๘ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๘ เดือนสิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘  ศาสนาพุทธ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ศาสนาคริสต์ ฮิจเลาะห์ศักราช ๑๔๔๖ ศาสนาอิสลาม

 

ภพภูมิของมนุษย์คือภพภูมิผู้ที่ประเสริฐ มนุษย์เราต้องเอาธรรมนำชีวิต พัฒนาใจพัฒนาวัตถุไปพร้อม ๆ กัน ถือเอาปัจจุบันเป็นการประพฤติการปฏิบัติ เพราะอดีตก็มารวมอยู่ที่ปัจจุบันแล้ว อนาคตที่จะไปข้างหน้าก็อยู่ที่ปัจจุบัน  ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ มนุษย์เราถึงเป็นภพภูมิที่ประเสริฐ อายุขัยของมนุษย์นี้ในปัจจุบันได้มีการพัฒนาใจพัฒนาวัตถุ มนุษย์เราอายุขัยอยู่ได้ร่วมร้อยปี ถ้าเรามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการดำเนินชีวิตอยู่ได้มากกว่าร้อยปี

 

 เราทั้งหลายจะประเสริฐได้เพราะเอาธรรมนำชีวิต พัฒนาใจกับพัฒนาวัตถุไปพร้อม ๆ กัน เพื่อเป็นทางสายกลาง ให้ปัญญากับความสงบเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ปัญญาเป็นระบบของสมอง ความสงบเป็นระบบทางหายใจ

 

เราทั้งหลายต้องคืนอธิปไตยที่บริสุทธิเข้าสู่ความบริสุทธิคุณ คือความเป็นประภัสสร ไม่ลิดรอนสิทธิ เป็นการเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เป็นทางสายกลาง ไม่ตึงเกินไป ไม่หย่อนเกินไป ไม่ได้เอามาเพิ่มและตัดออก รู้เข้าใจสิ่งภายนอก รู้เข้าใจสิ่งภายใน ไม่มีความยึดมั่นถือมั่น มีความมั่นหมายว่าเป็นนิติบุคคลเป็นตัวเป็นตน ไม่มีความมั่นหมายว่าธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ นี้เป็นเรา ไม่มีความมั่นหมายว่ารูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะธรรมารมณ์นั้นเป็นของคนอื่น หากมีความรู้เข้าใจว่า ทุกอย่างนั้นไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เป็นเพียงเหตุเป็นเพียงปัจจัย จึงได้คืนอธิปไตยให้กับความเป็นประภัสสร ไม่ลิดรอน มีแต่ความสงบมีแต่ปัญญา ก้าวไปด้วยปฏิปทา ด้วยความรู้ความเข้าใจ

 

มนุษย์เราต้องมีปัญญาและความสงบ การประพฤติการปฏิบัตินี้ มนุษย์ต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพราะสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้อง สิ่งนี้มีแต่คุณ มีแต่ประโยชน์ ไม่มีโทษ เป็นพุทธคุณ ธัมมคุณ สังฆคุณ เป็นผู้ปฏิบิตดีปฏิบัติชอบปฏิบัติตรงปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์ เป็นผู้ปฏิบัติที่พอเพียงเพียงพอ เป็นทางสายกลาง ไม่มากไม่น้อย เป็นความพอเพียงเพียงพอ เป็นความพอดี

 

มนุษย์ทั้งหลายถึงต้องมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ ให้ถือเอาหลักการอุดมการณ์อุดมธรรมเพื่อเป็นธรรมนูญแห่งชีวิต ในโลกนี้น่ะใช้หลักการเดียวกันหมด ทุกชาติทุกศาสนาใช้หลักการเดียวกันหมด โลกนี้เป็นวงกลมหมุนรอบตัวเอง หมุนรอบดวงอาทิตย์ เป็นกลางวัน ๑๒ ชั่วโมง กลางคืน ๑๒ ชั่วโมง เพราะมันเป็นวงกลม มีน้ำอยู่ ๓ ส่วน มีดินอยู่ ๑ ส่วน ปัจจุบันนี้มีประชากรของโลกอยู่แปดพันกว่าล้านคน มีประเทศน้อยใหญ่ ๑๙๕ ประเทศ ใช้หลักการเดียวกันหมด เพราะเป็นเรื่องสากล เหตุเกิดทุกข์ก็เป็นสากล ความดับทุกข์ก็เป็นสากล

 

ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเป็นธรรมเป็นสภาวธรรม เป็นกรรมเป็นกฎแห่งกรรมเป็นผลของกรรม เป็นกระบวนการของปฏิจจสมุปปบาท เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี ทุกอย่างต้องเกิดมาจากเหตุเกิดมาจากปัจจัย

 

เราทั้งหลายพากันรู้พากันเข้าใจ จะได้มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ การประพฤติการปฏิบัติเราต้องประพฤติปฏิบัติด้วยตัวของเราเอง ด้วยปลีแข้งของเราเอง ไม่มีใครมาประพฤติมาปฏิบัติให้เราได้ ตนแลเป็นที่พึ่งของตน เพราะอันนี้มันคือเรื่องของกรรมกฎแห่งกรรมและผลของกรรม

 

เราทั้งหลายน่ะต้องพากันรู้เข้าใจ พากันมาเห็นภัยในความไม่ถูกต้อง เห็นภัยในความผิด เห็นภัยในวัฏฏสงสาร การที่เห็นภัยในวัฏฏสงสารนี้สำคัญ เพราะอันนี้มันเป็นการรู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ เราจะได้ไม่ประมาท เข้าถึงการประพฤติการปฏิบัติ เพราะรู้เข้าใจในเรื่องของกรรม กฎแห่งกรรม ความสงบและปัญญา ความรู้กับการปฏิบัตินี้ต้องมีอยู่กับเราทุก ๆ คน ทั้งที่เป็นนักบวชเป็นข้าราชการเป็นนักการเมืองเป็นพ่อค้าประชาชน เกษตรกร เกษตรกรรม

 

ให้พากันรู้เข้าใจ รู้ทั้งคุณรู้ทั้งโทษ ว่าทุกอย่างนั้นมีทั้งคุณทั้งโทษ เราจะได้มีปิติมีความสุขในการทำงาน เมื่ออดีตเมื่อมันผ่านไปแล้วเราก็ต้องปล่อยเราก็ต้องวาง เพื่อไม่ให้เป็นตัวเป็นตน เพื่อไม่ให้อดีตมันปรุงแต่งเราได้ ความไม่ยึดมั่นถือมั่นเรื่องการปล่อยวางในเรื่องอดีต ให้เรารู้เข้าใจ พระธรรมพระวินัย เบื้องต้นนี้ให้มีปิติให้มีความสุขให้มีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิ ด้วยความยึดมั่นถือมั่น เมื่อมันผ่านไปแล้วก็ต้องปล่อยต้องวาง ถ้าเราไม่ปล่อยไม่วางมันก็เป็นนิติบุคคลเป็นตัวเป็นตนเราทั้งหลายถึงมาปล่อยมาวาง เราทั้งหลายถึงจะไม่ได้แบกความหลงพากัน ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เราไม่รู้ไม่เข้าใจเราได้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสาร ขณะนี้เวลาเรารู้เข้าใจในการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสาร เมื่อรู้เข้าใจแล้วก็ปล่อยก็วาง ถ้าไม่ปล่อยไม่วางก็ไม่เป็นธรรมไม่เป็นปัจจุบันธรรม มันจะเป็นตัวเป็นตน มันจะเป็นนิติบุคคลตัวตน มันจะไม่เป็นความสงบไม่เป็นปัญญา มันจะเป็นอัตตาตัวตน มันเป็นการเรียนหนังสือเพื่อตัวเพื่อตน ทำงานเพื่อตัวเพื่อตน รับราชการเพื่อตัวเพื่อตน เป็นนักการเมืองเพื่อตัวเพื่อตน เป็นนักบวชก็เพื่อตัวเพื่อตน

 

สิ่งเหล่านี้แหละเราต้องรู้เข้าใจว่าเราทั้งหลายต้องปล่อยต้องวาง เพื่อไม่ให้ความปรุงแต่งมันทำงาน เพราะธรรมะที่เป็นสภาวธรรมที่เป็นพระนิพพานจะไม่มีความปรุงแต่ง เป็นสภาวธรรมอยู่นอกเหตุเหนือผล ไม่มีความปรุงแต่ง เรียนหนังสือเพื่อความรู้ความเข้าใจ ทำงานก็เพื่อเสียสละ เป็นข้าราชการนักการเมืองเป็นนักบวชเพื่อเสียสละ มีปิติมีความสุขในการเสียสละ

 

เราดูตัวอย่างแบบอย่างขององค์สมเด็จพระสัมสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือธรรมคือสภาวธรรมคือความรู้ความเข้าใจเอาธรรมนำชีวิตเอาธรรมนูญนำชีวิต เสียสละน่ะ วันหนึ่งคืนหนึ่ง ๒๔ ชั่วโมง พักผ่อนบรรทมเพื่อธาตุเพื่อขันธ์ ๔ ชั่วโมง เสียสละให้กับปวงชน ให้แก่หมู่มวลมนุษย์ เทพเทวา เทวดา มาร พรหม  ยักษ์คา สรรพสัตว์ทั้งหลาย

 

พระพุทธเจ้าคือผู้ที่เสียสละให้เราเข้าใจ ผู้ที่เสียสละนั้นถึงมีแต่ความสงบมีแต่ปัญญา อยู่นอกเหนือเวทนา เหนือความชอบไม่ชอบ ธรรมะถึงเป็นทางสายกลาง ถึงไม่มีการตรึกในกามตรึกในพยาบาท เป็นบริสุทธิคุณ ไม่หวังผลประโยชน์อะไรตอบแทน ไม่รับใบอนุโมทนาบัตรจากการทาน ไม่รับอนุโมทนาบัตรจากการทำงานเพื่อไปหักภาษีอากรของแผ่นดินของประเทศ ไม่หวังผลอะไรตอบแทน มีเมตตา มีกรุณา อย่างหาที่สุดหาประมาณมิได้ เป็นน้ำฝนตกทั่วฟ้านภาลัย ด้วยความพอเพียงเพียงพอด้วยความพอดี

 

เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจในเหตุในปัจจัย ในเรื่องอริยสัจสี่ ความไม่รู้เข้าใจน่ะ เราเอาความชอบไม่ชอบนำชีวิต มันเลยก่อปัญหาหรือว่าสร้างปัญหาให้กับตัวเอง สร้างปัญหาให้กับคนอื่น ด้วยไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ ไม่รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงมีเมตตาตรัสว่าเรารู้เข้าใจในวัฏฏสงสาร

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงมีความเคารพมีความสงบมีความซื่อสัตย์มีคารวธรรมเอาธรรมนำชีวิตเอาความซื่อสัตย์เอาความสงบเอาปัญญานำชีวิต ไม่ได้เอานิติบุคคลตัวตนนำชีวิต มันจะเป็นความสงบ เป็นความเคารพ มันเป็นความพอเพียงเพียงพอ ท่านได้บอกหลักการอุดมการณ์อุดมธรรมเป็นพระรัตนตรัย ก้าวไปทั้งกาย ก้าวไปทั้งใจเป็นพระรัตนตรัย เป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ

 

มีผู้ไปทูลถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อท่านเป็นพระพุทธเจ้าแล้วท่านเคารพอะไร มีอะไรเป็นเครื่องอยู่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่าท่านเคารพในธรรม ในคารวธรรม เพราะทุกอย่างนั้นคือธรรมะคือธรรมชาติ คือกรรมคือกฎแห่งกรรมคือผลของกรรม ไม่มีใครอยู่เหนือกรรม เหนือกฎแห่งกรรม ต้องได้รับผลของกรรมนั้น ๆ พระธรรมพระวินัยให้เรารู้เข้าใจ มีแต่คุณมีแต่ประโยชน์ ถึงเรียกว่าพุทธคุณ ธัมมคุณ สังฆคุณ เป็นพระรัตนตรัย ทุก ๆ ชาติทุกศาสนา ทุก ๆ พระมหากษัตริย์ หรือว่าทุก ๆ ประธานาธิบดีก็ปฏิบัติไปทางหนึ่งทางเดียวกันนี้แหละ

 

เราทั้งหลายต้องคืนอำนาจคืนอธิปไตยให้กับปวงชน เราต้องรู้เข้าใจ ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจตัวที่ไม่รู้ไม่เข้าใจนี้แหละมันจะทำลายตัวเอง เรียกว่ามันเป็นโรคภูมิแพ้ แพ้ภูมิของตัวเอง ตัวตนมันเป็นภพเป็นภูมิ ในโลกนี้การเวียนว่ายตายเกิดมีอยู่ ๓๑ ภพภูมิ เราต้องรู้เข้าใจในภพในภูมิ เดี๋ยวเราจะแพ้ภูมิตัวเอง เราจะเป็นโรคภูมิแพ้ ความสงบและปัญญานั้นจะเป็นภูมิชนะ ให้รู้เข้าใจ เรายกเลิกตัวตน เราถึงจะมีชัยชนะ ที่เราพากันสวดชยันโต โพธิยา มูเล สักกะยานัง เราเอาธรรมนำชีวิตเราถึงเป็นผู้ที่มีชัยชนะ เราเอาตัวตนนำชีวิตเราจะเป็นผู้แพ้ เป็นโรคภูมิแพ้

 

ให้เรารู้เข้าใจ ความไม่รู้เข้าใจมันจะทำลายตัวของมันเอง การเรียนการศึกษาถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจก็เรียนมาเพื่อทำร้ายตนเอง การทำงานถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจมันก็จะทำลายตัวของมันเอง การเป็นข้าราชการนักการเมืองถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจมันก็จะทำลายในตัวของมันเอง การที่เป็นนักบวชทุก ๆ ศาสนา ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ มันก็จะทำลายตัวของตัวเอง จะเป็นภูมิแพ้ ความปรุงแต่งทั้งหลายถึงเป็นนิติบุคคลตัวตน ให้เรารู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้รู้เข้าใจ เราจะได้จบลงได้เพียงเวทนาก็เพียงพอ ให้เราทั้งหลายมีปัญญา มีปัญญาก็ต้องมีความสงบ

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงให้เอาหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม ความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เอามาเป็นหลักการสนับสนุน ถ้าเราไม่มีความละอายต่อบาปไม่เกรงกลัวต่อบาป เราทั้งหลายก็แพ้ภูมิตัวเอง ตั้งอยู่ในความหลงเพลิดเพลินตั้งอยู่ในความประมาท เพราะความประมาทก็คือความผิดพลาด ถ้าเรามีความประมาทเราก็มีความผิดพลาด เพราะเรามีตัวมีตน ตัวตนนี้คือความประมาทคือความผิดพลาด ขันตีปะระมังตะโปตีติกขา

 

เราต้องรู้เข้าใจ เราต้องมีคอนโทรล เราต้องมีเซฟตี้ เราต้องคอนโทรลอยู่ในความพอเพียงเพียงพอ เราต้องรู้เข้าใจมีปัญญาสัมมาทิฏฐิเราต้องเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอเข้าถึงความพอดี เราอยากได้มากมันก็ไม่มากมันก็เท่าเก่าเราต้องเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอเข้าถึงความพอดี เราอยากได้น้อยมันก็ไม่น้อยมันก็ไม่มากมันก็เท่าเก่าเราต้องเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอเข้าถึงความพอดี เราต้องรู้เข้าใจ เราจะได้เอา ขันตีปะระมังตะโปตีติกขา ขันติเป็นข้อวัตรข้อปฏิบัติ

 

เราต้องรู้เข้าใจ เราต้องเซฟตี้ เราต้องมีเบรก รถก็ต้องมีเบรก เครื่องบินก็ต้องมีเบรก เรือก็ต้องมีเบรก ทุกอย่างที่ทำงานที่ใช้การใช้งานมันต้องมีเบรกมีเซฟตี้ เราจะนั่งเครื่องบินนั่งรถก็ต้องมีสายเบลล์ (เข็มขัดนิรภัย) รัด เราจะขับขี่จักรยานเราก็ต้องสวมหมวกกันน็อค เราซ้อนมอเตอร์ไซด์นั่งข้างหลังเราก็ต้องสวมหมวกกันน็อค เราจะก้าวไปเราก็ต้องมีเซฟตี้มีรองเท้า

 

เราต้องรู้เข้าใจ กายวาจากิริยามารยาทอาชีพอย่างนี้ เราต้องรู้เข้าใจ ก่อนที่เราไม่ได้ทำ เราเป็นเจ้าเป็นนาย เมื่อเราทำแล้วเราเป็นบ่าว เพื่อว่ามันเป็นกรรมเป็นกฎแห่งกรรมเป็นผลของกรรม เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจเรื่องกรรมเรื่องกฎแห่งกรรมเรื่องผลของกรรม เราอย่าไปบ่นภายหลังที่เราแก่เฒ่าชราที่เราเจ็บไข้ได้ป่วยไม่สบายนั้นมันเป็นกรรมเป็นกฎแห่งกรรมเป็นผลของกรรมที่เราตายเราพลัดพรากมันเป็นกรรมเป็นกฎแห่งกรรมเป็นผลของกรรม อันนั้นมันเป็นปลายเหตุแล้ว

 

เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะไปแก้ที่ปลายเหตุนั้นไม่ได้ ธาตุทั้งสี่ขันธ์ทั้งห้าอายตนะทั้งหกนี้ถือว่าเป็นกรรมเก่า เราทั้งหลายต้องพากันมารู้กรรมเก่า เราต้องรู้เข้าใจเรื่องกรรมเก่า เราต้องยอมรับในธรรมในสภาวธรรม เพื่อเราจะไม่ได้เป็นทุกข์เพราะธาตุเพราะขันธ์เพราะอายตนะ เราต้องรู้เข้าใจเราจะไม่ได้แพ้ภูมิตัวเอง

 

เราต้องผ่านภพภูมิที่มันเป็นธาตุเป็นขันธ์เป็นอายตนะ มันต้องผ่านด่านสิ่งเหล่านี้แหละ เพราะอันนี้มันคือกรรมคือกฎแห่งกรรมคือผลของกรรม ถึงแม้เราจะมีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์มากเท่าไหร่มันก็หนีกรรมไปไม่พ้น ให้เรารู้เข้าใจ พระโมคคัลลาเป็นผู้ที่มีทั้งความสงบมีทั้งปัญญา เป็นผู้ที่มีอิทธิปาฏิหารย์มากกว่าบุคคลอื่นใดในสงฆ์สาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประวัติของพระโมคคัลลา

 

ในสมัยพุทธกาล ลาภสักการะได้เกิดขึ้นกับพระพุทธศาสนาเป็นอันมาก พวกนอกศาสนาพุทธมีความเสื่อมลาภ ประชาชนเค้าไม่เคารพสักการะ เค้าไม่ให้ทาน ไม่ให้ความเคารพนับถือ  จึงเกิดความริษยา จึงคิดกันว่า เพราะอาศัยพระมหาโมคคัลลานะเป็นผู้มีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์มากทำให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง ลาภสักการะเสียงสรรเสริญเยินยอของพวกเราถึงได้เสื่อมไป ควรที่จะฆ่าพระเถระโมคคัลลานะเสีย

 

จึงได้จ้างวานโจร มหาโจร พวกโจรพวกมหาโจรทั้งหลายจึงได้ไปล้อมกุฏิพระเถระ พระโมคคัลลานะก็หนีไปด้วยอิทธิปาฏิหารย์ของอิทธิฤทธิ์ ทางรูกุญแจเล็กนิดเดียวก้หนีไปได้ หนีไปทางช่อฟ้าหลังคากุฏิก็หนีไปได้ จนสุดท้าย ท่านพิจารณาด้วยปัญญาว่านี้คือกรรมคือกฎแห่งกรรมคือผลของกรรมที่ท่านได้ก่อไว้ทำไว้ตั้งแต่ชาติปางก่อน  ท่านได้ระลึกชาติผลบาปอดีตที่ผ่านมา ที่ท่านเคยทุบตีบิดามารดาถึงแก่ความตาย เพราะไปหลงภรรยา ภรรยาบอกให้ฆ่าบิดามารดา

มารดาบิดาได้ยินเสียงนั้น ด้วยสำคัญว่า "พวกโจรซุ่มอยู่" จึงกล่าวว่า "ลูกเอ๋ยแม่และพ่อแก่แล้ว เจ้าจงรักษาเฉพาะตัวเจ้า (ให้พ้นภัย) เถิด" เขาทำเสียงดุจโจรทุบตีมารดาบิดา แม้ผู้ร้องอยู่อย่างนั้นให้ตายแล้ว ทิ้งไว้ในดง แล้วกลับไป

 

เราเอาตัวเอาตนนำชีวิต เรามีตาก็มีแต่ตาเนื้อตาหนังไม่มีตาปัญญา หลงตัวลืมตาย หลงกายลืมแก่ หลงผัวหลงเมียลืมพ่อลืมแม่ หลงตัวหลงตนทำให้เกิดวัฏฏสงสาร ทำให้เป็นกรรมเป็นกฎแห่งกรรมเป็นผลของกรรม ในชาตินี้ท่านโมคัลลานะท่านถึงได้ถูกทุบตี จากพวกโจรจากพวกมหาโจรทั้งหลาย  ท่านปล่อยวางให้โจรทั้งหลาย ให้ทุบตีกระดูกแหลกละเอียด เพราะเราทุกคนเกิดมาจะเหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรมไปไม่ได้

 

พระมหาโมคคัลลานะเมื่อถูกโจรมหาโจรทุบละเอียด ท่านถึงใช้อภิญญาประสานกระดูกด้วยการเข้าฌาน เพื่อไปเข้าเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทูลลาปรินิพพานและปรินิพพาน พวกโจรพวกมหาโจรถูกพระเจ้าอชาติศัตรูจับได้ และจับนักนอกพระพุทธศาสนา เพราะตัวตนนั้นคือบุคคลไม่มีพระศาสนา เพราะว่าพระศาสนานั้นคือธรรมะ ธรรมะคือพระศาสนา พระศาสนานั้นไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน

 

พระราชาให้ฆ่าอย่างทรมานกับพวกชนเหล่านั้น พระภิกษุประชุมกันว่า กรรม คือการถูกฆ่าของพระมหาโมคคัลลานะไม่สมควรเลย พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า พวกเธอประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร

 

พระพุทธเจ้าเมื่อทรงทราบ ทรงตรัสว่า กรรมที่โมคคัลลานะ สมควรแล้ว ทรงตรัสเล่าเรื่องในอดีตกาลว่า สมัยหนึ่ง มีกุลบุตรเลี้ยงมารดาบิดาอยู่ผู้เดียว มารดาบิดาผู้ตาบอด สงสารบุตร จึงนำภรรยามาให้ แต่เพราะภรรยาเป็นคนพาล เพียงอยู่ด้วยกัน ๒-๓ วันก็ไม่อยากให้บิดา มารดาของกุลบุตรผู้นั้นอยู่ จึงกล่าวว่า บอกกับสามีว่า บิดามารดาของท่านทำไม่ดี สามีไม่เชื่อ จึงใส่ร้ายโดยการทำพื้นสกปรก และกล่าวหาว่าบิดามารดาทำ สามีที่เป็นอดีตชาติของพระมหาโมคคัลลานะเชื่อ จึงหาอุบาย โดยการกล่าวกับบิดามารดาผู้ตาบอดว่า จะพาไปเยี่ยมญาติ ระหว่างทาง แกล้งทำเป็นเสียงโจร เพราะความรักลูก ของบิดามารดา จึงไล่ให้ลูกชายหนีไป ส่วนกุลบุตรนั้นก็ทุบตีบิดามารดาจนถึงแก่ความตาย ด้วยกรรมนั้นทำให้ท่านตกนรกอเวจีเป็นเวลานานถึงแสนชาติแสนปี และถูกทุบตีตายเวลาเป็นเวลายาวนานถึง ๑๐๐ ชาติ

 

พระศาสดา ครั้นตรัสบุรพกรรมนี้ของพระมหาโมคคัลลานะนั้นแล้วตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย โมคคัลลานะ ทำกรรมประมาณเท่านี้ ไหม้ในนรกหลายแสนปี ด้วยวิบากที่ยังเหลือ จึงถูกทุบตีอย่างนั้นนั่นแลละเอียดหมด ถึงมรณะ สิ้น ๑๐๐ อัตภาพ ...

 

เรื่องกรรม เรื่องกฎแห่งกรรม เรื่องผลของกรรมนั้นเป็นกระบวนการของวัฏฏสงสาร ให้พวกเรารู้ให้พวกเราเข้าใจ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบำเพ็ญพุทธบารมีใช้เวลายาวนาน ๔ อสงไขย แสนมหากัป เป็นบุคคลพิเศษ ประสูติมาจุติก็วันเพ็ญ ตรัสรู้ก็วันเพ็ญ แสดงปฐมเทศนาธัมมจักกัปปวัตนสูตรก็วันเพ็ญ ได้บอกกล่าวมหาชนว่าอีก ๓ เดือนข้างหน้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานก็วันเพ็ญ เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานก็วันเพ็ญ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้บำเพ็ญพุทธบารมีที่สมบูรณ์เข้าถึงความเต็มความพอเพียงเพียงพอ เป็นความสงบและปัญญา เป็นปัญญาและความสงบ

 

ให้ผู้แสดงธรรมเล่าเรื่องนางสุชาดาถวายข้าวมธุปายาส เรื่อยไปจนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และไปโปรดปัญจวัคคีย์ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน

 

เราทั้งหลายพากันมารู้มาเข้าใจ เราจะได้คืนอธิปไตยที่เป็นบริสุทธิคุณทั้งกายวาจาใจกิริยามารยาทอาชีพ เพื่อเข้าถึงความเต็มความพอเพียงเพียงพอ ให้เราระลึกถึงโอวาทธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนที่ท่านจะละธาตุวางขันธ์เสด็จสู่มหาปรินิพพานในวาระสุดท้าย ท่านได้ตรัสปัจฉิมโอวาทไว้ว่า

 

“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”

โอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านเมตตาตรัสไว้ว่า

ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ

ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ

ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู

ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละ คือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะ

 

--------------------------------------------------

 

โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม

เมตตาให้ไว้ในเช้าวันที่ ๘ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

 

Visitors: 98,212