๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๒ เดือนสิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ศาสนาพุทธ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ศาสนาคริสต์ ฮิจเลาะห์ศักราช ๑๔๔๖ ศาสนาอิสลาม
วันนี้เป็นวันเสาร์ เป็นวันหยุดทำงานของข้าราชการ หลักการของมนุษย์ วันจันทร์อังคารพุธพฤหัสศุกร์เป็นวันทำงานปกติกับการปฏิบัติธรรมไปพร้อม ๆ กัน ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างจิตใจกับวัตถุต้องให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จะไม่ให้แยกกัน วันเสาร์วันอาทิตย์เป็นวันหยุดทำงานภายนอก หยุดทำธุรกิจหน้าที่การงาน ไปปฏิบัติธรรม ไปให้ทาน เสียสละ ถือศีล เจริญสมาธิภาวนา ถ้าเราไม่มีเวลาไปที่วัดก็ปฏิบัติอยู่ที่บ้าน เพื่อจะได้ประพฤติปฏิบัติในทางจิตใจให้เต็มที่ เราเอาธรรมะไปใช้ไปประพฤติไปปฏิบัติในปัจจุบัน ในชีวิตประจำวัน
เราทุกคนที่เกิดมาต้องรู้เข้าใจจะได้เอาธรรมะมาประพฤติมาปฏิบัติ ทุก ๆ คนก็ต้องเน้นที่ตัวของเราเอง เพื่อเราจะได้ทำหน้าที่ให้ถูกต้อง ความถูกต้องได้แก่ปัญญาสัมมาทิฏฐิ เรามีปัญญาสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง เราทั้งหลายถึงจะมีการประพฤติการปฏิบัติที่ถูกต้อง เป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา ชีวิตของเราถึงจะมีความสงบมีปัญญา
เวลาเราทำงาน คำว่างานนี้ก็หมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างทางกายวาจากิริยามารยาทอาชีพ ตลอดถึงเรื่องจิตเรื่องใจ ถือว่าเป็นการทำงานเป็นการทำหน้าที่
เราต้องมีความสุขในการทำงาน ให้ถือว่าการทำงานทุก ๆ อย่างต้องมีความสุขในการทำงาน ได้รับความสะดวกความสบาย มีความสุขสะดวกสบายทั้งกายและใจ จากความรู้ความเข้าใจ ปัญญาสัมมาทิฏฐิ
วันเสาร์วันอาทิตย์ถึงพากันไปที่วัดไปให้ทาน เสียสละปัจจัยทั้ง ๔ ไปฟังพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อให้เกิดความสงบเกิดปัญญา
ไปปฏิบัติธรรม ไปฟังให้เกิดสติเกิดปัญญา เพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมีสำคัญอยู่ที่ความรู้ความเข้าใจ อย่างเราทั้งหลายไปเรียนหนังสือความสำคัญอยู่ที่ความรู้ความเข้าใจ เราไปพัฒนาเรื่องวิทยาศาสตร์เพื่อให้ทางวิทยาศาสตร์ก้าวหน้า ให้ทางวัตถุเพื่อเจริญก้าวหน้าความสำคัญอยู่ที่ความรู้ความเข้าใจ เพื่อต่อยอดจากปัจจุบันไปสู่อนาคตในทางที่ดีที่ประกอบด้วยปัญญา
การฟังการบรรยายในขณะนี้เวลานี้สิ่งที่สำคัญอยู่ที่ความรู้ความเข้าใจ ความรู้ความเข้าใจถึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เมื่อเราเข้าใจแล้ว เราก็จะเอาความรู้ความเข้าใจนั้นไปใช้ไปปฏิบัติอยู่ทุกหนทุกแห่งทุกาลทุกเวลาทุกสถานที่ ความรู้ถึงคู่กับการประพฤติการปฏิบัติ ความรู้แยกจากการประพฤติการปฏิบัติไม่ได้ ปริยัติกับการปฏิบัตินี้แยกกันไม่ได้ ต้องให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ให้เอาปัจจุบันเป็นวาระสำคัญ ให้เป็นวาระแห่งชาติ เป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ พวกเราทั้งหลายต้องพากันเข้าใจอย่างนี้นะ
เมื่อสมัยปี พ.ศ. ๒๔๐-๓๑๒ พระเจ้าอโศกมหาราชปกครองแผ่นดินที่ประเทศอินเดีย เนปาล พระพุทธศาสนามีความเสียหายมากจากการประพฤติการปฏิบัติของผู้ที่มาบรรพชาอุปสมบท เพราะผู้มาบรรพชาอุปสมบทมาบวชนั้นไม่ได้มุ่งมรรคผลพระนิพพาน มาบวชมาบรรพชาอุปสมบทเพื่อจะเอาพุทธศาสนาหาอยู่หาฉันหาเลี้ยงชีพ เพราะมาบรรพชาอุปสมบทนั้นได้รับสิทธิพิเศษ ได้มาใช้ของฟรีจากงบประมาณของแผ่นดิน มาใช้งบประมาณของศรัทธาประชาชน จากศรัทธามหาชนที่เค้าพากันสร้างความดีสร้างบารมีที่เค้าพากันเสียสละ เค้าพากันมาเสียสละ ให้ทานด้วยปัจจัยทั้ง ๔ พากันเป็นผู้ให้ พากันเป็นผู้เสียสละ เพื่อสร้างบารมีให้กับตนเอง เพื่ออุทิศบุญกุศล
เรามาคิดดูดี ๆ นะปัจจุบันนี้ เวลานี้ ขณะนี้ มีความเสียหายเป็นอย่างมากยิ่งกว่าสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชเสียอีกนะ ถึงกาลถึงเวลาแล้วที่พวกเราทั้งหลายจะได้มีความสมัครสมานสามัคคี สังคายนาในสิ่งที่ไม่ถูกต้องให้มันถูกต้อง เพื่อจะให้เกิดความสงบเกิดปัญญา โลกนี้กว้างใหญ่ไพศาล มีประชากรแปดพันกว่าล้านคน เราพากันคิดดดี ๆ นะ เราก็ไม่ได้ไปแก้ที่คนอื่น เราทุกคนต้องมาแก้แต่เราเพียงผู้เดียว ถ้าเรามีความสมัครสมานสามัคคีกัน ไปในทางหนึ่งทางเดียวกัน มีปัญญาสัมมาทิฏฐิ มีศีลมีสมาธิมีปัญญาไปทางเดียวกัน ปฏิบัติติดต่อต่อเนื่อง เราจะไม่ได้เสียงบประมาณอะไรเลย
เราคิดดูดี ๆ สิ การบำเพ็ญบารมีเบื้องต้นท่ามกลางที่สุดพระพุทธเจ้าก็ทำหน้าที่ของพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ผู้ฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็ทำหน้าที่ของพระอรหันต์ เราเป็นใครท่านเป็นใครก็ทำหน้าที่ของเราของท่าน เราทั้งหลายถึงมาแก้ที่ตัวเราเพียงผู้เดียว เราทั้งหลายจะไปเอาความดับทุกข์จากความหลงนั้นไม่ได้ เพราะนั้นคือปลายเหตุ ไม่ใช่ต้นเหตุ ทั้งเรื่องจิตเรื่องใจ หรือว่าเรื่องของตัวเราเป็นสิ่งที่สำคัญ เราทั้งหลายต้องพากันเข้าใจนะ เพื่อเราจะไม่ได้เอาความผิดนำชีวิต เราจะไม่ได้เอาตัวเอาตนนำชีวิต เราจะได้เอาธรรมนูญนำชีวิต จะได้เอาความสงบเอาปัญญานำชีวิต
ความสงบกับปัญญาถือว่าเป็นกฎแห่งกรรมของเรานะ เราต้องเข้าสู่กระบวนการของกฎแห่งกรรมด้วยความตั้งใจตั้งเจตนา กายวาจากิริยามารยาทใจ อันนี้คือกรรมคือกฎแห่งกรรมคือผลของกรรมนะ เราต้องเข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยนี้เพื่อจะมาหยุดมาเบรก มายกเลิกในอกรณียกิจ ในกิจที่ไม่ควรทำ มาปฏิบัติกรณีกิจ กิจที่ควรทำ ให้ถือเรามาหลักการนี้เป็นหลักการที่สำคัญ เราทั้งหลายถึงต้องเคารพในสิ่งที่ถูกต้อง เราทั้งหลายถึงไม่มีสิทธิพิเศษที่จะทำอะไรตามใจตามอัธยาศัย ต้องเอาพระธรรมเอาพระวินัย เอาข้อวัตรกิจวัตรมาหยุดเหตุหยุดผล ตัวตนน่ะมันมีเหตุมีผล พระธรรมพระวินัย เหตุปัจจัยที่หยุดเหตุหยุดผล พระธรรมพระวินัยเป็นสิ่งที่ก้าวไปด้วยเหตุด้วยผลที่เป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ ที่เป็นความสงบเป็นปัญญา
พระธรรมพระวินัยเป็นหลักการเป็นอุดมการณ์อุดมธรรม เปรียบเสมือนอาหารสำเร็จรูปที่ให้พวกเราบริโภค เป็นคุณเป็นประโยชน์ ไม่มีโทษมีแต่คุณถึงเรียกว่าพุทธคุณ ธัมมคุณ สังฆคุณ อยู่ก็ดีไปก็ดี สุคโต โลกะวิทู รู้แจ้งโลก รู้แจ้งธรรม พระธรรมพระวินัยถือว่ากรอบเป็นแนวทาง เป็นพื้นเป็นฐานในการประพฤติการปฏิบัติ
กฎหมายบ้านเมืองเป็นสิ่งที่บังคับไม่ให้เราทำความผิดทั้งทางกายวาจากิริยามารยาทอาชีพ เมื่อใจมันยังไม่สงบก็ต้องให้กายวาจากิริยามารยาทอาชีพนั้นสงบ สงบก็หมายถึงความถูกต้อง ต้องเน้นที่กายวาจากิริยามารยาทอาชีพ มีการปรับไหม มีการจำคุกติดตาราง ประหารชีวิต
เพื่อให้ความถูกต้องจะได้เกิดความขลังศักดิ์สิทธิ์ ทางพระศาสนามาต่อยอดจากกายวาจากิริยามารยาทอาชีพ เข้ามาถึงเรื่องจิตเรื่องใจเรื่องเจตนา ให้พวกเราทั้งหลายรู้ว่า กายวาจากิริยามารยาทอาชีพมันเป็นเพียงอุปกรณ์ของจิตของใจ เป็นเพียงอุปกรณ์เท่านั้น กายวาจากิริยามารยาทอาชีพมันเป็นเพียงบ่าว เป็นบ่าวรับใช้ เป็นกรรมกร หรือว่าเป็นอุปกรณ์ที่ทำงานเท่านั้น
เมื่อครั้งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเผยแผ่พระศาสนา มีพระเถระผู้ทรงสติทรงปัญญา มีลูกศิษย์ลูกหาหลายร้อยหลายพันหลายหมื่น แต่ก็ยังเป็นสามัญชนเป็นปุถุชน เพราะไม่ได้เอาความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการบอกสอนพระธรรมเทศนาให้กับผู้อื่น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านรู้ในสภาวะสิ่งต่าง ๆ พระเถระเจ้ารูปนั้นมีนามว่าพระโปฐิละ
พระโปฐิลเถระ ซึ่งเรารู้จักกันในนามของพระใบลานเปล่า ท่านเป็นผู้ทรงพระไตรปิฎกในศาสนาของพระพุทธเจ้ามาถึง ๗ พระองค์ ครั้นออกบวชก็ตั้งใจศึกษาพระไตรปิฎกจนแตกฉาน และยังสอนธรรมะให้กับพระภิกษุ ๕๐๐ รูป นอกจากนี้ ท่านยังเป็นเจ้าคณะใหญ่ถึง ๑๘ คณะ ทำให้เป็นผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นที่รู้จักของภิกษุสามเณรเป็นอย่างดี
พระบรมศาสดาปรารถนาจะให้พระโปฐิละเป็นผู้มีความรู้ทั้งทางด้านปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ และเทศนา คือได้ทั้งคันถะธุระและวิปัสสนาธุระ สมกับที่เป็นสาวกของพระพุทธองค์ แต่เนื่องจากพระโปฐิละมัวแต่สอนคนอื่นจนไม่มีเวลาสอนตนเอง ไม่ยอมปลีกวิเวกไปบำเพ็ญสมณธรรมตามลำพังบ้าง วันๆ ได้แต่เตรียมสอนธรรมะ และตอบปัญหาข้อสงสัยให้กับลูกศิษย์ลูกหามากมาย ท่านจึงไม่มีความคิดที่จะสลัดออกจากกองทุกข์เพื่อมุ่งสู่พระนิพพาน
เพราะฉะนั้น เวลาท่านไปเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา จึงถูกพระพุทธองค์ทักทายว่า ท่านใบลานเปล่ามาแล้วเหรอ เชิญนั่งเถิดท่านใบลานเปล่า ครั้นท่านกราบนมัสการลา ก็ถูกทักอีกว่า ท่านใบลานเปล่าไปแล้วหรือ ทำให้ท่านกลับไปคิดตริตรองว่า เราเป็นผู้ทรงไว้ทั้งพระไตรปิฎก แต่พระบรมศาสดาก็ยังตรัสเรียกเราว่าใบลานเปล่า อาจเป็นเพราะเราเป็นผู้ไม่มีคุณวิเศษภายใน
เนื่องจากท่านมีปัญญามาก จึงรู้ถึงนัยของพุทธองค์ กล่าวคือ ผู้รู้ เขาแค่เตือนแบบสะกิดกันนิดเดียว ก็สามารถเข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้ง พระเถระรู้ตัวเช่นนี้เกิดความสลดสังเวชใจว่า ที่ผ่านมาตนเองเปรียบเหมือนคนเลี้ยงโค แต่ไม่เคยดื่มกินปัญจโครสเลย คือรู้ธรรมะด้วยสุตมยปัญญา เพราะอ่านมามาก ได้ยินได้ฟังมามาก แต่ไม่เคยลงมือปฏิบัติให้เข้าถึงเลย
ท่านตัดสินใจเพื่อเข้าสู่การประพฤติการปฏิบัติ เน้นที่ตัวของท่าน ออกปลีกวิเวกตามลำพังในป่า แต่เมื่อจะลงมือปฏิบัติ ก็กลับไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดเลย คือ มีความรู้มากก็ยิ่งยากนาน ครั้นจะไปถามพระถามเณรในวัดก็เขินอาย เพราะพระเณรเกือบทุกรูปที่เป็นพระอรหันต์ขีณาสพนั้นล้วนเคยเป็นลูกศิษย์ของท่านเอง
ท่านจึงออกเดินทางไปไกลถึงสองพันโยชน์ แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีผู้จำท่านได้ ตั้งแต่พระสังฆเถระ ไล่เรื่อยลงมาจนถึงพระนวกะ ต่างก็ปฏิเสธที่จะแนะนำธรรมะให้ท่าน เพราะรู้ว่าท่านเป็นผู้รู้มาก มีปัญญามาก เป็นพระธรรมกถึกผู้มีชื่อเสียงโด่งดังมากในเวลานั้นขณะนั้น ผู้ที่ท่านเคยบอกเคยสอนส่วนใหญ่ก็เป็นพระอรหันต์ขีณาสพกัน
และที่ท่านเหล่านั้นได้บรรลุธรรมาภิสมัย ก็เพราะอาศัยพระเถระเป็นผู้บอกผู้สอนเป็นครูบาอาจารย์ ดังนั้น ต่างเกรงว่าสิ่งที่แนะนำไปจะเป็นการเอามะพร้าวห้าวไปขายสวน
เมื่อไม่มีใครแนะนำ สุดท้ายท่านต้องยอมตนไปขอความรู้ภาคปฏิบัติกับสามเณรน้อยซึ่งอายุเพียง ๗ ขวบ แต่เป็นสามเณรอรหันต์ พระเถระเป็นผู้ทรงภูมิรู้ภูมิธรรมมาก แต่ท่านยอมทำตัวเหมือนเด็กอนุบาล เป็นนักศึกษาที่ดีมาก แม้สามเณรจะทดสอบให้ท่านเดินลงไปในสระน้ำ ท่านก็ไม่ได้ลังเลใจ ยอมทำตามที่สามเณรบอกทันที
สามเณรเห็นว่า พระโปฐิละได้ลดมานะละทิฏฐิ เพื่อแก้ไขตนเอง เพราะมีมานทิฏฐินั้นมันแก้ปัญหาไม่ได้ เพราะมานะทิฏฐิมันเป็นนิติบุคคลตัวตน มันเป็นความปรุงแต่งที่สำคัญมั่นหมายที่เป็นนิติบุคคลตัวตน สำคัญมั่นหมายว่าเป็นเราเป็นคนอื่น ผู้ที่ยกเลิกเรายกเลิกคนอื่นถึงจะมีความสงบมีปัญญา มีปัญญามีความสงบ
เมื่อละเราละเขาถึงเป็นความสงบเป็นผู้มีปัญญาถึงเป็นผู้ว่าง่ายสอนง่าย ไม่เป็นผู้ว่ายากสอนยาก เพราะตัวตนนั้นคือผู้ว่ายากสอนยาก
ยอมอยู่ในโอวาทของสามเณร แม้สามเณรจะให้ทำอะไรก็ทำ ไม่มีข้อแม้ใด ๆ ทั้งสิ้น ยกเลิกตัวยกเลิกตนยกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพื่อจะได้อบรมบ่มอินทรีย์ เพื่อจะได้เอาความดีเอาความถูกต้องให้เกิดความสงบเกิดปัญญา แม้จะให้ไปกระโจนลงเหว หรือกระโดดเข้ากองเพลิง ท่านก็ยอมทำตามทุกสิ่งทุกอย่าง สามเณรจึงให้ท่านกลับขึ้นมายืนที่ริมฝั่ง แล้วกล่าวให้นัยว่า ในจอมปลวกแห่งหนึ่ง มีช่องอยู่ ๖ ช่อง เหี้ยได้เข้าไปในจอมปลวกช่องหนึ่ง ผู้หวังจะจับเหี้ย จึงอุดช่องทั้ง ๕ ไว้ คอยจับเหี้ยออกทางช่องที่ ๖ บรรดาทวารทั้งหก แม้ท่านจงปิดทวารทั้ง ๕ แล้วเปิดมโนทวาร กำหนดใจให้หยุดให้นิ่งอยู่ที่ตรงนั้น
เนื่องจากพระเถระเป็นพหูสูต ทรงพระไตรปิฎกมาหลายภพหลายชาติ นัยที่สามเณรให้จึงเป็นประดุจการลุกโพลงขึ้นของดวงประทีป ท่านเริ่มประคองใจให้หยุดนิ่งอยู่ภายใน มีสติตั้งมั่นเป็นสมาธิ แม้พระบรมศาสดาประทับนั่งในที่ไกลถึง ๑๒๐ โยชน์ ทรงเห็นความแก่รอบแห่งญาณของพระโปฐิละ จึงเปล่งรัศมีออกไปดุจปรากฏต่อหน้าพระเถระ แล้วตรัสว่า ปัญญาย่อมเกิดเพราะการประกอบความเพียร ท่านพึงตั้งตนไว้โดยประการที่ปัญญาจะเจริญขึ้นได้เถิด พระเถระตั้งใจทำภาวนาจนเกิดภาวนามยปัญญา และในที่สุดก็แทงตลอดในคำสอนของพระบรมศาสดา บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ในท่ายืนนั่นเอง
คติธรรมที่ท่านหลวงปู่ชา สุภัทโท ได้ให้โอวาทแก่ภิกษุสามเณร ให้แก่ผู้ปฏิบัติธรรม ทั้งบรรพชิตทั้งฆราวาส หลวงปู่ชา ท่านตรัสว่า ท่านปฏิบัติท่านรู้ธรรมะเพราะการประพฤติการปฏิบัติของท่านเองร้อยเปอร์เซ็นต์ เพียงบอกสอนพระภิกษุสามเณรพ่อค้าประชาชนเพียง ๕ เปอร์เซ็นต์เท่านั้นนะถึงจะพอไปได้
เราทั้งหลายต้องพากันระลึกถึงประวัติของพระโปฐิละ เรามาระลึกถึงโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนท่านหลวงปู่ชา สุภัทโท แห่งวัดหนองป่าพง อันนี้เอาเป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรมได้ เราทั้งหลายน่ะจะได้ปรับปรุงตัวเอง จะได้สังคายนาตัวเอง เราต้องพากันมายกเลิกเรา ยกเลิกคนอื่น เราจะได้เอาพระธรรมเอาพระวินัยข้อวัตรกิจวัตร ไม่ต้องเอาความปรุงแต่งนำชีวิต ไม่เอาความชอบความชัง ยกเลิกเหตุผลสิ่งเหล่านี้หมด เพราะธรรมะที่สงบและปัญญา ให้เรารู้เข้าใจ มันอยู่นอกเหตุเหนือผล
เรามาบวชถือว่าไปบวชนี้ เราทุกคนต้องพากันทำอย่างนี้ มาทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ สมบูรณ์ทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพทั้งใจ เราทำอย่างนี้มันง่าย เพราะว่ามันต้นเหตุไม่ใช่ปลายเหตุ เราจะทำได้ทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ เพราะความถูกต้องมันก็คือความถูกต้อง ความผิดก็คือความผิด ปัจจุบันนี้ถึงเป็นวาระสำคัญ ความสงบกับความเคารพให้ถือว่าเป็นสิ่งเดียวกัน คารวธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็เอาความสงบเอาความเคารพนี้แหละท่านถึงเป็นพระพุทธเจ้า
มีคนไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้าน่ะ พระพุทธเจ้าทรงเคารพอะไร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเคารพในพระธรรม เราคารวธรรมนี้แหละนำชีวิต มีความสงบและปัญญา
เราทั้งหลายน่ะ พากันนอนพากันพักผ่อนให้เพียงพอ วันหนึ่งคืนหนึ่งมันมี ๒๔ ชั่วโมง ถ้าเราเป็นฆราวาสมีครอบครัวอยู่ที่บ้าน ประชาชนที่อยู่ที่บ้านที่เป็นข้าราชการนักการเมืองเป็นเกษตรกรต้องพากันนอนพากันพักผ่อน ๗,๘ ชั่วโมง ถ้าที่ไหนค่าพีเอ็มมันไม่ดี ค่าพีเอ็มมันเสียหาย อากาศไม่ดีออกซิเจนไม่ดี ต้องพากันนอน ๗,๘ ชั่วโมง วันไหนนอนน้อยก็เอาซัก ๗ ชั่วโมง ถ้าที่ไหนอากาศดีโอโซนดีออกซิเจนดี อย่างที่วัดป่าทรัพย์ทวีฯ อำเภอวังน้ำเขียว ผู้ที่มาบวชมาประพฤติมาปฏิบัติธรรมนอนสัก ๕,๖ ชั่วโมงก็เพียงพอ เพราะอากาศดีโอโซนดี
ในชีวิตประจำวันให้ถือว่ามันเป็นเรื่องของกรรมเรื่องกฎแห่งกรรมเรื่องผลของกรรมทุกคนจะอยู่เหนือกรรมไปไม่ได้อริยมรรคมีองค์แปดคือการประพฤติการปฏิบัติของเรา ให้ถือพระพุทธเจ้าเป็นหลัก เพราะพุทธเจ้าถือพระธรรมพระวินัยเป็นหลัก พระพุทธเจ้าคือพระธรรมพระวินัยคือข้อวัตรกิจวัตรเราอย่าไปมีเหตุมีผลมีข้อแม้ใด ๆ
พระเก่าพระใหม่ก็ปฏิบัติอย่างเดียวกัน เพราะการปฏิบัติมันไม่มีความปรุงแต่งมันไม่มีเก่าไม่มีใหม่มีแต่พระธรรมพระวินัยมีแต่ธรรมมีแต่ปัจจุบันธรรมยกเลิกนิติบุคคลตัวตนไม่มีความปรุงแต่ง ไม่ต้องยกหูชูหาง ไม่ต้องชูงวง เราให้รู้คุณค่ารู้เวลาในการประพฤติการปฏิบัติ ปัจจุบันเราต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้เต็มที่ อย่าไปมองคนอื่น ต้องมองดูตนเอง ถ้าเรามองดูคนอื่นก็มองเพื่อจะช่วยเหลือให้เข้าใจอย่างนี้
ทุกคนก็ใช้หลักการเดียวกันนี้แหละทุกคนต้องสังคายนาตนเอง เน้นที่ตัวเอง ถ้าเราไม่ทำอย่างนี้ไม่ปฏิบัติอย่างนี้ เราก็รู้แก่ใจอยู่แล้วว่ามันแก้ปัญหาไม่ได้ เพราะมันไปแก้ที่ปลายเหตุ ไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุ ทุกคนน่ะต้องมีสติสัมปชัญญะร้อยเปอร์เซ็นต์ ตั้งใจตั้งเจตนา อย่าไปมีอัตตาตัวตน อัตตาตัวตนนั้นมันไม่มีสติสัมปชัญญะร้อยเปอร์เซ็นต์นะ มันเป็นตัวเป็นตน มันไม่ใช่ความสงบไม่ใช่ปัญญา เอาพระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตรมาประพฤติมาปฏิบัติให้มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตา
การปฏิบัติธรรมเราต้องรู้เข้าใจ ไม่มีต่อหน้าและลับหลัง ต้องเป็นความสงบและปัญญา ถ้ามีต่อหน้าและลับหลังให้รู้ว่าไม่ถูกต้องมันเป็นไปเพื่อนิติบุคคลตัว เป็นการหลอกลวงเป็นการสร้างภาพ มันเป็นการหลอกลวง มันเป็นตัวเป็นตนเป็นความไม่ถูกต้อง ให้ทุกคนพากันสังคายนาตัวเองโดยพร้อมเพรียงกัน สมัครสมานสามัคคีกัน ทุกคนเน้นที่ตัวเรา อย่าให้ขาดตกบกพร่อง อาสนะสงฆ์ทั้งตอนเช้าตอนกลางคืนอย่าให้มันว่าง เพราะตัวตน สามัญชนหรือปุถุชนมันทำให้อาสนะสงฆ์มันว่าง
การเข้ามาในศาลา ก็ต้องมาก่อนเวลา ประเทศที่เค้าเจริญแล้วเค้ามาก่อนเวลา หรือว่ามาตรงต่อเวลา ยิ่งเราบวชมาหลายปีหลายพรรษา ให้เราเข้าใจเรื่องปฏิปทา เพราะปฏิปทาเป็นการวัดอุณหภูมิ วัดความเป็นจริง เค้าจะสร้างบ้านสร้างเรือนสร้างประเทศเค้าต้องมีเครื่องวัด วัดความกว้างความยาวความสูงความต่ำ วัดน้ำหนัก ความหนักความเบา ข้อวัตรกิจวัตร เราอย่าไปประมาท ถ้าสิ่งไม่ดีสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ทุกคนอย่าไปจับเอาตัวอย่างแบบอย่าง ต้องเสียสละ
ให้เอาตัวอย่างแบบอย่างพระมหากัสสปะ คือผู้ที่เสียสละคือผู้ที่มีความสงบมีปัญญา เป็นผู้ถือธุดงควัตร พระวินัยก็ว่าเคร่งครัดอยู่แล้ว พระมหากัสสปะถือธุดงควัตร ท่านเคร่งครัดมาก พระมหากัสสปะท่านเป็นผู้เลิศทางธุดงควัตร พระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ถือว่าเป็นทางสายกลางในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อจะเป็นตัวอย่างแบบอย่าง ท่านได้ถือธุดงควัตร เช่น อยู่ป่าถือผ้าบังสุกุล ฉันอาหารที่ได้จากการบิณฑบาต ท่านเสียสละ ท่านเป็นพระอรหันต์ขีณาสพแล้ว ท่านหมดกิเลสสิ้นอาสวะแล้วท่านประพฤติปฏิบัติเพื่อเป็นแบบเป็นพิมพ์เป็นตัวอย่างของกุลบุตรผู้ที่มาบรรพชาอุปสมบท
เราดูตัวอย่างแบบอย่าง พระอรหันต์ทั้งหลาย พระอริยเจ้าทั้งหลาย เราดูตัวอย่างอย่าง เช่น ท่านพระสารีบุตรท่านอาพาธ ท่านพูดคุยสนทนากันกับพระโมคคัลลา เมื่อพระสารีบุตรอาพาธ พระโมคคัลลาถามพระสารีบุตรว่า เมื่อท่านอาพาธที่ผ่านมาอาพาธของท่านหาย ท่านใช้วิธีอย่างไร พระสารีบุตรท่านก็ตรัสว่า เมื่อยังไม่ได้บรรพชาอุปสมบท มารดาของท่านทำข้าวมธุปายาสให้บริโภค ธาตุขันธ์สรีระร่างกายได้รับอาหารครบถ้วน ท่านก็จะหายอาพาธ พระเถระเจ้าสนทนากันอย่างนี้ เทวดาทั้งหลายอยู่ในชมพูทวีปนั้นได้ยินได้ฟัง ถึงไปบอกให้ประชาชนว่าขณะนี้เวลานี้ พระสารีบุตรพระอัครสาวกฝ่ายขวาผู้มีปัญญากำลังอาพาธ พรุ่งนี้พระโมคคัลได้มาบิณฑบาตให้ฝากอาหารบิณฑบาตไปให้พระสารีบุตรฉัน พระโมคคัลลาไปบิณฑบาตก็ได้อาหารทุกอย่างเหมือนบทสนทนาพูดคุยกันเมื่อค่ำวานนี้ พระสารีบุตรผู้มีปัญญาถึงพิจารณาด้วยปัญญาเห็นว่าเราจะบริโภคอาหารที่เราพูดเราสนทนากันให้รุกขเทวดานี้ได้ยินไปบอกประชาชนให้ถวายอาหารนั้นมันจะเกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมแก่มหาชน ท่านคิดอย่างนั้น ท่านจึงได้เอาอาหารข้าวมัธุปายาสที่ได้มาไปเทลงสู่พื้นดิน ทันใดนั้นโรคภัยไข้เจ็บอาพาธต่าง ๆ นั้นได้หายไปหมดสิ้นเชิง ด้วยบริสุทธิคุณเป็นธรรมะโอสถ เป็นความสงบและปัญญา
เราเป็นผู้บวชมาก่อนบวชมานาน เราต้องเป็นตัวอย่างแบบอย่าง เป็นแบบเป็นพิมพ์ของผู้ที่บวชมาใหม่ ผู้ที่บวชเก่าทั้งหลายอย่าพากันถืออภิสิทธิ์ว่าเราบวชมานาน บวชมานานแล้วไม่ใช่ปัจจุบันนะ ต้องเอาปัจจุบันนี้แหละ เพราะอดีตก็ใช้ไม่ได้ อนาคตก็ใช้ไม่ได้ปัจจุบันนี้ถือว่าเป็นวาระสำคัญเป็นวาระแห่งการประพฤติการปฏิบัติ เป็นวาระแห่งชาติ เดี๋ยวพระใหม่โยมใหม่จะเอาตัวอย่างในทางไม่ดีในทางไม่ถูกต้อง
