๑๓ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

วันนี้เป็นวันพุธที่ ๑๓ เดือนสิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘  ศาสนาพุทธ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ศาสนาคริสต์ ฮิจเลาะห์ศักราช ๑๔๔๖ ศาสนาอิสลาม

 

ปัญญากับการประพฤติปฏิบัติต้องก้าวไปพร้อม ๆ กัน นี้เป็นอุดมการณ์ เป็นหลักการในการประพฤติการปฏิบัติ ความสงบกับปัญญาก้าวไปพร้อม ๆ กัน ก้าวไปด้วยความตั้งใจตั้งเจตนา ไม่ประมาท ไม่ตั้งอยู่ในความประมาท เอาอดีตเป็นบทเรียน บทศึกษา เพื่อพัฒนาตัวเองในปัจจุบัน

 

พระธรรมพระวินัยแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์เป็นอุปกรณ์ในการประพฤติการปฏิบัติ เรามามีปิติมีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ ปัจจุบันเป็นวาระสำคัญ อดีตก็มาอยู่ที่ปัจจุบันแล้ว อนาคตที่ยังไปไม่ถึงก็อยู่ที่ปัจจุบัน ความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป เป็นเบรกเป็นเซฟตี้ เพื่อหยุดสัญชาตญาณ หยุดวัฏฏสงสาร รถก็ต้องมีเบรก เครื่องบินก็ต้องมีเบรก เรือก็ต้องมีเบรก มนุษย์เรามีกายวาจากิริยามารยาทอาชีพก็ต้องมีเบรก เพราะสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นมันคือกรรมคือกฎแห่งกรรมคือผลของกรรม

 

 เราทั้งหลายเอาความชอบไม่ชอบนำชีวิตนี้ไม่ได้ ทางสายกลางระหว่างวัตถุกับจิตใจมันต้องเป็นความเพียงพอพอเพียง ต้องเป็นความสงบ เป็นปัญญา เป็นอนัตตา ไม่ใช่เป็นตัวเป็นตน ต้องเป็นความสงบเป็นปัญญา ถึงจะเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ ใจก็ต้องเป็นเรื่องของใจ วัตถุก็ต้องเป็นเรื่องของวัตถุ ธรรมชาติที่เป็นความสงบและปัญญา เป็นสิ่งที่ทวนกระแส ไม่ไปตามกระแส

 

คำว่าอนามาส เป็นสิ่งที่มนุษย์ทั้งหลายต้องหยุดตัวเอง เข้าสู่หลักการในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเข้าสู่หลักการสุปฏิปันโน คือผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรง ปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์ เป็นผู้ปฏิบัติที่สมควร

เพื่อจะได้หยุดเหตุหยุดปัจจัย เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่คิดไม่ได้ เป็นสิ่งที่ตรึกนึกคิดไม่ได้ กระทำไม่ได้ ประพฤติปฏิบัติไม่ได้ เช่น ความคิดคำพูดการกระทำกิริยามารยาทอาชีพรวมมาที่ใจ เราจะไปแตะต้องนั้นไม่ได้ คำว่าพระคือผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร หลักการของพระธรรมของพระวินัย ต้นพรหมจรรย์

 

นิสัย ๔ กิจที่ควรทำเพื่อให้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป เปรียบเสมือนสายพิณ ถ้าตึงเกินไปสายพิณนั้นก็จะขาด ถ้าหย่อนเกินไปนั้นก็จะไม่ไพเราะ ความสงบกับปัญญาต้องไปพร้อม ๆ กัน เพื่อเห็นคุณเห็นประโยชน์ เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เพราะความดับทุกข์ของเรานั้นมันอยู่นอกเหตุเหนือผล มันเป็นความสงบเป็นปัญญา ไม่ใช่อัตตาตัวตน

 

อกรณียกิจก็ ๔ อย่าง ตรงกันข้ามกับนิสัย ๔ มนุษย์เราต้องไม่เอาความหลงนำชีวิต ต้องเอาปัญญาสัมมาทิฏฐินำชีวิต เพราะความหลงนี้เป็นกิจที่ไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง เป็นวัฏฏสงสาร เป็นการเวียนว่ายตายเกิด มนุษย์เราทั้งหลายต้องละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป มนุษย์เราต้องไม่ตรึกในกามหมกมุ่นในกาม  ไม่ตรึกนึกคิดในเรื่องพยาบาท เรื่องจิตเรื่องใจนี้เป็นเรื่องสำคัญ กายวาจากิริยามารยาทอาชีพนั้นเป็นเพียงอุปกรณ์ใช้งานเท่านั้นเอง ความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาปจะเป็นเบรกเป็นเซฟตี้ในการประพฤติการปฏิบัติ

 

วาระจิตของเรา วาระใจของเรานั้นมันคิดได้ทีละอย่าง ถ้าเราเอาปัญญานำชีวิตด้วยการประพฤติการปฏิบัติ มนุษย์เราถึงจะมีศีลมีสมาธิมีปัญญา ถึงจะเข้าถึงอนัตตา เป็นสภาวธรรมที่สงบ หยุดด้วยความรู้ความเข้าใจ เพราะวาระใจของเรามันคิดได้ทีละอย่าง การปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องนั้นเป็นสัมมาสมาธิ สมาธินั้นว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ว่างจากอดีต ว่างในปัจจุบัน ว่างในอนาคต เป็นสภาวะของอนัตตา ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน

 

เราทั้งหลายต้องมารู้นิสัย ๔ กิจที่ควรทำ เราทั้งหลายต้องตั้งใจตั้งเจตนาไม่มีต่อหน้าและลับหลัง ไม่ให้มีลับหลังและต่อหน้า ต้องเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม พระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ เราต้องเอามาใช้เอามาปฏิบัติ เพื่อความสงบเพื่อความระงับ บาปกรรมเวรภัยที่กิดจากกายวาจาใจกิริยามารยาทอาชีพ เราต้องเอามาใช้ เอาประพฤติมาปฏิบัติ ไม่ตั้งอยู่ในความประมาท

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นเราต้องทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ ปัจจุบันเราอย่าไปประมาท เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกรรม เหนือกฎแห่งกรรม เหนือผลของกรรม เพราะทุกอย่างนั้นไม่ใช่เราไม่ใช่คนอื่น ทุกอย่างนั้นคือกรรมคือกฎแห่งกรรมคือผลของกรรม

 

เราทั้งหลายน่ะเป็นพระได้เหมือนกันทุก ๆ คน คำว่าพระคือผู้รู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ มันเป็นคู่ขั้วบวกขั้วลบเป็นคู่น่ะ ความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติเป็นคู่ เป็นกระบวนเป็นกระแสของเหตุของปัจจัยเรียกว่ากระแสของปฏิจจสมุปปบาท

 

เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจเรื่องนิสัย ๔ อกรณียกิจ ๔ ปัจจุบัน ปี ๒๕๖๘ นี้ข้าราชการนักการเมืองนักบวชนี้ ๓ สถาบันหลักของชาติ ศาสน์ กษัตริย์  ได้ทำความเสียหายให้กับตัวเองและส่วนรวมให้กับมหาชน เพราะไม่ถือนิสัย ๔ กิจที่ควรทำ กับไปทำกรณียกิจ ๔ กิจที่ไม่ควรทำน่ะ ถึงได้เกิดความเสียหาย ให้ทุกคนรู้เข้าใจเรื่องกรรมเรื่องกฎแห่งกรรมเรื่องผลของกรรม ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ เราจะไปเอาตัวรอดในทางที่ไม่รอดนั้นมันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้มนุษย์เราทั้งหลายพากันรู้พากันเข้าใจ

 

เราทั้งหลายพากันมาเน้นที่เราที่ใจของเรา ถึงสิ่งต่าง ๆ มันจะแซบจะลำจะนัวจะหรอย จะอร่อยอย่างไรเราก็ต้องเข้าใจว่านี้คืออกรณียกิจ กิจที่ไม่ควรทำ เราทั้งหลยต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสาร ละอายต่อบาป เกรงกลัวต่อบาป เราพากันทำทุกคนเป็นอนาคาบัติกันไปหมด ชีวิตของเราจึงไม่ใช่ความดี จึงไม่ใช่ปัญญา มันไปเป็นอัตตาเป็นตัวเป็นตน ไม่ใช่ความสงบไม่ใช่ปัญญา ชีวิตด้วยการดำเนินชีวิตอย่างนี้ผลลัพธ์ก็ย่อมพังทลายเช่นเดียวกันกับตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทย เพราะเราเอาความหลงนำชีวิต เอาอกรณียกิจนำชีวิต ชีวิตนี้ก็ย่อมพังทลายเหมือนตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน

 

การแก้ที่ถูกต้อง เราทั้งหลายต้องถือนิสัย ๔ มนุษย์เราต้องพากันรู้เข้าใจเรื่องเหตุเรื่องปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี จับหลักให้ดีเรื่องนิสัย ๔ เรื่อง อกรณียกิจ ๔ เราทั้งหลายจะได้เข้าถึงหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม เราจะได้รู้จักเรื่องของอนามาส อนามาสคือกิจที่ไม่ควรทำ เราจะได้เข้าถึงทั้งใจ กายวาจากิริยามารยาทอาชีพ เราทั้งหลายจะได้เป็นข้าราชการ เป็นนักการเมือง เป็นนักบวช เป็นมนุษย์ เป็นเทวดา เป็นพระพรหม เป็นพระอริยเจ้า เป็นพระอรหันต์ หยุดกระแสหยุดกระบวนการ ไม่ไปตามกระแส ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม ให้จบลงเพียงผัสสะ ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิที่เป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา เป็นอนันตตา เป็นประภัสสร เป็นนิพพาน เป็นสันติภาพ

 

โกณฑัญญะได้รู้เข้าใจเรื่องเหตุเรื่องปัจจัย รู้เรื่องกรรม ผลของกรรม เป็นผู้รู้หลักการอุดมการณ์อุดมธรรม ได้เปล่งอุทานในใจว่า จักขุเกิดขึ้นแล้วแก่เรา ปัญญาเกิดขึ้นแล้วแก่เรา แสงสว่างเกิดขึ้นแล้วแก่เรา ได้มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ ความเป็นพระนั้นถึงเป็นได้กับทุก ๆ คน เราทั้งหลายไม่ต้องไปหาพระภายนอก ต้องหาพระในเราในตัวเรานี้แหละ

 

เราต้องตั้งใจตั้งเจตนา มีปิติสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเอาปัจจุบันเป็นวาระสำคัญในการประพฤติการปฏิบัติ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ เราทั้งหลายนั้นก็จะเป็นได้แต่เพียงคน คำว่าคนนี้มันไปไหนไม่ได้ วกวนอยู่ในที่เก่า ก้าวไปก้าวหนึ่งก็ถอยกลับก้าวหนึ่งมันเลยไปไหนไม่ได้เค้าถึงคำศัพท์ว่าคน

 

เราทั้งหลายจะได้ทำหน้าที่ของความเป็นมนุษย์ มนุษย์นี้ก็ต้องมีธรรมของวามเป็นมนุษย์ มีภพภูมิของมนุษย์ มีวีซ่าของความเป็นมนุษย์ ท่านพุทธทาสภิกขุ ท่านถึงประพันธ์ไว้ว่า เราทั้งหลายจะเป็นมนุษย์ได้ก็เพราะเราทำหน้าที่ของความเป็นมนุษย์ ไม่ใช่ทำอะไรตามใจตามอัธยาศัย

 

เป็นมนุษย์  เป็นได้  เพราะใจสูง  เหมือนหนึ่งยูง  มีดี  ที่แววขน

ถ้าใจต่ำ  เป็นได้  แต่เพียงคน ย่อมเสียที  ที่ตน  ได้เกิดมา

ใจสะอาด  ใจสว่าง  ใจสงบ ถ้ามีครบ  ควรเรียก  มนุสสา

เพราะทำถูก  พูดถูก  ทุกเวลา เปรมปรีดา  คืนวัน  ศุขสันติ์จริง

ใจสกปรก  มืดมัว  และร้อนเร่า ใครมีเข้า ควรเรียก  ว่าผีสิง

เพราะพูดผิด  ทำผิด  จิตประวิง แต่ในสิ่ง นำตัว กลั้วอบาย

คิดดูเถิด  ถ้าใคร  ไม่อยากตก จงรีบยก  ใจตน รีบขวนขวาย

ให้ใจสูง  เสียได้  ก่อนตัวตาย ก็สมหมาย  ที่เกิดมา อย่าเชือน เอย ฯ

 

เราจะเป็นเทวดาก็มีวีซ่าของความเป็นเทวดา เราจะเป็นเทวดาตั้งแต่ยังไม่ตาย มีชีวิตอยู่ก็ต้องมีธรรมะมีวีซ่าของเทวดา

 

มีธรรมะของเทวดา หรือที่เรียกว่า เทวธรรม คือ ธรรมะที่ทำให้คนเป็นเทวดา หรือธรรมะที่เทวดาพึงมี พึงปฏิบัติ ซึ่งประกอบด้วย หิริ คือความละอายต่อบาป และ โอตตัปปะ ความเกรงกลัวต่อผลของบาป ผู้ที่มีธรรมะนี้ จะเป็นผู้ที่มีความประพฤติปฏิบัติดีงามทั้งทางกายวาจากิริยามารยาทและใจ เอาอริยมรรคมีองค์แปดนำชีวิต ไม่ตั้งอยู่ในความประมาท

 

มีหิริโอตตัปปะ ความละอายใจที่จะประพฤติปฏิบัติที่ไม่ถูกต้อง ได้แก่ ผิดพระธรรมพระวินัย ข้อวัตรกิจวัตร ผิดพระธรรมพระวินัยแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านวางหลักการไว้ เป็นสิ่งที่เพียงพอพอเพียง ไม่มากเกินไปไม่น้อยเกินไป ผู้เป็นเทวดาต้องมีความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป เป็นผู้มีศีลเป็นผู้มีสมาธิเป็นผู้มีปัญญา ส่วนใหญ่น่ะเทวดาทั้งหลายจะตั้งอยู่ในความประมาท คิดว่าเป็นเทวดามีความสุขสะดวกสบาย จะมีความหลงในรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะธรรมารมณ์ ไม่เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เป็นผู้บริโภคของเก่า บริโภคความหลง ตัวตนนั้นคือเป็นสิ่งที่ประหารตัวเองนะ ตัวตนนั้นแหละเป็นรัฐประหาร ตัวเองระเบิดตัวมันเอง ไม่เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ

 

หลักการของมนุษย์ท่านถึงให้มีหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม เช่นวันจันทร์อังคารพุธพฤหัสศุกร์เป็นวันทำงานกับเป็นวันปฏิบัติธรรมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่แยกการปฏิบัติธรรมออกจากการทำงาน ไม่แยกการทำงานออกจากการปฏิบัติธรรม วันเสาร์วันอาทิตย์ให้เป็นวันหยุดงานภายนอก ให้ไปเน้นเรื่องจิตเรื่องใจ ผู้ที่ถือศาสนาพุทธก็พากันไปที่วัด ถือศาสนาคริสต์ก็พากันไปที่โบสถ์ ถือศาสนาอิสลามก็ไปที่มัสยิด ถือศาสนาพราหมณ์ ศาสนาฮินดูก็ไปที่วิหาร เทวสถาน เพื่อเป็นหลักการ เพื่อเราจะได้พิจารณา เพื่อเราจะไม่ได้หลงติดอยู่ เรียกว่าเนกขัมมะบารมี เพราะความดับทุกข์ของมนุษย์ อันหนึ่งดับทุกข์ได้ด้วยทางวิทยาศาสตร์ สิ่งที่อำนวยความสะดวกความสบายทางวิทยาศาสตร์ อีกทางหนึ่งคือทางจิตทางใจ มนุษย์เราเขาถึงให้พัฒนาวัตถุพัฒนาจิตใจไปพร้อม ๆ กัน

 

การปฏิบัติของเราถึงต้องปฏิบัติติดต่อต่อเนื่อง ถ้าไม่ปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องเดี๋ยวมนุษย์ก็จะหมดวีซ่าของความเป็นมนุษย์ เทวดาก็จะหมดวีซ่าของการเป็นเทวดาเพราะสภาวธรรมให้รู้เข้าใจ เราจะไปหยุดอยู่ด้วยสัญชาตญาณที่เป็นนิติบุคคลตัวตนนั้นไม่ได้ เราต้องรู้เข้าใจ ว่าทุกอย่างมันไม่ใช่เราไม่ใช่คนอื่น มันคือกรรมคือกฎแห่งกรรมคือผลของกรรม ปัจจุบันถึงเป็นวาระสำคัญ

 

เราทั้งหลายต้องมาเสียสละ ถ้าเราไม่เสียสละมันก็ไปไม่ได้ เพราะความอร่อยความแซบความลำความนัวความหรอยมันทำให้เราหลงอยู่ติดอยู่ ความไม่ยึดมั่นถือมั่นถึงเป็นสิ่งที่สำคัญ เป็นการพัฒนาให้เราทั้งหลายพากันเป็นพระ เป็นพระอริยเจ้าน่ะ ทุกชาติทุกศาสนา ข้าราชการนักการเมืองนักบวชทุกคนก็เป็นพระได้ ต้องเข้าใจว่าเราทุกคนต้องมาเสียสละ ถ้าไม่เสียสละก็จะไม่เป็นศีลไม่เป็นสมาธิไม่เป็นปัญญา มันจะเป็นอัตตาเป็นตัวตน ธรรมะเป็นสัมมาทิฏฐิ เป็นสิ่งที่เราต้องรู้เข้าใจ เป็นสิ่งที่ทวนกระแส เราทั้งหลายต้องผ่านธาตุผ่านขันธ์ผ่านอายตนะ ด่านเหล่านี้แหละมันสำคัญนะ เราต้องผ่านไปให้ได้ด้วยพระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตร ความสงบของเราต้องเพียงพอ ปัญญาของเราต้องเพียงพอ ความเป็นอนัตตาที่ไม่มีตัวไม่มีตนของเราต้องเพียงพอ

 

เราทั้งหลายมีสิทธิเสรีภาพพอ ๆ กัน ไม่มีใครมากใครน้อยกว่ากัน ทั้งผู้เก่าผู้ใหม่ เน้นที่ปัจจุบัน ผู้บวชผู้ที่ไม่ได้บวชก็เน้นที่ปัจจุบัน มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติอยู่ที่ปัจจุบัน เพื่อทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ เราทุกคนต้องไม่เอาความรู้สึกชอบไม่ชอบ ความชอบไม่ชอบนี้เอานำชีวิตไม่ได้ เพราะความชอบไม่ชอบนั้นคือตัวคือตนคือความปรุงแต่งนั้นเอง คือขั้วบวกขั้วลบนั้นเอง

 

เราทุกคนต้องทวนกระแส ต้องทวนธาตุทวนขันธ์ทวนอายตนะ อย่าไปตรึกในกามอย่าไปตรึกในพยาบาท ต้องทำในสิ่งที่ควรทำ ต้องยกเลิกในกิจที่ควรยกเลิก เราต้องยกทุกอย่างเข้าสู่พระไตรลักษณ์ ยกรูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณเข้าสู่พระไตรลักษณ์เป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม อย่าให้นิมิตหมายที่เป็นหญิงเป็นชายเป็นตัวเป็นตนเป็นคนหนุ่มคนสาวคนแก่คนเฒ่าคนชราต้องยกทุกอย่างเข้าสู่พระไตรลักษณ์

 

ให้เรารู้เข้าใจเรื่องภายนอกภายใน เราจะได้ยกภายนอกภายในเข้าสู่พระไตรลักษณ์ เพื่อจะได้เกิดความสงบเกิดปัญญาเกิดอนัตตา เข้าถึงพระนิพพานในปัจจุบัน ไม่ใช่อนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญ คำว่าเทอญมันไกลเหลือเกินมันนานเหลือเกิน มันเป็นการปฏิบัติข้ามภพข้ามชาติมันใช้ไม่ได้มันไม่เป็นธรรมไม่เป็นปัจจุบันธรรม เราทุกคนต้องพากันมารู้ตัวเองใส่ใจตัวเอง รู้ตัวเองมีสติรู้ตัวทั่วพร้อม รู้ตัวเองว่ากำลังคิดอะไรอยู่กำลังทำอะไรอยู่ คำว่ารู้หมายถึงมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ

 

เราต้องเบรกตัวเองหยุดตัวเองให้ได้ เราต้องหยุดเราต้องวิรัติ อนามาสกับประมาทก็คือสิ่งเดียวกันนะ อย่างศัพท์ของพระว่าวัตถุอนามาส พระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่คือมาหยุดเรื่องอนามาส คือมาหยุดเรื่องประมาทเรื่องเพลิดเพลิน ของทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีเซฟตี้ ต้องมีเบรก เช่น วัตถุอนามาส ผู้ที่มาบวชนี้ไม่สมควรที่จะจับที่จะแตะต้อง บรรยายพระธรรมพระวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพอสังเขป เพื่อเป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม

 

วัตถุอนามาส มีอะไรบ้าง? 

  • ผู้ปฏิบัติชายจะแตะต้องผู้หญิงนั้นไม่ได้ต้องอยู่ห่างกันไกล ๆ อยู่สองต่อสองก็ไม่ได้ แม้แต่ผู้หญิงหลายสิบคนไม่มีผู้ชายอยู่ด้วยก็ยังไม่ได้ ถ้าผู้ชายอยู่ด้วย ผู้ชายผู้นั้นต้องมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ เป็นผู้มุ่งมรรคนิพพานเป็นผู้ละอายต่ปบาปเกรงกลัวต่อบาป รวมทั้งอุปกรณ์ของใช้ของผู้หญิง เครื่องแต่งกายของใช้ของผู้หญิงทุกอย่าง รูปตุ๊กตาแทนผู้หญิงหรือรูปภาพของผู้หญิง นักบวชจะเอามาเซฟไว้ในโทรศัพท์นี้ไม่ได้นะ ให้ผู้ที่มาบวชทั้งหลายมาปฏิบัติธรรมทั้งหลายพากันเข้าใจ  เพราะตัวตนนั้นคือขั้วบวกขั้วลบ นักบวชหญิงก็คุยกับนักบวชชาย นักบวชชายก็อย่าพูดคุยเกี่ยวข้องกับผู้หญิง หรือผู้มาปฏิบัติธรรมทั้งหลายก็อย่าเกี่ยวข้องซึ่งกันและกัน เราคิดดูดี ๆ นะ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านจะเคร่งครัดในพระธรรมพระวินัย ท่านจะไม่มีการสอบทานกรรมฐานให้อารมณ์แก่พวกสตรีแก่พวกผู้หญิง เราต้องรู้ต้องเข้าใจถึงเรื่องขั้วบวกขั้วลบ ปกติแล้วการฟังธรรมไม่กี่ครั้งถ้าเราเอาไปประพฤติปฏิบัตินั้นมันก็แก้ปัญหาได้แล้ว แต่ที่ฟังไปนั้นไม่ได้เอาไปประพฤติไม่ได้เอาไปปฏิบัติ ฟังหูซ้ายทะลุหูขวา ไม่เอาไปประพฤติไปปฏิบัติมันถึงไม่เกิดปัญญา มันถึงมีปัญหา

 

นักบวชทั้งหลายให้รู้เข้าใจ เรื่องสตรีเรื่องสตางค์ เรื่องความหลงเรื่องยศ เรื่องตำแหน่ง มันเป็นของอร่อยของหรอยของแซบของนัวของลำ ให้รู้เข้าใจ เราคิดดูดี ๆ นะ การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสารมันข้ามธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ มันข้ามนิติบุคคลตัวตนที่เป็นสัญชาตญาณไม่ได้ บางคนมีความรู้ความสามารถมีปริญญาเอกตั้ง ๙ ใบอย่างนี้เป็นต้นมันก็แก้ปัญหาไม่ได้ เราต้องรู้เข้าใจในเรื่องปัญหานะ เรามีขั้วบวกขั้วลบมันเป็นตัวเป็นตน มันมีขั้วบวกขั้วลบ เราต้องมีเบรกมีเซฟตี้มีความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาปอย่าไปคิดว่าตัวเองฉลาดจะเอาตัวรอดน่ะ ไม่ได้นะ ความคิดอย่างนี้มันเป็นกาม เป็นนิติบุคคลตัวตน เป็นความคิดที่ชั่วหยาบ ขนาดคิดตรึกนี้ก็ถือว่าไม่ถูกต้องแล้ว ถ้าเราไปอยู่สองต่อสองถือว่ามันชั่วหยาบแล้ว มันหยาบช้า ชั่วช้าแล้ว ให้ผู้ที่มาบวชทั้งหลายให้รู้เข้าใจนะ เดี๋ยวนี้น่ะ เมืองไทยประเทศไทยเราถ้าพูดภาพรวมแล้วน่ะมันเป็นพระสมีกันทั่วบ้านทั่วเมือง สมีกับสามีก็คืออันเดียวกันนั่นแหละ ถ้าสามีนั้นจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย ถ้าสมีเรียกว่าไม่ถูกต้องตามกฎหมายมันลับ ๆ ล่อ ๆ หัวใจมันมีผัวมีเมียมีบุตรมีภรรยาให้เข้าใจ ให้เราระมัดระวังเนื้อระวังตัวนะ เราทุกคนต้องระวังเนื้อระวังตัวเพื่อเซฟตี้ตัวเอง อย่าให้คนอื่นเค้ายากลำบากมาช่วยเซฟตี้ให้เราน่ะ

 

ธรรมะที่เป็นเทวดา คือความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาปนี้เป็นสัมมาทิฏฐิ เป็นสิ่งที่เนกขัมมะ เป็นวิรัติ เพื่อยกเลิกอนามาส ในเรื่องจิตเรื่องใจเราก็ต้องวิรัติ เพื่อไม่ให้ตกอยู่ในอนามาส ไม่ให้ตกอยู่ในความประมาท เพราะทุกวันนี้ให้เข้าใจนะ ทุกคนนั้นน่ะส่วนใหญ่เค้ามีโทรศัพท์มือถือนะ เค้าจะถ่ายรูปเอาเราที่พระอยู่กับผู้หญิงสองต่อสอง หรือไปคุยกับพระสองต่อสอง หรือชอบไปบ่อย ๆ เค้าจะถ่ายรูปเอานะ มันเสียหายทั้งตัวเราจะญาติพี่น้องวงศ์ตระกูล ที่วัดนี้ได้ติดกล้องวงจรปิดไว้เยอะ เพราะกล้องวงจรปิดนี้ดี เป็นธรรมเป็นความยุติธรรมดี เพื่อจะได้เป็นหูเป็นตา เพื่อกระชับพระธรรมพระวินัยไม่ให้ขาดตกบกพร่อง เราให้คิดดูดี ๆ นะใครเค้าก็ไม่อยากมานั่งเฝ้า ผู้หญิงผู้ชายคุยกันนะ เรามาบวชเป็นพระเป็นสมณะหรือว่ามาถือศีลปฏิบัติธรรม ไม่ใช่เรามาบวชเพื่อหาลูกหาเมียนะ ไม่ใช่มาบวชเพื่อหาลูกหาผัวนะ ไม่ใช่มาวัดปฏิบัติธรรมเพื่อหาลูกหาผัวนะ อย่าพากันหน้าด้านหน้ามึน อย่าเป็นคนไม่ละอายนะ เราต้องละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป เป็นธรรมะของเทวดาที่มีปัญญาสัมมาทิฏฐิ ไม่ใช่เทวดาที่เอาความหลงนำชีวิต กายวาจากิริยามารยาทใจถึงต้องมีการรับประเคน ต้องมีเบรกมีเซฟตี้ ต้องมีความสงบมีปัญญา มันต้องมีความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป ไม่มีต่อหน้าและลับหลัง ให้ทุกคนตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติถึงจะไม่มีปัญญา ถึงจะไม่ต้องไปแอบแฝง ตัวตนมันแอบแฝง เพราะมันมีปัญหา มันมีอัตตาตัวตน โทรศัพท์มือถือถึงเป็นความเสียหาย เพราะโทรศัพท์มือถือนี้มันอันตรายนะ การที่เค้ามีภรรยา มีภรรยาทางกายเพียงคนเดียวน่ะ ถ้าเราไม่รู้เข้าใจหัวใจของเรามันจะเป็นสมีนะ มันจะมีลูกมีเมียหลายคน เรื่องโทรศัพท์มือถือนี้ท่านหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโนบอกไว้เมื่อสมัย ๒๐ ปีก่อนกว่าเรื่องโทรศัพท์มือถือมันจะทำลายความมั่นคงของศาสนา เราต้องรู้เข้าใจเรื่องเทคโนโลยีสมัยใหม่ เราต้องเอามาใช้ทำคุณทำประโยชน์เราต้องเอามาใช้เท่าที่มันจำเป็นเพราะทุกอย่างนั้นมีทั้งคุณทั้งโทษ เพราะเรามีโทรศัพท์มือถือมันเอาใส่ย่ามเอาใส่กระเป๋า แต่ถ้าภรรยามันเอาใส่กระเป๋าไม่ได้นะ ให้ทุกคนเข้มงวดตัวเองนะในเรื่องเกี่ยวข้องกับผู้หญิง เกี่ยวข้องกับสตรีสตางค์ สีดำสีกาสีสกปรก ให้เรารู้จักนิสัย ๔ อกรณียกิจ ๔ กิจที่ควรทำไม่ควรทำ

  • รัตนะที่เป็นของสตรีของผู้หญิงใช้ บรรยายธรรมวินัยพอสังเขปเพื่อให้เป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม ๑๐ ประการ เช่น ธนบัตรที่ซื้อขายแลกเปลี่ยน พระภิกษุ ภิกษุณี สามเณรสามเณรี จะจับต้องไม่ได้ ถ้าของเค้าเอามาลืมไว้หรือมาวางไว้ เราเก็บไว้เพื่อของนั้นจะไม่เสียหาย อย่างนี้ได้ ไม่เป็นไร ตัวอย่างแบบอย่างที่เค้าเอาของที่มีค่ามาถวาย นักบวชมีความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป ไม่กล้าจับ ปล่อยของเค้าเสียหาย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบอกว่าเราต้องมีปัญญา เราต้องเก็บของนั้นไว้เพื่อไม่ให้เสียหาย ทองคำน่ะ จะเป็นของใครนักบวชก็ไปจับไปแตะต้องไม่ได้ นอกจากเก็บไว้รักษาไว้เพื่อไม่ให้ของนั้นเสียหาย เพชรพลอยที่ราคาแพง ๆ แก้วมุกดา แก้วมณี แก้วประพาฬ ทับทิม บุษราคัม สังข์ (ที่เลี่ยมทอง) ศิลา (เช่น หยก) และโมรา
  • ศาสตราวุธทุกชนิด เช่นปืนเช่นระเบิดที่เค้าเอาไว้ล่าสัตว์ล่ามนุษย์ หรือทำเป็นอาวุธสงคราม
  • เครื่องดักสัตว์ทั้งหลายทุกชนิด ทั้งบกและสัตว์น้ำ นักบวชทั้งหลายหรือว่าผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายจะไปแตะต้องไม่ได้เลย
  • เครื่องประโคมดนตรีที่เค้าเล่นดนตรี วงดนตรี
  • ต้นข้าวต้นกล้าต้นไม้อะไรต่าง ๆ ถ้าพระไปช่วยเค้าปลูกอย่างนี้ ไปปลูกเพื่อจะให้ความร่มรื่น เพราะจะให้สัตว์ได้บริโภคผลไม้นั้น ไม่ใช่เพื่อเราจะได้บริโภค นักบวชถึงทำไร่ทำนาทำสวนทำเกษตรกรรมอุตสาหกรรมไม่ได้ เพราะชีวิตของนักบวชมันยกเลิกทุกอย่าง ของทุกอย่างที่จะบริโภคสู่ร่างกายนั้นหรือว่าใช้สอยนั้นต้องรับประเคน สิ่งที่ไม่ประเคนยกเว้นสองอย่างคือน้ำเปล่าน้ำบริสุทธิ์กับไม้สีฟัน ไม้จิ้มฟัน นอกจากนั้นต้องประเคนหมด ประเคนก็ต้องให้ได้หัตถบาส ห่างจากผู้รับผู้ให้ชั่วยืดแขนแล้วกำมือไว้ อย่างนี้เรียกว่าประเคน ของทุกอย่างพระนี้ถึงต้องประเคนหมดน่ะ พระธรรมพระวินัยถึงเป็นเบรกทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งใจมันต้องมีเบรกมีเซฟตี้ เพื่อความสงบและปัญญา เพื่อปัญญาและความสงบ

 

เราต้องพากันรู้เข้าใจ พระธรรมพระวินัยถึงมีแต่คุณมีแต่ประโยชน์ เค้าถึงเรียกว่าพุทธคุณ พุทธคุณก็หมายปัญญาบริสุทธิไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน มีปัญญามีความสงบมีความสงบมีปัญญา ธัมมคุณคือธรรมะคือธรรมวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่รวมทั้งข้อวัตรกิจวัตรธุดงควัตรเรียกว่าธัมมคุณ สังฆคุณคือเราเอาความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติเพื่อเดินคู่กันทั้งความสงบและปัญญา ปัญญาและความสงบมันจะลงสู่ความพอดีความพอเพียงเพียงพอ จะเป็นพระธรรมเป็นพระวินัยเป็นความสงบเป็นปัญญา ไม่เอาความประมาทนำชีวิต

 

เราทุกคนต้องพากันตั้งใจ พากันนอนพากันพักผ่อนให้เพียงพอ เรามาบวชมาปฏิบัติธรรม เรามาเจริญสติมาเจริญสัมปชัญญะ เอาทั้งความสงบเอาทั้งปัญญา วันหนึ่งคืนหนึ่งเรานอนพักผ่อน ๕ ชั่วโมงถึง ๖ ชั่วโมง เรานอน ๓ ทุ่มตื่นตี ๓ ให้ใจของเราเป็นมนุษย์ ใจของเราเป็นเทวดา เพราะเราเอาธรรมนำชีวิต เอาความสงบและปัญญานำชีวิตเราก็เป็นมนุษย์อยู่แล้ว

 

เราเป็นเทวดามีหลักการอุดมการณ์อุดมธรรมเราก็มีความสุขอยู่แล้ว ชีวิตนี้ย่อมไม่ตกต่ำด้วยนิติบุคคลตัวตน เป็นผู้มีวีซ่าทั้งมนุษย์และเทวดา มีวีซ่าของพระพรหม มีความสงบยกเลิกนิวรณ์ทั้ง ๕ ยกเลิกอคติทั้ง ๔ ใจของเราก็จะตั้งอยู่ในขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ ถ้าเราตั้งใจพักผ่อนละสิ่งภายนอกเข้าถึงความสงบ อยู่กับเอกัคคตาเราก็เข้าสู่อัปปณา การพักผ่อนเราก็ต้องมีบ้าน บ้านพัก คือศีลคือสมาธิคือปัญญา

 

เราทั้งหลายต้องมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ รู้เข้าใจ สิ่งที่ผ่านไปแล้วก็แล้วไป ช่างมัน ถ้าเรารู้เข้าใจอย่างนี้ เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ การประพฤติปฏิบัติของเราจะติดต่อต่อเนื่อง ความสงบกับปัญญาก็จะทำหน้าที่ของเค้าไปด้วยพระธรรมพระวินัย เราทั้งหลายจะได้เข้าถึงพระนิพพานคือบ้านของใจ เราต้องมีที่อยู่ที่อาศัยด้วยพระธรรมพระวินัย ระลึกถึงโอวาทสำคัญครั้งสุดท้ายของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า

 

“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”

 

หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านมีเมตตาตรัสไว้ว่า

ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ

ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ

ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู

ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละ คือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะ

 

เราทั้งหลายจะได้เข้าสู่ความมั่นคงของชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ปัจจุบัน ปัจจุบันเราไม่มีพระธรรมพระวินัย ไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีได้อย่างไร เพราะเหตุปัจจัยกระบวนการของความสงบและปัญญานั้นเป็นเหตุเป็นปัจจัย

 

---------------------------------------

โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม

เมตตาให้ไว้ในเช้าวันพุธที่ ๑๓ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา


 

Visitors: 98,212