๕ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
วันนี้เป็นวันพุธที่ ๕ เดือนสิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ ศาสนาพุทธ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ศาสนาคริสต์ ฮิจเลาะห์ศักราช ๑๔๔๖ ศาสนาอิสลาม
ธรรมะความดับทุกข์ความไม่มีทุกข์อยู่ที่นอกเหตุเหนือผล เป็นสภาวธรรมที่หยุดความปรุงแต่ง เป็นความสงบเป็นความพอเพียงเพียงพอ เป็นเรื่องปัญญาสัมมาทิฏฐิ ที่เราทั้งหลายจะต้องคืนอำนาจให้กับธรรมให้กับสภาวธรรม เปรียบเสมือนการปกครองจากเมืองหลวงออกสู่ชนบท เราต้องคืนอำนาจกระจายอำนาจไปสู่ปวงชน ความสงบและปัญญาถึงจะเป็นบริสุทธิคุณ เราพากันมาบวชเป็นพระ เป็นสมณะ
เราทั้งหลายน่ะพากันเข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ เราพากันมารู้หลักการอุดมการณ์อุดมธรรม เราทุกคนมาเน้นที่ตัวของเราเองด้วยความตั้งใจตั้งเจตนา หลักการพระธรรมพระวินัย สิกขาบทน้อยใหญ่ทั้งข้อวัตรกิจวัตรให้เราทั้งหลายถือว่าเป็นหลักการอุดมการณ์เพื่อให้สมบูรณ์ทั้งอรรถะทั้งพยัญชนะจะได้เป็นอุดมธรรม
เราทั้งหลายต้องยกเลิกเรา ไม่มีเรา ถ้ามีความปรุงแต่งเมื่อไหร่มันจะมีเรา ให้มันจบลงได้ที่เวทนา ธรรมะถึงเป็นสิ่งที่เป็นความสงบและปัญญา สมถะวิปัสสนาถึงไปพร้อม ๆ กัน อันหนึ่งความสงบอันหนึ่งปัญญา มันจะได้ก้าวไปทั้งความสงบทั้งปัญญาไปพร้อม ๆ กัน อันหนึ่งก็เป็นระบบลมหายใจ อันหนึ่งก็ระบบสมอง
เราทั้งหลายพากันมามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตามาเน้นที่เรา ปฏิบัติที่ตัวเรา คนอื่นก็เป็นเรื่องของคนอื่น คนอื่นก็ต้องมีความเห็นคล้าย ๆ เรา มีศีล มีสมาธิ มีปัญญาเหมือนเราเสมอกัน
ธรรมะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นทางสายกลาง เป็นความพอเพียงเพียงพอ เปรียบเสมือนสายพิณ สายพิณนั้นต้องไม่หย่อนเกินไปไม่ตึงเกินไป เรามาพากันมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ
เราพากันมานอนมาพักผ่อนให้เพียงพอ ภายใน ๒๔ ชั่วโมงนี้ เรานอนอย่างน้อยให้ได้ ๕ ชั่วโมง อย่างมากก็ให้ได้ ๖ ชั่วโมง ร่างกายของเราถึงจะแข็งแรง ระบบสมองสติปัญญาถึงจะสบาย เราพากันมานอนพร้อมเพรียงกัน คือนอน ๓ ทุ่ม ตื่นตี ๓
เราทุกคนต้องไม่เอาความชอบความไม่ชอบ เราต้องปลงใจลงใจให้พระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตรต่าง ๆ เพราะธรรมะนั้นอยู่นอกเหตุเหนือผล อยู่นอกความปรุงแต่ง ไม่มีคำว่าชอบหรือไม่ชอบ ไม่ต้องมีเหตุมีผล เพราะธรรมะนั้นคือความพอดี คือความพอเพียงเพียงพอ มันเป็นความสงบเป็นปัญญา
เราทั้งหลายต้องตั้งใจตั้งเจตนา ไม่มีต่อหน้าและลับหลัง เราทั้งหลายอย่าไปมองคนอื่น อย่าไปจับผิดคนอื่น ถ้าเรามองคนอื่นก็เพื่อจะเป็นผู้ให้ผู้เสียสละ เป็นผู้ที่ช่วยเหลือ
การปฏิบัติของเราน่ะ เน้นบริสุทธิคุณทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพและจิตใจต้องเป็นบริสุทธิคุณ ไม่หวังผลอะไรตอบแทน ปัจจุบันเป็นวาระสำคัญ ถือว่าเป็นวาระแห่งชาติ เพราะอดีตก็มารวมกันที่ปัจจุบัน อนาคตที่จะไปข้างหน้าก็มารวมกันอยู่ที่ปัจจุบัน ปัจจุบันถึงเป็นไฟต์ในการประพฤติการปฏิบัติ
เรามีปัญญามากเราก็ต้องมีความสงบมากพอ ๆ กัน เรามีความสงบมากก็ต้องมีปัญญามากพอ ๆ กัน ถึงจะเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เราทำอะไรข้อวัตรกิจวัตร ต้องมีปิติมีความสุขในการกระทำในสิ่งนั้น ๆ เพื่อใจของเราจะเป็นหนึ่งเป็นเอกัคคตา การกระทำนี้เราต้องทำติดต่อต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา เป็นเอกัคคตา เป็นมรรคเป็นอริยมรรค
เราอยู่ที่ไหนเราก็ปฏิบัติได้อยู่ทุกหนทุกแห่ง ที่ไหนมีธาตุทั้ง ๔ มีขันธ์ทั้ง ๕ มีอายตนะทั้ง ๖ นั้นคือการประพฤติการปฏิบัติของเราไม่เลือกกาลสถานที่
เราทุกคนน่ะอาศัยหลักการอุดมการณ์อุดมธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านได้บำเพ็ญพุทธบารมีมา เรานี้โชคดีที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้เอาอาหารสำเร็จรูปมาให้เราบริโภค มาให้เรารับประทาน
การบริโภคของเราให้เรารู้เข้าใจ เราทั้งหลายต้องบริโภคด้วยปัญญา เราต้องรู้เหตุรู้ปัจจัย เพราะเรามีตารูปถึงมี เมื่อเรามีหูเสียงถึงมี มีจมูกกลิ่นถึงมี เรามีลิ้นรสถึงมี เรามีกายถึงมีสัมผัส มันมีเพราะมันมีเหตุมีปัจจัย ถ้าไม่มีเหตุไม่มีปัจจัยมันก็ไม่มี เราทั้งหลายจะได้บริโภคทุกอย่าด้วยปัญญา ว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมันเกิดขึ้นเพราะเรามีตาหูจมูกลิ้นกายใจ
เราทั้งหลายจะได้รู้ความว่างเปล่า และการปรากฏการณ์ชั่วคราว สิ่งต่าง ๆ นั้นคือความว่างเปล่าคือประภัสสร สิ่งที่สัญจรไปมาคือธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ มันสัญจรไปมา เราทั้งหลายจะได้บริโภคสิ่งต่าง ๆ ด้วยปัญญา ด้วยความสงบเราทั้งหลายจะไม่ได้ตามสิ่งแวดล้อม จะไม่ตามผัสสะ ให้เราจบลงที่เวทนา
ต้องรู้การประพฤติการปฏิบัติ ต้องหยุดปรุงแต่งให้ได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ นี้เป็นข้อสอบและเป็นข้อตอบของเรา เราทั้งหลายต้องรู้ข้อสอบและข้อตอบ เราทุกคนรู้ข้อสอบข้อตอบ ไปปฏิบัติอยู่ทุกหนทุกแห่งตามวิถีชีวิตที่เราดำรงธาตุดำรงขันธ์ดำรงอายตนะ เราจะเป็นสมถะนักบวช เป็นฆราวาส ข้าราชการนักการเมืองพ่อค้าประชาชนทั้งหลาย
เราต้องรู้เข้าใจเรื่องธรรมะเรื่องธรรมชาติ เรื่องกรรมเรื่องกฎแห่งกรรมเรื่องผลของกรรมทุกคนนั้นจะเหนือกรรมเหนือเวรเหนือภัยนั้นไปไม่ได้เพราะนี้คือกรรมคือกฎแห่งกรรมคือผลของกรรม เราทั้งหลายต้องเข้าใจ การปฏิบัติของเราน่ะไม่มีเก่าไม่มีใหม่ ไม่มีช้าไม่มีเร็ว ให้ถือปัจจุบันเป็นสิ่งที่สำคัญ อย่าให้อดีตอนาคตมันปรุงแต่งเราได้ แม้ปัจจุบันเราก็เข้าใจว่าสิ่งต่าง ๆ มันปรากฏขึ้นแล้วตั้งอยู่แล้วก็ดับไปตามเหตุตามปัจจัย
เราทั้งหลายต้องพากันว่างจากตัวเรา เราต้องคืนอธิปไตยให้กับความสงบ ความสงบมันเป็นสิ่งที่เรายกเลิกความปรุงแต่ง เรายกเลิกความปรุงแต่งเมื่อไหร่มันก็สงบ ความสงบมันหยุดด้วยสมาธิ หยุดด้วยสัมมาสมาธิ
สมาธิก็มี ๒ ระดับ ระดับตัวต้นและระดับวิทยาศาสตร์ มันมีสองอย่าง ทางวิทยาศาสตร์มันเป็นระดับศีลระดับสมาธิ ยังไม่ใช่ปัญญาบริสุทธิคุณ ยังไม่ใช่อริยมรรคมีองค์แปด ธรรมะต้องเป็นอริยมรรคมีองค์แปด
เรามองดูคิดดูด้วยสติด้วยปัญญา เราคิดดูต้นไม้ต้นหนึ่งนั้นที่ได้อาหารมาเลี้ยงต้นไม้นั้นต้องได้มาจากทั้งทางรากทางใบทางกิ่งก้านสาขาตลอดยอดปริมณฑลตลอดแสงแดอากาศออกซิเจน ต้นไม้นั้นไม่ใช่ได้อาหารมาทางรากอย่างเดียวนะถ้าได้มาจากทางรากอย่างเดียวต้นไม้นั้นก็ย่อมไม่สมบูรณ์ ธรรมะนั้นถึงเป็นเรื่องอริยมรรคมีองค์แปดที่เป็นความพอดีเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม มันเป็นความลงใจไม่มีนิวรณ์ทั้ง ๕ ไม่มีอคติทั้ง ๔ มันเป็นความสงบและปัญญา มันเป็นความพอดีเป็นความพอเพียงเพียงพอ เราจะเอามาใช้ได้กับหมู่มวลมนุษย์ เพราะอันนี้มันเป็นเรื่องสากล ความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพรากนี้เป็นเรื่องสากล เรื่องการเวียนว่ายตายเกิดเรื่องกรรมเรื่องกฎแห่งกรรมเรื่องผลของกรรมนี้มันเป็นสากล เสมอภาคกันไปหมด ไม่มีใครได้รับอธิปไตยพิเศษ เราทั้งหลายถึงต้องคืนอธิปไตยให้กับธรรมะให้กับธรรมชาติ เพื่อให้ธรรมะเกิดความสงบเกิดปัญญา เกิดประภัสสร เราจะได้เอาสิ่งที่สัญจรไปมาทางอายตนะนั้นมาใช้มาประพฤติมาปฏิบัติ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสกับพระอานนท์ว่า อานนท์เอย อานนท์ระลึกถึงความตายวันละกี่ครั้ง พระอานนท์ตรัสว่า ข้าพเจ้าพิจารณาความตายวันละ ๗ ครั้ง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงตรัสว่าไม่ได้นะพระอานนท์ ต้องรู้เรื่องพระไตรลักษณ์ ว่าทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป เพื่อจะเป็นการประพฤติการปฏิบัติของเรา
เราทั้งหลายจะไม่ได้ไปตามสิ่งแวดล้อม ไม่ได้ไปตามผัสสะ ให้ใจของเราหยุดที่เวทนาความเพียงพอ เพื่อเราจะได้เข้าถึงความสงบเข้าถึงปัญญา เราทั้งหลายจะได้หยุดเหตุหยุดปัจจัย เราจะได้รู้เรื่องเหตุเรื่องปัจจัย เราต้องไม่ประมาท เอาปัจจุบันเป็นวาระแห่งชาติในการประพฤติการปฏิบัติ ปัจจุบันนี้ถือว่าเป็นไฟต์
เราทุกคนต้องมีฟอร์มสด อย่าอยู่กับอดีต อย่าอยู่อนาคต ปัจจุบันต้องมีสติมีความสงบ ต้องมีสัมปชัญญะตัวปัญญาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเพื่อเราจะก้าวไปด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา
การประพฤติการปฏิบัติของเรามันต้องเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เพราะวาระใจของมนุษย์นี้มันคิดได้ทีละอย่าง ไม่ใช่คิดได้ทีละหลายอย่าง ถ้าเรารู้เราเข้าใจจะได้มีสัมมาทิฏฐิ ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ไม่หลง ไม่เพลิดเพลิน รูปถึงรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะธรรมารมณ์นี้เป็นเรื่องไม่จบ มันจะจบได้เพราะไม่มีเหตุไม่มีปัจจัย
มีผู้ไปทูลถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าตายแล้วเกิดหรือว่าตายแล้วสูญ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านไม่ได้ตอบตายตัวตอบลงตัวน่ะ ท่านตรัสว่า เพราะเหตุปัจจัยมันมี สิ่งต่อไปมันถึงมี เราจะไปพูดตายตัวไม่ได้ เพราะธรรมะนั้นคือความสงบคือปัญญา ไม่ใช่มีอัตตาตัวตน มันอยู่นอกเหตุเหนือผล อยู่นอกเหนือความปรุงแต่ง
ให้เรารู้ให้เราเข้าใจ อย่างมีคนไปทูลถามพระพุทธเจ้าว่า ต้องการรู้ความจริง ถ้าไม่รู้จะไม่ประพฤติปฏิบัติ มันจะเป็นการหลงงงมงาย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็บอกว่าให้เอาปัจจุบัน เช่นเค้าเอาลูกศรยิงเรา เราไม่ต้องไปถามว่าคนมายิงชื่ออะไร เป็นลูกเต้าเหง่ากอเป็นโคราเหง้าตระกูลใคร เค้าใช้วัตถุอะไรยิง มากันกี่คน
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าต้องเน้นที่ปัจจุบัน ให้รีบไปหาหมอ ให้หมอผ่าตัดเอาลูกศรออก ปัจจุบันนี้เป็นสิ่งที่สำคัญเป็นสิ่งที่รีบด่วน เราไม่ต้องไปคิดเรื่องตายแล้วเกิดหรือว่าตายแล้วสูญ ให้เอาที่ปัจจุบัน ถ้าเราปฏิบัติในปัจจุบันด้วยความรู้ความเข้าใจ มันจะเข้าถึงพระนิพพานได้ตั้งแต่ยังไม่ตาย ไม่ใช่เข้าถึงพระนิพพานเหมือนพระคุณเจ้าทั้งหลายได้เทศนาสอนว่า การบำเพ็ญบารมีเพื่อมรรคผลพระนิพพานในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญ คำว่าเทินนี้มันไกลเหลือเกิน มันไม่ถูกต้อง ไม่เป็นธรรมไม่เป็นปัจจุบันธรรม เมื่อปัจจุบันมันไม่ได้พระนิพพานไม่ถึงพระนิพพาน อนาคตมันจะเป็นไปได้อย่างไร
ให้เรารู้เข้าใจ พระนิพพานต้องอยู่ที่ปัจจุบัน อยู่ที่ปัญญาสัมมาทิฏฐิ อยู่ที่ความสงบและปัญญาให้เรารู้เข้าใจ ถ้าเราปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องสิ่งที่ผิดพลาดด้วยการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ก็ต้องต่อยอดจากความผิดพลาด จากอดีต เราต้องรู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ เราก็จะเป็นสถาปนิกเป็นวิศวกรที่ไปจำเค้ามา พวกอ้างตำรับตำรา พวกที่ทะเลาะวิวาทกัน
เราต้องรู้เข้าใจ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจก็จะเป็นเหมือนธรรมกถึก พากันมุ่งมรรคผลพระนิพพานแต่กลับมาทะเลาะวิวาทกัน หารู้ไม่ว่า การทะเลาะกันคือเราหันหลังให้ความถูกต้อง เพราะธรรมะนั้นมันคืออยู่นอกเหตุเหนือผลนอกเหนือความปรุงแต่ง ถ้าเรายังทะเลาะกันอยู่มันก็ไม่ใช่พระนิพพานมันก็เป็นตัวเป็นตน มันก็ไม่ใช่ความสงบและปัญญา
ธรรมะนั้นคือเป็นการยกเลิกการทะเลาะกัน ยกเลิกการเบียดเบียน ไม่เอาความสุขจากความหลง ธรรมะไม่มีการเบียดเบียน ยกเลิกการเบียดเบียน ไม่มีความโลภ เป็นความพอเพียงเพียงพอ เป็นความพอดีไม่หลงงมงาย เป็นความรู้แจ้งเห็นจริงไม่หลงงมงาย ผู้มาบวชทั้งหลายผู้มาปฏิบัติทั้งหลายเป็นวาระแห่งชาติในการประพฤติการปฏิบัติ
เราทุกคนน่ะทำได้ปฏิบัติได้ ไม่มีใครทำไม่ได้ปฏิบัติไม่ได้ คนที่ปฏิบัติไม่ได้ก็ได้แค่คนบ้า คนบ้าคนสมองเสีย เค้าถึงไม่เอาเรื่องกับคนบ้า ส่วนราชการส่วนศาสนาก็ไม่เอาเรื่องกับคนบ้า เราเอาตัวเอาตนนำชีวิตก็ชื่อว่าเราเป็นคนบ้า ถ้ายังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ขีณาสพอยู่ก็ชื่อว่ามีเชื้อบ้านะ
เราทุกคนน่ะใช้ทรัพยากรของแผ่นดิน การบริหารโลกนี้เค้าบริหารด้วยภาษีอากรของทุกคนที่เกิดมาเป็นมนุษย์ เงินทุกบาททุกสตางค์ที่บริหารข้าราชการนักการเมือง บริหารนักบวช เป็นเงินมาจากภาษีอากรของทุก ๆ คน เราเป็นนักบวชเป็นข้าราชการนักการเมืองให้พากันเข้าใจนะ ว่ามันเป็นภาษีอากรของประชาชนทุกคน ไม่ใช่เงินของเรา สิ่งของของเรา นี้ถือว่าเป็นหลักการในการบริหาร อีกส่วนหนึ่งก็มาจากศรัทธาที่ทุกคนมีหน้าที่เสียสละ ที่บริจาคให้ราชการนักการเมือง บริจาคให้นักบวช
เราเป็นมนุษย์เป็นผู้ประเสริฐ เราต้องรู้จักว่าทรัพยากรทั้งหมดนี้เป็นของแผ่นดิน ไม่ใช่ของเรา เราทั้งหลายต้องมารู้ว่า เราต้องพากันมาทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ ให้มีปิติให้มีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อความสงบและปัญญาจะได้ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ
ปัจจุบันนี้ประเทศของเราอยู่ในระดับความเสียหายอยู่ในอันดับ ๑๐๗ ของโลก ปี ๒๕๖๘ ความเสียหายที่เกิดจากโกงกินคอร์รัปชั่นอยู่ในอันดับ ๑๐๗ ของโลก โลกนี้มีอยู่ ๑๙๕ ประเทศ สิ่งที่เป็นสักขีพยานที่ให้เรารู้แจ้งประจักษ์ใจคือการพังทลายของตึก สตง.ของเมืองไทย ตึกทั้งหลายทั้งปวงในเมืองไทยทั้งกรุงเทพฯเมืองหลวงปริมณฑลต่างจังหวัดมีหลายร้อยหลายพันตึก ตื่นอื่นมันก็ไม่พัง พังตึกเดียวคือตึก สตง. ให้เรารู้เข้าใจนะ ความไม่ถูกต้องนั้นมันคือความเสียหายมันคือพังทลาย เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เอาความปรุงแต่งเป็นที่ตั้ง เอาความหลงเป็นที่ตั้งชีวิตนั้นก็ย่อมพังทลายเช่นเดียวกันอย่างเดียวกับตึก สตง.นะ
เรามาบวชมาปฏิบัติ เราพากันตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติ เพราะเราทุกคนไม่มีใครประพฤติปฏิบัติแทนกันและกันได้ เรารู้หลักการอุดมการณ์อุดมธรรม เอาพระธรรมพระวินัยแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์มาประพฤติปฏิบัติที่เราปฏิบัติไปในแนวเดียวกัน เราทุกคนต้องพากันทวนกระแสไม่ไปตามกระแสไม่ไปตามสิ่งแวดล้อมด้วยหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม
เราทั้งหลายมาสำรวมระวังด้วยความไม่ประมาท เราต้องเห็นความสำคัญในพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ ข้อวัตรกิจวัตร ตั้งใจตั้งเจตนา ไม่ให้มีต่อหน้าและลับหลัง เพราะการประพฤติการปฏิบัติมันต้องไม่หลอกลวง ต้องซื่อสัตย์สุจริต เพราะคนอื่นเค้าไม่รู้ก็จริง แต่ตัวเรารู้หมด ว่าเราคิดอะไร เราพูดอะไรไปทำอะไรอยู่ที่ไหนเรารู้หมดน่ะ ปัจจุบันถึงต้องมีสติสัมปชัญญะให้สมบูรณ์ ให้รู้เรื่องผิดเรื่องถูกเรื่องดีเรื่องชั่ว ทำไมเราทุกคนไม่มีความสงบไม่มีปัญญา เราจะมีความสงบมีปัญญาได้อย่างไร เพราะเราเอาอัตตาตัวตน ถ้าเรามีตัวมีตนเราก็ไม่มีสติไม่มีปัญญา ความรู้เราอย่างมากก็จำมาจากตำรับตำรา จำจากคำเทศน์คำสอนของครูบาอาจารย์เรายกเลิกตัวตนเมื่อไหร่มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาสติปัญญาของเราถึงจะค่อยมี
ถ้าเราไปหาแพทย์หาหมอที่โรงพยาบาลอันนี้เป็นการแก้ที่ปลายเหตุนะ ปัจจุบันเราต้องรู้เข้าใจในระบบความคิดคำพูดการกระทำกิริยามารยาทเราต้องรู้เข้าใจ เราต้องใส่ใจเอาใจใส่ เราจะได้ผ่านธาตุผ่านขันธ์ผ่านอายตนะทั้งภายในและภายนอก เรามาเป็นนักบวชมาเป็นผู้ประพฤติปฏิบัติธรรม เราทำอะไรอยู่ คิดพูดกระทำกิริยามารยาทให้ถือสิ่งเหล่านั้นมันเป็นสิ่งที่สำคัญในการปฏิบัติธรรม
เราทั้งหลายอย่าไปเสียเวลาแสวงหาอวิชชาแสวงหาความหลง เราทุกคนมาปฏิบัติที่ตัวเองพัฒนาที่ตัวเอง เราทั้งหลายต้องมาแก้ที่ตัวเรา อย่างพระพุทธเจ้าท่านก็แก้ที่พระพุทธเจ้าอย่างพระอรหันต์ท่านฟังพระธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็แก้ที่พระอรหันต์ เพราะเราจะได้แก้ที่ต้นเหตุไม่ได้ไปแก้ที่ปลายเหตุ แก้ที่ปลายเหตุนั้นให้รู้ว่ามันแก้ไม่ได้ มันเป็นความไม่อิ่มไม่เต็ม เป็นความไม่เพียงพอพอเพียง มีมากมันก็ต้องเป็นทุกข์ มีน้อยก็เป็นทุกข์มันไม่ใช่ความพอดีไม่ใช่ความพอเพียงเพียงพอ
เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เราเกิดมาต้องรู้ว่าเราเกิดมาทำไม เกิดมาเพื่อมาเอาความหลงนำชีวิตนี้เหรอ เกิดมามาทำงานเพื่อจะเอาเพื่อจะมีเพื่อจะเป็นนี้เหรอ มีแต่จะเอาน่ะ ความปรุงแต่งทั้งจะเอาทั้งไม่เอามันก็คืออันหนึ่งอันเดียวกันมันก็คือความปรุงแต่ง เราไปจับหางงู งูมันก็มีพิษ หัวงูมันต้องมากัด ให้เรารู้เข้าใจนะ เราคิดว่าจะเอาตัวรอดมันไม่รอดนะ เราอย่าไปคิดเอาตัวรอดในทางที่ไม่รอด เพราะความปรุงแต่งก็คือความปรุงแต่งมันจะรอดได้อย่างไร
วันหนึ่งคืนหนึ่ง ๒๔ ชั่วโมง นักบวชเราทั้งหลายต้องออกกำลังกายให้เพียงพอนะ วัดเรานี้อยู่ห่างจากหมู่บ้านไม่ไกล การบิณฑบาตไปกลับสองกิโลกว่า ๆ นี้ไม่เพียงพอในการออกกำลังกาย เราต้องออกกำลังกายด้วยการเดินจงกรม ที่วัดเราอากาศก็ดีโอโซนก็ดี ถนนภายในวัด ข้างกุฏิเราเดินจงกรมกลับไปกลับมาให้ร่างกายแข็งแรง เจริญสติเจริญสัมปชัญญะ
การเดินจงกรมจะให้ดีให้ร่างกายแข็งแรงมันต้องเดินสัก ๑ ชั่วโมงนะ ถ้าเดิน ๓๐ นาทีถือว่ายังน้อยเกินไป วันหนึ่งเราอาจจะเดินสัก ๒ ครั้งก็ได้ ตอนกลางหรือช่วงค่ำอย่างนี้เป็นต้น ตอนเช้าก็ไปบิณฑบาต ตอนเช้าเราก็เอาเวลาเช้าทำวัตรสวดมนต์นั่งสมาธิ นั่งสมาธิก็ตั้งใจนั่ง อย่าพากันนั่งสับหงกนั่งโงกนั่งง่วงมันก็เป็นธรรมดาธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ เค้าก็ต้องการนอนต้องการพักผ่อนเวลาเรานั่งถ้าเราใจไม่เข้มแข็งใจไม่เป็นหนึ่ง เราก็จะนั่งคอพับคองอนะ ต้องตั้งใจให้ดี หายใจเข้าหายใจออกก็ให้มันชัดเจน ถ้ามันง่วงมากเราก็หยุดลมหายใจกลั้นลมหายใจ ใจมันจะขาด มันจะตายมันก็จะตื่นตัวคนขึ้นมา ทำอย่างนี้หลาย ๆ ครั้ง มันก็จะหายง่วงหรือเวลาเรานั่งสมาธิ เราจะท่องสวดมนต์ในใจที่หนังสือ ๗ ตำนาน ๑๒ ตำนาน หรือผู้ที่สวดปาฏิโมกข์ได้ก็สวดในใจอย่างนี้หรือผู้ที่กำลังภาวนา พิจารณาร่างกายเข้าสู่พระไตรลักษณ์
ร่างกายของมนุษย์มีชิ้นส่วนอยู่ ๓๒ ชิ้นส่วน แยกออกเป็นชิ้นส่วนไปเลย เอาผมออก เอาขนออก เอาหนังออก เอาออกให้หมด เพราะทุกอย่างนั้นมันคือเหตุคือปัจจัยไม่ใช่เป็นหญิงเป็นชายเป็นคนหนุ่มคนสาวคนเฒ่าคนแก่คนชรามันคือเหตุคือปัจจัย เราเราแยกออกอย่างนี้แหละมันจะคลายความยึดมั่นถือมั่น คลายตัวเราของเรา คลายตัวกูของกูที่ท่านพุทธทาสภิกขุชอบพูดน่ะ ถ้าเราพิจารณาร่างกายแยกแยะอย่างนี้เป็นปฏิปทา ถ้าเรามองภายนอกก็จะไม่ยินดี ตาเห็นรูปหูฟังเสียง ถ้าการประพฤติการปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องกันด้วยปฏิปทาอย่างนี้เราก็จะก้าวไปด้วยการประพฤติการปฏิบัติ ถ้าเราภาวนาพิจารณาอย่างมันจะยกเลิกตัวตนนะมันจะไม่รู้สึกว่าเป็นเราเป็นคนอื่น มันจะเพียงสักแต่ว่าเราจะเบื่อหน่ายในอัตตาตัวตน เพราะตัวตนนี้มันเป็นภพเป็นชาติ เห็นรูปที่เราไม่ได้ประพฤติปฏิบัติมันก็จะยินดี ยินดีในรูปสวย ๆ มันจะเจ็บปวดนะมันจะโอย ๆ นะ เห็นรูปก็ร้องโอย ๆ ไป ฟังเสียงก็ร้องโอย ๆ ไป ได้กลิ่นได้รสโผฏฐัพพะธรรมารมณ์ก็มีแต่โอยกับโอย มีแต่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไปมัน มีแต่ความหลงทั้งนั้นหลงทั้งเพ มันเป็นความหลงเราทั้งนั้น เราทั้งหลายเราจะได้บริโภคทางตาหูจมูกลิ้นกายด้วยปัญญา ไม่ใช่ความเจ็บปวดไม่ใช่ความร้องโอยร้องโอย
เราทั้งหลายพากันพิจารณาอย่างนี้นะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เราพิจารณา เราจะเอาแต่ความสงบ ความสงบมันเป็นเพียงหินทับหญ้า การพิจารณาพระไตรลักษณ์ทำให้เราเกิดปัญญานะ รู้เรื่องพระไตรลักษณ์ รู้เรื่องธาตุเรื่องขันธ์เรื่องอายตนะ เราทั้งหลายจะได้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ เราต้องเข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ จะได้ประพฤติปฏิบัติดีกว่าไปนั่งหลับนั่งโงกนั่งง่วง
การงานในชีวิตประจำวันของเรา งานที่เป็นกิจวัตรข้อวัตรหรืออะไรต่าง ๆ ให้เอาการงานนั้นมาเสียสละ เราจะได้มีเครื่องอยู่ด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญาด้วยการเสียสละ การที่เรามีความสงบอย่างน้อยก็ได้ตั้งอยู่ในความเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา เป็นพรหม ถ้าจิตใจของเราน้อมสู่พระไตรลักษณ์ก็ย่อมเป็นพระอริยเจ้าได้
ให้เรารู้เข้าใจ เราจะได้พากันเน้นการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน ถ้าอย่างนั้นน่ะตัวตนมันกดดันเรา ปัจจุบันมันจะไม่ดี เมื่อปัจจุบันไม่ดี ความสงบกับปัญญามันก็เจือจางไป มันไม่เข้มข้น เข้มข้นยังไม่พอ ต้องถึงกับความว่างจากตัวตนนะ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเราเข้าใจนะ มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป มันเป็นเพียงอาคันตุกะที่สัญจรไปมาอย่างนี้ ธรรมะถึงเป็นสิ่งที่เหนือความปรุงแต่ง ว่างจากสิ่งที่เป็นตัวเป็นตนอย่างนี้ สิ่งต่าง ๆ นั้นมีอยู่ รูปก็มีอยู่ เวทนาสัญญาสังขารวิญญาณก็มีอยู่ ธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะภายใน ๖ ภายนอก ๖ ก็มีอยู่สิ่งเหล่านี้มันเป็นขั้วบวกขั้วลบ เราต้องเข้าใจ เราต้องจบลงที่เวทนาให้ได้ จบลงได้ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิ
ผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายสุขภาพกายต้องดีต้องแข็งแรง ถ้าเรานอนไม่พอพักผ่อนไม่พอเราจะแข็งแรงได้อย่างไร ถ้าเราออกกำลังกายไม่เพียงพอเราจะแข็งได้แรงได้อย่างไร ถ้าเราไปท้องผูกอย่างนี้แหละ มันจะแข็งแรงได้อย่างไร เพราะท้องผูกปกติอาหารบริโภควันนี้ หลังจากบริโภคภายใน ๒๔ ชั่วโมงเค้าเอาไปเลี้ยงร่างกายหลังจากนั้นเค้าก็ถ่ายเทออก ถ้าไม่ถ่ายเทออกของเสียนั้นก็จะกลับมาหล่อเลี้ยงร่างกาย มนุษย์เราทั้งหลายต้องท้องไม่ผูกนะ มนุษย์เราสมัยใหม่ทุกวันนี้ท้องผูกกัน เพราะกินอาหารเป็นความปรุงแต่ง กินขนมนมเนย พวกแฮมเบอร์เกอร์ ของทอด ของเผ็ด ของมัน มนุษย์เราทั้งหลายทุกวันนี้ท้องผูกกัน ร้อยคนนี้ถือว่า ๙๙ คนก็แล้วกัน
การทานอาหารนี้ไม่เหมือนสัตว์ป่าทั้งหลายนะ มันมีความปรุงแต่ง การปรุงแต่งมันก็ดี การปรุงแต่งเพื่อให้ทานอาหารได้ เพราะอาหารนั้นเป็นเพียงยา อาหารทุกอย่างเป็นเพียงยา ตลอดยารักษาโรคทุกอย่างเป็นเพียงยา
ให้เข้าใจ มนุษย์เราทั้งหลายถึงไม่ให้มีการท้องผูก ที่เราเป็นโรคเป็นภัยเป็นโรคมะเร็งเป็นโรคหัวใจ ไขมันอุดตัน โรคตับโรคไตโรคเบาหวานโรคอะไรสารพัดโรค โรคริดสีดวงทวาร มันมาจากเรื่องทานอาหารทั้งนั้น เราต้องรู้เข้าใจ มันมาจากทานอาหารทั้งหมด เราทั้งหลายต้องไม่ให้ท้องผูก โลกสมัยใหม่เค้าก็มีการพัฒนาการดีท๊อกซ์ ดีท๊อกซ์ก็หมายถึงเอาของเสียออกจากร่างกาย ถ้าปล่อยไว้หลายวันมันจะทำให้เกิดโรคเกิดภัย เรื่องดีท๊อกซ์ทำอย่างไรให้ทุกคนสนใจ ผู้ที่ช่วยตัวเองได้ก็ช่วยตัวเอง ถ้าบุคคลที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ก็ต้องให้คนอื่นช่วย เพราะเราทุกคนน่ะยิ่งแก่ยิ่งเฒ่ายิ่งชรา ร่างกายของเราทานอาหารไม่ได้ พักผ่อนไม่เพียงพอ อาหารก็รสจัดน่ะ เพราะลิ้นการรับรสมันเสื่อม
เราทั้งหลายต้องรู้เรื่องการดีท๊อกซ์เอาของเสียออกไปนะ ทางส่วนร่างกายเราก็ต้องดีท๊อกซ์เอาของเสียออกไป ทางส่วนจิตใจก็ต้องดีท๊อกซ์เหมือนกัน คือสิ่งที่เป็นอดีตไปแล้วเราก็ต้องปล่อยต้องวาง ไม่ให้เรื่องอดีตมันมาปรุงแต่งเราได้ อย่าให้สัญญาขันธ์ที่เป็นตัวเป็นตนนั้นปรุงแต่งเราได้ ถ้าใจของเราอยู่กับปัจจุบันอยู่กับเนื้อกับตัวอยู่กับความสงบกับปัญญา การปรุงแต่งของเรานั้นก็น้อยลงนะ ถ้าเราภาวนายิ่งแก่ยิ่งเฒ่าก็ยิ่งใจดีนะ ให้เข้าใจอย่างนี้ เราทั้งหลายไม่ต้องไปแก้ไขที่คนอื่น ให้มาแก้ไขที่ตัวเอง เรามีโอกาสมีเวลาพอ ๆ กันทุกคน ไม่มีใครยิ่งหย่อนกว่ากัน
ที่อยู่ที่อาศัยของเราต้องสะอาด การทำกิจวัตรข้อวัตรปฏิบัติเพื่อให้เกิดความสงบเกิดปัญญานะให้เข้าใจอย่างนั้น เพราะตัวตนนั้นมันไม่อยากเสียสละ ตัวตนมันจะไม่อยากมีพระธรรมมีพระวินัย การทำความสะอาดที่กุฏิ ห้องน้ำห้องสุขา นี้ก็ให้เราถือเอากาลถือเอาเวลานี้เป็นการประพฤติการปฏิบัติถึงที่พักของเราจะสะอาดแล้วเราก็ต้องทำน่ะ อย่าไปคิดว่ามันสะอาดแล้ว มันเป็นวัตรเป็นวัตรกิจ
เราอย่าทำเหมือนคนบางคน กุฏิที่พักรกยิ่งกว่ารังหนูเสียอีก รกยิ่งกว่าป่าช้าผีดิบเสียอีก สมัยโบราณเค้าเอาผีเอาฝังไปที่ป่าช้า ไม่มีใครไปใครมา ไม่มีใครไปพัฒนามันเลยรกน่ะ เป็นป่าช้า ที่เผาคนฝังคนสมัยโบราณ แต่สมัยปัจจุบันเค้ามีเมรุเพื่อประชุมเพลิงอยู่ตามวัดต่าง ๆ
รอบ ๆ กุฏิเราที่เป็นส่วนรวม ใครไม่ทำก็ช่างเค้า เราก็เน้นที่เรา ให้เข้าใจอย่างนี้
ทำอะไรตามกาลตามเวลา ถึงเวลาทำอะไรก็ทำตามกาลตามเวลา อย่าให้อาสนะสงฆ์ อาสนะเณรมันว่างเปล่า ถ้าเรามีตัวมีตน อาสนะสงฆ์ อาสนะเณรมันจะว่าง ให้เราเข้าใจนะ เราอย่าไปถืออภิสิทธิ์นิติบุคคลตัวตน เราอย่าให้ตัวตนครอบงำเรา เราต้องเอาใจใส่ตั้งใจตั้งเจตนา
เราอย่าพากันมาอาศัยวัดวาหาอยู่หากิน จะว่าหาอยู่หาฉันนั้นก็ไม่ใช่เพราะเป็นตัวเป็นตน เราอย่าเอาคณะสงฆ์ไทยเป็นมาตรฐานหรือว่าคณะสงฆ์นานาประเทศเป็นบรรทัดฐาน เดี๋ยวนี้ฐานมันเสียไปหมด ฐานนี้เป็นตัวเป็นตนไปหมด เราต้องเอาพระธรรมพระวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นบรรทัดฐาน เพราะเราบวชมา มาทำที่สุดแห่งความดับทุกข์ความไม่มีทุกข์ของเรา เราจะเอาพระเอาเณรทั้งในประเทศต่างประเทศเป็นบรรทัดฐานได้อย่างไร เราต้องพึ่งพาอาศัยความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เพื่อให้เป็นปฏิปทา เพื่อให้เป็นความสงบเป็นปัญญา เราจะได้ก้าวไปด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา ด้วยความรู้ความเข้าใจ
เราทั้งหลายต้องละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป เพราะเราใช้ทรัพยากรแผ่นดิน ใช้ทรัพยากรที่ประชาชนเค้าศรัทธานำมาถวาย เราทั้งหลายต้องมีความสงบมีปัญญา เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความสงบเข้าถึงความพอดี ไม่มักง่ายไม่มักน้อยอยู่ในความพอดี เราทั้งหลายจะได้รู้ว่าธรรมะนั้นมันนอกเหตุเหนือผลเหนือตัวเหนือตน เราทั้งหลายต้องรู้ในการประพฤติการปฏิบัติ
ขออนุโมทนากับท่านทั้งหลายนะ ท่านทั้งหลายได้รับโอกาสพิเศษ อายุขัยอยู่ได้ร่วม ๆ ร้อยปี ถ้าเราทำดี ๆ เอาทั้งความสงบเอาทั้งปัญญา มีปิติสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เราก็มีโอกาสได้บำเพ็ญบุญกุศลมากกว่าร้อยปี
ขออนุโมทนากับไว้ ณ ที่นี่นะ ให้เราทั้งหลายระลึกถึงพระธรรมคำสั่งสอน พระธรรมพระวินัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้บำเพ็ญพุทธบารมีมาหลายล้านชาติจนได้ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ เป็นสิ่งที่สำเร็จรูป ไม่ได้เอาไปเพิ่มไม่ต้องเอาไปตัดออก
ให้เราระลึกถึงโอวาทครั้งสุดท้ายที่ท่านตรัสไว้ว่า
“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”
โอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านเมตตาตรัสไว้ว่า
ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ
ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ
ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู
ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละ คือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะ
---------------------------------------
โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
เมตตาให้ไว้ในเช้าวันที่ ๕ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา