๔ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ ๔ เดือนสิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ศาสนาพุทธ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ศาสนาคริสต์ ฮิจเลาะห์ศักราช ๑๔๔๖ ศาสนาอิสลาม
มนุษย์เราทุกคนที่เกิดมาปัจจุบันนี้อายุขัยของหมู่มวลมนุษย์พัฒนาทั้งวิทยาศาสตร์ พัฒนาทั้งใจ มนุษย์เราจะอยู่ได้ร่วมร้อยปี คือ ๑ ศตวรรษ ถ้ามนุษย์เราพัฒนาทั้งใจทั้งวัตถุไปพร้อมกัน ร่างกายนี้ย่อมอยู่ได้มากกว่าร้อยปี
มนุษย์เราที่เกิดมาต้องอาศัยหลักการ อุดมการณ์อุดมธรรม เพื่อให้เป็นทางสายกลาง ระหว่างวัตถุกับจิตใจ เพื่อให้เป็นทางสายกลาง ไม่เอาความชอบใจไม่ชอบใจ เอาทางสายกลาง รู้ความจริงตามความเป็นจริง เพราะทุกอย่างนั้นคือเหตุคือปัจจัย ทุกอย่างนั้นคือกรรมคือกฎแห่งกรรมคือผลของกรรม มนุษย์เราถึงต้องมีการเรียนการศึกษา
การศึกษาของมนุษย์นั้นมีอยู่ทั้งหมด ๑๘ ศาสตร์ อยู่ในโลกนี้มีการเรียนการศึกษาทั้งหมด ๑๘ ศาสตร์ ทุก ๆ ประเทศทำเหมือนกันหมด มนุษย์เราปัจจุบันนี้มีทั้งหมดแปดพันกว่าล้านคน แบ่งเป็นประเทศในการปกครอง ๑๙๕ ประเทศ โลกของเราเป็นวงกลม หมุนรอบตัวเอง หมุนรอบดวงอาทิตย์ เป็นความมืด ๑๒ ชั่วโมง เป็นความสว่าง ๑๒ ชั่วโมง เป็นกลางวันเป็นกลางคืน
มนุษย์เราทั้งหลายต้องพากันรู้เหตุรู้ปัจจัย รู้อริยสัจสี่ รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ มนุษย์เราหรือสรรพสัตว์ทั้งหลายมีการพัฒนา มีบ้าน มีที่อยู่ที่อาศัย มีที่ทำมาหากิน มีที่ทำไร่ทำนาทำสวนทำอุตสาหกรรม มีโรงงาน มีการค้า มีห้างสรรพสินค้า มีบ้านมีวัดมีโรงเรียน เพื่อเป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม
การเรียนการศึกษานี้เป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ มนุษย์เราถึงได้มีการเรียนการศึกษาทั้งหมด ๑๘ ศาสตร์ ๑๘ ศาสตร์มีอะไรบ้างเพื่อให้รู้ให้เข้าใจเกิดปัญญาสัมมาทิฏฐิ ๑๘ ศาสตร์ก็ได้แก่
- ยุทธศาสตร์ วิชานักรบ
- รัฐศาสตร์ วิชาการปกครอง
- นิติศาสตร์ วิชากฎหมายและจารีตประเพณีต่างๆ
- วาณิชยศาสตร์ วิชาการค้า
- อักษรศาสตร์ วิชาหนังสือ
- นิรุกติศาสตร์ วิชารู้ภาษาของตนแตกฉานดี และรู้ภาษาของชนชาติที่ติดต่อกัน
- คณิตศาสตร์ วิชาคำนวณ
- โชติยศาสตร์ วิชาดูดวงดาวต่างๆ คือรู้จักว่าดวงดาวนั้นๆ ตั้งอยู่ทางทิศนั้นๆ และประจำเมืองนั้นๆ และรู้จักสีแสงของดวงดาวต่างๆ อันบอกลางดีและลางร้ายในกาลบางครั้ง
- ภูมิศาสตร์ วิชารู้พื้นที่ต่างๆ หรือรู้จักแผนที่ของประเทศต่างๆ
- โหราศาสตร์ วิชาโหร คือรู้พยากรณ์เหตุการณ์ต่างๆ ได้ และรู้ทายดวงชะตาราศีของคนได้ด้วย
- เวชศาสตร์ วิชาหมอยา
- สัตวศาสตร์ วิชารู้ลักษณะของสัตว์และเสียงสัตว์ว่าร้ายหรือดี
- เหตุศาสตร์ วิชารู้เหตุเป็นแดนเกิดแห่งผลว่าร้ายหรือดี
- โยคศาสตร์ ยันตรศึกษา คือรู้จักความเป็นช่างกล
- ศาสนศาสตร์ วิชารู้เรื่องศาสนา คือรู้จักประวัติความเป็นมาแห่งศาสนาทุกๆ ศาสนาที่มหาชนนิยม เพื่อปฏิบัติไม่ขัดแก่สังคมใดๆ และรู้คำสอนในศาสนานั้นๆ ด้วย
- มายาศาสตร์ วิชารู้กลอุบาย หรือรู้ตำรับพิชัยสงคราม
- คันธรรพศาสตร์ วิชาคนธรรพ์คือวิชาร้องรำ(ละคอน) ที่เรียกชื่อว่า "นาฏยศาสตร์" และวิชาดนตรีปี่พาทย์ ที่เรียกชื่อว่า "ดุริยางคศาสตร์"
- ฉันทศาสตร์ วิชาประพันธ์ คือแต่งหนังสือได้ ทั้งที่เป็นร้อยกรอง(บทกลอน) และร้อยแก้ว(ความเรียง)
มนุษย์เราต้องเอาความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ ความรู้ต้องคู่กับการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างความรู้กับการปฎิบัติ ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างสมองของมนุษย์กับลมหายใจ ต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพื่อความสงบและปัญญา เพื่อปัญญาและความสงบ ความดับทุกข์ของมนุษย์มันอยู่ที่ความสงบและปัญญา ปัญญาและความสงบ
มนุษย์เราคือผู้มีปัญญาสัมมาทิฏฐิ ที่เดินไปก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ มีหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม ถ้าไม่อย่างนั้นก็จะย่ำต๊อกอยู่ในความหลงที่มีสรรพนามว่า “คน”
คำว่าคนนี้แปลว่าไปไหนไม่ได้ เดินไปข้างหน้าก้าวหนึ่งก็ถอยกลับมาข้างหลังก้าวหนึ่ง มันไปไหนไม่ได้เค้าถึงมีศัพท์ว่าคน คนโน้นคนนี้
มนุษย์เราต้องมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ ถ้าเราไม่มีปัญญาสัมมาทิฏฐิ ชีวิตนี้ก็ย่อมพังทลายเหมือนตึก สตง.ของเมืองไทยประเทศไทย ตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทย เป็นพยานเป็นหลักฐานในความพังทลาย ตึกใหญ่ ๆ ในเมืองไทยทั้งเมืองกรุง ปริมณฑล ต่างจังหวัดมีหลายร้อยหลายพันตึก ตึกทุกตึกไม่พังทลาย แต่พังทลายแห่งเดียวคือตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน
ประเทศไทยเราปีปัจจุบันนี้ ปี ๒๕๖๘ นี้ มีการโกงกินคอร์รัปชั่นอยู่ในระดับ ๑๐๗ ของโลก ๑๐๗ ของโลกนี้อยู่ในระดับล้มละลายล่มสลาย โลกนี้มี ๑๙๕ ประเทศ ประเทศเราอยู่ในระดับการโกงกินคอร์รัปชั่นในระดับ ๑๐๗ ของโลก
มนุษย์เราทุกคนต้องพากันมาเข้าใจ จะใช้ศัพท์นามสมมติว่าคน เพราะเรามีตัวมีตนอยู่ เรายังไม่ใช่พระอรหันต์ขีณาสพ ถ้าเป็นพระอรหันต์เค้าเรียกว่ารูป รูปนั้นหมายถึงผู้ที่เอาปัญญาเอาความสงบเป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม ได้แก่ พระพุทธเจ้าทั้งหลาย พระอรหันต์ทั้งหลาย เป็นบริสุทธิคุณทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพทั้งใจเป็นบริสุทธิคุณ
เรายังเป็นผู้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสาร เราทั้งหลายถึงใช้สรรพนามว่าคน เรามารู้มาเข้าใจด้วยการเรียนการศึกษาที่มีหลักการทั้งหมด ๑๘ ศาสตร์นี้เป็นหลักการ ด้วยความดีด้วยปัญญา