ให้เราถือเอาพระธรรมพระวินัย ข้อวัตรกิจวัตรเป็นหลักเป็นสิ่งที่สำคัญ ให้ตั้งใจตั้งเจตนาไว้ การปฏิบัติของเราต้องติดต่อต่อเนื่อง อย่างมานั่งในศาลาอย่างนี้ทุกคนก็ให้นั่งตัวตรง อย่าไปนั่งตัวโค้งตัวงอ อย่าพากันไปนั่งหลับ ทำอะไรต้องให้ได้มาตรฐาน กราบพระก็ให้ได้มาตรฐาน ไม่ต้องไปทำเหมือนตะครุบกบ ตะครุบเขียดตะครุบปลาตะครุบหนูนี้เป็นศัพท์พื้นฐานของชนบท ปัจจุบันนี้เราอยู่ในเมืองกรุงคนตะครุบกบ ตะครุบเขียดตะครุบปลาตะครุบหนูหรอก การกราบพระนี้ต้องให้ได้มาตรฐาน เรากลับไปที่กุฏิของเรา เราต้องกราบพระให้ได้มาตรฐาน พระอยู่ที่ใจนะ ระลึกถึงพระพุทธเจ้า ระลึกถึงพระธรรมคำสั่งสอน ระลึกถึงพระอริยสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ อยู่ที่พักของเราไม่มีพระพุทธรูปก็ได้ ให้เอาพระพุทธพระธรรมพระอริยสงฆ์ เอาพระธรรมพระวินัยมาไว้ในใจของเรา เอามาไว้ใจกายวาจากิริยามารยาทของเรา เราต้องพากันทำอย่างนี้
เราเป็นฆราวาสเรายังไม่ได้บวช เรากราบเฉพาะเช้าเฉพาะเย็นอยู่ที่บ้าน แต่เรามาเป็นพระนี้ จะขึ้นกุฏิลงกุฏิก็ต้องกราบหมด กราบให้ได้มาตรฐาน การกระทำอย่างนี้เรียกว่าเป็นการเจริญสติปัญญาเป็นพื้นฐาน เป็นความสงบและปัญญา
เราทั้งหลายต้องก้าวไปด้วยความสงบและปัญญา เราปฏิบัติให้ได้มาตรฐานอยู่ทุกหนทุกแห่ง ให้สติสัมปชัญญะให้เหมือนที่เรายืนเคารพธงชาติ หรือว่าให้เหมือนที่เรากำลังยืนฟังเพลงสรรเสริญพระบารมี มันต้องอย่างนี้ มันต้องมีสติมีสัมปชัญญะอย่างนี้ เราทุกคนต้องพัฒนาอย่างนี้เพื่อเราทุกคนจะได้มีศีลมีสมาธิมีปัญญาติดต่อต่อเนื่องกัน การปฏิบัติของเราต้องฟอร์มสดให้เต็มที่ในปัจจุบัน อย่ามองข้ามในเรื่องธรรมเรื่องปัจจุบันธรรม ให้เกิดความสงบเกิดปัญญา
ขออนุโมทนากับท่านทั้งหลายนะ ท่านทั้งหลายเป็นผู้ที่ประเสริฐเกิดมาได้รับโอกาสพิเศษ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เราตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติ ให้ระลึกถึงโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระพุทธเจ้าก่อนเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานได้ตรัสโอวาทครั้งสุดท้ายไว้ว่า
“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”
โอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านเมตตาตรัสไว้ว่า
ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ
ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ
ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู
ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละ คือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะ
------------------------------
โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
เมตตาให้ไว้ในเช้าวันที่ ๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา