๑๐ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๑๐ เดือนสิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘  ศาสนาพุทธ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ศาสนาคริสต์ ฮิจเลาะห์ศักราช ๑๔๔๖ ศาสนาอิสลาม

 

เราทุกคนให้พากันเข้าใจ ทุกคนต้องเอาธรรมนำชีวิต เพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นคือเหตุคือปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี ปัจจุบันเป็นวาระแห่งชาติในการประพฤติการปฏิบัติ อดีตก็มารวมที่ปัจจุบัน อนาคตที่จะก้าวไปข้างหน้าก็อยู่ที่ปัจจุบัน ปัจจุบันถึงเป็นวาระสำคัญ เป็นวาระแห่งชาติทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพต้องมารวมลงที่ใจ ที่ปัจจุบัน

 

เราทั้งหลายให้พากันมีปัญญา ปัญญาสัมมาทิฏฐิ เพื่อเอาตัวรอดในทางที่รอด ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจเราจะไปเอาตัวรอดในทางที่ไม่รอด มันจะเป็นการสร้างปัญหาให้กับตัวเอง สร้างปัญหาให้กับบุคคลอื่น

 

เราต้องรู้ต้องเข้าใจ จะไม่ได้ไปตามผัสสะ จะไม่ได้ไปตามสิ่งแวดล้อม เพื่อหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม เราพากันมามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ถ้าเรามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตา มีความเป็นหนึ่งในการประพฤติการปฏิบัติเราจะเป็นผู้หยุดกาลหยุดเวลา ไม่ไปตามผัสสะ ไม่ไปตามอารมณ์ ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม ด้วยการหยุดกาลหยุดเวลา เป็นผู้มีศีลเป็นผู้มีสมาธิมีปัญญา

 

เราทั้งหลายจะได้รู้เข้าใจ ไม่ไปตามผัสสะ ไม่ไปตามอารมณ์ ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม เราทั้งหลายน่ะ ถ้าเรามีสติมีสัมปชัญญะ ขบวนการมันจะจบลงเพียงผัสสะน่ะ เพราะเรามีปัญญาสัมมาทิฏฐิ ขบวนการทางตาหูจมูกลิ้นกายใจหรือว่ากระบวนของธาตุขันธ์อายตนะมันจะจบลงเพียงผัสสะ เราจะได้เข้าถึงคำว่า “สักแต่ว่า” เห็นสิ่งที่จรไปจรมาเป็นเพียงอาคันตุกะ เพราะสิ่งที่แท้จริงนั้นมันเป็นเพียงความว่างเปล่า สิ่งที่จรไปจรมาทางตาหูจมูกลิ้นกายใจนั้นเป็นเพียงอาคันตุกะที่จรไปจรมา มันเป็นเพียงเรื่องธาตุเรื่องขันธ์เรื่องอายตนะทั้งภายนอกภายในที่สัมผัสกัน เป็นเพียงอาคันตุกะที่สัญจรไปมาให้เรารู้เข้าใจ

 

เราทุกคนต้องเอาความดีกับปัญญา เอาปัญญากับความดีก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ เราจะได้เอาตัวรอดในทางที่รอด ทุกชาติทุกศาสนาก็ต้องไปในทางหนึ่งทางเดียวกัน เพราะธรรมะนี้เป็นสากล ความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพรากความร้อนความหนาวความสุขความทุกข์มันเป็นสากล

 

ให้พวกเรารู้เข้าใจ ทุกชาติทุกศาสนาก็มีความรู้ความเข้าใจมีข้อปฏิบัติอย่างเดียวกันนี้แหละเป็นอริยมรรคเป็นหนทางเดินที่ประเสริฐ เอาความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เอาปัญญาที่ประกอบด้วยความดี การปฏิบัติถึงไม่เลือกกาลเลือกเวลาเลือกสถานที่ ที่ไหนเรามีตาหูจมูกลิ้นกายใจ มีธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ ที่นั่นคือการประพฤติการปฏิบัติ ให้เรารู้เข้าใจเราทั้งหลายต้องเน้นมาที่ตัวเรา คนอื่นก็ให้เค้าเน้นที่คนอื่น ให้รู้เข้าใจ ถ้าเรามองคนอื่น ดูคนอื่นก็เพื่อหวังที่จะเทคแคร์เค้าเพื่อที่จะเป็นผู้ให้เป็นผู้ที่เสียสละ อย่าไปเอาผิดเอาถูกเอาดีเอาชั่วอะไรกับเค้า

 

การบริหารเราต้องบริหารด้วยธรรมะคือความดีและปัญญา ความดีและปัญญานี้จะเป็นธนาคารบุญธนาคารกุศลน่ะ บุญกุศลนี้เป็นทางดำเนินชีวิตของเรา ให้รู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้เอาตัวรอดในทางที่รอด ให้เรามีสติมีความสงบ มีสัมปชัญญะมีปัญญา และให้มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพราะอันนี้มันเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เน้นที่ปัจจุบัน เพราะปัจจุบันเป็นวาระสำคัญเป็นวาระแห่งชาติ

 

เราต้องผ่านไปด้วยความรู้ความเข้าใจ เมื่อมันผ่านไปแล้วเราก็ปล่อยวาง เพราะสิ่งที่ผ่านไปแล้วหรือว่าผ่านมาแล้วหรือว่าเกษียณไปแล้ว เราต้องปล่อยวาง ไม่ให้เรื่องอดีตมันมาปรุงแต่งจิตใจของเราได้ อย่าให้สัญญาขันธ์มันปรุงแต่งเราได้ ถ้าเรามีความสงบอยู่กับมรรคอยู่กับอริยมรรค อดีตก็จะปรุงแต่งเราไม่ได้ ใจของเราต้องมีความสงบมีปัญญา ทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ ไม่หวังอะไรตอบแทน ถ้าเราหวังอะไรตอบแทนเค้าเรียกว่านายทุน เรียนหนังสือก็เพื่อหวังตอบแทน ทำงานก็เพื่อหวังตอบแทน เป็นข้าราชการเป็นนักการเมืองเป็นนักบวชก็เพื่อหวังอะไรตอบแทน ความคิดอย่างนี้เรียกว่าความคิดของนายทุนเรียกว่ามีตัวมีตนอยู่ มันยังมีความปรุงแต่งอยู่

 

ให้เรารู้เข้าใจ ความปรุงแต่งนั้นให้เข้าใจนะ ความสงบและปัญญานั้นมันจะหยุดความปรุงแต่งนะ สัมมาทิฏฐิที่เรารู้เข้าใจนั้นมันจะหยุดความปรุงแต่ง

 

เราทั้งหลายพากันพัฒนาวิทยาศาสตร์ หรือว่าทำงานให้มีความสุข ไม่หวังอะไรตอบแทน เราอย่าไปหวังสิ่งของ ชื่อเสียงเกียรติยศ เราอย่าไปหวัง เราต้องเสียสละ อย่างการให้ทาน ถ้าเราให้ทานเพื่อเกิดเป็นมนุษย์ ให้ทานเพื่อเป็นเทวดา เป็นพรหม เป็นพระอริยเจ้า เพื่อพระนิพพาน อย่างนี้มันไม่ได้เป็นไปเพื่อพระนิพพานนะ ให้รู้เข้าใจ มันยังเป็นตัวเป็น มันยังต้องการผลตอบแทน ยังต้องการคำว่าขอบคุณ ผู้ที่มีความสุขหยุดความปรุงแต่งได้ อยู่นอกเหตุเหนือผล มันต้องมีความสงบมีปัญญา

 

ถ้าเราทำอะไรหวังผลตอบแทน ถ้ารักษาศีลมันก็สีลัพพัตตปรามาส คือมันลูบคลำในศีลในข้อวัตรปฏิบัติเพื่อเป็นตัวเป็นตน ไม่ได้รักษาศีลเพื่อศีล การรักษาศีลหรือว่าการทำความดีถึงไม่มีต่อหน้าและลับหลัง การมีต่อหน้าและลับหลังนี้มันยังเป็นระบบตัวตนยังเป็นระบบนายทุน มันลงทุนเพื่อตัวเพื่อตน ตัวตนมันคือความเครียดให้รู้เข้าใจ ตัวตนมันเผาเรา เรายังไม่ตายหัวใจของเราก็ตกนรกทั้งเป็นที่เราอยากได้อยากมีอยากเป็น

 

พระพุทธเจ้าถึงให้เราทุก ๆ คนอย่าเอาตัวเอาตนนำชีวิต ให้เอาพระธรรมพระวินัย เอาธรรมนูญนำชีวิต เราทั้งหลายจะได้มีความสงบมีปัญญา จะเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เหมือนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพอดุลยเดช เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เราอยากได้มากมันก็ไม่มากมันก็เท่าเก่า อยากได้น้อยมันก็ไม่น้อยมันก็เท่าเก่า ให้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอเข้าถึงความพอดีเราจะได้ใจดีใจสบาย หัวใจของเราจะได้สงบติดแอร์คอนดิชั่น เราทั้งหลายจะเข้าถึงพระนิพพานในปัจจุบันตั้งแต่ยังไม่ตาย เพราะเราทั้งหลายรู้ข้อวัตรกิจวัตร รู้หน้าที่ เพราะความดีคือหน้าที่ ความดีนั้นต้องยกเลิกตัวตนถึงจะเกิดปัญญา

 

ให้พวกเราทั้งหลายพากันเข้าใจ วันหนึ่งคืนหนึ่งเราต้องเอาธรรมนำชีวิตเอาธรรมนูญนำชีวิต เพื่อเราจะไม่ได้ไปตามผัสสะ ไม่ได้ไปตามสิ่งแวดล้อม มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ชีวิตของเรามันจะได้สว่างไสวด้วยปัญญา ใจของเราถึงจะว้าว ว้าว ว้าว เหมือนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงดำเนินเสด็จด้วยจราจรนำหน้าตามหลังสว่างไสว

 

ปัจจุบันนี้ถือว่าเป็นไฟต์ในการประพฤติการปฏิบัติ ให้เรารู้เข้าใจมันจะต้องเป็นฟอร์มสด มันต้องไม่มีอดีตอนาคต ปัจจุบันต้องมีความสงบมีแต่ปัญญามีแต่อนัตตาว่างจากตัวตน ไม่เอาความหลงนำชีวิต

 

เราพากันนอนพากันพักผ่อนให้เพียง ออกกำลังกายให้เพียงพอ อริยมรรคมีองค์แปดที่มันผลิตออกมาทางกายวาจากิริยามารยาทอาชีพต้องเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรมเป็นธรรมนูญ

 

 ให้เราคิดถึงระลึกถึงต้นไม้ต้นหนึ่งที่ได้อาหารมา ต้นไม้ต้นนั้นเค้าต้องได้อาหารมาจากทุกทิศทุกทางของต้นไม้ ไม่ใช่มาจากทางอย่างเดียว ต้องได้มาจากทั้งทางรากทางใบกิ่งก้านสาขาตลอดยอดปริมณฑล แสงแดดอากาศออกซิเจน ต้นไม้นั้นถึงเจริญสมบูรณ์สง่างาม

 

ด้วยความรู้ความเข้าใจอย่างนี้การประพฤติการปฏิบัติถึงอยู่ที่ปัจจุบัน ความสงบความเคารพไม่ตั้งอยู่ในความประมาทมันจะเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม ให้เราเข้าใจ ส่

วนใหญ่เราทุกคนอยู่กับตัวตนอยู่กับความไม่สงบ อยู่กับความฟุ้งซ่าน อยู่กับความไม่เคารพความไม่ซื่อสัตย์ คำว่าตรงหมายถึงความซื่อสัตย์ ถ้าเราอยู่กับอดีตอนาคตถือว่าเรายังไม่ซื่อสัตย์ เราต้องรู้เข้าใจต้องเห็นความสำคัญในกายวาจากิริยามารยาทอาชีพทั้งใจเพราะทุกอย่างสำคัญหมดน่ะ

 

เรานอนเราพักผ่อน เราอยู่ในเมืองกรุงเมืองหลวงปริมณฑลเราต้องนอนพักผ่อน ๗,๘ ชั่วโมง เพราะอยู๋ในกรุงเทพปริมณฑลค่าพีเอ็มของอากาศออกซิเจนไม่ได้ ถึงจะพัฒนาเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์มีเครื่องฟอกอากาศเราก็ต้องนอนพักผ่อนวันละ ๗,๘ ชั่วโมง นี้เป็นการปฏิบัติธรรมนะ

 

 ถึงแม้เราจะเป็นคนใหญ่คนโตมีธุรกิจหน้าที่การงานเราก็ต้องนอน ๗,๘ ชั่วโมง เราต้องคอนโทรลเพื่อให้เราอยู่กับธรรมอยู่กับปัจจุบันธรรม ถ้าคนอยู่ต่างจังหวัดก็ต้องนอน ๖,๗ ชั่วโมงอย่างนี้

 

ถ้าผู้อยู่ในสถานที่ปฏิบัติธรรมสงบวิเวกอย่างนี้ ผู้ที่มาบรรพชาอุปสมบทก็พากันนอนพักผ่อน ๕,๖ ชั่วโมงก็เพียงพอ เพราะอากาศดี ออกซิเจนดี เราทุกคนต้องมีความสุขในการทำงาน มีความสุขในการทำหน้าที่ด้วยไม่หวังอะไรตอบแทน อย่าไปใจอ่อนตามผัสสะ ตามอารมณ์ตามสิ่งแวดล้อม

 

หลักการของมนุษย์วันจันทร์อังคารพุธพฤหัสศุกร์เป็นเวลาทำงานของทุก ๆ คน มนุษย์เราเกิดมาทุก ๆ คนต้องพากันทำงานพากันเสียสละ พระพุทธเจ้าทรงบรรทมพักผ่อนเพื่อให้ธาตุให้ขันธ์วันละ ๔ ชั่วโมง เสียสละให้หมู่มวลมนุษย์เทพเทวาอินทร์มารพรหมสรรพสัตว์ทั้งหลายวันละ ๒๐ ชั่วโมง

 

วันหนึ่งคืนหนึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีแต่เสียสละมีแต่การทำงานนะ การทำงานทำให้เข้าถึงความสงบ ไม่ต้องทำอะไรมีความสุขน่ะ เราจะเอาตัวรอดในทางที่ไม่รอดนะ

 

เราคิดดูดี ๆ นะ ถ้าเรามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาเราจะหยุดกาลหยุดเวลาได้ เพราะตัวตนคือสิ่งที่ก้าวไปด้วยความรู้ที่เอาตัวรอด มันเป็นทางที่ไม่รอดนะ ทุกคนต้องมีความสุขในการทำงาน ถ้าเรามีความสุขในการทำงานเราทุกคนก็จะไม่เป็นโรคซึมเศร้า โรคซึมเศร้ามันเกิดจากตัวตน เราเอาตัวตนเป็นต้นทุนเราทุกคนถึงต้องเป็นโรคซึมเศร้า เราไม่เข้าใจเรื่องผัสสะ ไม่เข้าใจเรื่องสิ่งแวดล้อม เราเอาความชอบไม่ชอบนำชีวิต ทางแพทย์ทางหมอเค้าเรียกว่าเป็นโรคไบโพล่า ให้เรารู้ให้เราเข้าใจ

 

เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ ความรู้ความเข้าใจนี้เป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ เราทั้งหลายต้องสละคืนซึ่งอำนาจ เราต้องคืนอำนาจกลับสู่ธรรมะ กลับสู่ธรรมชาติ หรือว่าเข้าสู่ปวงชนทั้งหลาย การกระจายอำนาจคือการยกเลิกชาติชั้นวรรณะ ยกเลิกชาติ ยกเลิกตระกูล ยกเลิกระหว่างนายทุนกับกรรมกร

 

เราทั้งหลายต้องมายกเลิกธาตุ ยกเลิกชั้นวรรณะ ยกเลิกชาติ ยกเลิกตระกูล ไม่ต้องมีความสำคัญมั่นหมายว่าเราเป็นผู้หญิงผู้ชายเป็นคนหนุ่มคนสาวคนแก่คนเฒ่าคนชราคนตายคนพลัดพราก ไม่สำคัญว่าตัวเองดีกว่าเค้าเก่งกว่าเค้าเรียนมากเรียนสูง เป็นคนรวยน่ะ ใครก็สู้เราไม่ได้

 

เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เราต้องคืนอำนาจ คืนอธิปไตยเพื่อเราจะได้เกิดความสงบเกิดปัญญา เราจะไม่ได้มีอัตตาตัวตน การที่จะเป็นพระอริยเจ้า เบื้องต้นก็ต้องละสักกายทิฏฐิ ละตัวละตนด้วยความรู้ความเข้าใจ ธรรมนูญรัฐธรรมนูญที่ปกครองประเทศปกครองโลกนี้หลักการอันเดียวกันหมดเพื่อจะคืนความไม่ถูกต้อง คืนอธิปไตยเข้าสู่ความเป็นประภัสสร คืนชีพให้กับปวงชน เพื่อเราทุกคนเข้าถึงความเสมอภาคเหมือนกันทุกคน คือความสงบคือปัญญา เราจะไม่ให้ตัวตนนั้นมันปรุงแต่งเรา ครอบงำเรา เราจะไม่ให้ธาตุให้ขันธ์อายตนะรูปเสียงกลิ่นรสลาภยศสรรเสริญมันมาดำเนินชีวิตเราด้วยเราไม่เข้าใจ

 

เราต้องอาศัยหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม เพราะธรรมนูญรัฐธรรมนูญสิกขาบทน้อยใหญ่มีแต่คุณมีแต่ประโยชน์ เค้าถึงเรียกว่าพุทธคุณ ธัมมคุณ สังฆคุณ มีแต่คุณเป็นความดีที่ไม่หวังอะไรตอบแทน เป็นความดีคู่กับปัญญา เป็นปัญญาคู่กับความดี

 

วันจันทร์อังคารพุธพฤหัสศุกร์หมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายต้องพากันปฏิบัติธรรมพร้อมกับการทำอาชีพไปพร้อม ๆ กัน วันเสาร์วันอาทิตย์เป็นวันหยุดทำงานภายนอก มาเน้นเรื่องจิตเรื่องใจ เพื่อให้ใจมีความสงบมีปัญญา ผู้ที่ถือศาสนาพุทธก็พากันไปที่วัด ผู้ที่ศาสนาคริสต์ก็พากันไปที่โบสถ์ ผู้ที่ถือศาสนาอิสลามก็พากันที่มัสยิด ผู้ทื่ถือศาสนาพราหมณ์ฮินดูซิกส์ก็ไปวิหารไปเทวสถาน ไปเพื่อประพฤติปฏิบัติธรรม เพื่อไปรวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน เพื่อเอาธรรมนำชีวิตเอาธรรมนูญนำชีวิต ให้เข้าใจเรื่องพระศาสนาอย่างนี้

 

เราทั้งหลายอย่าเอาพระศาสนาเป็นตัวเป็นตนเป็นนิติบุคคลตัวตน อันนั้นไม่ใช่ อันนั้นไม่ถูกต้อง การดำรงชีวิตของหมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายต้องอาศัยภาษีอากรของหมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายที่อยู่ในประเทศนั้น ๆ ผู้ที่เกิดมาต้องเสียภาษีอากรทุกคน ไม่มีใครยกเว้น ค่าใช้จ่ายหักกันไปในตัว ค่าครองชีพจากทรัพย์สมบัติของเราเค้าหักภาษีอากรไปในตัว แต่ละประเทศก็ไม่เหมือนกัน

 

การปกครองของมนุษย์ ปกครองตนปกครองคนอื่น ต้องเอาธรรมนำชีวิต เราทั้งหลายน่ะให้รู้ให้เข้าใจ ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจ เราทั้งหลายก็จะเป็นมนุษย์ไม่ได้ มันก็จะเป็นได้แต่เพียงคน ศัพท์คำว่าคนนี้หมายถึงวกวนอยู่ที่เก่า ไปไหนไม่ได้ หมายถึงเดินไปก้าวหนึ่งแล้วถอยกลับมาก้าวหนึ่งมันก็อยู่ที่เก่า ศัพท์ว่าคนก็มีความหมายอย่างนี้

 

ท่านถึงให้เอาธรรมนูญรัฐธรรมนูญเพื่อก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจมันก็จะย่ำต๊อกในความหลงไปไหนไม่ได้ ท่านพุทธทาสภิกขุเป็นผู้รู้แจ้งทางวิทยาศาสตร์รู้แจ้งทางจิตใจ ท่านถึงพูดจากใจจากพระนิพพานว่า เราทั้งหลายต้องเดินทางสายกลาง เอาระหว่างวัตถุกับจิตใจไปพร้อม ๆ กัน จะไม่ได้ยิ่งหย่อนกว่ากัน

 

เอาเหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าน่ะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เราระลึกถึงสายพิณสายกีต้าร์ที่เล่นดนตรีน่ะ ถ้าตึงเกินไปมันก็จะขาด ถ้าหย่อนเกินไปมันก็ไม่เพราะ มันต้องเข้าถึงทางสายกลาง เข้าถึงความพอดี เราเป็นมนุษย์เราต้องมีปัญญา เพื่อเอาธรรมนูญนำชีวิต เอาความดีกับปัญญานำชีวิต เราทั้งหลายจะเป็นมนุษย์ได้ก็เพราะความรู้ความเข้าใจท่านพุทธทาสได้ประพันธ์เป็นตัวอักษรไว้ว่า

 

เป็นมนุษย์  เป็นได้  เพราะใจสูง  เหมือนหนึ่งยูง  มีดี  ที่แววขน

ถ้าใจต่ำ  เป็นได้  แต่เพียงคน ย่อมเสียที  ที่ตน  ได้เกิดมา

ใจสะอาด  ใจสว่าง  ใจสงบ ถ้ามีครบ  ควรเรียก  มนุสสา

เพราะทำถูก  พูดถูก  ทุกเวลา เปรมปรีดา  คืนวัน  ศุขสันติ์จริง

ใจสกปรก  มืดมัว  และร้อนเร่า ใครมีเข้า ควรเรียก  ว่าผีสิง

เพราะพูดผิด  ทำผิด  จิตประวิง แต่ในสิ่ง นำตัว กลั้วอบาย

คิดดูเถิด  ถ้าใคร  ไม่อยากตก จงรีบยก  ใจตน รีบขวนขวาย

ให้ใจสูง  เสียได้  ก่อนตัวตาย ก็สมหมาย  ที่เกิดมา อย่าเชือน เอย ฯ

 

เราต้องรู้ต้องเข้าใจ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจชีวิตนี้มันก็ไปไม่ได้ มันเอาตัวรอดในทางที่ไม่รอด ชีวิตนี้ก็ย่อมเสียหายพังทลายเหมือนตึก สตง.ของเมืองไทย สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทย ตึกสูงสามสิบกว่าชั้นเราคิดดูดี ๆ ตึกในเมืองไทยในเมืองกรุงปริมณฑลต่างจังหวัดหลายร้อยตึกสูงกว่าใหญ่กว่าแต่ทำไมเค้าไม่พังทลาย ก็เพราะว่าความถูกต้อง ความมาตรฐานในการก่อสร้างเค้าแข็งแรงเพียงพอ แผ่นดินไหวอยู่ตั้งไกลตั้งพันกว่ากิโลประเทศพม่าเมืองมัณฑะเลย์น่ะ ความไม่รู้ไม่เข้าใจเอาความหลงนำชีวิตชีวิตนี้ก็ต้องพังทลายเหมือนตึกสตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินเป็นพยาน

 

เมืองไทยเราปัจจุบันนี้ปี ๒๕๖๘ มีการโกงกินคอร์รัปชั่นอยู่ในระดับ ๑๐๗ ของโลก โลกนี้มีทั้งหมด ๑๙๕ ประเทศ ความเสียหายอยู่ในระดับ ๑๐๗ ของโลก นับเอาตั้งแต่เลข ๑ ถ้าใครได้เลข ๑ หมายถึงโกงกิน ๑ เปอร์เซ็นต์อย่างนี้นะ นี้ ๑๐๗ ของโลกมันอยู่ในระดับเสียหาย มันอยู่ในระดับพังทลายให้รู้เข้าใจ

 

การที่เราเอาความไม่ถูกต้องนำชีวิต ไม่พัฒนาใจกับวัตถุไปพร้อม ๆ กัน มันจะเสียหาย ข้าราชการนักการเมืองนักบวชนี้เป็นผู้ที่ใช้ทรัพยากรของแผ่นดิน ผู้ที่มาเป็นข้าราชการนักการเมืองนักบวช เป็นบุคคลผู้มาบริหาร ผู้บริหารต้องเอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิต ต้องก้าวไปด้วยความสงบด้วยปัญญา ยกเลิกนิวรณ์ทั้ง ๕ ยกเลิกอคติทั้ง ๔ เพื่อข้าราชการนักการเมืองนักบวชจะได้เข้าถึงความสงบเข้าถึงปัญญา จะได้เข้าถึงหลักการอุดมการณ์

 

ทุกวันนี้มีเรื่องมีราวมีปัญญาทุกวันเลย ทั้งข้าราชการทั้งนักการเมืองทั้งนักบวชไม่มีวันไหนไม่มีเรื่องมีราว เพราะมันมีตัวตนมันก็ต้องมีเรื่องมีราว เราทั้งหลายไม่ต้องไปแก้ไขที่ใครหรอก เน้นมาที่ตัวเรานี้แหละมามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ

 

เราดูตัวอย่างแบบอย่างที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบำเพ็ญพุทธบารมีใช้เวลานานหลายล้านปีหลายอสงไขย ท่านก็เน้นที่ท่าน ท่านทวนกระแส ถ้าเราไม่ทวนกระแสเราก็เป็นผู้ไม่มีศีลไม่มีสมาธิไม่มีปัญญา เราก็เป็นผู้ที่มีแต่อัตตาตัวตนเป็นผู้ที่เอาอวิชชาเอาความหลงนำชีวิต ยกหูชูงวง เอาความหลงนำชีวิต เราทั้งหลายต้องพากันรู้เข้าใจ เพราะสถาบันหลักนี้ใช้เงินงบประมาณแผ่นดิน เราต้องทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ เพราะมีการเรียนการศึกษา แข่งขันกันมาก็เพื่อมาเสียสละ ไม่ใช่เพื่อจะมาเอามามีมาเป็น

 

ให้เข้าใจ ที่เค้าแต่งตั้งให้เราก็เพื่อให้เรารับผิดชอบ เพื่อให้เราเสียสละ เป็นตำแหน่งที่ทรงเกียรติ ที่เป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เราทั้งหลายต้องพากันแก้ไขที่ตัวเรา ให้รู้ให้เข้าใจ นอนให้เพียงพอ พักผ่อนให้เพียงพอ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบำเพ็ญพุทธบารมีสมบูรณ์ เข้าถึงความเต็มความพอเพียงเพียงพอ ท่านมาจุติ ประสูติ ตรัสรู้ แสดงธรรม บอกว่าจะละสังขาร ล้วนแต่เป็นวันเพ็ญ เป็นวันพระจันทร์เต็มดวง นี้แสดงให้เห็นถึงความเต็มความพอเพียงคือความพอดีน่ะ ให้เรารู้อริยสัจสี่ ให้เรามีปัญญา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสรู้

 

"นางสุชาดาถวายข้าวมธุปายาส"

ครั้นถึงเช้าวันเพ็ญวิสาขะ พระองค์ทรงทำทุกรกิริยาครบปีที่ ๖ ในวันวิสาขปุณณมีหรือ วันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๖ อันเป็นวันครบรอบพระชันษา ๓๕ พรรษาของพระบรมโพธิสัตว์มหาบุรุษ

ซึ่งในครั้งนี้นางสุชาดามีความประสงค์จะทำพลีกรรมในวันเพ็ญเดือน ๖ นางจึงได้สั่งให้บ่าวไพร่ ให้ช่วยกันจัดแจงหุงข้าว มธุปายาส คือ หุงข้าวด้วยนมโค โดยวิธีการเตรียมทำข้าวมธุปายาสของนางมีดังนี้
นางให้เลี้ยงแม่วัวนมไว้ในป่าชะเอมจำนวน ๑,๐๐๐ ตัว
แล้วให้แม่วัวนม ๕๐๐ ตัว ดูดกินน้ำนมของแม่วัวนม ๑,๐๐๐ ตัวนั้น
แล้วให้แม่วัวนม ๒๕๐ ตัว ดื่มกินน้ำนมของแม่วัวนม ๕๐๐ ตัวนั้น
แล้วให้แม่วัวนม ๑๒๕ ตัว ดูดกินน้ำนมของแม่วัวนม ๒๕๐ ตัวนั้น
แล้วให้แม่วัวนม ๖๓ ตัว ดูดกินน้ำนมของแม่วัวนม ๑๒๕ ตัวนั้น
แล้วให้แม่วัวนม ๓๒ ตัว ดูดกินน้ำนมของแม่วัวนม ๖๓ ตัวนั้น
แล้วให้แม่วัวนม ๑๖ ตัว ดูดกินน้ำนมของแม่วัวนม ๓๒ ตัวนั้น
และในท้ายที่สุดนางให้แม่วัวนม ๘ ตัว ดื่มกินน้ำนมของแม่วัวนม ๑๖ ตัวนั้น
หลังจากนั้นนางก็จะนำแม่วัวนมทั้ง ๘ ตัว มารีดเอาน้ำนมและนำน้ำนมมาเคี่ยวจนข้นเป็นนมข้นหวาน ทำให้มีรสอร่อยมาก เรียกว่า "ขีรปริวรรต" และในวันที่นางให้รีดนมนั้น ลูกวัวไม่กล้าเข้าใกล้แม่วัวเหล่านั้นเลย พอนางสุชาดาน้อมภาชนะเข้าไปรองใต้ท้องแม่โคเท่านั้น น้ำนมก็หลั่งออกมาจากเต้านมของแม่วัวเอง นางเห็นความอัศจรรยดังนั้นก็เกิดความปิติยินดีอย่างยิ่ง จึงตักน้ำนมด้วยมือของตนเองใส่ลงในภาชนะใหม่ แล้วรีบก่อไฟด้วยมือของตนเอง

เมื่อนางกำลังหุงข้าวปายาสนั้นอยู่ ฟองใหญ่ ๆ ผุดขึ้นไหลวนเป็นทักษิณาวัฏ น้ำนมแม้จะแตกออกจากกัน แม้สักหยาดเดียวก็ไม่กระเด็นออกไปข้างนอก ควันไฟแม้มีประมาณน้อยก็ไม่ตั้งขึ้นจากเตาไฟ

ในยามนั้น ท้าวจตุโลกบาลมาถือการอารักขาที่เตาไฟ ท้าวมหาพรหมกั้นฉัตร ท้าวสักกะทรงนำดุ้นฟืนมาใส่ไฟให้ลุกโพลงอยู่ เทวดาทั้งหลายรวบรวมเอาโอชะที่สำเร็จแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายในทวีปใหญ่ทั้ง ๔ มีทวีปน้อยสองพันเป็นบริวารมาใส่ลงในข้าวปายาสนั้น ด้วยเทวานุภาพของตน ๆ เสมือนคั้นรวงผึ้งซึ่งติดอยู่ที่ท่อนไม้ถือเอาต้นน้ำหวานฉะนั้น จริงอยู่ ในเวลาอื่น ๆ เทวดาทั้งหลายใส่โอชะในทุก ๆ คำข้าว แต่ในวันบรรลุพระสัมโพธิญาณ และวันปรินิพพานได้ใส่ลงในหม้อเลยทีเดียว

นางสุชาดาได้เห็นความอัศจรรย์มิใช่น้อย ซึ่งปรากฏแก่ตน ณ ที่นั้น ในวันเดียวเท่านั้น จึงเรียกนางปุณณาทาสีมาพูดว่า

    "นี่แน่ะแม่ปุณณา วันนี้เทวดาของพวกเราน่าเลื่อมใส่ยิ่งนัก
     เพราะว่าเราไม่เคยเห็นความอัศจรรย์เห็นปานนี้
    ในเวลามีประมาณเท่านี้ เธอจงรีบไปปัดกวาดเทวสถานโดยเร็ว 
     นางปุณณาทาสีรับคำของนางแล้วรีบด่วนไปยังโคนไม้

ในตอนกลางคืนวันนั้น แม้พระโพธิสัตว์ก็ได้ทรงเห็นมหาสุบินนิมิตร ๕ ประการ เมื่อทรงใคร่ครวญดู จึงทรงกระทำสันนิษฐานว่า วันนี้ เราจักได้เป็นพระพุทธเจ้าโดยไม่ต้องสงสัย เมื่อราตรีนั้นล่วงไป จึงทรงกระทำการปฏิบัติพระสรีระ ทรงคอยเวลาภิกขาจาร

พอเช้าตรู่ จึงเสด็จมาประทับนั่งที่โคนไม้นั้น ยังโคนไม้ทั้งสิ้นให้สว่างไสวด้วยพระรัศมีของพระองค์

ลำดับนั้น นางปุณณาทาสีนั้นมาได้เห็นพระโพธิสัตว์ประทับนั่งที่โคนไม้มองดูโลกธาตุด้านทิศตะวันออกอยู่ และต้นไม้ทั้งสิ้นมีวรรณะดุจทองคำเพราะพระรัศมีอันซ่านออกจากพระสรีระของพระองค์ นางปุณณาทาสีนั้นได้เห็นแล้วจึงมีความคิดดังนี้ว่า วันนี้เทวดาของเราเห็นจะลงจากต้นไม้มานั่งเพื่อคอยรับพลีกรรมด้วยมือของตนเอง จึงเป็นผู้มีความตื่นเต้น รีบมาบอกเนื้อความนั้นแก่สุชาดา

นางสุชาดาได้ฟังคำของนางปุณณาทาสีนั้นแล้วมีใจยินดีพูดว่า ตั้งแต่วันนี้ไป เจ้าจงตั้งอยู่ในฐานะเป็นธิดาคนโตของเรา แล้วได้ให้เครื่องอลังการทั้งปวงอันสมควรแก่ธิดา

และก็เพราะเหตุปัจจัยของพระองค์ท่านที่ในวันจะได้บรรลุความเป็นพระพุทธเจ้า ควรจะได้ถาดทองใบหนึ่งซึ่งมีราคาหนึ่งแสน ด้วยเหตุปัจจัยนั้นจึงทำให้นางสุชาดาทำความคิดให้เกิดขึ้นว่า เราจักใส่ข้าวปายาสในถาดทอง นางมีความประสงค์จะให้นำถาดทองราคาหนึ่งแสนมาเพื่อใส่ข้าวปายาสในถาดทองนั้น จึงรำพึงถึงโภชนะที่สุกแล้ว ข้าวปายาสทั้งหมดได้กลิ้งมาตั้งอยู่เฉพาะในถาด เหมือนน้ำกลิ้งมาจากใบปทุมฉะนั้น ข้าวปายาสนั้นได้มีปริมาณเต็มถาดหนึ่งพอดี นางจึงเอาถาดใบอื่นครอบถาดใบนั้นแล้วเอาผ้าขาวพันห่อไว้ ส่วนตนประดับประดาร่างกายด้วยเครื่องประดับทุกอย่าง เสร็จแล้วทูนถาดนั้นบนศีรษะของตนไปยังโคนต้นไทรด้วยอานุภาพใหญ่ เห็นพระโพธิสัตว์แล้วเกิดความโสมนัสเป็นกำลัง สำคัญว่าเป็นรุกขเทวดา จึงโน้มตัวเดินไปตั้งแต่ที่ที่ได้เห็น ปลงถาดลงจากศีรษะแล้วเปิด(ผ้าคลุม)ออก เอาสุวรรณภิงคาร คนโทน้ำทองคำตักน้ำที่อบด้วยดอกไม้หอมแล้วได้เข้าไปหาพระโพธิสัตว์ยืนอยู่

บาตรดินที่ฆฏิการมหาพรหมถวาย ไม่ได้ห่างพระโพธิสัตว์มาตลอดกาลมีประมาณเท่านี้ ขณะนั้นได้หายไป พระโพธิสัตว์ไม่ทรงเห็นบาตรจึงเหยียดพระหัตถ์ขวาออกรับน้ำ นางสุชาดาจึงวางข้าวปายาสพร้อมทั้งถาดลงบนพระหัตถ์ของพระมหาบุรุษ พระองค์ทรงแลดูนางสุชาดา กำหนดพระอาการ นางจึงได้ทูลว่า

     "ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ดิฉันบริจาคแก่ท่านแล้ว
      ท่านจงถือเอาถาดนั้นไปกระทำตามความชอบใจเถิด
      ถวายบังคมแล้วทูลว่า

     "มโนรถของดิฉันสำเร็จแล้ว ฉันใด
      แม้ มโนรถของท่านก็จงสำเร็จ ฉันนั้น
      นางบริจาคถาดทองซึ่งมีราคาตั้งหนึ่งแสน
      เหมือนบริจาคใบไม้เก่าไม่เสียดายเลย แล้วหลีกไป"

ข้าวมธุปายาสของนางสุชาดา ถือเป็น  ภัตตาหารมื้อแรก หรือ การถวายอันสำคัญ ก่อนที่พระบรมโพธิสัตว์จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เมื่อนางสุชาดาทูลลากลับไปแล้ว พระบรมโพธิสัตว์จึงเสด็จจากร่มนิโครธพฤกษ์ ทรงถือถาดมธุปายาสนั้นเสด็จสู่ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา เมื่อทรงพระวรกายแล้วจึงประทับนั่งริมฝั่งแม่น้ำนั้น บ่ายพระพักตร์สู่ถิ่นบรูพา คือตะวันออก ทรงปั้นข้าวมธุปายาสเป็นปั้นๆ ได้ ๔๙ ปั้น แล้วเสวยจนหมด ซึ่งถือเป็นอาหารทิพย์อันจะคุ้มได้ถึง ๗ สัปดาห์ หรือ ๔๙ วัน ในการเสวยวิมุตติสุขภายหลังการตรัสรู้

(องฺ.อ. ๑/๒/๘๓-๘๖; วินย. ๔/๒๗-๒๙; อป.อ. ๘/๑/๑๓๗-๑๔๐)

เมื่อพระผู้มีพระภาคแรกตรัสรู้ ทรงเสวยวิมุตติสุข ณ ควงไม้โพธิพฤกษ์ตลอด ๗ วัน  และทรงมนสิการปฏิจจสมุปบาทเป็นอนุโลม และปฏิโลม ตลอดปฐมยาม มัชฌิมยาม และปัจฉิมยามแห่งราตรี

วิมุตติสุข : สุขเกิดแต่ความหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะและปวงทุกข์; พระพุทธเจ้าภายหลังตรัสรู้แล้วใหม่ๆ ได้เสวยวิมุตติสุข 7 สัปดาห์ตามลำดับคือ

สัปดาห์ที่ 1 ประทับภายใต้ร่มไม้มหาโพธิ์ ทรงพิจารณาปฏิจจสมุปบาท

สัปดาห์ที่ 2 เสด็จไปประทับยืนด้านอีสาน ทรงจ้องดูต้นมหาโพธิ์ไม่กระพริบพระเนตร ที่นั้นเรียกว่า อนิมิสเจดีย์

สัปดาห์ที่ 3 ทรงนิรมิตที่จงกรมขึ้นระหว่างกลางแห่งพระมหาโพธิ์และอนิมิสเจดีย์ เสด็จจงกรมตลอด 7 วัน ที่นั้นเรียก รัตนจงกรมเจดีย์

สัปดาห์ที่ 4 ประทับนั่งขัดบัลลังก์พิจารณาพระอภิธรรมปิฎก ณ เรือนแก้วที่เทวดานิรมิตในทิศพายัพแห่งต้นมหาโพธิ์ ที่นั้นเรียก รัตนฆรเจดีย์

สัปดาห์ที่ 5 ประทับใต้ร่มไม้ไทร ชื่ออชปาลนิโครธ ทรงตอบปัญหาของพราหมณ์หุหุกชาติ แสดงสมณะและพราหมณ์ที่แท้ พร้อมทั้งธรรมที่ทำให้เป็นสมณะและเป็นพราหมณ์ พระอรรถกถาจารย์กล่าวว่าธิดามาร 3 คนได้มาประโลมพระองค์ ณ ที่นี้

สัปดาห์ที่ 6 ประทับใต้ต้นไม้จิก ชื่อมุจจลินท์ มีฝนตก มุจจลินทนาคราชมาวงขนดแผ่พังพานปกป้องพระองค์ ทรงเปล่งอุทานแสดงความสุขที่แท้ อันเกิดจากการไม่เบียดเบียนกัน เป็นต้น

สัปดาห์ที่ 7 ประทับใต้ต้นไม้เกดชื่อ ราชายตนะ พาณิช 2 คน คือ ตปุสสะและภัลลิกะ เข้ามาถวายสัตตุผง สัตตุก้อน และได้แสดงตนเป็นปฐมอุบาสกถึง 2 สรณะ เมื่อสิ้นสัปดาห์ที่เจ็ดที่นี้แล้ว เสด็จกลับไปประทับใต้ต้นอชปาลนิโครธอีก ทรงดำริถึงความลึกซึ้งแห่งธรรมที่ตรัสรู้ คือปฏิจจสมุปบาทและนิพพาน แล้วน้อมพระทัยที่จะไม่แสดงธรรม

มีพระปริวิตกแห่งจิตว่าธรรมที่ได้บรรลุแล้ว เป็นคุณอันลึก เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก ทรงเห็นว่ายังไม่ควรจะประกาศธรรม พระทัยก็น้อมไปเพื่อความขวนขวายน้อย ไม่น้อมไปเพื่อทรงแสดงธรรม

ท้าวสหัมบดีพรหม ได้มาทูลขอให้พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรม พระผู้มีพระภาคทรงอาศัยความกรุณาในหมู่สัตว์  จึงทรงตรวจดูด้วยพุทธจักษุ ทรงเห็นสัตว์ทั้งหลาย ทั้งที่มีธุลีคือกิเลสในจักษุน้อยและมาก ทั้งที่มีอินทรีย์แก่กล้าและอ่อน ทั้งที่มีอาการดีและทราม ทั้งที่จะสอนให้รู้ได้ง่ายและยาก ทั้งที่มีปกติเห็นปรโลกและโทษโดยความเป็นภัย เปรียบเหมือนดอกบัว ที่เกิด เจริญ งอกงามแล้วในน้ำ บางเหล่ายังจมในน้ำ อันน้ำเลี้ยงไว้ บางเหล่าตั้งอยู่เสมอน้ำ บางเหล่าตั้งอยู่พ้นน้ำ อันน้ำไม่ติดแล้ว ดังนั้น พระผู้มีพระภาคจึงทรงประทานโอกาสเพื่อจะแสดงธรรม

แล้วทรงมีพุทธปริวิตกว่าควรจะแสดงธรรมแก่ใครเป็นคนแรก เมื่อทรงทราบว่า อาฬารดาบสกาลามโคตรและอุทกดาบสเสียชีวิตแล้ว

จึงระลึกถึงนักบวชกลุ่มปัญจวัคคีย์ พระองค์ได้เสด็จพระดำเนินไปที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันที่พำนักอาศัยของเหล่าปัญจวัคคีย์ และทรงแสดงธรรมะเป็นครั้งแรกนับแต่วันที่พระองค์ได้ตรัสรู้เป็นพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เรียกว่า ปฐมเทศนา หลักธรรมที่พระองค์ทรงแสดงในครั้งแรกนี้ชื่อว่า ธัมมจักกัปปวัตนสูตร
๑) เหตุผลที่พระพุทธเจ้าทรงเลือกแสดงปฐมเทศนาแก่ปัญจวัคคีย์ มีดังต่อไปนี้
(๑) เพื่อตอบปัญหาความเข้าใจผิดของปัญจวัคคีย์ ภายหลังจากการบำเพ็ยทุกรกิริยาพระสิทธัตถะโพธิสัตว์ทรงเห็นว่าไม่ใช่ทางแห่งความพ้นทุกข์จึงทรงเลิกบำเพ็ญทุกรกิริยาแล้วหันมาเสวยพระกระยาหาร ในมุมมองของปัญจวัคคีย์เข้าใจผิดว่าพระองค์ทรงละความเพียรพยายามเพื่อการตรัสรู้กาลายเป็นคน “เห็นแก่กิน” จึงพากันแยกทางหนีจากพระองค์ไป ดังนั้นเพื่อจะตอบปัญหาที่ค้างคาใจของปัญจวัคคีย์ และประสงค์ให้รู้ว่า “ทุกรกิริยามิใช่ทางแห่งการบรรลุธรรม แต่อริยมรรคมีองค์แปด (มัชฌิมาปฏิปทา)เท่านั้นที่จะนำไปสู่ความพ้นทุกข์” พระองค์จึงทรงมุ่งหวังแสดงปฐมเทศนาแก่ปัญจวัคคีย์ก่อนใครอื่นเป็นประการสำคัญ
(๒) ทรงประสงค์ให้ปัญจวัคคีย์เป็นสักขีพยานการตรัสรู้ เป็นที่ทราบกันดีว่า ปัญจวัคคีย์คือคณะบุคคลกลุ่มแรกที่เชื่อมั่นว่าพระองค์จะตรัสรู้เป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงออกบวชตาม และรู้เรื่องราวการบำเพ็ญธรรมเพื่อการตรัสรู้ของพระองค์เป็นอย่างดี ดังนั้นปัญจวัคคีย์จึงเป็นกลุ่มบุคคลที่เหมาะสมอย่างยิ่งในการเป็นสักขีพยาน การตรัสรู้ของพระองค์
๒) ใจความสำคัญของปฐมเทศนา แบ่งออกเป็น ๓ ตอนดังนี้
ใจความตอนแรก ทรงแสดงถึงทางสุดโต่งหรือสุดขั้ว ๒ สาย คือ กามสุขัลลิกานุโยค ซึ่งเป็นการใช้ชีวิตหมกมุ่นอยู่ในกามสุขอันเป็นทางหย่อนเกินไป และอัตตกิลมถานุโยค ซึ่งเป้นการทรมานตนด้วยวิธีการต่างๆ อันเป็นทางตึงเกินไป จึงทรงแนะนำทางสายกลาง เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา หรือ มรรคมีองค์แปด หรือ ไตรสิกขา เพื่อเป็นทางเลือกปฏิบัติที่ถูกต้องนำไปสู่ความสงบและการตรัสรู้
ใจความตอนกลาง ทรงแสดงถึง อริยสัจ คือ ความจริงที่ประเสริฐ ๔ ประการที่พระองค์ได้ตรัสรู้ได้แก่ ความจริงว่า ด้วยความทุกข์ (ทุกข์) ความจริงว่าด้วยเหตุให้เกิดทุกข์ ((สมุทัย) ความจริงว่าด้วยการดับทุกข์ (นิโรธ) และความจริงว่าด้วยข้อปฏิบัติที่นำไปสู่การดับทุกข์ (มรรค) อันเป็นวิธีการแก้ทุกข์หรือปัญหาที่ถูกต้อง โดยทรงอธิบายถึงกระบวนการตรัสรู้อริยสัจจว่าพระองค์ได้ทรงตรัสรู้สิ่งเหล่านี้ตามขั้นตอนอย่างไร
ใจความตอนสุดท้าย ทรงแสดงว่าพระองค์ได้ตรัสรู้แล้ว โดยทรงรู้แจ้งเห็นจริงในอริยสัจทั้ง ๔ เมื่อจบการแสดงปฐมเทศนา โกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรม กล่าวคือ เกิดความรู้ความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่า “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นย่อมมีการดับสลายไปเป็นธรรมดา” และได้ทูลขอบวช พระพุทธเจ้าทรงประทานการบวชให้ด้วยการอุปสมบทที่เรียกว่า เอหิภิกขุอุปสัมปทา ท่านอัญญาโกณฑัญญะจึงเป็นพระสาวกและเป็นพระสงฆ์รูปแรกในพระพุทธศาสนา

 

การเผยแผ่พระศาสนาครั้งแรก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านส่งพระอรหันต์ขีณาสพไปทางละรูป ทางละรูปเดียว เพราะทรัพยากรของพระอรหันต์ขีณาสพนั้นมีน้อย อย่าไปในทางเดียวหลายรูป เพราะหมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายถ้าเรายกเลิกวัฏฏสงสารด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิ สิ่งภายนอกภายในไม่อาจจะให้โทษอะไรได้ ทุกอย่างก็ย่อมมีแต่คุณเป็นสุปฏิปันโน ผู้ปฏิบัตดีปฏิบัติชอบปฏิบัติตรงปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์เป็นผู้ปฏิบัติสมควร อยู่ที่ไหนทำอะไรทุกคนก็โอเค ไม่มีเรื่องไม่มีปัญหา ก่อนจะไปเผยแผ่พระธรรมเทศนาบอกอริยสัจสี่แก่ปวงชน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็ตรัสถามผู้ที่จะไปเผยแผ่ เพราะไปสู่ประชาชนต่าง ๆ น่ะ เค้าไม่ได้เอาธรรมนำชีวิต เค้าเอานิติบุคคลตัวตนนำชีวิต เค้าดุร้ายน่ะ เธอจะทำอย่างไร สรุปง่าย ๆ เพื่อความเข้าใจจะได้ไม่เสียเวลา พระอรหันต์ขีณาสพท่านตอบปัญหาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านตอบจากใจจากพระนิพพาน เมื่อเรามีธรรมเป็นเครื่องอยู่ มีพระนิพพานเป็นเครื่องอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่างทุกกาลสถานที่นั้นย่อมไม่มีปัญหา จะมีแต่คุณมีแต่ประโยชน์

 

 องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่า

 

ถ้าเค้าด่าเราเค้าว่าให้เรา เราจะทำอย่างไร ถ้าเค้าว่าด่าเราก็ยังดีกว่าเค้าตีเรา เค้าตีเราก็ยังดีกว่าเค้าใช้ศัตราอาวุธ ถ้าเค้าอย่างศัตราอาวุธจะทำอย่างไร ก็ยังดีกว่าเค้าฆ่าเรา ถ้าเค้าฆ่าเราเราจะทำอย่างไร เค้าฆ่าเราก็ยังดีกว่าเราไปฆ่าเค้า ความหมายก็เป็นอย่างนี้แหละที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้ปรารภกับพระอรหันต์ขีณาสพที่ได้ส่งออกไปเผยแผ่ นี้เป็นคำปรารภเป็นคำพูดที่ออกมาจากความสงบ ออกมาจากปัญญา ออกมาจากพระนิพพาน

 

เราทั้งหลายเป็นมนุษย์เป็นผู้ประเสริฐเราทั้งหลายต้องมารู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้เอาธรรมนำชีวิตพากันมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายเป็นมนุษย์เป็นผู้มีลมปราณเป็นผู้ประเสริฐเรามาระลึกถึงพระธรรมคำสั่งสอนขององค์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนที่ท่านจะเสด็จดับขันธ์สู๋ปรินิพพานท่านได้ตรัสโอวาทครั้งสุดท้ายไว้ว่า

 

“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”

 

เรามาระลึกถึงโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโตท่านได้มีเมตตาตรัสไว้ว่า

ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ

ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ

ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู

ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละคือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะ

 ----------------------------------

 

โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม

เมตตาให้ไว้ในเช้าวันที่ ๑๐ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

รายการล่าสุดที่คุณดู
Visitors: 98,212