มนุษย์เราทั้งหลายต้องมีปฏิปทาก้าวไปด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา มนุษย์เราต้องมีปัญญา ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม ไม่ไปตามกระแส เป็นสิ่งที่ทวนกระแส เราเป็นคนไม่รู้ไม่เข้าใจได้เอาธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ มาเป็นเรา กายวาจากิริยามารยาทอาชีพได้เกิดจากใจ ถ้าใจของเรามีปัญญา เราก็ก้าวไปด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา ถ้าใจของเราไม่มีปัญญา ยังมีอวิชชามีความหลง มันก็ก้าวไปด้วยความหลงด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ เราถึงได้มีการเรียนการศึกษา การเรียนการศึกษาจุดมุ่งหมายเพื่อความรู้ความเข้าใจ การค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ก็เพื่อความรู้ความเข้าใจ การฟังธรรมการบรรยายก็เพื่อความรู้ความเข้าใจ ความเข้าใจนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ ความเข้าใจกับความจำนี้มันคนละอย่าง อย่างเราไปเรียนหนังสือนี้เราไปเรียนเพื่อจำ เราไปเรียนเพื่อจำน่ะความรู้ที่เราเรียนจบจากประถมศึกษา มัธยมศึกษา อุดมศึกษานั้นก็ย่อมหายไป นี้ยังไม่ใช่ความรู้ความเข้าใจ มันหายไป ถ้าความรู้ความเข้าใจนี้มันจะไม่ลืม เหมือนเราไปเรียนหนังสืออ่านหนังสือ รู้เข้าใจเราไปอยู่ที่ไหนก็ไปอ่านออกเขียนได้
การพัฒนาของมนุษย์นี้เค้าต้องมายกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้อง มาทำสิ่งที่ดี ๆ ให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป เพราะปัจจุบันนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ เป็นวาระสำคัญในการประพฤติการปฏิบัติ เพราะอดีตทั้งหมดน่ะก็มาอยู่ที่ปัจจุบันแล้ว อนาคตที่จะไปข้างหน้าก็มาอยู่ที่ปัจจุบันแล้ว ปัจจุบันถึงเป็นวาระแห่งชาติในการประพฤติการปฏิบัติ ปัจจุบันเป็นสิ่งที่สำคัญ ปัจจุบันเราต้องมีปัญญาพร้อมกับการประพฤติการปฏิบัติ ปัจจุบันถึงเป็นไฟต์ในการประพฤติการปฏิบัติ
ถ้าจะพูดเปรียบเทียบเป็นการชิงแชมป์ในการประพฤติการปฏิบัติ ความสงบและปัญญาถึงเป็นไฟต์ในการประพฤติการปฏิบัติ ปัจจุบันเราต้องสมบูรณ์ทั้งอรรถะและพยัญชนะ เราต้องเอาความสงบและปัญญานำชีวิต เราทุกคนต้องเห็นความสำคัญในเรื่องปัจจุบัน
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงให้พวกเราทั้งหลายอย่าพากันประมาท เพราะปัจจุบันเป็นวาระแห่งชาติในการประพฤติการปฏิบัติ ปัจจุบันเป็นไฟต์ในการประพฤติการปฏิบัติ
เราทั้งหลายต้องมามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ
เราทั้งหลายไม่มีสิทธิพิเศษที่จะไปทำอะไรตามใจตามอัธยาศัย เราต้องเข้าสู่ขบวนการของเหตุของปัจจัย เพราะสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นเกิดจากเหตุเกิดจากปัจจัย มามีความสงบมีปัญญา มาทำอะไรติดต่อต่อเนื่องด้วยความรู้ความเข้าใจ เพื่อไม่ให้ขาดตกบกพร่อง เพื่อไม่ให้ทะลุให้เศร้าหมอง ใจของเราน่ะมันเป็นวาระ ๆ ไป ปัจจุบันมันเป็นวาระ ๆ ไป เช่นอายุขัยของเรานี้ก็อยู่ได้เป็นวาระน่ะ เราต้องรู้เข้าใจเรื่องวาระต่าง ๆ เราต้องรู้จักหน้าที่แล้วก็มีความสุขในหน้าที่ในการประพฤติการปฏิบัติ
มนุษย์เราต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ถ้าเราไม่มีปิติไม่มีความสุขไม่มีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติมนุษย์เราก็ย่อมมีความทุกข์ ความทุกข์กับโรคซึมเศร้ามันก็คืออันหนึ่งอันเดียวกัน ชอบใจไม่ชอบใจอารมณ์มันก็เหวี่ยงไปเหวี่ยงมาเป็นโรคไบโพล่า
เราทุกคนต้องพากันมาประพฤติมาปฏิบัติของตัวเราเอง เหตุการณ์ที่ผ่านมา เราอาศัยหลักการ อาศัยประวัติศาสตร์ อาศัยพ่ออาศัยแม่ อาศัยความรู้ความเข้าใจ มนุษย์เราถึงมีประวัติศาสตร์ให้เรียนให้ศึกษา เพื่อจะได้เอามาเปรียบเทียบในการประพฤติการปฏิบัติ
มนุษย์เราน่ะต้องเอาปัจจุบันเป็นวาระสำคัญ มนุษย์เราทั้งหลายจะได้เข้าถึงความสงบเข้าถึงปัญญา มนุษย์เราต้องเอาความสงบและปัญญานำชีวิต เพื่อยกเลิกสัญชาตญาณที่มันเป็นตัวเป็นตน เพื่อคืนอำนาจ เพื่อยกเลิกตัวยกเลิกตน
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบำเพ็ญพุทธบารมีที่เป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา นั้นคือการคืนอำนาจ คืนตัวคืนตน ทำงานเพื่องาน กายวาจากิริยามารยาทอาชีพเพื่อความสงบและปัญญา ไม่ใช่เป็นอัตตาตัวตน เป็นความสงบเป็นความพอดี ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลยเดช ปรารภอยู่เสมอว่า
เราทั้งหลายต้องเข้าถึงความเพียงพอพอเพียง เราอย่าไปปรุงแต่งตัวเองให้เป็นทุกข์เปล่า ๆ เราอยากได้มากมันก็ไม่มากมันก็เท่าเก่า เราอยากให้น้อยมันก็ไม่น้อยมันก็เท่าเก่า ผู้มีปัญญามากก็ต้องมีความสงบมาก ผู้มีความสงบมากก็ต้องมีปัญญามาก มันต้องเสียสละ มนุษย์เราคือผู้ที่เสียสละ พระพุทธเจ้าคือผู้ที่เสียสละ พระอรหันต์คือผู้ที่เสียสละ
พระพุทธเจ้าน่ะท่านทรงบรรทมพักผ่อนเพื่อธาตุเพื่อขันธ์เพื่ออายตนะวันละ ๔ ชั่วโมง ภายใน ๒๔ ชั่วโมง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเสียสละให้ธาตุให้ขันธ์ให้อายตนะ ๔ ชั่วโมง เสียสละให้หมู่มวลมนุษย์เทพเทวาสรรพสัตว์ทั้งหลายวันละ ๒๐ ชั่วโมง
มนุษย์เรานี้ให้พวกเราเข้าใจนะคือผู้ที่เสียสละ ถ้าเราไม่เสียสละเราก็ไม่มีความสงบไม่มีปัญญา เราก็มีอัตตามีแต่ตัวตน การเรียนการศึกษาของมนุษย์ จุดมุ่งหมายของมนุษย์เพื่อรู้เข้าใจเพื่อเสียสละ การทำงานก็เพื่อเสียสละ การที่เราได้เป็นข้าราชการนักการเมืองก็เพื่อที่จะต้องเสียสละ การครองใจครองธาตุครองขันธ์ครองอายตนะเราต้องรู้เข้าใจ
เราทั้งหลายต้องพากันมาเสียสละ ถ้าเราไม่เสียสละ การเรียนการศึกษาการพัฒนาก็เป็นไปเพื่อตัวเพื่อตน การทำอะไรเพื่อตัวเพื่อตนมันเป็นการมองไม่ครบวงจร มันเป็นการเอาตัวรอดในทางที่ไม่รอด มันยังเป็นการสร้างปัญหา มันสร้างปัญหาให้กับตัวเอง มันสร้างปัญหาให้กับคนอื่น เราไม่เข้าใจ เราก็จะสร้างปัญหาให้กับตัวเอง สร้างปัญหาให้กับคนอื่น ความสงบและปัญญาหรือว่าระบบสมองกับลมหายใจมันต้องไปพร้อม ๆ กันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ความสงบและปัญญาถึงจะหยุดวัฏฏสงสาร ถึงจะหยุดความปรุงแต่ง
ให้พวกเราทั้งหลายรู้เข้าใจเรื่องกฎหมายบ้านเมือง เรื่องธรรมนูญ เรื่องรัฐธรรมนูญ เรื่องระเบียบเรื่องพระวินัยที่เป็นกฎหมายภาคบังคับ นี้เป็นคุณเป็นประโยชน์ ไม่มีโทษมีแต่คุณ ความดีที่ประกอบด้วยปัญญา ปัญญาที่ประกอบด้วยความดีนี้มีแต่คุณ เพื่อเราจะมาหยุดตัวเอง เราไม่ต้องไปหยุดคนอื่น ทุกวันนี้ปัจจุบันนี้เราไปแก้ที่ปลายเหตุ เราจะไปหยุดคนอื่นแก้ไขคนอื่น
เรามาคิดดูดี ๆ นะ พระพุทธเจ้าท่านก็แก้ที่พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ที่ได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าท่านก็แก้ที่ท่าน ไม่มีใครที่ไหนไปหาหยุดคนอื่น ทุกคนเมื่อมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ ท่านผู้นั้นก็จะก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ ถ้าเราเอาตัวเอาตน เอาธาตุเอาขันธ์เอาอายตนะมาเป็นเราย่อมไม่รู้ไม่เข้าใจ ระบบข้าราชการและนักการเมือง เป็นอุปกรณ์ในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อให้กายวาจากิริยามารยาทอาชีพนั้นอยู่ในหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม ถึงมีหลักการ ถ้าใครทำไม่ถูกต้องปรับไหมให้ติดคุกติดตาราง ถ้าหนักให้ประหารชีวิต เมื่อใจมันไม่สงบ ก็ให้กายวาจากิริยามารยาทอาชีพนั้นสงบก่อน
เราต้องพากันรู้เข้าใจว่า จิตใจนี้เป็นส่วนสำคัญของชีวิต เพราะกายวาจากิริยามารยาทอาชีพนั้นเป็นเพียงอุปกรณ์ของใจเฉย ๆ ใจเป็นนายกายเป็นบ่าว ปัจจุบันถึงเป็นวาระสำคัญ เป็นวาระแห่งชาติในการประพฤติการปฏิบัติ
เราทุกคนพากันมาเน้นที่ตัวเรา ให้เราทุกคนมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ เพื่อทำหน้าที่ของตัวเราให้สมบูรณ์ มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ การบริหารประเทศนั้น ๆ เงินทุกบาททุกสตางค์ได้มาจากภาษีอากร ของผู้ที่อยู่ในประเทศนั้น ๆ ไม่มีใครเลยไม่เสียภาษีอากร เพราะระบบมันหักกันไปอยู่ในตัวแล้ว เราจะซื้อขายแลกเปลี่ยนทำอาชีพอะไรเค้าหักภาษีอากรทุกอย่าง พวกข้าราชการนักการเมืองนักบวชนี้คือผู้ที่ใช้งบประมาณแผ่นดินไม่ใช่ใช้งบประมาณของตัวเองนะ มันเป็นงบประมาณของแผ่นดิน ผู้ที่มาเป็นข้าราชการนักการเมืองมาเป็นนักบวชต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้สมบูรณ์ ที่ผ่านมาไม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเราให้สมบูรณ์ เพราะประเทศเรามันอยู่ในระดับโกงกินคอร์รัปชั่นระดับ ๑๐๗ ของโลก ตึก สตง.เป็นหลักฐานพยานที่มันพังทลาย ปัจจุบันนี้เราไม่ไว้วางใจกันนะ เพราะการโกงกินคอร์รัปชั่นอยู่ในระดับ ๖๐,๗๐ เปอร์เซ็นต์ของภาษีอากร นี้มันอยู่ในระดับพังทลาย อยู่ในระดับความเสียหายนะ
การแก้ไขประเทศเราให้เราเข้าใจไม่ต้องไปแก้ไขใคร ให้แก้ไขเราคนเดียวนี้แหละ ตั้งใจตั้งเจตนาที่เป็นบริสุทธิคุณทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพเน้นมาที่ตัวเรา
