอก มันเป็นทุกข์เพราะความปรุงแต่ง เพราะเราเอาความหลงนำชีวิต
ที่วัดเราน่ะมีออกซิเจนดี มีโอโซนดี เราเดินจงกรมที่ถนนภายในวัด เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง จุดมุ่งหมายเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง เพื่อเจริญสติสัมปชัญญะ ไม่ได้เดินเพื่ออะไร มนุษย์เราถ้าไม่ออกกำลังกายมันจะแข็งแรงได้อย่างไร ความแข็งแรงต้องอยู่ที่ออกกำลังกาย การออกกำลังกายมันต้องใช้เวลา ๓๐ นาทีถึง ๑ ชั่วโมง ให้ถือว่าการออกกำลังกายเราไม่ต้องไปยกน้ำหนักเล่นเวจ เล่นบาร์ เหมือนฆราวาสเค้า ถ้าเราจะทำโยคะเราก็ทำในที่มุงที่บังเหมือนฤาษีดัดตน
ผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายจะเป็นนักบวชหรือผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายต้องมีความอ้วนพลีพอดี ไม่ผอมเกินไป ไม่อ้วนเกินไป ทำอะไรให้คล่องแคล่วว่องไว อย่าไปทำอะไรเหมือนกับคนถูกสะกดจิต ต้องทำอะไรให้เป็นธรรมชาติ เพราะเรามีตัวมีตน ถ้ามองดูใครก็เหมือนกับถูกสะกดจิต นี้หมายถึงใจถูกครอบงำด้วยนิติบุคคลตัวตน ตัวตนนี้คือความเครียด มีแต่ความเครียดเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป เพราะตัวตนนั้นคือความเครียดให้พวกเรารู้เข้าใจ ความสำคัญมั่นหมายว่าเป็นเราเป็นคนอื่นมันคือความเครียดมันไม่ใช่ความสงบไม่ใช่ปัญญาหากมันเป็นตัวเป็นตน
เราทั้งหลายต้องพากันเข้าใจเรื่องตัวเรื่องตน เรื่องเราเรื่องเขา นี้มันเป็นความปรุงแต่งทั้งนั้นให้รู้เข้าใจ ตัวตนที่แท้จริงน่ะมันไม่มี ความว่างจากแห่งตัวตนเท่านั้นเป็นประภัสสร สิ่งที่สัญจรไปมาทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ สิ่งที่สัญจรไปมาของธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ อายตนะทั้ง ๖ มันเป็นเพียงสิ่งสัญจรไปมา เป็นสิ่งที่ว่างเปล่านั้นคือของดั้งเดิม สิ่งที่ปรุงแต่งต่าง ๆ นานานั้นมันเป็นเพียงสิ่งที่สัญจรไปมาเท่านั้น
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้พวกเราทั้งหลายไม่พากันตั้งอยู่ในความประมาท ความประมาทนั้นจะทำให้เราเสียเวลา เสียปฏิปทา เสียการประพฤติเสียการปฏิบัติ เราทั้งหลายต้องเขาสู่ฐานของการประพฤติการปฏิบัติ ใจของเราต้องว่างจากความปรุงแต่ง ต้องว่างจากตัวตน ไม่มีนิวรณ์ทั้ง ๕ ที่จะก่อภพก่อชาติให้เป็นตัวเป็นตน นิวรณ์ทั้ง ๕ ก็ได้แก่
๑. การตรึกในกามฉันทะ หมกมุ่นในกาม พอใจยินดีลุ่มหลงในกาม กามนี้หมายถึงตัวถึงตน มีความลุ่มหลงในธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ กามนี้มันเป็นขั้วบวกขั้วลบเหมือนกระแสไฟฟ้า กระแสไฟฟ้านี้มันมีขั้วบวกขั้วลบ หมกมุ่นในเรื่องขั้วบวกขั้วลบ มันเป็นสิ่งที่ตรงกันข้าม อย่างเช่นเพศอย่างนี้ เพศหญิงเพศชายนี้เป็นขั้วบวกขั้วลบอยากได้อยากมีอยากเป็นอยากเด่นอยากดัง ยินดีในความหลงในยศในตำแหน่ง ที่เป็นทางวิทยาศาสตร์เป็นทางวัตถุ ไม่เอาวัตถุกับเราจิตใจไปพร้อม ๆ กัน เอาแต่ทางวิทยาศาสตร์ เอาแต่ตัวเอาแต่ตนเรียกว่าหมกมุ่นอยู่ในกาม
๒. หมกมุ่นในพยาบาท มันเป็นขั้วบวกขั้วลบ เมื่อมันมีกามมันก็มีพยาบาท มันไปเอาความสุขจากความหลง เพราะความหลงมันคือความปรุงแต่งความหลงมันคือความไม่สงบ มันเป็นปฏิฆะ มันเป็นสงคราม สงครามที่มันอยากให้ได้ตามใจตามปรารถนา เมื่อมันไม่ได้ตามใจตามปรารถนามันก็เกิดปฏิฆะ เกิดพยาบาท มันเป็นสงครามน่ะ สงครามระหว่างคนสองคน หรือว่าหลายคน หรือระหว่างประเทศ หรือสงครามโลก ตัวตนนี้มันเป็นสงคราม สงครามมันเป็นสีดำ ตัวตนคือความมืด ตัวตนปรียบเสมือนคนตาบอด มีแต่ตาเนื้อตาหนังไม่มีตาปัญญา ตัวตนมันไปเอาความสุขจากคนอื่น มันไปเอาความสุขจากการทำปาณาติบาต ไปเอาของคนอื่น ตัวตนนี้แหละมันสร้างเครื่องประหัตประหาร สร้างธนู สร้างปืน สร้างระเบิด สร้างเครื่องบินรบ ตัวตนนี้แหละที่ประเทศไทยเอาเครื่องบิน F16 ไปบอมประเทศกัมพูชา ไปบอมประเทศเขมร เป็นความเย่อหยิ่งจองหองคิดว่าตัวเองเก่งกว่าเค้ามีเพาเวอร์มากกว่าเค้า ประเทศเขมรจนกว่าเราประเทศเล็กกว่าเรา อาวุธก็สู้เราไม่ได้ ตัวตนนี้ทำให้เย่อหยิ่งจองหองเป็นตัวเป็นตนมันเป็นการชูงวง ไม่ใช่ความสงบและปัญญา ไม่ใช่ปัญญาและความสงบ เวลาอเมริกาน่ะ ประเทศไทยไม่กล้า หงอเลย กลัวสหรัฐอเมริกายิ่งกว่าหมาตอนเสียอีก เราทั้งหลายต้องพากันรู้เข้าใจ เรื่องความสงบเรื่องปัญญา จะได้หยุดปฏิฆะ หยุดพยาบาท ความสงบและปัญญานี้ ความเมตตาเป็นเครื่องคุ้มครองป้องกันพยาบาท ป้องกันปฏิฆะ เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ จะไปโกรธทำไม ไปปฏิฆะทำไม ไปพยาบาททำไม ความโกรธความปฏิฆะเราทั้งหลายผู้มาบวชเราต้องพากันยกเลิกนะ
๓. ถีนมิทธะ ความง่วงเหงาหาวนอน เรามีธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ เราต้องรู้ต้องเข้าใจอย่าให้ถีนมิทธะ ความง่วงเหงาหาวนอนมาครอบงำใจทั้ง ธาตุทั้ง ๔ ก็ให้เป็นธาตทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ ก็ให้เป็นขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ ก็ให้เป็นอายตนะทั้ง ๖ อย่าให้ครอบงำใจของเรา ใจของเราต้องสว่างไสว ธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ ก็ให้เป็นเรื่องของเขา เราต้องรู้เข้าใจ พระโมคคัลลานะ อัครสาวกฝ่ายซ้ายผู้เลิศทางอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์เป็นผู้ที่เจริญสมถะมาก เจริญสมาธิมาก มีความง่วงเหงาหาวนอน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็ให้อุบายแก่พระโมคคัลลา ว่าเราต้องผ่านไปด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยการประพฤติการปฏิบัติ เพราะมันมีปัญญาเราก็ต้องแก้ปัญหา เราอย่าให้ความง่วงเหงาหาวนอนมาครอบงำเรา ด้วยการสาธยายสรีระร่างกาย เช่น ร่างกายของเรามีอาการ ๓๒ เราก็ ๑ จนถึง ๓๒ มีอะไรบ้าง แยกออกเป็นชิ้นเป็นส่วน ออกจากกันให้หมด แล้วประกอบกันอย่างนี้ ดีกว่าไปง่วงเหงาหาวนอน อย่างปัจจุบันนี้เราพากันฝึกท่องปาฏิโมกข์ สวดปาฏิโมกข์ หรือเรียนบทสวดอะไรต่าง ๆ เราก็เอาบทท่องปาฏิโมกข์มาสวดในใจ เอาบทสวดมนต์มาท่องในใจก็ได้ดีกว่าไปง่วงเหงาหาวนอน ถ้าทำอะไรอยู่มันก็ยังง่วงอยู่ก็ให้หยุดลมหายใจมันเสียเลย กลั้นลมหายใจไว้ ใจจะขาด ทำอย่างนี้แหละไม่เกิน ๓๐ นาทีมันก็หายง่วง เช่น คนขับรถยนต์ที่เดินทางไกลจากทางเหนือไปใต้ จากทางใต้ไปเหนือ ถ้ามันง่วงมากก็หยุดลมหายใจกลั้นลมหายใจทำอย่างนี้ไม่กี่ครั้งมันก็หายง่วง เราต้องมีสติไวสติเร็ว อย่าให้ความปรุงแต่งมันมาครอบงำเรา เอาอานาปานสติให้มีปิติในการเจริญอานาปานสติหายใจเข้าให้มีความสุขหายใจออกให้มีความสุข หายใจเข้าให้สบายให้มีปิติมีความสว่างไสวให้แยกจากธาตุจากขันธ์จากอายตนะ การทำสมาธิ สมาธิขั้นละเอียดนี้เค้าจะหยุดเรื่องความปรุงแต่ง เรื่องอายตนะภายนอก มันจะหยุดใช้ระบบสมอง ระบบปัญญาอย่างนี้ จิตใจก็จะเข้าสู่เอกัคคตา เข้าสู่ความเป็นหนึ่ง เข้าอัปปณาฌาน อย่างนี้ก็จะหายง่วงได้ให้เข้าใจนะ เราเอาตัวตนเอาความปรุงแต่งนำชีวิตมันก็ต้องโงกง่วงเป็นธรรมดา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่าถ้ายังง่วงอยู่อย่างนี้ก็ให้ออกไปเดินจงกรม เดินทำใจให้สว่างไสว เดินกลับไปกลับมา เพื่อให้ร่างกายมันตื่นตัว เพื่อกายมันจะได้ทำงาน หรือเอาร่างกายไปทำการทำงานอะไรให้มีความสุขในการทำงาน ถ้าเราทำอะไรมีความสุขมันจะไม่มีความง่วงน่ะ อย่างพวกที่เล่นการพนัน พวกที่เล่นไพ่กัน ใจมันมีความสุขในการเล่นไพ่ ๓ วัน ๓ คืน พวกนี้ก็ไม่ง่วง เพราะเค้ามีความสุข แต่ความสุขอันนั้นมันเป็นความสุขไม่ถูกต้อง เป็นความสุขที่เป็นความหลง เพราะการพนันเป็นความเสื่อม การพนันมันเป็นความไม่ถูกต้อง เป็นอบายมุขอบายภูมิ เป็นความเสื่อม
๔. อุทธัจจะกุกกุจจะ คือความฟุ้งซ่านรำคาญ เราต้องเข้าใจทุกอย่างมันไม่มีสิ่งใดที่ได้ตามใจตามปรารถนาถึงร้อยเปอร์เซ็นต์การที่ไม่ได้ตามใจนี้แหละ เป็นเหตุเป็นปัจจัยที่เราจะได้มีโอกาสได้ประพฤติได้ปฏิบัติธรรม เราต้องขอบใจธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ ได้เปิดโอกาสให้เราได้ประพฤติได้ปฏิบัติธรรมให้ถือคติธรรมอย่างนี้ ถ้าไม่มีอุทธัจจะกุกกุจจะ เราก็จะไม่มีข้อวัตรข้อปฏิบัติ เมื่อมันมีปัญหาเราก็ได้แก้ปัญหา ให้เรารู้เข้าใจเรื่องอุทธัจจะกุกกุจจะ เราอย่าไปรำคาญ เราอย่าไปฟุ้งซ่านรำคาญ นี้ให้รู้เข้าใจว่าอันนี้มันเป็นตัวเป็นตนมันเป็นความปรุงแต่งของเราเอง เราอยากให้มันช้าก็ว่ามันเร็ว อยากให้มันเร็วก็ว่าอันนี้มันช้า มันเป็นเรื่องความปรุงแต่งเรื่องตัวเรื่องตนทั้งนั้นให้เรารู้เข้าใจ พระสกิทาคา พระอนาคามีรู้เข้าใจแล้วประพฤติในเรื่องอุทธัจจะกุกกุจจะ ท่านรู้เข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้แหละดี จะได้ประพฤติจะได้ปฏิบัติ ถ้าไม่มีอุทธัจจะกุกกุจจะก็ไม่มีข้อวัตรปฏิบัติ ให้เข้าใจอย่างนี้ เราอย่าไปรำคาญ รำคาญเหมือนกับเห็นเค้ามีปัญญาน้อยกว่าเรา เราก็รำคาญ เหมือนเอาตัวแมลงหวี่แมลงวันที่มาเกาะเรามาตอมเราเราก็รำคาญ เหมือนมดมาไต่ตัวเรา เหมือนยุงมากัดกินเลือดเรา เราก็รำคาญ เหมือนเราไปมองเห็นที่เค้าเข้าโรงพยาบาลเค้าให้สายทางจมูกสายอะไรพะรุงพะรัง ตัวผู้ที่ถูกใส่สายออกซิเจนที่เค้าให้ออกซิเจนทางปากทางจมูกเรามองเห็นก็รำคาญ อันนี้มันเป็นความรู้สึกที่เป็นตัวเป็นตนนะ ถ้าเรารู้เราเข้าใจแล้วเราก็จะไม่รำคาญในการมองเห็น หรือว่าเค้าเอาออกซิเจนมาใส่ปากใส่จมูกเรา เราให้รู้เข้าใจนะ เราอย่าไปรำคาญ รำคาญคือตัวตนคือความปรุงแต่งให้รู้เข้าใจ เรามีความปรุงแต่งเมื่อไหร่เราก็ต้องรำคาญ เพราะความรำคาญคือความปรุงแต่งให้เรารู้เข้าใจ อันนี้ก็เป็นนิวรณ์ข้อหนึ่งนะ มีแง่มุมให้เราได้รู้ได้ประพฤติได้ปฏิบัติ ต้องขอบใจสิ่งต่าง ๆ ที่ให้เราได้ประพฤติปฏิบัติให้เข้าใจอย่างนั้น
๕. นิวรณ์ข้อที่ ๕ วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย ลังเลสงสัยเรื่องตายแล้วได้เกิดอีกมั๊ย หรือว่าตายไปแล้วสูญไป ลังเลสงสัยในเรื่องพระพุทธ ลังเลในพระธรรมคำสั่งสอนว่าจะดับทุกข์ได้แก้ปัญหาได้ ก็มองเห็นอยู่คนเค้าไม่เอาธรรมะเค้าโกงกินคอร์รัปชั่นก็มีแต่พากันรวยทั้งนั้น ส่วนใหญ่ก็ไม่เห็นใครจนมีแต่รวยน่ะ มีความลังเลสงสัยในนักบวชทั้งหลาย นักบวชทั้งหลายนี้ไม่เป็นที่ไว้วางใจของมหาชนเลย ได้รับการแต่งตั้งถูกต้องตามกฎหมายจารีตประเพณีแล้วปฏิบัติตรงกันข้ามกับที่ได้รับการแต่งตั้ง แต่งตั้งแล้วไม่ได้ปฏิบัติงานไม่ได้ทำหน้าที่เลยมีความสงสัยในพระสงฆ์ที่มาบวช พากันมีเรื่องมีราวมีปัญหาแทบทุกวันเลย พากันปฏิบัติตรงกันข้าม พากันมาเป็นสมีกันเป็นส่วนใหญ่ คำว่าสมีนี้หมายถึงตัวตนนะ ตัวตนนั้นคือสมี สมีกับสามีก็อันเดียวกันแหละ ถ้าเรามีตัวมีตนเอาตัวตนนำชีวิตถือว่าจัดว่าเป็นสมีนะ มารับเงินรับสตางค์ มาเก็บสังฆทาน มาหลงในยศในตำแหน่งของนักบวช มาหลงในยศในตำแหน่งที่พระราชาแต่งตั้งประทานยศต่าง ๆ ให้ ประชาชนเค้าไม่แน่ใจเค้าลังเลสงสัยในพระสงฆ์ มีความลังเลสงสัยว่าทำดีได้ดีจริงมั๊ย เพราะว่าคนทำชั่วโกงกินคอร์รัปชั่น ไม่เห็นเขาได้รับบาปรับกรรมรับเวรรับภัยเลย มีแต่รวย ๆ ทั้งนั้นเลย
เราทั้งหลายต้องมายกเลิกนิวรณ์ทั้ง ๕ ยกเลิกก็หมายถึงมาหยุดความแต่ง หยุดความปรุงแต่งด้วยความรู้ความเข้าใจ เมื่อเราหยุดความปรุงแต่งเมื่อไหร่เราก็จะมีความสงบมีปัญญา เราพากันมายกเลิกอคติทั้ง ๔
อคติ 4 ประการ:
1. ฉันทาคติ การลำเอียงเพราะความรัก ความชอบ หรือความพอใจ
2. โทสาคติ การลำเอียงเพราะความโกรธ ความไม่พอใจ หรือความเกลียดชัง
3. โมหาคติ การลำเอียงเพราะความหลง ความเขลา หรือความไม่รู้
4. ภยาคติ การลำเอียงเพราะความกลัว ความหวาดกลัว หรือความเกรงใจ
เราต้องรู้ต้องเข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติชีวิตของเราก็ย่อมพังทลายเพราะความไม่ถูกต้อง ชีวิตนี้ก็ย่อมพังทลายเหมือนตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน
ตึก สตง.อยู่ที่กรุงเทพมหานคร ตึก ๓๐ กว่าชั้น ตึก สตง.ด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ เอาความหลงนำชีวิตเอาทุจริตนำชีวิต ชีวิตมันเลยพังทลาย ชีวิตมันพังทลายนะ ตึกสตง.มันพังทลายด้วยนิติบุคคลตัวตนพังทลายด้วยทุจริตมันจะไปแก้ไขตั้งแต่ภายนอกมันจะไปพัฒนาตั้งแต่วิทยาศาสตร์จะไปเอาความสุขบนความหลง ชีวิตเลยพังทลายนะ
เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งน่ะ เราคิดดูดีๆ นะ ตึกใหญ่กว่าสูงกว่าตึก สตง.ตั้งหลาย สิบตึกที่กรุงเทพมหานครที่ปริมณฑล เค้าไม่พังทลายเหมือนตึกสตง. เพราะพอที่จะรับน้ำหนักได้ ไม่ใช่ไม่โกงกินคอร์รัปชั่นนะ แต่เค้าโกงกินคอร์รัปชั่นน้อยพอที่จะรับแผ่นดินไหวจากมัณฑะเลย์ประเทศพม่า ศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่ที่เมืองมัณฑะเลย์ประเทศพม่าห่างไกลกันตั้งนับพันกิโล
นี้ให้เรามองเห็นในแง่มุมความไม่ถูกต้องน่ะ ชีวิตที่เอาความไม่ถูกต้องนำชีวิต มันก็ต้องพังทลายเหมือนตึก สตง.นี้แหละ
เราทั้งหลายถึงต้องเป็นผู้ละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป เห็นภัยในวัฏฏสงสาร รู้จักความคิดรู้จักอารมณ์เหมือนท่านพระอาจารย์ลี ธัมมธโร วัดอโศการาม สมุทรปราการ ท่านรู้จักความคิดการปรุงแต่งของตัวเอง ท่านรู้จักว่าความปรุงแต่งนี้มันคือวัฏฏสงสารนะ ท่านรู้จักความปรุงแต่ง เพราะความปรุงแต่งมันเป็นทุกข์อย่างยิ่ง
เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ชีวิตนี้ต้องพังทลายเหมือนตึก สตง. เพราะมันไม่ถูกต้อง มันก็ต้องพังทลายเหมือนตึก สตง. นี้แหละ
ตึก สตง.อยู่ที่กรุงเทพมหานคร ตึก ๓๐ กว่าชั้น ตึก สตง.ด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ เอาความหลงนำชีวิตเอาทุจริตนำชีวิต ชีวิตมันเลยพังทลาย ชีวิตมันพังทลายนะ ตึกสตง.มันพังทลายด้วยนิติบุคคลตัวตนพังทลายด้วยทุจริตมันจะไปแก้ไขตั้งแต่ภายนอกมันจะไปพัฒนาตั้งแต่วิทยาศาสตร์จะไปเอาความสุขบนความหลง ชีวิตเลยพังทลายนะ
เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งน่ะ เราคิดดูดีๆ นะ ตึกใหญ่กว่าสูงกว่าตึก สตง.ตั้งหลายสิบตึกที่กรุงเทพมหานครที่ปริมณฑล เค้าไม่พังทลายเหมือนตึกสตง. เพราะพอที่จะรับน้ำหนักได้ ไม่ใช่ไม่โกงกินคอร์รัปชั่นนะ แต่เค้าโกงกินคอร์รัปชั่นน้อยพอที่จะรับแผ่นดินไหวจากมัณฑะเลย์ประเทศพม่า ศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่ที่เมืองมัณฑะเลย์ประเทศพม่าห่างไกลกันตั้งนับพันกิโล
นี้ให้เรามองเห็นในแง่มุมความไม่ถูกต้องน่ะ ชีวิตที่เอาความไม่ถูกต้องนำชีวิตมันก็ต้องพังทลายเหมือนตึก สตง.นี้แหละ
เราทั้งหลายถึงต้องเป็นผู้ละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป เห็นภัยในวัฏฏสงสาร รู้จักความคิดรู้จักอารมณ์เหมือนท่านพระอาจารย์ลี ธัมมธโร วัดอโศการาม สมุทรปราการ ท่านรู้จักความคิดการปรุงแต่งของตัวเอง ท่านรู้จักว่าความปรุงแต่งนี้มันคือวัฏฏสงสารนะ ท่านรู้จักความปรุงแต่ง เพราะความปรุงแต่งมันเป็นทุกข์อย่างยิ่ง
เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ชีวิตนี้ต้องพังทลายเหมือนตึก สตง. เพราะมันไม่ถูกต้อง มันก็ต้องพังทลายเหมือนตึก สตง. นี้แหละ
ตึก สตง.ที่อยู่กรุงเทพมหานครอยู่เมืองหลวงอยู่เมืองกรุง เป็นศูนย์รวมของประเทศ เหมือนสมองเป็นศูนย์รวมของร่างกาย เหมือนหัวใจเป็นศูนย์รวมของสรีระร่างกาย
สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินที่บริหารประเทศ บริหารแผ่นดินไม่เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ เอาแต่ความรู้เอาแต่วิทยาศาสตร์เอาแต่ตัวเอาแต่ตน ไปแก้แต่สิ่งภายนอก ไม่ได้แก้ตัวเองไปพร้อม ๆ กัน
การพัฒนาวิทยาศาสตร์มันต้องพัฒนาใจไปพร้อม ๆ กันมันถึงถูกต้องนะ พัฒนาทั้งภายนอกภายในด้วยความรู้ความเข้าใจให้ครบวงจร อริยมรรคองค์แปดถึงเป็นความรู้ความเข้าใจ เพื่อการประพฤติการปฏิบัติมันจะได้สมบูรณ์ สมบูรณ์ทั้งกายวาจาใจกิริยามารยาทอาชีพด้วยความถูกต้อง
มันต้องรู้ธรรมรู้ปัจจุบันธรรม รู้ธรรมธรรมนูญน่ะ ถ้าเราไปจัดการแต่สิ่งภายนอก เราไม่ได้จัดการตัวเองมันก็ต้องพังทลายเหมือนตึก สตง.นี้นะ
การบริหารตัวเองบริหารบุคคลอื่น มันต้องรู้เข้าใจแล้วมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์
ถ้าเรามีปิติมีสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติมันก็ไม่มีความทุกข์อยู่แล้ว ด้วยความรู้ความเข้าใจ
เราต้องรู้จักการประพฤติการปฏิบัติ ทั้งกายวาจาใจกิริยามารยาทอาชีพ เราต้องเน้นมาที่ตัวเราในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อทำหน้าที่ของตัวเองให้มันสมบูรณ์ เราทั้งหลายจะไม่ได้พังทลายเหมือนตึก สตง.
ถ้าใครมีตัวมีตนบุคคลนั้นคือทุจริตนะ เราทั้งหลายจะได้รู้ว่าทุจริตนั้นคือตัวตนน่ะ ใครเอาตัวตนนำชีวิตบุคคลนั้นคือบุคคลที่ทุจริต เราต้องรู้จักธรรมรู้จักธรรมนูญ ปัญหาต่าง ๆ นั้นมันอยู่ที่ทุจริตนะ
การที่จะบริหารตัวเองบริหารบุคคลอื่นต้องยกเลิกทุจริต ถึงจะเป็นนักบริหารตัวเองนักบริหารคนอื่นด้วยการรู้เข้าใจในการบริหารในการปฏิบัติ
ตำแหน่งที่เค้าแต่งให้เราเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นตำแหน่งที่ให้เรามาเสียสละ มารับผิดชอบโฟกัสในการประพฤติการปฏิบัติ ไม่ใช่ตำแหน่งที่ให้พวกเราทั้งหลายมาทุจริตนะ
ให้ถือว่ามันเป็นตำแหน่งที่ทรงเกียรติมีเกียรติมีศักดิ์ศรี เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันจะมีเกียรติมีศักดิ์ศรีได้อย่างไร ถึงพวกเราทั้งหลายจะพากันใส่สูทผูกเนคไทห้อยเหรียญตรา เป็นผู้ทรงเกียรติมันก็ไม่เป็นผู้ทรงเกียรตินะ มันเป็นผู้ทรงความหลงต่างหาก ทรงความโง่ความหลงงมงายต่างหากล่ะ
เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจเราจะเข้าถึงบริสุทธิคุณ เข้าถึงธรรมนูญเข้าถึงรัฐธรรมนูญไม่ได้ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันเป็นอบายมุขอบายภูมินะ มันตกอยู่ในภพภูมิของ ๓๑ ภพภูมิ
ในภพภูมิของวัฏฏสงสารนี้มีอยู่ ๓๑ ภพภูมิ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจมันก็จะอยู่ในระนาบของ ๓๑ ภพภูมินี้แหละ
เค้าถึงมีศัพท์ว่าคน คนนี้หมายถึงตัวถึงตน หมายถึง ๓๑ ภพภูมินี้แหละ ภพภูมิที่เวียนว่ายตายเกิดมีทั้งหมด ๓๑ ภพภูมิ
เราต้องรู้เข้าใจ เราจะได้ประพฤติปฏิบัติ เราจะไม่ได้ย่ำต๊อกกับความหลงที่มีศัพท์ว่า “คน” คนนี้ความหมายหมายถึงความไม่รู้ไม่เข้าใจ ความไม่รู้ไม่เข้าใจนั้น มันจะวกวนอยู่ที่เก่า มันจะเป็นผู้ไม่มีศีลไม่มีสมาธิไม่มีปัญญา สัมผัสกับอะไรก็ไปกับสิ่งนั้น ๆ อยู่ในภพภูมินั้น ๆ
เรารู้เราเข้าใจเราจะได้หยุดภพภูมินั้น ๆ ด้วยความรู้ความเข้าใจด้วยการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเราทั้งหลายจะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ด้วยความรู้ด้วยความเข้าใจ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจเค้าเรียกว่ามันหลง มันวกวนในความหลงอย่างนั้น จิตใจวกวน อย่างนั้นมันจะไปไหนไม่ได้ มันจะเป็นได้แต่เพียงคนเป็นได้แต่เพียงความหลง หัวใจของบุคคลนั้นมันจะอยู่ในระนาบแห่งความหลงหรือว่าหัวใจบ่อนคาสิโน เอาตัวตนเป็นที่ตั้งคือหัวใจบ่อนคาสิโน หัวใจบ่อนทำลายความถูกต้อง หัวใจบ่อนความหลง
ให้เรารู้เข้าใจ เราจะได้เห็นภัยในความไม่ถูกต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสารด้วยปัญญาบริสุทธิคุณ ด้วยเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ พอใจยินดีมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิตหัวใจของเราทั้งหลายจะได้หยุดอบายมุขอบายภูมิ
เราทั้งหลายถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ เราทั้งหลายจะพากันคิดว่า ความสุขทั้งหลายได้มาจากสิ่งที่อำนวยความสุขความสะดวกความสบายด้วยการพัฒนาวิทยาศาสตร์ อันนี้จริงอันนี้ถูกต้อง ความสุขทั้งหลายมันอยู่พัฒนาหลักเหตุผลหลักวิทยาศาสตร์
เราทั้งหลายต้องมีสัมมาทิฐิเราต้องมีความรู้ความเข้าใจพัฒนาวิทยาศาสตร์ก็ต้องพัฒนาใจไปพร้อม ๆ กัน ถ้าเราพัฒนาวิทยาศาสตร์มันก็ยังเป็นนิติบุคคลตัวตนอยู่
เราต้องพัฒนาใจไปพร้อม ๆ กันด้วยความรู้ความเข้าใจเราทั้งหลายน่ะ ถึงเป็นการพัฒนาครบวงจรด้วยความรู้ความเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจก็จะเอาความหลงนำชีวิตเอาวิทยาศาสตร์นำชีวิต
เราต้องเอาทั้งวิทยาศาสตร์เอาทั้งจิตใจไปพร้อม ๆ กันนะ
เราอย่าไปคิดว่าประเทศสิงคโปร์นั้นน่ะประเทศเล็ก ๆ เท่าอำเภอหนึ่งของเมืองไทยก็ไม่ได้ เค้าพัฒนาหลักเหตุผลหลักวิทยาศาสตร์เป็นหนึ่งของเอเชียเพราะเค้าตั้งบ่อนคาสิโน มาเก๊าส่วนหนึ่งของประเทศจีนเค้าก็รวยเพราะเค้าพัฒนาตามหลักเหตุตามหลักวิทยาศาสตร์
พวกเราทั้งหลายเมื่อมีปัญญาแล้วต้องรอบคอบนะ มีปัญญาแล้วต้องรอบคอบ อย่าลืมว่าชีวิตของเรามันเป็นรายรับรายจ่ายนะ เราไปจับหางงูเดี๋ยวงูมันจะมากัดเรา งูพิษมันจะมากัดเรานะ การที่เราเอาหลักการอุดมการณ์มันดีแล้วถูกต้องแล้ว เราต้องมีหลักการมีอุดมการณ์แล้วก็มีอุดมธรรมนะ หลักการอุดมการณ์มันดีแล้วถูกต้องหลักเหตุผลหลักวิทยาศาสตร์น่ะ แต่ต้องไม่ทิ้งอุดมธรรมนะ
เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งเอาความรู้สึกที่เอาตัวเป็นที่ตั้งมันเป็นหลักการเป็นอุดมการณ์แล้วอุดมด้วยความหลงนะ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เราเอาทั้งหลักการอุดมการณ์แล้วก็ยกเลิกอุดมหลงนะ
ให้เอาอุดมธรรมให้เอาธรรมเอาธรรมนูญมันถึงจะสมบูรณ์เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอเข้าถึงความพอดี เราอยากได้มากมันก็ไม่มาก เราอยากได้น้อยมันก็ไม่น้อย เราต้องรู้จักความพอดีเข้าสู่ความสมดุลทั้งรายรับรายจ่าย
เหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอเข้าถึงความพอดี การประสูติของพระพุทธเจ้าถึงเป็นวันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ ตรัสรู้ก็เป็นวันเพ็ญ ๑๕ ค่ำเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ
เราต้องรู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายจะได้รู้หลักการรู้อุดมการณ์แล้วก็อุดมธรรม เราอยู่ที่ไหนก็พากันปฏิบัติได้ เมื่อเรามีลมปราณ มีอายตนะภายใน ๖ ภายนอก ๖ มีธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อยู่ที่ไหนก็ปฏิบัติได้
ให้รู้เข้าใจมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ
อย่าไปคิดด้วยอวิชชาความหลงเอาแต่หลักการอุดมการณ์เอาแต่วิทยาศาสตร์น่ะ ถ้าเรารวย รวยความหลงมันไม่ดีนะ รวยความโง่หลงงมงายเรียกว่ารวยไสยศาสตร์มันไม่ดีนะ ไม่ใช่ความดีมันไม่ใช่บารมีไม่ใช่ปัญญาบริสุทธิคุณนะ มันเป็นความหลงนะ
ให้เรารู้เข้าใจ อย่าไปคิดว่าทำไมเราโง่ไปตั้งหลายปี ประเทศสิงคโปร์ประเทศ เค้าเล็กนิดเดียวเค้าตั้งบ่อนคาสิโนเค้ารวยกัน ประเทศมาเก๊าก็เหมือนกันเค้ารวยกัน
ประเทศสิงคโปร์เค้ามีหลักเหตุผลมีหลักวิทยาศาสตร์น่ะ เค้าคิดว่าประเทศสิงคโปร์มันเล็กนิดเดียว จะทำเกษตรกรรมก็ไม่ได้ จะทำอุตสาหกรรมก็ไม่ได้ ถ้าเราตั้งบ่อนคาสิโนด้วยหลักเหตุผลหลักวิทยาศาสตร์ก็รวยได้ เพราะคนในนี้โลกนี้มันคนมีความไม่ฉลาด เอาความหลงนำชีวิต เอาตัวตนนำชีวิตมันมีมากถ้าเราตั้งบ่อนคาสิโน เราสามารถรวยได้ทางวัตถุ ด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์เค้าถึงพากันตั้งบ่อนคาสิโน จะเรียกบ่อนคาสิโนก็ได้หรือเรียกบ่อนแห่งความหลงก็ได้ มันคืออันเดียวกัน
ให้เรารู้เข้าใจ ประเทศไทยเราแผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาลเราต้องรู้เข้าใจว่า เราทั้งหลายอย่ายินดีในการเอาความหลงนำชีวิต อย่าไปยินดีในการเอาบ่อนคาสิโน นำชีวิตนะ
พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ ศาสดาทุกศาสนาเค้ามายกเลิกบ่อนคาสิโน มายกเลิกอบายมุขอบายภูมิ ให้เรารู้เข้าใจ ถ้าเรารู้เข้าใจ ทุกอย่างน่ะไม่มีปัญหา ปัญหาอยู่ที่เราไม่รู้ไม่เข้าใจนะ
เหมือนประเทศไทยของเรานี้แหละ โครงการยกเลิกเหล้ายกเลิกเบียร์ ยกเลิกสิ่งเสพติดยาเสพติดที่มันเป็นอบายมุขแห่งชีวิต ที่มันเป็นอบายภูมิแห่งชีวิต
เกือบร้อยปีของโครงการพากันประพฤติปฏิบัติด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ ตั้งอยู่ในความประมาท เอาความหลงนำชีวิตเอาความประมาทนำชีวิตมันก็ปฏิบัติไม่ได้ มันก็ยิ่งมากกว่าเก่า ไม่รู้ไม่เข้าใจ เอาความหลงนำชีวิต ความหลงก็เลยยิ่งใหญ่ใหญ่ยิ่ง
มันก็แก้ปัญหาไม่ได้ มันยิ่งมากทวีคูณ มันก็ไปของมันเรื่อย มากยิ่งกว่าเก่าทวีคูณยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีก
อย่างการสวมหมวกกันน็อคอย่างนี้แหละ มอเตอร์ไซด์เข้ามาในเมืองไทย ประเทศไทย ไม่ต่ำกว่า ๖๐ ปี ขณะนี้เวลานี้ก็ยังทำไม่ได้ เรื่องสวมหมวกกันน็อคนี้ที่ให้ประชาชนผู้ขับขี่จักรยานยนต์เพื่อสะดวกในการสัญจรไปมา ได้ออกกฎหมายบังคับตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๕๒๕ ขณะนี้เวลานี้มันก็เป็นเวลาจวนจะ ๕๐ ปีแล้วก็ยังพากันทำไม่ได้
ถ้าเรารู้เข้าใจว่า การทำอะไรตามใจตามอัธยาศัยนี้ไม่ได้ มันเป็นความเสียหายทั้งตัวเราและส่วนรวม มันไปไม่ได้ ชีวิตของเรามันไปไม่ได้นะ ชีวิตนี้มันพังทลายเหมือนตึก สตง.ของเมืองไทยนี้แหละ
เราต้องเข้าใจ ทุกคนต้องเข้าใจ ไม่ใช่เข้าใจเฉย ๆ ต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ถ้าไม่อย่างนั้น มันก็จะไปของมันด้วยความไม่ถูกต้องอย่างนี้แหละ
พูดอย่างนี้ไม่ใช่คนบ้าจี้นะ ไม่ใช่คนผีบ้าจี้นะ นี้มันคนดีจี้ คนมีปัญญาจี้ นี้เป็นพระธรรมคำสั่งสอนที่เป็นบริสุทธิคุณทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพ อาชีพที่ถูกต้องเป็นมรรคเป็นอริยมรรค เราต้องรู้เข้าใจ ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจในภัยทั้งทางกายวาจากิริยามารยาททั้งอาชีพ ภัยที่ไม่รู้ไม่เข้าใจ เราไม่เห็นภัยก็ตั้งอยู่ในความประมาท เราจะเอาความประมาทนำชีวิตมันเป็นความไม่ถูกต้องนะ
ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ
ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ
ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู
ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบัน ไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละ คือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะ
-------------------------------------
โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
เมตตาให้ไว้ในเช้าวันที่ ๒๙ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา