๓๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

วันนี้เป็นวันพฤหัสบดีที่ ๓๑ เดือนกรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ศาสนาพุทธ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ศาสนาคริสต์ ฮิจเลาะห์ศักราช ๑๔๔๖ ศาสนาอิสลาม

 

การที่เราพากันมาบวชมาประพฤติมาปฏิบัติธรรมะด้วยการอาศัยพระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตร ให้เรารู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติพระธรรมพระวินัย ข้อวัตรกิจวัตรต่าง ๆ

 

ธรรมะนั้นมันมีหลายอย่าง มีทั้งดีมีทั้งชั่ว มีทั้งผิดมีทั้งถูก มีทั้งไม่ผิดไม่ถูก เราทั้งหลายต้องมารู้ธรรมะทั้งหลาย ธรรมะที่เป็นบารมีเป็นความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณนั้น เป็นสิ่งที่รู้เป็นสิ่งที่เข้าใจ มีความรู้ความเข้าใจ ไม่ไปตามกระแส ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม กระแสนั้นเป็นสิ่งที่มีอยู่ สิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งที่มีอยู่

 

เราทุกคนมีธาตุทั้ง ๔ มีขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ มีเหมือนกันทุก ๆ คน ไม่มีใครมากน้อยกว่ากัน ให้เราพากันรู้พากันเข้าใจ ไม่มีใครประพฤติไม่มีใครปฏิบัติให้เรา เราต้องพากันตั้งอกตั้งใจตั้งเจตนา

 

การประพฤติการปฏิบัตินั้นไม่มีต่อหน้าและไม่มีลับหลัง ไม่มีที่มืดไม่มีที่แจ้ง

 

เราต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ โดยอาศัยพระธรรมพระวินัยแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์นี้เป็นยาน เค้าจะเดินทางไกลก็ต้องอาศัยยาน ทางบกก็อาศัยรถอาศัยเครื่องบิน ทางน้ำก็อาศัยเรือ เค้าต้องมียาน ความตั้งใจตั้งเจตนาพร้อมทั้งการประพฤติการปฏิบัติเป็นสิ่งที่สำคัญ

 

ทุกคนต้องเน้นที่ปัจจุบัน เพราะปัจจุบันนั้นเป็นวาระแห่งชาติ เพราะความเกิดต่อไปมันอยู่ที่ปัจจุบัน อดีตมันก็มารวมอยู่ที่ปัจจุบัน อนาคตก็มารวมอยู่ที่ปัจจุบัน ปัจจุบันเราต้องมีปัญญาสัมมาทิฏฐิพร้อมกับการประพฤติการปฏิบัติ

 

เราพากันนอนพากันพักผ่อน อย่างวัดเรานี้อากาศดีโอโซนดี เรานอนเราพักผ่อนอย่างน้อย ๕ ชั่วโมง อย่างมาก ๖ ชั่วโมง ทำอย่างนี้ไปได้ ทำอย่างนี้พอเพียงเพียงพอให้เรามีปิติมีความสุขในพระธรรมในพระวินัย ข้อวัตรกิจวัตรต่าง ๆ เพื่อมีปิติในพระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตร

 

 ปัจจุบันนี้ในการประพฤติการปฏิบัติให้มันเป็นฟอร์มสด อย่าให้อดีตที่มันผ่านมาแล้วมันปรุงแต่งเราได้ อย่าให้อนาคตที่ยังมาไม่ถึงปรุงแต่งเราได้ ปัจจุบันเราก็เอาพระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตร ให้มีปิติให้มีความสุขให้มีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายจะได้เข้าถึงฟอร์มสด เข้าถึงไฟต์ในการประพฤติการปฏิบัติ

 

ถ้าเรานอนพักผ่อน ๕ ชั่วโมง ๖ ชั่วโมง ร่างกายของเราถือว่าพักผ่อนเพียงพอ ตามหลักการขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านจะไม่บรรทมพักผ่อนเวลากลางวัน ถ้าท่านต้องการพักผ่อนร่างกายท่านจะพักผ่อนด้วยให้อายตนะภายนอกภายในหยุดทำงาน ให้อายตนะภายนอกภายในทำงานด้วยการนั่งสมาธิ เข้าสมาบัติ เข้านิโรธสมาบัติ

 

เราทุกคนต้องเข้าใจ เรามีธาตุมีขันธ์มีอายตนะ ธาตุขันธ์อายตนะเราต้องรู้เข้าใจ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ ธาตุขันธ์อายตนะมันจะครอบงำเรา เรามีธาตุมีขันธ์มีอายตนะเนื่องมาจากผลกรรมของกรรมเก่า ธาตุขันธ์อายตนะต่าง ๆ นี้มันคือปลายเหตุแล้ว เราต้องรู้เข้าใจ ถ้าไม่มีธาตุไม่มีขันธ์ไม่มีอายตนะ เราก็จะไม่มีการประพฤติการปฏิบัติ

 

เราต้องรู้ว่าธาตุขันธ์อายตนะต่าง ๆ นี้เป็นข้อสอบเป็นด่านที่จะให้เราผ่านไป เราทั้งหลายต้องผ่านด่านของธาตุของขันธ์ของอายตนะ เรามีอายุขัยเรามีลมปราณก็ย่อมมีธาตุมีขันธ์มีอายตนะ ให้เราเข้าใจ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ ธาตุขันธ์อายตนะต่าง ๆ มันจะครอบงำเรา

 

การมาสงบระงับสังขารทั้งหลายด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิ เพื่อหยุดความปรุงแต่งของธาตุของขันธ์ของอายตนะ สัมมาสมาธิความตั้งใจมั่น ปฏิบัติติดต่อต่อเนื่อง การทำอะไรติดต่อต่อเนื่องคือความไม่ขาดไม่ด่างไม่พร้อยนะ ความสงบและปัญญาต้องไปพร้อมกัน

 

เราระลึกถึงที่เราทุกคนยืนขึ้นเคารพธงชาติ หรือว่าเคารพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วยร้องเพลงสรรเสริญหรือฟังเพลงสรรเสริญพระบารมี นี้เป็นลักษณะของความดีความพอเพียง มันจะเป็นความเคารพ มันจะเป็นความสงบ มันจะเป็นความพอเพียงเพียงพอ การทำอะไรก็ให้ตั้งใจให้สวบให้เป็นหนึ่งเหมือนการเคารพธงชาติ หรือการเคารพในการสรรเสริญพระบารมี ถ้าเราไม่เคารพมันก็ไม่สงบ ความสงบกับความเคารพถึงเป็นสิ่งอันเดียวกัน ธรรมะเป็นสิ่งที่สงบเป็นสิ่งที่เคารพ เป็นสิ่งที่พอดีไม่ขาดตกบกพร่อง

 

อย่างเรานั่งสมาธินี้ นั่งคอพับหรือว่านั่งสัปหงก หรือว่านั่งฟุ้งซ่านไม่ใช่ความเป็นหนึ่ง ไม่ใช่ความสงบ ไม่ใช่ความเคารพ ใจของเราต้องเป็นหนึ่งเป็นเอกัคคตาในความสงบในความเคารพ เรามาบวชมาปฏิบัติธรรม เป็นโอกาสพิเศษของเรา

 

ให้เรามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ให้เข้าใจ ไม่มีคำว่าใหม่ ไม่มีคำว่าเก่า มันเป็นความสงบ มันเป็นความเคารพ มันเป็นความพอเพียงเพียงพอ ความเห็นแก่ตัวคือความปรุงแต่ง พระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตรเป็นทางสายกลาง ความปรุงแต่งนั้นให้เข้าใจไม่ใช่ทางสายกลาง

 

เราต้องพากันรู้เข้าใจ ความปรุงแต่งนั้นมันเป็นสัญชาตญาณที่มันเป็นตัวเป็นตน ที่มันเวียนว่ายตายเกิด เราทั้งหลายต้องพากันมารู้จักความปรุงแต่ง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงตรัสว่า อย่าไปตรึกในกาม อย่าไปตรึกในพยาบาท เพราะกามพยาบาทนั้นมันคือตัวคือตน เพื่อเราจะได้รู้จักการประพฤติการปฏิบัติ

 

ให้เรารู้เข้าใจ การปรุงแต่งนั้นจะทำให้ศีลเราด่างเราพร้อย ศีลของเราขาด ศีลของเราเศร้าหมอง เราผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย ต้องมาทำหน้าที่ในการประพฤติการปฏิบัติให้สมบูรณ์เพื่อให้เกิดความสงบเกิดความเคารพ เพื่อไม่ให้ความปรุงแต่งนั้นทำงาน

 

ใจของเราน่ะเป็นนามธรรม ใครไม่รู้ไม่เห็นเราเป็นผู้รู้ผู้เห็น เป็นผู้รู้ผู้เข้าใจ เราทั้งหลายต้องไม่ให้ใจตรึกในกามตรึกในพยาบาท เบื้องต้นเราเอาเรื่องศีล เอาเรื่องพระวินัย ข้อวัตรกิจวัตร ด้วยความตั้งใจตั้งเจตนา มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ ใจมันไม่สงบก็ให้กายวาจากิริยามารยาทของเราสงบ

 

เรามีศีลอย่างไร ก็มีความสุขในการรักษาศีลนั้น เรามีข้อวัตรกิจวัตรอันใดเราก็มีความสุขในข้อวัตรกิจวัตรนั้น เรามาอยู่กันเป็นกลุ่มเป็นก้อนเป็นหมู่เป็นคณะ มีการประพฤติการปฏิบัติไปในทางหนึ่งทางเดียวกันด้วยอาศัยทรัพยากรของแผ่นดิน ด้วยอาศัยทรัพยากรของศรัทธาที่เราพากันสร้างความดีบำเพ็ญบารมีกัน ทรัพยากรแผ่นดินก็ได้มาจากภาษีอากรของประชาชนทุก ๆ คนรวมทั้งตัวของเราเอง ทั้งภายในประเทศต่างประเทศได้มาจากภาษีอากร

 

 ให้เราผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายพากันเข้าใจนะ เราจะไม่ได้เป็นเศษของสังคม เป็นกาฝากของสังคม ผู้ที่มาบวชในพระพุทธศาสนาส่วนใหญ่ ๙๙.๙ เปอร์เซ็นต์ ไม่ได้มุ่งมรรคผลพระนิพพาน ได้มาบวชเพื่อดำรงชีพดำรงขันธ์ดำรงอายตนะ

 

ให้พวกเราเข้าใจ เราจะได้รู้เข้าใจ ว่าเราจะเอานักบวชในพระศาสนาในปัจจุบันนี้เป็นมาตรฐานเป็นบรรทัดฐานไม่ได้ จะเอานักบวชเหล่านี้เป็นมาตรฐานเป็นบรรทัดฐานได้อย่างไร เพราะเค้าไม่ได้บวชเพื่อมุ่งมรรคผลพระนิพพาน ถึงมีเรื่องมีราวพากันเป็นสมีกันเต็มบ้านเต็มเมืองกันไปหมด ทั้งในประเทศต่างประเทศ พากันมาเอาความหลงนำชีวิต มาหลงในยศในตำแหน่ง ในเงินในสตางค์ ในนารีสีกาได้เอาความบ้านำชีวิต เอาความหลงนำชีวิต

 

ปัจจุบันนี้น่ะ ประเทศของเราหรือประเทศต่าง ๆ ต้องกลับมาหาความสงบ กลับมาหาปัญญา ต้องพากันสังคายนาตัวเองใหม่นะ เราไปสังคายนาคนอื่นไม่ได้ เราก็สังคายนาตนเองนี้แหละ ชำระสะสางเพื่อไม่ให้เอาความไม่ถูกต้องนำชีวิต ไม่เอาทุจริตนำชีวิต

 

เราจะเอาความผิดนำชีวิตได้อย่างไร ให้เรารู้เข้าใจ เพราะความผิดก็คือความผิด

 

พระอานนท์ได้ตรัสทูลถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้วจะเอาใครเป็นตัวแทนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสกับพระอานนท์ว่า อานนท์เอย พระธรรมพระวินัยแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์นั่นแหละตัวแทนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อานนท์ต้องรู้หลักการรู้อุดมการณ์อุดมธรรม

 

เราคิดให้ดี ๆ ด้วยปัญญานะ เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพานไปประมาณ ๕๐๐ ปียังไม่มีการสร้างพระพุทธรูป ยังไม่มีการสร้างพระปฏิมาแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เอาความรู้ความเข้าใจที่เป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ เอาพระธรรมเอาพระวินัยข้อวัตรกิจวัตรต่าง ๆ ด้วยความรู้ความเข้าใจด้วยปัญญา ไม่มีใครเค้ากล้าจะสร้างพุทธปฏิมาเพราะกลัวว่ามันจะเป็นอัตตาตัวตน เป็นนิติบุคคลตัวตน

 

ให้เรารู้เข้าใจนะ พระธรรมพระวินัยข้อวัตรข้อปฏิบัตินี้คือตัวแทนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราทั้งหลายต้องเข้าสู่ความเป็นมาตรฐานเข้าสู่ มอก. ในการประพฤติการปฏิบัติ เน้นมาที่ตัวเรานี้แหละ มาสังคายนาในตัวของเรานี้แหละ ชำระสะสางปลงใจลงใจว่าพระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตรนี้ เป็นข้อวัตรเป็นกิจวัตรของเรา เราทั้งหลายจะได้บวชทั้งกายบวชทั้งวาจาทั้งกิริยามารยาท เป็นอาชีพนักบวช

 

ช่วงกลางวันเราก็พากันเดินจงกรมนั่งสมาธิ อยู่กับสติอยู่กับสัมปชัญญะ อยู่กับการพิจารณาร่างกาย แยกร่างกายของเราออกเป็นชิ้นเป็นส่วน ร่างกายของเรานี้มี ๓๒ ชิ้นส่วน แยกออกไป เอาผมขนเล็บฟันหนังเอ็นกระดูก ตับไตไส้พุงอะไรต่าง ๆ ออกไป สาธยายแยกส่วนต่าง ๆ ออกไป แล้วเอามาประกอบกันใหม่ เมื่อเราพิจารณาอย่างนี้ทำติดต่อต่อเนื่องกันวันหนึ่งหลาย ๆ ครั้งหลาย ๆ รอบ เราทั้งหลายจะได้มีความสงบมีปัญญา จะไม่ได้มีอัตตาตัวตน เดินจงกรมกลับไปกลับมา ในวัดเราอากาศดีโอโซนดี

 

วัดเราไปบิณฑบาตถือว่ามันระยะทางไม่ไกล ไม่พอที่จะให้ร่างกายของเราแข็งแรงเหมือนพระป่าพระกรรมฐานอยู่ห่างจากหมู่บ้านหลายกิโล ท่านเดินไปเดินมาหลายกิโลทำให้ร่างกายของท่านแข็งแรง

 

การเดินจงกรมนี้แหละ ต้องใช้เวลาเดินอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง ถ้าจะให้ดีให้ได้มาตรฐานวันละ ๑ ชั่วโมงน่ะดี เดินจงกรมคือการเจริญสติเจริญสัมปชัญญะเพื่อเราจะได้เจริญสติปัฏฐาน ต้องให้ใจของเราไม่ฟุ้งซ่าน ให้ใจของเราอยู่กับความสงบอยู่กับปัญญา อยู่กับปัญญาอยู่กับความสงบ

 

เราอย่าปล่อยให้ตัวเองฟุ้งซ่าน ถ้าปล่อยให้ตัวเองฟุ้งซ่านมันจะเหมือนเราอยู่บนภูเขา เรากลิ้งหินลงจากภูเขา ภูเขามันสูงมันชันกลิ้งหินลงไม่สามารถที่จะเบรกมันได้นะ เราต้องรู้ต้องเข้าใจ อย่าให้ใจของเราตรึกในกาม อย่าให้ใจของเราตึกในพยาบาท

 

ในกลางวันเรามีเวลาพากันอ่านหนังสือธรรมะจากพระไตรปิฎก วัดเรามีหนังสือพระไตรปิฎก ๒ ชุด ๓ ชุด มีทั้งพระอภิธรรม พระสูตร พระวินัย อ่านหนังสือนวโกวาท ธรรมวิภาค พุทธประวัติ สาวกประวัติ หนังสือที่อ่านต้องอ่านหนังสืออย่างนี้ ฝึกท่องสวดมนต์ เรามาบวชมาปฏิบัติ เราต้องเอาแต่ความสงบเอาแต่ปัญญา ท่องสวดมนต์ จำบทสวดมนต์นั้นให้ได้ เราจำบททำวัตรสวดมนต์ไม่ได้นี้ไม่ถูกต้องนะ เราเป็นคนขี้เกียจขี้คร้าน เราไม่ได้ทำหน้าที่ของการที่มาบวชนะ  มาบวชตั้งพรรษา ทำวัตรสวดมนต์เช้าสวดมนต์เย็นก็ไม่ได้ อาศัยยกหนังสือมาอ่านเวลาสวด อย่างนี้ถือว่าไม่ได้นะ ผู้ที่มาบวชในพรรษา ทำวัตรเช้าทำวัตรเย็นต้องให้มันได้ด้วยการไม่ต้องยกหนังสือขึ้นมาสวดทุกครั้ง เราต้องฝึกสวดท่องจำหนังสือสวดมนต์ ๗ ตำนาน ๑๒ ตำนาน สวดพระอภิธรรม สวดมาติกา บังสุกุล ฝึกสวดบทให้พรต่าง ๆ

 

 ผู้ปฏิบัติธรรมต้องอยู่กับการงานในสิ่งเหล่านี้แหละ ถ้าเราอยู่กับข้อวัตรกิจวัตรต่าง ๆ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาเหมือนกับเคารพธงชาติ เหมือนกับยืนสรรเสริญพระบารมี ความฟุ้งซ่านมันก็ไม่มี เพราะเราอยู่กับกิจกรรมที่เป็นบุญเป็นกุศล

 

อย่างเรานั่งสมาธินี้ เราก็หาวิธีให้เกิดประโยชน์ อย่าไปนั่งโงกนั่งง่วง เสียสมณะสารูป เราจะไปอ่อนน้อมถ่อมตนต่อความหลงไม่ได้ ท่องสวดมนต์ในใจก็ได้ สาธยายในอาการ ๓๒ ของร่างกายก็ได้ เราพากันฉันอาหารให้เพียงพอ

 

มีปัญหาว่าเมื่อเราตักอาหารลงใส่ในบาตรแล้ว เราทั้งหลายต้องพากันฉันอาหารให้หมด ไม่ให้อาหารเหลือ เราต้องคำนวณให้ได้พอดี ร่างกายของเราต้องไม่อ้วนพลีเกินไป ไม่ผอมเกินไป ให้อยู่กับความพอดี เราต้องเป็นแพทย์เป็นพยาบาลในตัวของเราเอง เราต้องเซฟตี้ด้วยความรู้ความเข้าใจ เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ อาหารทุกอย่างของทุกอย่างนั้นไม่ใช่ของเรา เป็นงบประมาณแผ่นดิน เป็นงบประมาณของประชาชนเค้า

 

ครั้งพุทธกาลพระนี้จะไม่มีใครฉันเหลือ พระสมัยครั้งพุทธกาลนั้นเค้าถวายอาหารน่ะ เค้าจะยืนดูอยู่ห่าง ๆ เมื่อพระฉันหมดแล้วเค้าถึงจะเอามาเสริฟให้ฉันต่อไป ในประเพณีสมัยนั้นพระพุทธเจ้าก็ฉันในบาตร พระทุกรูป ภิกษุณีทุกรูป สามเณร สามเณรี ก็พากันฉันในบาตร ไม่มีใครฉันในภาชนะอื่นนะ ไม่มีใครฉันเหลือ เราไปตักอาหารให้ควบคุมคอนโทรลตัวเอง อย่าให้หวานเกินมันเกินเค็มเกินจืดเกินให้อยู่ในความพอดีความพอเพียง

 

เราต้องรู้จักของมากของน้อย เราต้องคำนวณเป็นว่าอาหารนี้ถ้าตัก ๑ ช้อนอย่างนี้ เราก็ต้องคิดดูว่าถ้ามีพระมีประชาชนอยู่ ๒๐๐ อย่างนี้ก็เท่ากับ ๒๐๐ ช้อน ให้รู้เข้าใจ เราต้องเบรกตัวเองไว้ให้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เราจะไปถืออภิสิทธิ์ว่า เราบวชก่อน เป็นโอกาสของเรา เราจะไปทำอะไรตามใจตามอัธยาศัยนั้นไม่ได้

 

อาหารต่าง ๆ อาหารทั้งหมด อาหารในชีวิตประจำวัน น้ำปานะ หรือพวกเภสัชอะไรต่าง ๆ ตลอดถึงยารักษาโรค องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้ถือคติว่าอันนี้เป็นเพียงยา เป็นสิ่งที่เยียวยา ให้เรามีสติมีปัญญา เราอย่าไปหลงอย่าไปเพลิดเพลิน เราต้องมีสติคือความสงบเราต้องมีสัมปชัญญะคือปัญญา อาหารที่เค้าปรุงแต่งน่ะ ที่ใส่พริกใส่เกลือใส่น้ำตาลใส่น้ำส้มใส่หอมใส่กระเทียมใส่อะไรต่าง ๆ เพื่อปรุงเพื่อให้บริโภคอาหารนั้นได้ เราต้องรู้เข้าใจว่าอาหารทุกอย่างเป็นเพียงยา ยาวกาลิก ยามกาลิก สัตตาหกาลิก  ยาวชีวิก ให้รู้ว่าทุกอย่างเป็นเพียงยา

 

เราทั้งหลายอย่าไปฉันอาหารเหลือ เพราะอะไรก็ดี เพราะอะไรก็อร่อย แถวมันก็ยาวเหยียดกว่าจะตักบาตรล้นบาตร เกือบจะล้นบาตร เราต้องยับยั้งช่างใจ ต้องให้ความสงบและปัญญาอยู่ในความพอดี เพื่อจะได้ควบคุมตัวเองอยู่กับความสงบอยู่กับปัญญา

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้พิจารณาอาหาร พิจารณาเครื่องนุ่งห่มที่อยู่ที่อาศัยสิ่งที่อำนวยความสะดวกสบายนั้นต้องพิจารณาด้วยปัญญา เราต้องบริโภคด้วยปัญญา เพื่อเราะจะได้ไม่มีความยึดมั่นมั่นถือมั่นให้มันเป็นนิติบุคคลตัวตนให้มันเกิดความสงบเกิดปัญญา

 

เราเป็นประเทศที่ยังไม่ได้พัฒนานะ ขยะทั้งหลายเราต้องแยกขยะนะ อย่ามักง่าย ตัวตนมันมักง่ายนะ ตัวตนก็คว่ำลงในถังเดียวกันหมดทิ้งลงในถังเดียวกันหมดนี้ไม่ได้ เค้าต้องแยกขยะ ขยะที่เป็นของเขียว เป็นผักเป็นผลไม้ ก็ต้องอยู่กับส่วนนั้น ส่วนไหนที่มันเป็นกระดาษเป็นพลาสติกเราต้องแยก มันอยากแยกหรือไม่อยากแยกก็ต้องแยก เราอยู่ที่บ้านเรายังเป็นคนไม่พัฒนา

 

เรามาบวชมาปฏิบัติต้องแยกขยะนะ

 

ทางวัดหรือว่าพวกเราเองนี้แหละ ได้มีถังสองใบสามใบเพื่อแยกขยะ ให้ทำเหมือนพระที่เป็นพระฝรั่งเศสน่ะ พระรูปนี้ประเทศเค้าเจริญ เค้าจะทำอะไรเค้าต้องแยกขยะ ไม่เหมือนประเทศที่ไม่พัฒนา ประเทศที่ยังด้อยพัฒนาให้เรารู้เข้าใจนะตัวตนนั้นคือความด้อยนะ ตัวตนนั้นคือไม่ได้พัฒนา มันต้องแยกขยะ เราต้องรับผิดชอบตัวเองเรื่องตักอาหาร เรื่องฉันอาหารให้หมด เรื่องแยกขยะนะ เพื่อเราจะได้ยกระดับตัวเองจากเช่นเราเรียนอนุบาลก็ต้องขึ้นประถม ขึ้นมัธยม ขึ้นอุดมศึกษา

 

เรามาบวชมาปฏิบัติ เราไม่รู้เรื่องการประพฤติการปฏิบัติมันจะใช้ได้อย่างไร เพราะการปฏิบัติธรรมเราต้องรู้กรรมดีกรรมชั่ว กรรมไม่ดีไม่ชั่ว เราต้องรู้จักแยกแยะ การประพฤติการปฏิบัติที่ติดต่อต่อเนื่องมันจะพัฒนาเราไป

 

เราทั้งหลายน่ะต้องอาศัยพระธรรมพระวินัยข้อวัตรปฏิบัติเป็นเครื่องอยู่เราต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เราต้องมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติถ้าไม่อย่างนั้นเราจะไปรบกวนแพทย์หมอโรงพยาบาล เพราะแพทย์หมอโรงพยาบาลนั้นมันเป็นปลายเหตุ เพราะไปโรงพยาบาลน่ะ โรงพยาบาลมันอยู่ไกลก็ต้องอาศัยรถอาศัยคนขับไป อาศัยเงินอาศัยสตางค์ เงินสตางค์นั้นก็เป็นงบประมาณแผ่นดินเป็นของศรัทธาประชาชน มันไม่ใช่ของเรา ถ้าเราไม่มีความจำเป็นเราจะไม่ไปโรงพยาบาล ถ้าจำเป็นเราถึงจะไปโรงพยาบาล ให้เข้าใจอย่างนี้

 

ยาบางอย่างน่ะ หมอเค้าไม่ได้ลงชื่อเขียนชื่อนะ เค้ากลัวคนไข้จะเสียสุขภาพจิต เพราะเค้าเอายากล่อมประสาทหรือยาเสตียรอย เค้าไม่ได้เขียน เพราะส่วนใหญ่เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมีความเห็นแก่ตัวมันจะเป็นโรคจิตโรคประสาทโรคซึมเศร้าโรคฟุ้งซ่าน

 

เราให้พากันคิดดูดี ๆ ถ้าเราไม่มีความแก่ความเจ็บ ไม่มีป่วยไข้ไม่สบาย เราก็ไม่ได้ทำจิตทำใจ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่ได้ตามจิตตามใจ เราต้องมีธรรมะโอสถ เราต้องมีความสงบมีปัญญา ความสงบและปัญญามันจะเป็นธรรมะโอสถมันจะหยุดความปรุงแต่ง เราพยายามที่จะแก้ปัญหาด้วยการเอาธรรมวินัยทำให้เกิดความสงบเกิดปัญญา เราพากันตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติ เราทั้งหลายจะได้หยุดเป็นโรคจิตโรคประสาทโรคซึมเศร้า โรคไม่อิ่มไม่เต็ม โรคไม่รู้จักพอ ไม่เข้าถึงเศรษฐกิจพอเพียงเพียงพอ เอาความปรุงแต่ง เอาความฟุ้งซ่านนำชีวิตได้อย่างไร เราต้องรู้เข้าใจ

 

กุฏิที่พักที่อยู่ที่อาศัย บริเวณรัศมีภายใน ๔๐ เมตรของที่พักของเราต้องให้สะอาด นิสัยเคยชินที่เราอยู่จากท้องถิ่น ที่ไม่มีความเจริญมันสกปรก บ้านก็สกปรก ห้องน้ำก็สกปรก ที่อยู่ที่นอนก็สกปรก เรามาบวช ต้องเข้าถึงความสะอาด สงบ สว่าง ด้วยปฏิปทาที่มาเสียสละ ละความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวนี้ทำให้เราไม่รู้จักคิดพิจารณา กายวาจากิริยามารยาทที่อยู่ที่อาศัยห้องน้ำห้องสุขา ทุกสิ่งทุกอย่างมันถึงสกปรก

 

เราพากันมารับผิดชอบทั้งส่วนตัวและส่วนรวม ส่วนรวมก็ได้แก่ถนนหนทาง ห้องน้ำห้องสุขาส่วนรวม ห้องน้ำห้องสุขา ๒๔ ห้องก็ให้เป็นหน้าที่ของพวกผู้หญิงเค้า พระ ผู้ชาย ไม่ควรไปเกี่ยวข้อง มันต้องแยกกันเป็นส่วนเป็นสัด ห้องน้ำทางเขตผู้ชาย เขตพระก็ให้ผู้ชายให้พระรับผิดชอบ อย่าให้ผู้หญิงผู้ชายเกี่ยวข้องข้องเกี่ยวกัน เพราะผู้หญิงผู้ชายนั้นมันเป็นขั้วบวกขั้วลบ เมื่อเอามาสปาร์คกันเมื่อไหร่มันก็เกิดการทำงานเกิดวัฏฏสงสารทันที

 

ให้ผู้มาประพฤติปฏิบัติธรรมทั้งหลายพากันเข้าใจ

 

เราอย่ามาอาศัยวัด มาอาศัยพระศาสนาเพื่ออยู่ไปเป็นวัน ๆ มันเป็นกาฝากของสังคม เป็นกาฝากของส่วนรวม มันไม่ใช่พระศาสนา มันเป็นตัวเป็นตน มันเป็นนิติบุคคลตัวตน ตัวตนมันเป็นระบบนายทุนนะ ที่เราลงทุนเรียนหนังสือ ลงทุนในการค้าการขาย ลงทุนในการทำงาน ลงทุนอะไรต่าง ๆ ไปเป็นเพื่อตัวเพื่อตนนั้นไม่ได้นะ มันเป็นการเอาทางรอดในความไม่รอดนะ มันไม่ใช่ความสงบไม่ใช่ปัญญานะ นี้มันคนเห็นแก่ตัวนะ เห็นแก่ตัวเห็นแก่ปากแก่ท้อง นี้ไม่ถูกต้อง มันใช้ไม่ได้นะ

 

 ถ้าเรามีความสุขในการทำงาน ข้อวัตรกิจวัตร สมองเรามันไม่ดีมันก็จะค่อยดีขึ้น ร่างกายของเราไม่แข็งแรงมันก็จะแข็งแรงขึ้น ผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายต้องมาละความเห็นแก่ตัว มาละความยึดมั่นถือมั่น ไม่ใช่มาบรรพชาอุปสมบทเพราะปมด้อยของชีวิต เนื่องจากความยากจน เนื่องจากมีความประมาทพลาดพลั้งในการเรียนการศึกษา ไม่ตั้งใจเรียนศึกษา ไม่มีความรู้ไม่มีความสามารถในการทำมาหากิน เราจะจนเราจะรวย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านไม่ว่าอะไร เราจะป่วยเราจะไข้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านไม่ว่าอะไร ให้เราตั้งอกตั้งใจตั้งเจตนาในการประพฤติการปฏิบัติ เอาความตั้งใจตั้งเจตนา ไม่ใช่มาเอาพระศาสนาหาอยู่หาฉัน เพราะเรามีปมด้อย ปมด้อยก็แก้ไขได้ถ้าเรารู้เข้าใจ เรารู้เข้าใจมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เพราะการดับทุกข์นั้นอยู่ที่ความสงบและปัญญาที่เราไม่มีอัตตาตัวตน

 

เราพากันยืนเดินนั่งนอนให้มีทั้งความสงบทั้งปัญญา ให้มีความสง่างาม สง่างามทั้งกายวาจากิริมารยาททั้งใจของเราต้องมีความสง่าง่าม ตัวตนนั้นคือความไม่สง่างาม ตัวตนนั้นคือความสกปรกคือความรกรุงรังคือความเศร้าหมอง ตัวตนนั้นแหละคือสิ่งที่ปฏิกูล

 

ท่านหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ท่านตรัสว่าตัวตนนั้นมันเหม็นมาก เหม็นมากจริง ๆ เหม็นถึงสามแดนโลกธาตุ

 

เราทั้งหลายน่ะ เรามีตัวมีตน เราพากันมาคิดดูดี ๆ นะ ถ้าหัวใจเรามีกามมีพยาบาทมีความยึดมั่นถือมั่น จิตใจนั้นจะไม่สงบ จิตใจนั้นจะไม่สง่างาม เพราะวาระใจของเรานั้นมันมีเป็นวาระ ๆ ไปถ้าเราเอาพระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตรเป็นบริสุทธิคุณนำชีวิตน่ะ ธรรมวินัยถึงจะเกิด จิตใจของเราถึงจะสง่างาม เรามีตัวมีตนมันก็ไม่สง่างามให้รู้เข้าใจ มันครอบงำด้วยธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ มันเป็นความไม่สง่างามนะ

 

ทุกท่านทุกคนต้องสงบต้องเคารพ ต้องเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี ตัวตนนี้ให้ถือเป็นมาตรฐานเลยว่า คือความไม่สงบคือความไม่เคารพ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงตรัสบอกพระโมคคัลว่า เราอย่ายกหูชูงวง เราต้องหยุดยกหูชูงวง เราถึงจะเป็นคนสงบเป็นคนมีปัญญา ถึงมีพระธรรมพระวินัยให้รู้เข้าใจ

 

สังเกตุดูนะปัจจุบันนี้แหละ ผู้ประพฤติปฏิบัติธรรมไม่รู้ไม่เข้าใจ ความไม่รู้ไม่เข้าใจจะทำให้เราปฏิบัติต่อปัจจุบันนี้ไม่ได้ ปัจจุบันเราต้องมีปัญญามีการปฏิบัติ ปัจจุบันถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นสิ่งที่รีบด่วน ปัจจุบันเราต้องไม่เซ่อ ๆ เบลอ ๆ เพราะตัวตนนั้นคือความเซ่อความเบลอนะ

 

 เณรทุกเณร พระทุกพระ แม่ชีทุกแม่ชี ปัจจุบันต้องดี ดีทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งอาชีพ ต้องเข้าถึงความสงบและปัญญา เข้าถึงปัญญาและความสงบ ปัจจุบันเป็นสิ่งที่สำคัญ เราต้องรู้การประพฤติการปฏิบัติมันอยู่ที่ปัจจุบันนะ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ เรื่องธรรมเรื่องปัจจุบันธรรม

 

เหมือนหลวงปู่ชา สุภัทโทไปอยู่กับหลวงปู่กินรี เมื่อสมัยออกปฏิบัติใหม่ ๆ ไม่เข้าใจในเรื่องการประพฤติการปฏิบัติ ต้องเข้าใจในเรื่องการประพฤติการปฏิบัติ เพราการประพฤติการปฏิบัติมันอยู่ที่ความตั้งใจตั้งเจตนา

 

หลวงปู่ชาน่ะทำบริขาร หลวงปู่กินรีได้ให้สติปัญญาหลวงปู่ชาว่า การประพฤติการปฏิบัติมันเป็นอริยมรรคมีองค์แปด เหมือนต้นไม้ต้นหนึ่งนี้แหละ ต้นไม้ต้นนั้นได้อาหารมาจากทุกทิศทุกทางของต้นไม้นะ ไม่ใช่ได้มาเฉพาะจากทางรากอย่างเดียว มันได้มาจากทุกทิศทุกทางของต้นไม้ได้มาจากทางกิ่งทางก้านทางใบสาขาตลอดถึงทางยอดตลอดปริมณฑลแสงแดดออากาศออกซิเจน

 

การประพฤติการปฏิบัติถึงเน้นที่ปัจจุบัน เราอย่าคิดไปคิดว่ารีบทำงานงานมันจะได้จบเพื่อจะได้มีเวลาไปประพฤติปฏิบัติธรรม มันจะติดต่อต่อเนื่อง อย่างนั้นยังไม่เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัตินะ

 

การประพฤติการปฏิบัติมันต้องเป็นธรรมเป็นปัจจุบันมันจะได้ไม่เป็นตัวเป็นตนมันต้องเป็นความสงบเป็นปัญญา เราต้องเอาความรู้ความเข้าใจนำชีวิต หลวงปู่ชารู้เข้าใจเพราะอยู่กับหลวงปู่กินรีก็ไม่ค่อยเห็นท่านเดินจงกรมนั่งสมาธิ เพราะท่านรู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ เพราะการประพฤติการปฏิบัตินั้นมันอยู่ที่รู้เข้าใจในเรื่องธรรมเรื่องปัจจุบันธรรม ปัจจุบันเราต้องรู้เข้าใจนะ เราทั้งหลายจะได้รู้เข้าใจ ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ ชีวิตนั้นมันก็จะพังทลายเหมือนตึก สตง.ของเมืองไทยนี้แหละ

 

 

ตึก สตง.อยู่ที่กรุงเทพมหานคร ตึก ๓๐ กว่าชั้น ตึก สตง.ด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ เอาความหลงนำชีวิตเอาทุจริตนำชีวิต ชีวิตมันเลยพังทลาย ชีวิตมันพังทลายนะ ตึกสตง.มันพังทลายด้วยนิติบุคคลตัวตนพังทลายด้วยทุจริตมันจะไปแก้ไขตั้งแต่ภายนอกมันจะไปพัฒนาตั้งแต่วิทยาศาสตร์จะไปเอาความสุขบนความหลง ชีวิตเลยพังทลายนะ

 

เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งน่ะ เราคิดดูดีๆ นะ ตึกใหญ่กว่าสูงกว่าตึก สตง.ตั้งหลายสิบตึกที่กรุงเทพมหานครที่ปริมณฑล เค้าไม่พังทลายเหมือนตึกสตง. เพราะพอที่จะรับน้ำหนักได้ ไม่ใช่ไม่โกงกินคอร์รัปชั่นนะ แต่เค้าโกงกินคอร์รัปชั่นน้อยพอที่จะรับแผ่นดินไหวจากมัณฑะเลย์ประเทศพม่า ศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่ที่เมืองมัณฑะเลย์ประเทศพม่าห่างไกลกันตั้งนับพันกิโล

 

นี้ให้เรามองเห็นในแง่มุมความไม่ถูกต้องน่ะ ชีวิตที่เอาความไม่ถูกต้องนำชีวิตมันก็ต้องพังทลายเหมือนตึก สตง.นี้แหละ

 

เราทั้งหลายถึงต้องเป็นผู้ละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป เห็นภัยในวัฏฏสงสาร รู้จักความคิดรู้จักอารมณ์เหมือนท่านพระอาจารย์ลี ธัมมธโร วัดอโศการาม สมุทรปราการ ท่านรู้จักความคิดการปรุงแต่งของตัวเอง ท่านรู้จักว่าความปรุงแต่งนี้มันคือวัฏฏสงสารนะ ท่านรู้จักความปรุงแต่ง เพราะความปรุงแต่งมันเป็นทุกข์อย่างยิ่ง

 

เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ชีวิตนี้ต้องพังทลายเหมือนตึก สตง. เพราะมันไม่ถูกต้อง มันก็ต้องพังทลายเหมือนตึก สตง. นี้แหละ

 

ตึก สตง.ที่อยู่กรุงเทพมหานครอยู่เมืองหลวงอยู่เมืองกรุง เป็นศูนย์รวมของประเทศ เหมือนสมองเป็นศูนย์รวมของร่างกาย เหมือนหัวใจเป็นศูนย์รวมของสรีระร่างกาย

 

สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินที่บริหารประเทศ บริหารแผ่นดินไม่เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ เอาแต่ความรู้เอาแต่วิทยาศาสตร์เอาแต่ตัวเอาแต่ตน ไปแก้แต่สิ่งภายนอก ไม่ได้แก้ตัวเองไปพร้อม ๆ กัน

 

การพัฒนาวิทยาศาสตร์มันต้องพัฒนาใจไปพร้อม ๆ กันมันถึงถูกต้องนะ พัฒนาทั้งภายนอกภายในด้วยความรู้ความเข้าใจให้ครบวงจร อริยมรรคองค์แปดถึงเป็นความรู้ความเข้าใจ เพื่อการประพฤติการปฏิบัติมันจะได้สมบูรณ์ สมบูรณ์ทั้งกายวาจาใจกิริยามารยาทอาชีพด้วยความถูกต้อง

 

มันต้องรู้ธรรมรู้ปัจจุบันธรรม รู้ธรรมธรรมนูญน่ะ ถ้าเราไปจัดการแต่สิ่งภายนอก เราไม่ได้จัดการตัวเองมันก็ต้องพังทลายเหมือนตึก สตง.นี้นะ

 

การบริหารตัวเองบริหารบุคคลอื่น มันต้องรู้เข้าใจแล้วมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์

 

ถ้าเรามีปิติมีสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติมันก็ไม่มีความทุกข์อยู่แล้ว ด้วยความรู้ความเข้าใจ

 

เราต้องรู้จักการประพฤติการปฏิบัติ ทั้งกายวาจาใจกิริยามารยาทอาชีพ เราต้องเน้นมาที่ตัวเราในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อทำหน้าที่ของตัวเองให้มันสมบูรณ์ เราทั้งหลายจะไม่ได้พังทลายเหมือนตึก สตง.

 

ถ้าใครมีตัวมีตนบุคคลนั้นคือทุจริตนะ เราทั้งหลายจะได้รู้ว่าทุจริตนั้นคือตัวตนน่ะ ใครเอาตัวตนนำชีวิตบุคคลนั้นคือบุคคลที่ทุจริต เราต้องรู้จักธรรมรู้จักธรรมนูญ ปัญหาต่าง ๆ นั้นมันอยู่ที่ทุจริตนะ

 

การที่จะบริหารตัวเองบริหารบุคคลอื่นต้องยกเลิกทุจริต ถึงจะเป็นนักบริหารตัวเองนักบริหารคนอื่นด้วยการรู้เข้าใจในการบริหารในการปฏิบัติ

 

ตำแหน่งที่เค้าแต่งให้เราเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นตำแหน่งที่ให้เรามาเสียสละ  มารับผิดชอบโฟกัสในการประพฤติการปฏิบัติ ไม่ใช่ตำแหน่งที่ให้พวกเราทั้งหลายมาทุจริตนะ

 

ให้ถือว่ามันเป็นตำแหน่งที่ทรงเกียรติมีเกียรติมีศักดิ์ศรี เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันจะมีเกียรติมีศักดิ์ศรีได้อย่างไร ถึงพวกเราทั้งหลายจะพากันใส่สูทผูกเนคไทห้อยเหรียญตรา เป็นผู้ทรงเกียรติมันก็ไม่เป็นผู้ทรงเกียรตินะ มันเป็นผู้ทรงความหลงต่างหาก ทรงความโง่ความหลงงมงายต่างหากล่ะ

 

เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจเราจะเข้าถึงบริสุทธิคุณ เข้าถึงธรรมนูญเข้าถึงรัฐธรรมนูญไม่ได้ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันเป็นอบายมุขอบายภูมินะ มันตกอยู่ในภพภูมิของ ๓๑ ภพภูมิ

 

ในภพภูมิของวัฏฏสงสารนี้มีอยู่ ๓๑ ภพภูมิ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจมันก็จะอยู่ในระนาบของ ๓๑ ภพภูมินี้แหละ

 

เค้าถึงมีศัพท์ว่าคน คนนี้หมายถึงตัวถึงตน หมายถึง ๓๑ ภพภูมินี้แหละ ภพภูมิที่เวียนว่ายตายเกิดมีทั้งหมด ๓๑ ภพภูมิ

 

เราต้องรู้เข้าใจ เราจะได้ประพฤติปฏิบัติ เราจะไม่ได้ย่ำต๊อกกับความหลงที่มีศัพท์ว่า “คน” คนนี้ความหมายหมายถึงความไม่รู้ไม่เข้าใจ ความไม่รู้ไม่เข้าใจนั้น มันจะวกวนอยู่ที่เก่า มันจะเป็นผู้ไม่มีศีลไม่มีสมาธิไม่มีปัญญา สัมผัสกับอะไรก็ไปกับสิ่งนั้น ๆ อยู่ในภพภูมินั้น ๆ

 

เรารู้เราเข้าใจเราจะได้หยุดภพภูมินั้น ๆ ด้วยความรู้ความเข้าใจด้วยการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเราทั้งหลายจะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ด้วยความรู้ด้วยความเข้าใจ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจเค้าเรียกว่ามันหลง มันวกวนในความหลงอย่างนั้น จิตใจวกวน   อย่างนั้นมันจะไปไหนไม่ได้ มันจะเป็นได้แต่เพียงคนเป็นได้แต่เพียงความหลง หัวใจของบุคคลนั้นมันจะอยู่ในระนาบแห่งความหลงหรือว่าหัวใจบ่อนคาสิโน เอาตัวตนเป็นที่ตั้งคือหัวใจบ่อนคาสิโน หัวใจบ่อนทำลายความถูกต้อง หัวใจบ่อนความหลง

 

ให้เรารู้เข้าใจ เราจะได้เห็นภัยในความไม่ถูกต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสารด้วยปัญญาบริสุทธิคุณ ด้วยเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ พอใจยินดีมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิตหัวใจของเราทั้งหลายจะได้หยุดอบายมุขอบายภูมิ

 

เราทั้งหลายถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ เราทั้งหลายจะพากันคิดว่า ความสุขทั้งหลายได้มาจากสิ่งที่อำนวยความสุขความสะดวกความสบายด้วยการพัฒนาวิทยาศาสตร์ อันนี้จริงอันนี้ถูกต้อง ความสุขทั้งหลายมันอยู่พัฒนาหลักเหตุผลหลักวิทยาศาสตร์

 

เราทั้งหลายต้องมีสัมมาทิฐิเราต้องมีความรู้ความเข้าใจพัฒนาวิทยาศาสตร์ก็ต้องพัฒนาใจไปพร้อม ๆ กัน ถ้าเราพัฒนาวิทยาศาสตร์มันก็ยังเป็นนิติบุคคลตัวตนอยู่

 

เราต้องพัฒนาใจไปพร้อม ๆ กันด้วยความรู้ความเข้าใจเราทั้งหลายน่ะ ถึงเป็นการพัฒนาครบวงจรด้วยความรู้ความเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจก็จะเอาความหลงนำชีวิตเอาวิทยาศาสตร์นำชีวิต

 

เราต้องเอาทั้งวิทยาศาสตร์เอาทั้งจิตใจไปพร้อม ๆ กันนะ

 

เราอย่าไปคิดว่าประเทศสิงคโปร์นั้นน่ะประเทศเล็ก ๆ เท่าอำเภอหนึ่งของเมืองไทยก็ไม่ได้ เค้าพัฒนาหลักเหตุผลหลักวิทยาศาสตร์เป็นหนึ่งของเอเชียเพราะเค้าตั้งบ่อนคาสิโน มาเก๊าส่วนหนึ่งของประเทศจีนเค้าก็รวยเพราะเค้าพัฒนาตามหลักเหตุตามหลักวิทยาศาสตร์

 

พวกเราทั้งหลายเมื่อมีปัญญาแล้วต้องรอบคอบนะ มีปัญญาแล้วต้องรอบคอบ อย่าลืมว่าชีวิตของเรามันเป็นรายรับรายจ่ายนะ เราไปจับหางงูเดี๋ยวงูมันจะมากัดเรา  งูพิษมันจะมากัดเรานะ การที่เราเอาหลักการอุดมการณ์มันดีแล้วถูกต้องแล้ว เราต้องมีหลักการมีอุดมการณ์แล้วก็มีอุดมธรรมนะ หลักการอุดมการณ์มันดีแล้วถูกต้องหลักเหตุผลหลักวิทยาศาสตร์น่ะ แต่ต้องไม่ทิ้งอุดมธรรมนะ

 

เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งเอาความรู้สึกที่เอาตัวเป็นที่ตั้งมันเป็นหลักการเป็นอุดมการณ์แล้วอุดมด้วยความหลงนะ

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เราเอาทั้งหลักการอุดมการณ์แล้วก็ยกเลิกอุดมหลงนะ

 

ให้เอาอุดมธรรมให้เอาธรรมเอาธรรมนูญมันถึงจะสมบูรณ์เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอเข้าถึงความพอดี เราอยากได้มากมันก็ไม่มาก เราอยากได้น้อยมันก็ไม่น้อย เราต้องรู้จักความพอดีเข้าสู่ความสมดุลทั้งรายรับรายจ่าย

 

เหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอเข้าถึงความพอดี การประสูติของพระพุทธเจ้าถึงเป็นวันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ ตรัสรู้ก็เป็นวันเพ็ญ ๑๕ ค่ำเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ

 

เราต้องรู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายจะได้รู้หลักการรู้อุดมการณ์แล้วก็อุดมธรรม เราอยู่ที่ไหนก็พากันปฏิบัติได้ เมื่อเรามีลมปราณ มีอายตนะภายใน ๖ ภายนอก ๖ มีธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อยู่ที่ไหนก็ปฏิบัติได้

 

ให้รู้เข้าใจมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ

 

อย่าไปคิดด้วยอวิชชาความหลงเอาแต่หลักการอุดมการณ์เอาแต่วิทยาศาสตร์น่ะ ถ้าเรารวย รวยความหลงมันไม่ดีนะ รวยความโง่หลงงมงายเรียกว่ารวยไสยศาสตร์มันไม่ดีนะ ไม่ใช่ความดีมันไม่ใช่บารมีไม่ใช่ปัญญาบริสุทธิคุณนะ มันเป็นความหลงนะ

 

ให้เรารู้เข้าใจ อย่าไปคิดว่าทำไมเราโง่ไปตั้งหลายปี ประเทศสิงคโปร์ประเทศ เค้าเล็กนิดเดียวเค้าตั้งบ่อนคาสิโนเค้ารวยกัน ประเทศมาเก๊าก็เหมือนกันเค้ารวยกัน

 

ประเทศสิงคโปร์เค้ามีหลักเหตุผลมีหลักวิทยาศาสตร์น่ะ เค้าคิดว่าประเทศสิงคโปร์มันเล็กนิดเดียว จะทำเกษตรกรรมก็ไม่ได้ จะทำอุตสาหกรรมก็ไม่ได้ ถ้าเราตั้งบ่อนคาสิโนด้วยหลักเหตุผลหลักวิทยาศาสตร์ก็รวยได้ เพราะคนในนี้โลกนี้มันคนมีความไม่ฉลาด เอาความหลงนำชีวิต เอาตัวตนนำชีวิตมันมีมากถ้าเราตั้งบ่อนคาสิโน เราสามารถรวยได้ทางวัตถุ ด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์เค้าถึงพากันตั้งบ่อนคาสิโน จะเรียกบ่อนคาสิโนก็ได้หรือเรียกบ่อนแห่งความหลงก็ได้ มันคืออันเดียวกัน

 

ให้เรารู้เข้าใจ ประเทศไทยเราแผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาลเราต้องรู้เข้าใจว่า เราทั้งหลายอย่ายินดีในการเอาความหลงนำชีวิต อย่าไปยินดีในการเอาบ่อนคาสิโน นำชีวิตนะ

 

พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ ศาสดาทุกศาสนาเค้ามายกเลิกบ่อนคาสิโน มายกเลิกอบายมุขอบายภูมิ ให้เรารู้เข้าใจ ถ้าเรารู้เข้าใจ ทุกอย่างน่ะไม่มีปัญหา ปัญหาอยู่ที่เราไม่รู้ไม่เข้าใจนะ

 

 

เหมือนประเทศไทยของเรานี้แหละ โครงการยกเลิกเหล้ายกเลิกเบียร์ ยกเลิกสิ่งเสพติดยาเสพติดที่มันเป็นอบายมุขแห่งชีวิต ที่มันเป็นอบายภูมิแห่งชีวิต

 

เกือบร้อยปีของโครงการพากันประพฤติปฏิบัติด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ ตั้งอยู่ในความประมาท เอาความหลงนำชีวิตเอาความประมาทนำชีวิตมันก็ปฏิบัติไม่ได้ มันก็ยิ่งมากกว่าเก่า ไม่รู้ไม่เข้าใจ เอาความหลงนำชีวิต ความหลงก็เลยยิ่งใหญ่ใหญ่ยิ่ง

 

มันก็แก้ปัญหาไม่ได้ มันยิ่งมากทวีคูณ มันก็ไปของมันเรื่อย มากยิ่งกว่าเก่าทวีคูณยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีก

 

อย่างการสวมหมวกกันน็อคอย่างนี้แหละ มอเตอร์ไซด์เข้ามาในเมืองไทย ประเทศไทย ไม่ต่ำกว่า ๖๐ ปี ขณะนี้เวลานี้ก็ยังทำไม่ได้ เรื่องสวมหมวกกันน็อคนี้ที่ให้ประชาชนผู้ขับขี่จักรยานยนต์เพื่อสะดวกในการสัญจรไปมา ได้ออกกฎหมายบังคับตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๕๒๕ ขณะนี้เวลานี้มันก็เป็นเวลาจวนจะ ๕๐ ปีแล้วก็ยังพากันทำไม่ได้

 

ถ้าเรารู้เข้าใจว่า การทำอะไรตามใจตามอัธยาศัยนี้ไม่ได้ มันเป็นความเสียหายทั้งตัวเราและส่วนรวม มันไปไม่ได้ ชีวิตของเรามันไปไม่ได้นะ ชีวิตนี้มันพังทลายเหมือนตึก สตง.ของเมืองไทยนี้แหละ

 

เราต้องเข้าใจ ทุกคนต้องเข้าใจ ไม่ใช่เข้าใจเฉย ๆ ต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ถ้าไม่อย่างนั้น มันก็จะไปของมันด้วยความไม่ถูกต้องอย่างนี้แหละ

 

พูดอย่างนี้ไม่ใช่คนบ้าจี้นะ ไม่ใช่คนผีบ้าจี้นะ  นี้มันคนดีจี้ คนมีปัญญาจี้ นี้เป็นพระธรรมคำสั่งสอนที่เป็นบริสุทธิคุณทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพ อาชีพที่ถูกต้องเป็นมรรคเป็นอริยมรรค เราต้องรู้เข้าใจ ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจในภัยทั้งทางกายวาจากิริยามารยาททั้งอาชีพ ภัยที่ไม่รู้ไม่เข้าใจ เราไม่เห็นภัยก็ตั้งอยู่ในความประมาท เราจะเอาความประมาทนำชีวิตมันเป็นความไม่ถูกต้องนะ

 

 

ให้ระลึกถึงโอวาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านตรัสเป็นปัจฉิมโอวาทไว้ว่า

“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”

 

โอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านเมตตาตรัสไว้ว่า

ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ

ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ

ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู

ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละคือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะ

-------------------------------------

 

โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม

เมตตาให้ไว้ในเช้าวันที่ ๓๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

 

Visitors: 98,218