เราต้องคืนอำนาจให้กับความสงบคืนอำนาจแห่งตัวตนเพื่อเกิดความสงบเกิดปัญญา เกิดปัญญาเกิดความสงบ เห็นเค้ากระจายอำนาจจากเมืองกรุงสู่จังหวัด จากจังหวัดสู่หมู่บ้าน อันนี้ดีแล้วถูกต้องแล้ว แต่ระบบของเรามันก็ยังเป็นนิติบุคคลตัวตน มันโกงกินมากตั้ง ๖๐,๗๐ เปอร์เซ็นต์นี้มันไปไม่ได้มันเป็นความเสียหาย มันไม่มีคำว่าข้าราชการ เพราะว่ามันโกงกิน ไม่มีนักกการเมืองมีแต่โกงกิน มันไม่มี อบต. มันมีแต่อมทุกบาททุกสตางค์ ปัญหาต่าง ๆ นี้เราจะแก้อย่างไรก็แก้ไม่ได้ เพราะว่าเราไปแก้คนอื่น เราไม่แก้ตัวเรา ส่วนหนึ่งที่ได้มาก็มาจากประชากรของโลกเค้าได้สมัครสมานสามัคคีกัน เสียสละ เพื่อเอาเงินนั้นมาบริหารวัด มาบริหารโรงเรียน มาบริหารส่วนราชการ สิ่งที่สำคัญเราต้องทั้งหลายยกเลิกการทุจริต ระบบทอนข้าราชการทอนการเมืองทอนวัดนี้เราต้องยกเลิก
จังหวัดนครราชสีมาหลายปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ผู้ว่าฯวิเชียร จันทรโณทัย มาเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด มาถึงผู้ว่าชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ทำให้จังหวัดนครราชสีมาดีขึ้น ทางฝ่ายทหาร แม่ทัพภาคที่ ๒ ตั้งแต่ท่านสวราชย์ แสงผล เป็นแม่ทัพ แม่ทัพนี้ก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ ตามลำดับ เราต้องทำให้ถูกต้อง ถ้าไม่ถูกต้องมันเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นการพัฒนา มันมีแต่ทำลาย
เราต้องรู้เข้าใจ หนามมันปักเราก็ต้องหนามนั่นแหละบ่งหนามมันออก เมื่อทุกข์มันเกิดกับเราก็ต้องแก้ที่เรา เราจะไปแก้ที่คนอื่นได้อย่างไร เพราะไปแก้ที่คนอื่นมันแก้ไม่ได้ ถ้าเรามีปัญญาในการเรียนการศึกษา มีสัมมาทิฏฐิ ความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติไปพร้อมกันมันถึงจะเป็นไปได้ มันถึงจะเป็นการพัฒนาทั้งกายวาจากิริยามารยาทใจอาชีพ มันจะก้าวไปด้วยศีลสมาธิปัญญา ด้วยธรรมนูญรัฐธรรมนูญ ชีวิตนี้มันถึงจะเกิดความสงบเกิดปัญญา
เราทั้งหลายพากันเข้าใจนะ เข้าใจปัญหาเรื่องปัญหา มนุษย์เรามีการนอนการพักผ่อน สำหรับฆราวาสก็นอนพักผ่อน ๗,๘ ชั่วโมง เราต้องควบคุมคอนโทรลให้ตัวเองได้นอนพักผ่อน ๗,๘ ชั่วโมง หรืออย่างน้อยก็ ๖ ชั่วโมงอย่างนี้เป็นต้น อายุเราถึงจะได้ไปทำความดีสร้างบารมีได้ครบ ๑ ศตวรรษคือร้อยปี
เราต้องนอนพักผ่อนให้เพียงพอ ถึงจะมีธุรกิจหน้าที่การงานอะไรเราก็ต้องเสียสละ เพื่อธาตุเพื่อขันธ์เพื่ออายตนะให้รู้เข้าใจ พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายให้เพียงพอ มนุษย์เราสมัยใหม่ใช้สติใช้ปัญญา ทำงานคอมพิวเตอร์ ไม่ได้ออกกำลังกายต้องออกกำลังกายให้เพียงพอ ออกกำลังกายที่บ้านเรานั่นแหละ บ้านเราต้องสะอาด ต้องมีโอโซนที่ดี ที่อยู่ที่อาศัย ห้องน้ำห้องสุขาต้องสะอาด เพราะว่าการนอนการพักผ่อนมันจะได้นำออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายที่ดี ๆ จะไม่ได้เอาของเสียเข้าสู่ร่างกายเวลาที่เรานอนเราพักผ่อน
มนุษย์เราวันจันทร์อังคารพุธพฤหัสศุกร์เป็นวันทำงานกับการปฏิบัติธรรมไปพร้อม ๆ กัน เพื่อเราจะได้ทั้งงานได้ทั้งจิตใจไปพร้อม ๆ กัน เราจะไปแยกงานออกจากใจไม่ได้ เราต้องทำสิ่งเดียวนั้นให้ได้ทั้งวัตถุได้ทั้งใจไปพร้อม ๆ กัน
วันเสาร์วันอาทิตย์เป็นวันหยุดพักผ่อนทำงานแล้วไปเน้นเรื่องจิตเรื่องใจเรื่องความสงบเรื่องปัญญา เราทั้งหลายต้องเอาความดับทุกข์จากความรู้ความเข้าใจจากปัญญาสัมมาทิฏฐิ เราทั้งหลายจะไปเอาความดับทุกข์จากความหลงไม่ได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าไม่ได้ เป็นการหาเรื่องหาราวให้กับตัวเอง หาเรื่องหาราวให้กับคนอื่น ทำอย่างนั้นก็มีแต่ทุกข์เกิดขึ้นทุกข์ตั้งอยู่ทุกข์ดับไปนอกจากทุกข์นั้นไม่มีเลย
มนุษย์เราต้องมีปัญญาสัมมาทิฏฐิอย่างนี้ ทุกวันนี้มีเรื่องมีราวนักการเมืองก็มีเรื่องมีราวข้าราชการก็มีเรื่องมีราว นักบวชก็มีเรื่องมีราว เรื่องราวที่ไม่ดีเรื่องราวที่ไม่ถูกต้อง ให้เข้าใจ เพราะทุกอย่างคือกรรมคือกฎแห่งกรรมคือผลของกรรม ไม่มีใครเหนือสิ่งเหล่านั้นไปได้ ถ้าเราทุกคนมาเน้นที่ตัวของเราเอง ปัญหาต่าง ๆ นั้นก็แก้ได้ในเวลาเดี๋ยวนั้นแหละ
การปฏิบัตินั้นต้องปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องกันไป อย่างน้อย ๓ อาทิตย์ การทำอะไรที่ติดต่อต่อเนื่องกัน ๓ อาทิตย์มันจะเป็นชิพฝังอยู่ในขันธ์ในสัญญาขันธ์มันจะเป็นเมมโมรี่ พูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็เหมือนไก่ฟักไข่ใช้เวลา ๓ อาทิตย์ จะฟักด้วยไม่ไก่หรือฟักด้วยไฟฟ้าก็ใช้เวลา ๓ อาทิตย์ การที่เกษตรกรเค้าจะตอนต้นไม้หรือทาบกิ่งไม้เพื่อขยายพันธุ์ก็ใช้เวลา ๓ อาทิตย์ แล้วแต่ชนิดพันธุ์ของต้นไม้ใช้เวลา ๓ อาทิตย์ขึ้นไป
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงให้เรามาเอาหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกรรม เหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรมไปได้ สิ่งที่แล้ว ๆ ไปนั้นให้ทุกคนถือว่าเจ๊ากันไปมันแก้ปัญหาไม่ได้ เรามาเอาที่ปัจจุบันนี้แหละ ปัจจุบันถือว่าฟอร์มสดถือว่าเป็นไฟต์ในการประพฤติการปฏิบัติ ถ้าไม่อย่างนั้นมันไปไม่ได้ มันก็ย่อมพังทลายเหมือนตึก สตง. ของเมืองไทย สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน
ให้พวกเราระลึกถึงโอวาทคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านตรัสปัจฉิมโอวาทครั้งสุดท้ายไว้ว่า
“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”
โอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านเมตตาตรัสไว้ว่า
ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ
ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ
ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู
ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบัน ไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละ คือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะ
--------------------------------------
โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
เมตตาให้ไว้ในเช้าวันจันทร์ที่ ๔ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา