๖ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

วันนี้เป็นวันพุธที่ ๖ เดือนสิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘  ศาสนาพุทธ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ศาสนาคริสต์ ฮิจเลาะห์ศักราช ๑๔๔๖ ศาสนาอิสลาม

 

การประพฤติการปฏิบัติ มันเป็นเรื่องของเรา เป็นเรื่องเฉพาะตน เราทุกคนต้องตั้งใจตั้งเจตนา การประพฤติการปฏิบัติต้องไม่มีต่อหน้าและลับหลัง เน้นบริสุทธิทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพใจ

 

เราทุกคนให้เข้าใจ เราไม่ต้องไปแก้ที่ใคร ไปแก้คนอื่น ไม่ต้องพากันไปลิดรอนสิทธิของคนอื่น ไม่ต้องลิดรอนสิทธิธาตุขันธ์อายตนะให้เราทุกคนมีสัมมาทิฏฐิ รู้เข้าใจ ว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเป็นธรรมเป็นสภาวธรรม

 

เราทั้งหลายต้องคืนอธิปไตยให้กับธรรมชาติ เพื่อสิ่งภายนอกก็ให้เป็นสิ่งภายนอก สิ่งภายในก็ให้เป็นสิ่งภายในไม่ก้าวก่ายซึ่งกันและกัน

 

เราพากันมาปฏิบัติไปทางหนึ่งทางเดียวกัน งบประมาณของข้าราชการนักการเมือง งบประมาณของนักบวชนี้เป็นงบประมาณของแผ่นดินจากภาษีอากร เป็นงบประมาณจากศรัทธาประชาชนที่เค้าพากันเสียสละ ไม่ใช่ว่าเป็นงบประมาณของเรา

 

เราทั้งหลายต้องรู้ต้องเข้าใจ เราทั้งหลายจะไม่ได้ไปตามผัสสะ ไม่ได้ไปตามสิ่งแวดล้อม

 

ให้รู้ให้เข้าใจ สิ่งภายในก็ให้เป็นสิ่งภายใน สิ่งภายนอกก็ให้เป็นสิ่งภายนอก เพื่อเราทั้งหลายจะได้เกิดความสงบและปัญญา เกิดปัญญาและความสงบควบคู่กันไป ให้เป็นทางสายกลาง ทางวัตถุเราก็พากันประพฤติพากันปฏิบัติ ทางจิตทางใจเราก็พากันประพฤติพากันปฏิบัติ ให้เอาการเอางานเอาเรื่องจิตเรื่องใจไปพร้อม ๆ กัน

 

วันหนึ่งเรานอนเราพักผ่อนให้เพียงพอ ถ้าเรานอนเราพักผ่อนเพียงพอ อายุขัยของเรานั้นอยู่ได้ร่วม ๆ ศตวรรษหนึ่งหรือมากกว่านั้น คือนอน ๖ ชั่วโมงถึง ๘ ชั่วโมงสำหรับฆราวาส สำหรับนักบวชนอน ๕ ชั่วโมง ๖ ชั่วโมง

 

เราพากันมาบวชมาถือศีลปฏิบัติธรรม มาอยู่ร่วมรวมกันเป็นหมู่เป็นคณะ เป็นกลุ่มเป็นก้อน เรามาบวชอยู่ที่วัดปฏิบัติอยู่ที่วัดเรานอนวันละ ๕ ชั่วโมงถึง ๖ ชั่วโมง เราเข้านอนพักผ่อนเวลา ๓ ทุ่ม ตื่นตี ๓ กายวาจากิริยามารยาทอาชีพใจเราต้องเอาธรรมนำชีวิต เราไม่เอาความชอบความไม่ชอบนำชีวิต ผู้เก่าผู้ใหม่ก็ใช้หลักการอันเดียวกันนี้ เพื่อให้ได้มาตรฐานให้ได้ มอก. ไม่มีคำว่าเก่าว่าใหม่

 

พระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตรเปรียบเสมือนอาหารสำเร็จรูปที่มีไว้ให้เราบริโภค เราทั้งหลายให้รู้เข้าใจ ว่าอันนี้คือกรรมคือกฎแห่งกรรมคือผลของกรรม ทุกคนจะเหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรมไปไม่ได้ เรื่องความแก่ความเจ็บความตายความพลัดนี้ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา เป็นธรรมเป็นสภาวธรรม

 

ทุก ๆ คนเน้นที่ตัวเองเต็มที่ เพื่อความสงบเพื่อปัญญาเพื่อปฏิปทาติดต่อต่อเนื่องไม่มีขาดตกบกพร่อง เพราะวาระใจของเรานั้นมันคิดได้ทีละอย่าง กายวาจากิริยามารยาทอาชีพนั้นมันเป็นเพียงอุปกรณ์ของจิตของใจ

 

การประพฤติการปฏิบัติธรรมถึงไม่มีต่อหน้าและลับหลัง เราต้องปฏิบัติทั้งกายทั้งวาจาทั้งกิริยามารยาททั้งอาชีพทั้งใจด้วยความตั้งใจตั้งเจตนา

 

ให้เราทุกคนประพฤติปฏิบัติในปัจจุบัน ปัจจุบันเป็นวาระแห่งชาติในการประพฤติการปฏิบัติ อดีตก็มารวมกันที่ปัจจุบันแล้ว อนาคตที่จะไปข้างหน้าก็อยู่ที่ปัจจุบันนี้ เราต้องก้าวไปด้วยความดีด้วยปัญญา ด้วยปัญญาด้วยความดี เป็นการปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องไม่เดินไปถอยกลับ มีความรู้ความเข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ

 

เราทุกคนพากันมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ถ้าเราไม่มีปิติไม่มีความสุขไม่มีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติเราก็จะเป็นโรคซึมเศร้า โรคซึมเศร้ากับความทุกข์ก็คืออันเดียวกัน ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ จิตใจของเราจะเหวี่ยงไปเหวี่ยงไปมาเป็นโรคไบโพล่า

 

การประพฤติการปฏิบัติเราต้องรู้เข้าใจ ความชอบไม่ชอบนี้มันเป็นตัวเป็นตนมันเป็นความปรุงแต่ง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ความปรุงแต่งนี้มันเป็นทุกข์อย่างยิ่ง ทุกข์อะไรก็สู้ความปรุงแต่งไม่ได้

 

เราต้องรู้เข้าใจ เพราะความปรุงแต่งนั้นเป็นความอยากได้อยากมีอยากเป็น ไม่อยากได้ไม่อยากมีไม่อยากเป็น ความปรุงแต่งนั้นมันเป็นความทุกข์ มีแต่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป นอกจากทุกข์นั้นไม่มีเลย เปรียบเสมือนทะเลไม่อิ่มด้วยน้ำ ไฟไม่อิ่มด้วยเชื้อของเพลิง

 

ในชีวิตประจำวันของเรา เราทั้งหลายพากันทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ ต้องพากันมีหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม เพื่อพากันปฏิบัติติดต่อต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดความสงบเกิดปัญญา เกิดปัญญาเกิดความสงบ ที่สุดสองทางคือความชอบไม่ชอบ

 

ให้พวกเรารู้จัก ให้เรารู้จักให้เรามีปัญญา ให้เรารู้ว่าความชอบไม่ชอบมันคืออัตตาตัวตน เราทั้งหลายเรามาคืนอำนาจคืนอธิปไตยให้กับความสงบให้กับปัญญา

 

พวกเราทั้งหลายน่ะอย่าพากันมีอีโก้มีอัตตามีตัวตน ถึงเราจะมีธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ นั้นหาใช่เราหาใช่คนอื่นไม่ มันเป็นธรรมเป็นสภาวธรรมที่ทุกคนพากันเวียนว่ายตายเกิดด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ

 

เราทั้งหลายต้องรู้ยานรู้สัญชาตญาณที่มันเป็นภพเป็นชาติเป็นนิติบุคคลตัวตน เพื่อเราทุกคนจะได้ละตัวละตนละอีโก้ อีโก้ตัวตนมันกดดันเรา

 

เราทุกคนต้องหยุดความสำคัญมั่นหมายที่เราเป็นผู้หญิงเป็นผู้ชาย เป็นคนเฒ่าคนแก่คนชรา คนเจ็บไข้ไม่สบายพลัดพราก

 

เราทั้งหลายน่ะต้องมาหยุดความปรุงแต่ง หยุดอีโก้ หยุดตัวหยุดตน สัมมาทิฏฐิความเห็นถูกต้อง ความเข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง เรามาละสักกายทิฏฐิ ละตัวละตน

 

พระธรรมพระวินัย ข้อวัตรกิจวัตรแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ เป็นอุปกรณ์ในการประพฤติการปฏิบัติ ให้พวกเราเข้าใจ มีแต่คุณมีแต่ประโยชน์ถึงเรียกว่าพุทธคุณ ธัมมคุณ สังฆคุณ คุณพ่อคุณแม่คุณปู่คุณตาคุณย่าคุณยาย ผู้ที่มีมาบวชทั้งหลายเค้าเรียกว่าพระคุณเจ้า ที่เค้าเรียกกันว่า คุณ คุณ ถ้าเรียกว่าท่านหมายถึงผู้ที่หนักแน่นไม่หวั่นไหวไม่เอานิวรณ์ทั้ง ๕ นำชีวิต ไม่เอาอคติทั้ง ๔ นำชีวิต นิวรณ์ทั้ง ๕ มีอะไรบ้าง นิวรณ์ทั้ง ๕ ก็ได้แก่

 

๑.  การตรึกในกามฉันทะ หมกมุ่นในกาม พอใจยินดีลุ่มหลงในกาม กามนี้หมายถึงตัวถึงตน มีความลุ่มหลงในธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ กามนี้มันเป็นขั้วบวกขั้วลบเหมือนกระแสไฟฟ้า กระแสไฟฟ้านี้มันมีขั้วบวกขั้วลบ หมกมุ่นในเรื่องขั้วบวกขั้วลบ มันเป็นสิ่งที่ตรงกันข้าม อย่างเช่นเพศอย่างนี้ เพศหญิงเพศชายนี้เป็นขั้วบวกขั้วลบอยากได้อยากมีอยากเป็นอยากเด่นอยากดัง ยินดีในความหลงในยศในตำแหน่ง ที่เป็นทางวิทยาศาสตร์เป็นทางวัตถุ ไม่เอาวัตถุกับเราจิตใจไปพร้อม ๆ กัน เอาแต่ทางวิทยาศาสตร์ เอาแต่ตัวเอาแต่ตนเรียกว่าหมกมุ่นอยู่ในกาม

 

๒.  หมกมุ่นในพยาบาท มันเป็นขั้วบวกขั้วลบ เมื่อมันมีกามมันก็มีพยาบาท มันไปเอาความสุขจากความหลง เพราะความหลงมันคือความปรุงแต่งความหลงมันคือความไม่สงบ มันเป็นปฏิฆะ มันเป็นสงคราม สงครามที่มันอยากให้ได้ตามใจตามปรารถนา เมื่อมันไม่ได้ตามใจตามปรารถนามันก็เกิดปฏิฆะ เกิดพยาบาท มันเป็นสงครามน่ะ สงครามระหว่างคนสองคน หรือว่าหลายคน หรือระหว่างประเทศ หรือสงครามโลก ตัวตนนี้มันเป็นสงคราม สงครามมันเป็นสีดำ ตัวตนคือความมืด ตัวตนปรียบเสมือนคนตาบอด มีแต่ตาเนื้อตาหนังไม่มีตาปัญญา  ตัวตนมันไปเอาความสุขจากคนอื่น มันไปเอาความสุขจากการทำปาณาติบาต ไปเอาของคนอื่น ตัวตนนี้แหละมันสร้างเครื่องประหัตประหาร สร้างธนู สร้างปืน สร้างระเบิด สร้างเครื่องบินรบ ตัวตนนี้แหละที่ประเทศไทยเอาเครื่องบิน F16 ไปบอมประเทศกัมพูชา ไปบอมประเทศเขมร เป็นความเย่อหยิ่งจองหองคิดว่าตัวเองเก่งกว่าเค้ามีเพาเวอร์มากกว่าเค้า ประเทศเขมรจนกว่าเราประเทศเล็กกว่าเรา อาวุธก็สู้เราไม่ได้ ตัวตนนี้ทำให้เย่อหยิ่งจองหองเป็นตัวเป็นตนมันเป็นการชูงวง ไม่ใช่ความสงบและปัญญา ไม่ใช่ปัญญาและความสงบ เวลาอเมริกาน่ะ ประเทศไทยไม่กล้า หงอเลย กลัวสหรัฐอเมริกายิ่งกว่าหมาตอนเสียอีก เราทั้งหลายต้องพากันรู้เข้าใจ เรื่องความสงบเรื่องปัญญา จะได้หยุดปฏิฆะ หยุดพยาบาท ความสงบและปัญญานี้ ความเมตตาเป็นเครื่องคุ้มครองป้องกันพยาบาท ป้องกันปฏิฆะ เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ จะไปโกรธทำไม ไปปฏิฆะทำไม ไปพยาบาททำไม ความโกรธความปฏิฆะเราทั้งหลายผู้มาบวชเราต้องพากันยกเลิกนะ

 

๓.  ถีนมิทธะ ความง่วงเหงาหาวนอน เรามีธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ เราต้องรู้ต้องเข้าใจอย่าให้ถีนมิทธะ ความง่วงเหงาหาวนอนมาครอบงำใจทั้ง ธาตุทั้ง ๔ ก็ให้เป็นธาตทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ ก็ให้เป็นขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ ก็ให้เป็นอายตนะทั้ง ๖ อย่าให้ครอบงำใจของเรา ใจของเราต้องสว่างไสว ธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ ก็ให้เป็นเรื่องของเขา เราต้องรู้เข้าใจ พระโมคคัลลานะ อัครสาวกฝ่ายซ้ายผู้เลิศทางอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์เป็นผู้ที่เจริญสมถะมาก เจริญสมาธิมาก มีความง่วงเหงาหาวนอน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็ให้อุบายแก่พระโมคคัลลา ว่าเราต้องผ่านไปด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยการประพฤติการปฏิบัติ เพราะมันมีปัญญาเราก็ต้องแก้ปัญหา เราอย่าให้ความง่วงเหงาหาวนอนมาครอบงำเรา ด้วยการสาธยายสรีระร่างกาย เช่น ร่างกายของเรามีอาการ ๓๒ เราก็ ๑ จนถึง ๓๒ มีอะไรบ้าง แยกออกเป็นชิ้นเป็นส่วน ออกจากกันให้หมด แล้วประกอบกันอย่างนี้ ดีกว่าไปง่วงเหงาหาวนอน อย่างปัจจุบันนี้เราพากันฝึกท่องปาฏิโมกข์ สวดปาฏิโมกข์ หรือเรียนบทสวดอะไรต่าง ๆ เราก็เอาบทท่องปาฏิโมกข์มาสวดในใจ เอาบทสวดมนต์มาท่องในใจก็ได้ดีกว่าไปง่วงเหงาหาวนอน ถ้าทำอะไรอยู่มันก็ยังง่วงอยู่ก็ให้หยุดลมหายใจมันเสียเลย กลั้นลมหายใจไว้ ใจจะขาด ทำอย่างนี้แหละไม่เกิน ๓๐ นาทีมันก็หายง่วง เช่น คนขับรถยนต์ที่เดินทางไกลจากทางเหนือไปใต้ จากทางใต้ไปเหนือ ถ้ามันง่วงมากก็หยุดลมหายใจกลั้นลมหายใจทำอย่างนี้ไม่กี่ครั้งมันก็หายง่วง เราต้องมีสติไวสติเร็ว อย่าให้ความปรุงแต่งมันมาครอบงำเรา เอาอานาปานสติให้มีปิติในการเจริญอานาปานสติหายใจเข้าให้มีความสุขหายใจออกให้มีความสุข หายใจเข้าให้สบายให้มีปิติมีความสว่างไสวให้แยกจากธาตุจากขันธ์จากอายตนะ การทำสมาธิ สมาธิขั้นละเอียดนี้เค้าจะหยุดเรื่องความปรุงแต่ง เรื่องอายตนะภายนอก มันจะหยุดใช้ระบบสมอง ระบบปัญญาอย่างนี้ จิตใจก็จะเข้าสู่เอกัคคตา เข้าสู่ความเป็นหนึ่ง เข้าอัปปณาฌาน อย่างนี้ก็จะหายง่วงได้ให้เข้าใจนะ เราเอาตัวตนเอาความปรุงแต่งนำชีวิตมันก็ต้องโงกง่วงเป็นธรรมดา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่าถ้ายังง่วงอยู่อย่างนี้ก็ให้ออกไปเดินจงกรม เดินทำใจให้สว่างไสว เดินกลับไปกลับมา เพื่อให้ร่างกายมันตื่นตัว เพื่อกายมันจะได้ทำงาน หรือเอาร่างกายไปทำการทำงานอะไรให้มีความสุขในการทำงาน ถ้าเราทำอะไรมีความสุขมันจะไม่มีความง่วงน่ะ อย่างพวกที่เล่นการพนัน พวกที่เล่นไพ่กัน ใจมันมีความสุขในการเล่นไพ่ ๓ วัน ๓ คืน พวกนี้ก็ไม่ง่วง เพราะเค้ามีความสุข แต่ความสุขอันนั้นมันเป็นความสุขไม่ถูกต้อง เป็นความสุขที่เป็นความหลง เพราะการพนันเป็นความเสื่อม การพนันมันเป็นความไม่ถูกต้อง เป็นอบายมุขอบายภูมิ เป็นความเสื่อม

 

๔.  อุทธัจจะกุกกุจจะ คือความฟุ้งซ่านรำคาญ เราต้องเข้าใจทุกอย่างมันไม่มีสิ่งใดที่ได้ตามใจตามปรารถนาถึงร้อยเปอร์เซ็นต์การที่ไม่ได้ตามใจนี้แหละ เป็นเหตุเป็นปัจจัยที่เราจะได้มีโอกาสได้ประพฤติได้ปฏิบัติธรรม เราต้องขอบใจธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ ได้เปิดโอกาสให้เราได้ประพฤติได้ปฏิบัติธรรมให้ถือคติธรรมอย่างนี้ ถ้าไม่มีอุทธัจจะกุกกุจจะ เราก็จะไม่มีข้อวัตรข้อปฏิบัติ เมื่อมันมีปัญหาเราก็ได้แก้ปัญหา  ให้เรารู้เข้าใจเรื่องอุทธัจจะกุกกุจจะ เราอย่าไปรำคาญ เราอย่าไปฟุ้งซ่านรำคาญ นี้ให้รู้เข้าใจว่าอันนี้มันเป็นตัวเป็นตนมันเป็นความปรุงแต่งของเราเอง เราอยากให้มันช้าก็ว่ามันเร็ว อยากให้มันเร็วก็ว่าอันนี้มันช้า มันเป็นเรื่องความปรุงแต่งเรื่องตัวเรื่องตนทั้งนั้นให้เรารู้เข้าใจ พระสกิทาคา พระอนาคามีรู้เข้าใจแล้วประพฤติในเรื่องอุทธัจจะกุกกุจจะ ท่านรู้เข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้แหละดี จะได้ประพฤติจะได้ปฏิบัติ ถ้าไม่มีอุทธัจจะกุกกุจจะก็ไม่มีข้อวัตรปฏิบัติ ให้เข้าใจอย่างนี้ เราอย่าไปรำคาญ รำคาญเหมือนกับเห็นเค้ามีปัญญาน้อยกว่าเรา เราก็รำคาญ เหมือนเอาตัวแมลงหวี่แมลงวันที่มาเกาะเรามาตอมเราเราก็รำคาญ เหมือนมดมาไต่ตัวเรา เหมือนยุงมากัดกินเลือดเรา เราก็รำคาญ เหมือนเราไปมองเห็นที่เค้าเข้าโรงพยาบาลเค้าให้สายทางจมูกสายอะไรพะรุงพะรัง ตัวผู้ที่ถูกใส่สายออกซิเจนที่เค้าให้ออกซิเจนทางปากทางจมูกเรามองเห็นก็รำคาญ อันนี้มันเป็นความรู้สึกที่เป็นตัวเป็นตนนะ ถ้าเรารู้เราเข้าใจแล้วเราก็จะไม่รำคาญในการมองเห็น หรือว่าเค้าเอาออกซิเจนมาใส่ปากใส่จมูกเรา เราให้รู้เข้าใจนะ เราอย่าไปรำคาญ รำคาญคือตัวตนคือความปรุงแต่งให้รู้เข้าใจ เรามีความปรุงแต่งเมื่อไหร่เราก็ต้องรำคาญ เพราะความรำคาญคือความปรุงแต่งให้เรารู้เข้าใจ อันนี้ก็เป็นนิวรณ์ข้อหนึ่งนะ มีแง่มุมให้เราได้รู้ได้ประพฤติได้ปฏิบัติ ต้องขอบใจสิ่งต่าง ๆ ที่ให้เราได้ประพฤติปฏิบัติให้เข้าใจอย่างนั้น

อคติทั้ง ๔ ได้แก่อะไรบ้าง อคติทั้ง ๔ ก็ได้แก่

 

๕.  นิวรณ์ข้อที่ ๕ วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย ลังเลสงสัยเรื่องตายแล้วได้เกิดอีกมั๊ย หรือว่าตายไปแล้วสูญไป ลังเลสงสัยในเรื่องพระพุทธ ลังเลในพระธรรมคำสั่งสอนว่าจะดับทุกข์ได้แก้ปัญหาได้ ก็มองเห็นอยู่คนเค้าไม่เอาธรรมะเค้าโกงกินคอร์รัปชั่นก็มีแต่พากันรวยทั้งนั้น ส่วนใหญ่ก็ไม่เห็นใครจนมีแต่รวยน่ะ มีความลังเลสงสัยในนักบวชทั้งหลาย นักบวชทั้งหลายนี้ไม่เป็นที่ไว้วางใจของมหาชนเลย ได้รับการแต่งตั้งถูกต้องตามกฎหมายจารีตประเพณีแล้วปฏิบัติตรงกันข้ามกับที่ได้รับการแต่งตั้ง แต่งตั้งแล้วไม่ได้ปฏิบัติงานไม่ได้ทำหน้าที่เลยมีความสงสัยในพระสงฆ์ที่มาบวช พากันมีเรื่องมีราวมีปัญหาแทบทุกวันเลย พากันปฏิบัติตรงกันข้าม พากันมาเป็นสมีกันเป็นส่วนใหญ่ คำว่าสมีนี้หมายถึงตัวตนนะ ตัวตนนั้นคือสมี สมีกับสามีก็อันเดียวกันแหละ ถ้าเรามีตัวมีตนเอาตัวตนนำชีวิตถือว่าจัดว่าเป็นสมีนะ มารับเงินรับสตางค์ มาเก็บสังฆทาน มาหลงในยศในตำแหน่งของนักบวช มาหลงในยศในตำแหน่งที่พระราชาแต่งตั้งประทานยศต่าง ๆ ให้ ประชาชนเค้าไม่แน่ใจเค้าลังเลสงสัยในพระสงฆ์ มีความลังเลสงสัยว่าทำดีได้ดีจริงมั๊ย เพราะว่าคนทำชั่วโกงกินคอร์รัปชั่น ไม่เห็นเขาได้รับบาปรับกรรมรับเวรรับภัยเลย มีแต่รวย ๆ ทั้งนั้นเลย

 

อคติ 4 ประการ มีดังนี้:

1. ฉันทาคติ (ฉันทาคติ) ความลำเอียงเพราะชอบ เพราะรัก หรือพอใจ

2. โทสาคติ (โทสาคติ) ความลำเอียงเพราะความโกรธ ความเกลียด หรือไม่พอใจ

3. โมหาคติ (โมหาคติ) ลำเอียงเพราะความหลง ความโง่ หรือความไม่รู้

4. ภยาคติ (ภยาคติ) ความลำเอียงเพราะความกลัว ความหวาดหวั่น หรือความเกรงใจ

 

เราเป็นนักบวชทั้งหลาย เป็นผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย เป็นข้าราชการทั้งหลาย เป็นนักการเมืองทั้งหลาย เราต้องไม่เอานิวรณ์ทั้ง ๕ ไม่เอาอคติทั้ง ๔ นั้นนำชีวิต เพราะสิ่งเหล่านี้มันเป็นนิติบุคคลตัวตนมันเป็นอีโก้ เราทั้งหลายต้องมาคืนอธิปไตย คืนความไม่ถูกต้องให้กับธรรมให้กับสภาวธรรม เป็นการคืนอธิปไตยให้กับปวงชนด้วยการมาประพฤติมาปฏิบัติเน้นที่ตัวเรา

 

พระพุทธเจ้าท่านก็เน้นที่ตัวของพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ก็เน้นที่พระอรหันต์ เราเป็นข้าราชการก็เน้นที่ข้าราชการ เราเป็นนักการเมืองก็เน้นที่นักการเมือง เราเป็นนักบวชก็เน้นที่นักบวช มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพราะธรรมะนั้นเป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ เป็นความรู้ความเข้าใจไม่ไปตามกระแส ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม ไม่ไปตามผัสสะ จบลงเพียงเวทนาก็เพียงพอ อย่าให้ความปรุงแต่งครองใจครองธาตุครองขันธ์

 

พระนี้คือผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร ถ้าเราไม่เห็นภัยในวัฏฏสงสารเราก็ไม่เข้าใจความหมายของคำว่าพระ พระคือผู้ที่ละอีโก้ ละตัวละตน ไม่มีสักกายทิฏฐิ ไม่มีตัวไม่มีตน มีแต่ธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ ก็สักแต่ว่า ทุกคนนั้นเป็นพระได้เหมือน ๆ กัน พอ ๆ กันทุกชาติทุกศาสนาทุกคนเป็นพระได้ พระนั้นเค้านับเอาตั้งแต่พระโสดาบันถึงพระอรหันต์นะ ถ้าใครรู้เข้าใจ ยกเลิกตัวตน ปฏิบัติทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพใจ ทุกท่านทุกคนก็จะหยุดสัญชาตญาณ หยุดยานที่วิ่งไปในวัฏฏสงสาร มันวิ่งไปตามธาตุตามขันธ์ตามอายตนะ ตามรูปตามเสียงตามกลิ่นตามรสตามโผฏฐัพพะธรรมารมณ์ เราต้องหยุดยาน หยุดด้วยความรู้ความเข้าใจ ข้อวัตรกิจวัตรต่าง ๆ พระธรรมพระวินัยถึงเป็นอุปกรณ์เป็นกรรมกร เป็นกฎแห่งกรรมในการประพฤติการปฏิบัติ

 

ธรรมะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เราพากันพิจารณาเรื่องเหตุเรื่องผลเรื่องปฏิจจสมุปบาทเป็นสิ่งที่ทวนโลกทวนกระแสไม่ไปตามผัสสะไม่ตามอารมณ์ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม ถ้าเราไปตามผัสสะตามอารมณ์ตามสิ่งแวดล้อมไปตามธาตุตามขันธ์ตามอายตนะนั้น มันไม่ได้ มันหยุดยานหยุดสัญชาตญาณไม่ได้ มีจะเป็นนิติบุคคลเป็นตัวเป็นตน มันจะเป็นยานเป็นวัฏฏสงสาร

 

พวกเราทั้งหลายให้พากันรู้เข้าใจ เราจะเดินทางไกลถ้าเป็นสมัยโบราณเค้าต้องก้าวไปด้วยเท้าขวาเท้าซ้ายนั้นคือยาน มนุษย์เราสมัยใหม่มีการพัฒนาวิทยาศาสตร์เค้าถึงไปด้วยยานคือรถคือเครื่องบิน ทางบกทางอากาศก็ต้องไปด้วยรถด้วยเครื่องบิน ถ้าทางน้ำก็ไปทางเรือ ถ้าคลองเล็กก็เรือพาย ถ้าทางทะเลมหาสมุทรก็เรือใหญ่ เพราะในโลกนี้มันเป็นวงกลมที่หมุนรอบตัวเอง เป็นกลางวัน ๑๒ ชั่วโมง กลางคืน ๑๒ ชั่วโมง มีน้ำ ๓ ส่วน มีดินอยู่ ๑ ส่วน ส่วนที่เป็นนน้ำน่ะมีมากกว่า

 

 เราต้องเข้าใจยาน พระธรรมพระวินัย ข้อวัตรกิจวัตร เป็นยานสำหรับนำพาเราไป ระเบียบพระวินัยข้อวัตรปฏิบัตินี้คือยานของเรา

 

เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เราทุกคนต้องมีศักยภาพทุก ๆ คนหมายถึงมีความสามารถทุก ๆ คน มีความสงบมีปัญญา ถ้าเรามีอัตตาตัวตนเราจะไม่มีศักยภาพ เราจะไม่มีประสิทธิภาพ

 

เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะไม่ได้อาศัยใคร ตนแลเป็นที่พึ่งของตน เราไม่ต้องพึ่งพาอาศัยใคร อาศัยปลีแข้งลำแข้งของเราเอง เราทั้งหลายต้องพากันเคารพในธรรมในสภาวธรรม ความเคารพกับความสงบนี้ให้ถือว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน คารวธรรม คารวธรรมได้แก่

 

 คารวะ หรือ คารวตา ๖ ความเคารพ การถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะพึงใส่ใจและปฏิบัติด้วยความเอื้อเฟื้อด้วยความตั้งใจตั้งเจตนา หรือโดยความตั้งมั่นหนักแน่นเอาจจริง ๆ จัง ๆ การมองเห็นด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิ เห็นคุณค่า เห็นความสำคัญแล้วปฏิบัติต่อบุคคลอื่นหรือต่อวัตถุนั้น ๆ โดยถูกต้อง ด้วยความจริงใจ เป็นเหตุให้เกิดสติเกิดปัญญา เป็นโอกาสเป็นเวลาที่เราจะได้ละอัตตาตัวตน เราทั้งหลายจะได้มีความสงบมีปัญญา

 

     ๑. สัตถุคารวตา ความเคารพในพระรัตนตรัย ในพระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตรต่าง ๆ  เพื่อยกเลิกสัญชาตญาณที่เป็นนิติบุคคลตัวตน ถ้ามีตัวตนมีตนแล้วมันก็ตกอยู่ในสัญชาตญาณมันเป็นการเอาตัวตนครองธาตุครองขันธ์ครองอายตนะ เป็นการที่เราไม่ได้เอาความถูกต้อง ไม่ได้เอาพระรัตนตรัยนำชีวิต ด้วยการเอาตัวเอาตนนำชีวิต เอาอีโก้นำชีวิต ข้อนี้บางแห่งเขียนไว้ในหนังสือ ว่าเราทุกคนต้องเคารพคารวะต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้านั้นคือพระธรรมคือพระวินัย ข้อวัตรกิจวัตร ในการดำเนินชีวิต เราทั้งหลายต้องเคารพในพระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตรต่าง ๆ เพราะพระธรรมพระวินัยเป็นพระรัตนตรัยเป็นพระพุทธพระธรรมพระอริยสงฆ์ พระอานนท์ได้ตรัสทูลถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้วจะให้ตั้งใครแทนองค์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่นตรัสว่า อานนท์เอย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เอาพระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตรต่าง ๆ ให้เราพากันจับหลักจับประเด็นให้ได้ พระธรรมพระวินัยแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ที่อยู่ในพระไตรปิฎก แบ่งเป็น พระวินัยปิฎก ๒๑,๐๐๐ พระสูตร ๒๑,๐๐๐ พระอภิธรรม ๔๒,๐๐๐ รวมกันเป็น ๘๔,๐๐๐ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าให้เอาพระธรรมเอาพระวินัยข้อวัตรกิจวัตรต่าง ๆ แทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราทั้งหลายต้องมาเคารพคารวะในพระรัตนตรัยคือพระธรรมพระวินัยคือข้อวัตรข้อปฏิบัติเป็นธรรมที่จะทำให้เราเจริญไม่มีความเสื่อม


       ๒. ธัมมคารวตา เคารพในพระธรรม ตั้งอยู่ในความไม่เพลิดเพลิน ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท เพราะการประพฤติการปฏิบัติเน้นที่ปัจจุบัน กงเกวียนกงกรรม ปัจจุบันเป็นสิ่งที่สำคัญ ปัจจุบันเป็นวาระแห่งชาติ เราอย่าได้ไปประมาท ประมาทเล็กน้อยก็ผิดพลาดเล็กน้อย ประมาทปานกลางก็ผิดพลาดปานกลาง ประมาทอย่างใหญ่ก็ผิดพลาดอย่างใหญ่ ให้รู้เข้าใจเรื่องความประมาท องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนที่ท่านจะเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพานท่านได้ตรัสแก่พระภิกษุทั้งหลายว่า การประพฤติการปฏิบัติ ปัจจุบันเป็นวาระสำคัญ เป็นวาระแห่งชาติในการประพฤติการปฏิบัติเธอทั้งหลายจงทำความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด อย่าคิด่าเรามีปัญญา เราจะแก้ปัญหาได้ เมื่อเรามีปัญญาเราก็ต้องมีพระธรรมพระวินัย เพราะพระธรรมพระวินัยเป็นสิ่งที่มีแต่คุณมีแต่ประโยชน์ เมื่อเรามีปัญญาเราก็ต้องมีความสงบ เมื่อเรามีความสงบเราก็ต้องมีปัญญา เราทั้งหลายต้องพากันรู้เข้าใจ เราต้องเคารพคารวะในธรรมในสภาวธรรม เพราะทุกอย่างคือกรรมคือกฎแห่งกรรมคือผลของกรรม ที่เรามีธาตุทั้งสี่ขันธ์ทั้งห้าอายตนะหกมันเป็นผลของกรรมในการเวียนว่ายตายเกิดที่เราทุกคนไม่รู้ไม่เข้าใจ
       ๓. สังฆคารวตา ความเคารพในสงฆ์สาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สงฆ์สาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้แก่ ผู้ที่มีปัญญาสัมมาทิฏฐิมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบปฏิบัติตรงปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์เป็นผู้ปฏิบัติสมควรปฏิบัติเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ ไม่ตึงเกินไปไม่หย่อนเกินไป มีความสงบมีปัญญาไปพร้อม ๆ กันมีศีลมีสมาธิมีปัญญาไปพร้อม ๆ กันเป้นผู้ที่สมควรแก่พวกเราทั้งหลายต้องเคารพกราบไหว้บำรุงกับท่านผู้นั้น เพราะท่านผู้นั้นก็ได้แก่ความสงบและปัญญา ยกเลิกอัตตายกเลิกตัวตนไม่มีอีโก้อะไร มีแต่ความสงบมีแต่ปัญญา
      ๔. สิกขาคารวตา หมายถึงเคารพในการเรียนการศึกษา มนุษย์เราต้องมีการเรียนการศึกษา การเรียนการศึกษาของมนุษย์มีอยู่ทั้งหมด ๑๘ อย่าง ๑๘ อย่างมีอะไรบ้าง ๑๘ อย่างก็ได้แก่

  1. ยุทธศาสตร์ วิชานักรบ
  2. รัฐศาสตร์ วิชาการปกครอง
  3. นิติศาสตร์ วิชากฎหมายและจารีตประเพณีต่างๆ
  4. วาณิชยศาสตร์ วิชาการค้า
  5. อักษรศาสตร์ วิชาหนังสือ
  6. นิรุกติศาสตร์ วิชารู้ภาษาของตนแตกฉานดี และรู้ภาษาของชนชาติที่ติดต่อกัน
  7. คณิตศาสตร์ วิชาคำนวณ
  8. โชติยศาสตร์ วิชาดูดวงดาวต่างๆ คือรู้จักว่าดวงดาวนั้นๆ ตั้งอยู่ทางทิศนั้นๆ และประจำเมืองนั้นๆ และรู้จักสีแสงของดวงดาวต่างๆ อันบอกลางดีและลางร้ายในกาลบางครั้ง
  9. ภูมิศาสตร์ วิชารู้พื้นที่ต่างๆ หรือรู้จักแผนที่ของประเทศต่างๆ
  10. โหราศาสตร์ วิชาโหร คือรู้พยากรณ์เหตุการณ์ต่างๆ ได้ และรู้ทายดวงชะตาราศีของคนได้ด้วย
  11. เวชศาสตร์ วิชาหมอยา
  12. สัตวศาสตร์ วิชารู้ลักษณะของสัตว์และเสียงสัตว์ว่าร้ายหรือดี
  13. เหตุศาสตร์ วิชารู้เหตุเป็นแดนเกิดแห่งผลว่าร้ายหรือดี
  14. โยคศาสตร์ ยันตรศึกษา คือรู้จักความเป็นช่างกล
  15. ศาสนศาสตร์ วิชารู้เรื่องศาสนา คือรู้จักประวัติความเป็นมาแห่งศาสนาทุกๆ ศาสนาที่มหาชนนิยม เพื่อปฏิบัติไม่ขัดแก่สังคมใดๆ และรู้คำสอนในศาสนานั้นๆ ด้วย
  16. มายาศาสตร์ วิชารู้กลอุบาย หรือรู้ตำรับพิชัยสงคราม
  17. คันธรรพศาสตร์ วิชาคนธรรพ์คือวิชาร้องรำ(ละคอน) ที่เรียกชื่อว่า "นาฏยศาสตร์" และวิชาดนตรีปี่พาทย์ ที่เรียกชื่อว่า "ดุริยางคศาสตร์"
  18. ฉันทศาสตร์ วิชาประพันธ์ คือแต่งหนังสือได้ ทั้งที่เป็นร้อยกรอง(บทกลอน) และร้อยแก้ว(ความเรียง)

เราทุกคนเกิดมา ต้องรู้ต้องเข้าใจ เราต้องมีทั้งตาเนื้อตาหนังตาปัญญาเพื่อความรู้ความเข้าใจ มนุษย์เราต่างจากสรรพสัตว์ทั้งหลายก็เพราะมาจากการเรียนการศึกษา การเรียนการศึกษานี้เป็นความรู้ความเข้าใจมันไม่ใช่ความจำ การที่เราไม่รู้ไม่เข้าใจความหมาย เราไปเรียนหนังสือ ไปศึกษาค้นคว้า ไปฟังการบรรยายความหมายเพื่อความรู้ความเข้าใจ เพื่อจะเอาความรู้ความเข้าใจไปประพฤติปฏิบัติให้เกิดความสงบเกิดปัญญา ให้เกิดปัญญาเกิดความสงบ ไม่ใช่ไปเรียนไปศึกษาเพื่ออัตตาตัวตนให้รู้เข้าใจ เราทั้งหลายอย่าไปคิดว่าการเรียนการศึกษานั้นเพื่อตัวเพื่อตน ไม่ใช่นะ การเรียนการศึกษาเพื่อเสียสละเพื่อละตัวละตน พระนักปฏิบัติทั้งหลายอยู่ป่าอยู่เขา ที่มุ่งมรรคผลพระนิพพานอย่าไปว่าให้ในบ้านในเมืองในกรุง เค้าเรียนเค้าศึกษา ไปว่าให้เค้าเรียนศึกษาเพื่อตัวเพื่อตนเพื่อยศเพื่อตำแหน่ง การเรียนการศึกษาความรู้ต้องคู่กับการประพฤติการปฏิบัติให้เข้าใจอย่างนี้ เรามีความคิดเห็นผิดเข้าใจผิด เราไม่เรียนไม่ศึกษาเรายังไปว่าให้เค้าอีกเรายังไปตำหนิเค้าอีกนั้นไม่ได้ ผู้ที่เป็นพระธรรมกถึกก็ต้องรู้เข้าใจ ผู้ที่เป็นวินัยธรก็ต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะไม่ได้ทะเลาะกัน จะได้ไม่ยกหูชูงวงในการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายจะรู้การประพฤติการปฏิบัติ เพราะการประพฤติการปฏิบัตินั้นรู้เข้าใจอยู่ที่ไหนก็พากันปฏิบัติที่นั่นอยู่ที่ไหนเรามีธาตุทั้งสี่ขันธ์ทั้งห้าอายตนะทั้งหกเราก็ปฏิบัติที่นั่น ธรรมะคือความสงบคือปัญญา ธรรมะนั้นลดทิฏฐิมานะอัตตาตัวตนธรรมะจะมีแต่ความสงบมีแต่ปัญญา เราเป็นนักปฏิบัติอยู่ในป่าในเขา เป็นผู้เรียนผู้ศึกษาอยู่ในเมืองกรุงทั้งหลายอย่าไปทะเลาะกัน เราทั้งหลายต้องมีความสงบมีความเคารพ เพราะตัวตนมันปรุงมันแต่งมันไม่สงบไม่เคารพมีแต่อัตตาตัวตน ผู้ที่อยู่ในเมืองกรุง อยู่ชนบทอยู่ป่าอยู่เขา เราทั้งหลายก็ต้องมีความสงบมีปัญญามีพระธรรมพระวินัยเป็นเครื่องอยู่ก้าวไปด้วยความสงบด้วยปัญญา ไม่ใช่ก้าวไปด้วยอัตตาตัวตนไม่ใช่ก้าวไปด้วยอีโก้ยกหูชูงวงให้รู้เข้าใจ
       ๕. อัปปมาทคารวตา ความเคารพในความไม่ประมาท ความประมาทคือความผิดพลาดแน่นอนนอนแน่ ให้เราเข้าใจ ถ้าใครมีความประมาทคนนั้นย่อมผิดพลาดแน่นอน พากันไปเผยแผ่ถ้าไปประมาทก็ต้องนอนแผ่ด้วยความประมาทผิดพลาดนะ ให้เข้าใจอย่างนี้ ให้เราละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป หวาดสะดุ้งเกรงกลัวต่อบาปอย่าไปคิดว่าตัวเองมีปัญญามากจะเอาตัวรอด เดี๋ยวจะเป็นการเก็บเล็กผสมน้อยของความประมาทจะเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตมันจะพังทลายเหมือนตึก สตง.ของเมืองไทย สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ก็เพราะเอาความประมาทนำชีวิต เอาตัวตนนำชีวิต เอาอีโก้นำชีวิต เราต้องเข้าใจในเรื่องของความประมาทนะ เข้าใจในเรื่องความไม่ประมาทนะ ความไม่ประมาทมีแต่คุณมีแต่ประโยชน์ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้มีเมตตาบอกมหาชนทั้งหลาย ในกาลเวลาที่ท่านจะเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพานว่า ความประมาทนี้เป็นอันตรายที่ยิ่งใหญ่ใหญ่ยิ่ง

 

ท่านได้ตรัสโอวาทเป็นภาษาบาลีว่า

“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”

 

เราทั้งหลายต้องมีจิตใจเข้มแข็งจิตใจตั้งมั่น ให้รู้เข้าใจตั้งอยู่ในความไม่ประมาท เป็นผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสารให้รู้เข้าใจ เพราะสิ่งที่ผ่านไปแล้วมันเกษียณไปแล้วมันเอากลับคืนมาไม่ได้ ให้ถือว่าปัจจุบันเป็นวาระสำคัญแห่งการประพฤติการปฏิบัติ

 

๖. ปฏิสันถารคารวตา ความเคารพในการต้อนรับปฏิสันถารอาคันตุกะที่สัญจรมาเกี่ยวข้องกับเราน่ะ เราต้องต้อนรับเขาดี ๆ ด้วยปัญญา เราต้องมองทุกอย่างเพื่อให้เกิดความสงบเกิดปัญญา ถ้าเรามีอัตตาตัวตนเราทุกคนก็ตั้งอยู่ในความประมาท ไม่เห็นความสำคัญในกายวาจากิริยามารยาทอาชีพในเรื่องจิตเรื่องใจ เราทั้งหลายพากันตั้งอยู่ในความหลงความเพลิดเพลินความประมาท เป็นตัวเป็นตน เป็นผู้ชูงวง

เรามีธาตุทั้งสี่มีขันธ์ทั้งห้ามีอายตนะทั้งหกสิ่งเหล่านี้มันเป็นกรรมเก่า ให้เรารู้เข้าใจเรื่องกรรมเก่า เรามีกรรมเก่าเป็นพื้นฐาน เราต้องรู้ต้องเข้าใจกรรมเก่านะ ธาตุทั้งสี่ขันธ์ทั้งห้าอายตนะทั้งหกนั้นมันคือกรรมเก่า ให้พวกเราทั้งหลายพากันรู้กรรมใหม่ รู้เข้าใจในเรื่องกรรมใหม่

 

กรรมเก่าและกรรมใหม่ให้เรามองเห็นเป็นขั้วบวกและขั้วลบ นี้เป็นกระบวนการของการเวียนว่ายตายเกิด เป็นสิ่งที่สำคัญทั้งตัวเราและสิ่งภายนอก ตัวเรานี้ก็หมายถึงธาตุทั้งสี่ห้าขันธ์ห้าอายตนะทั้งหกนี้คือตัวเรา นี้คือกรรมเก่า สิ่งที่สัญจรไปมาทางตาหูจมูกลิ้นกายใจนี้เป็นกรรมใหม่ สิ่งที่สัญจรไปมาเรียกว่าอาคันตุกะ สิ่งเดิมแท้นั้นเป็นสิ่งที่ว่างเปล่าจากธาตุทั้งสี่ขันธ์ทั้งห้าอายตนะทั้งหกให้เรารู้เข้าใจ

 

เราไม่รู้ไม่เข้าใจถึงเกิดภพเกิดชาติ เกิดชรามรณะ โสกะ ปริเทวนา เมื่อรวมกันเป็นหนึ่งเป็นเอกัคคตาเป็นธาตุทั้งสี่ขันธ์ทั้งห้าอายตนะทั้งหก เดิมแท้นั้นเป็นสิ่งที่ว่างเปล่า ธาตุทั้งสี่ขันธ์ทั้งห้าอายตนะทั้งหกมันเป็นเพียงสิ่งที่จรไปจรมา

 

เราทั้งหลายต้องพากันรู้พากันเข้าใจ เราทั้งหลายจะได้เข้าถึงความสงบ เข้าถึงข้อวัตรข้อปฏิบัติ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารด้วยความรู้ความเข้าใจ เราจะไม่ได้เอากรรมใหม่กับกรรมเก่าซึ่งเป็นขั้วบวกขั้วลบ เราทั้งหลายต้องมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ ด้วยความรู้ความเข้าใจว่าเรามีตาถึงมีรูป มีหูถึงมีเสียง มีจมูกถึงมีกลิ่น มีลิ้นถึงมีรส มีกายถึงมีสัมผัส มีใจถึงมีความรู้สึกนึกคิดมีเจตสิกให้เรารู้เข้าใจ

 

เราทั้งหลายจะได้เข้าถึงธรรมถึงสภาวธรรม จะได้ไม่ตั้งอยู่ในความประมาท เราทั้งหลายจะไม่ได้ไปตามกระแส ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม เอาพระธรรมเอาพระวินัย มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เราจะได้เข้าถึงคารวธรรม เราจะได้ต้อนรับอาคันตุกะที่สัญจรไปมาต้อนรับดี ๆ ด้วยปัญญา เค้ามาทางตาก็ให้กลับไปทางตา เค้ามาทางหูก็ให้กลับไปทางหู มาทางจมูกก็ให้กลับไปทางจมูก มาทางลิ้นก็ให้กลับไปทางลิ้น เค้ามาทางใจก็ให้กลับไปทางใจ สิ่งภายนอกภายในเราจะได้มองด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิ เราจะได้รู้เข้าใจในสภาวธรรม เราจะได้รู้จักคารวธรรมต้อนรับอาคันตุกะที่สัญจรไปมาทางตาหูจมูกลิ้นกายใจทางธาตุทั้งสี่ขันธ์ทั้งห้าอายตนะทั้งหก

 

เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้ทำหน้าที่อย่างไม่ขี้เกียจขี้คร้าน ชาคริยานุโยคเราต้องประกอบความเพียงเราต้องมีปัญญาพร้อมกับการประพฤติการปฏิบัติเรียกว่ามีความเคารพกับความสงบไปพร้อม ๆ กัน ให้เรารู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายเป็นมนุษย์เป็นผู้ประเสริฐ มีอายุขัยอยู่ได้ร่วม ๆ ร้อยปี ถ้าเราเป็นทั้งดีเป็นทั้งปัญญาจะอยู่ได้มากกว่าร้อยปีนะ เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เราจะเป็นพระได้ก็ด้วยความรู้ความเข้าใจแล้วเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เพราะความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ

 

จึงขออนุโมทนากับท่านทั้งหลายไว้ ณ โอกาสนี้ ด้วยความเคารพและความคารวะกับทุกท่านทุกคน เราต้องรู้เข้าใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นคือธรรมคือสภาวธรรม เราจะได้มีความเคารพมีความสงบมีปัญญา เราจะได้มีพระนิพพานคือการทำที่สุดแห่งความทุกข์ เข้าถึงพระนิพพานในปัจจุบันนี้แหละ เมื่อปัจจุบันมันไม่มีพระนิพพานอนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร เรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ในเรื่องเวียนว่ายตายเกิดหยุดเวียนว่ายตายเกิดด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิ

 

ท่านพุทธทาสภิกขุเป็นพระผู้ปฏิบัตดีปฏิบัติชอบของเมืองไทยของประเทศไทยท่านได้พูดจากใจจากพระนิพพานไว้ว่า เราทั้งหลายต้องมีปัญญาสัมมาทิฏฐิเพื่ออริยมรรคมีองค์แปด เน้นในการประพฤติการปฏิบัติให้เข้าถึงพระนิพพานในปัจจุบันนี้ เราทั้งหลายจะเข้าถึงพระนิพพานได้ก็เข้าถึงได้ในปัจจุบันนี้ เราจะเข้าถึงความเป็นมนุษย์ เทวดา พรหมก็เข้าถึงใจปัจจุบันนี้ เราจะเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าระดับต้นจนถึงสูงสุดก็ในปัจจุบันนี้ เราจะเป็นมนุษย์ได้ก็เพราะปัญญาสัมมาทิฏฐิยกระดับจากตัวตนเข้าสู่อริยสงฆ์ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิ ท่านได้ประพันธ์ไว้ว่า

 

เป็นมนุษย์  เป็นได้  เพราะใจสูง  เหมือนหนึ่งยูง  มีดี  ที่แววขน

ถ้าใจต่ำ  เป็นได้  แต่เพียงคน ย่อมเสียที  ที่ตน  ได้เกิดมา

ใจสะอาด  ใจสว่าง  ใจสงบ ถ้ามีครบ  ควรเรียก  มนุสสา

เพราะทำถูก  พูดถูก  ทุกเวลา เปรมปรีดา  คืนวัน  ศุขสันติ์จริง

ใจสกปรก  มืดมัว  และร้อนเร่า ใครมีเข้า ควรเรียก  ว่าผีสิง

เพราะพูดผิด  ทำผิด  จิตประวิง แต่ในสิ่ง นำตัว กลั้วอบาย

คิดดูเถิด  ถ้าใคร  ไม่อยากตก จงรีบยก  ใจตน รีบขวนขวาย

ให้ใจสูง  เสียได้  ก่อนตัวตาย ก็สมหมาย  ที่เกิดมา อย่าเชือน เอย ฯ

 

 

-----------------------------

 

โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม

เมตตาให้ไว้ในวันที่ ๖ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

 

รายการล่าสุดที่คุณดู
Visitors: 98,212