๑๕ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๑๕ เดือนสิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ ศาสนาพุทธ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ศาสนาคริสต์ ฮิจเลาะห์ศักราช ๑๔๔๖ ศาสนาอิสลาม
การประพฤติการปฏิบัติธรรมให้พวกเราทั้งหลายพากันรู้พากันเข้าใจในการประพฤติในการปฏิบัติ
เราต้องพากันประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้อง เน้นการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน อดีตก็มารวมกันแล้วอยู่ที่ปัจจุบัน อนาคตที่จะอยู่ข้างหน้าเราก็ปฏิบัติอยู่ที่ปัจจุบัน ปัจจุบันเราประพฤติปฏิบัติอย่างไร อนาคตก็ย่อมได้เช่นนั้นเป็นอย่างนั้น ปัจจุบันถึงเป็นวาระสำคัญในการประพฤติในการปฏิบัติ เรามาเน้นการประพฤติการปฏิบัติตั้งใจตั้งเจตนา มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ
เน้นมาที่ใจของเรา เพราะว่ากายวาจากิริยามารยาทอาชีพนั้นเป็นเพียงอุปกรณ์ของจิตของใจในการประพฤติการปฏิบัติของเรา เราจะเอาความชอบความไม่ชอบนั้นไม่ได้ เพราะความชอบไม่ชอบนั้นมันคือความปรุงแต่ง ความปรุงแต่งนั้นเป็นวัฏฏสงสาร ไม่ใช่ความสงบไม่ใช่ปัญญา มันเป็นอัตตาตัวตน ความสงบและปัญญาที่เป็นสัมมาทิฏฐินั้นมันอยู่นอกเหนือความปรุงแต่ง มันเป็นธรรมะที่อยู่นอกเหตุเหนือผล เหนือความปรุงแต่ง ไม่มีความปรุงแต่ง ถ้าเรามีปัญญาเรารู้เข้าใจ มีปัญญาสัมมาทิฏฐิ เข้าสู่การประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายถึงจะมีศีลมีสมาธิมีปัญญา เข้าถึงอนัตตา มีแต่ความสงบมีแต่ปัญญา ไม่มีตัวไม่มีตน
เราทั้งหลายต้องตั้งอกตั้งใจ ความตั้งใจมั่นชอบนั้นเป็นสัมมาสมาธิ คือปัญญาสัมมาทิฏฐิ ไม่ไปตามผัสสะ ไม่ไปตามอารมณ์ ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม ไม่ให้ธาตุไม่ให้ขันธ์ไม่ให้อายตนะไม่ให้สิ่งแวดล้อมมามีอิทธิพลครอบงำสติ ครอบงำปัญญาของเรา
เราต้องรับผิดชอบในการประพฤติการปฏิบัติ การประพฤติปฏิบัติธรรมต้องเน้นปัจจุบันให้เต็มที่ ปัจจุบันต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ การประพฤติการปฏิบัติต้องไม่มีต่อหน้าและลับหลัง ถ้ามีต่อหน้าและลับหลังนั้นถือว่ายังมีความปรุงแต่ง ไม่ใช่บริสุทธิคุณ ไม่ใช่ความสงบไม่ใช่ปัญญา
วันหนึ่งคืนหนึ่งเราปฏิบัติธรรม เราต้องนอนพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายให้เพียงพอ สุขภาพร่างกายของเราต้องดี ท้องไม่ผูก นักบวชและผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย ต้องพากันเข้าใจนะ เราต้องนอนพักผ่อนอย่างน้อยวันละ ๕ ชั่วโมง ๖ ชั่วโมง
เรามาบวชมาปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัด เรานอนเราพักผ่อน เราจำวัดเวลา ๓ ทุ่ม ตื่นตี ๓ ทุก ๆ วัน การประพฤติการปฏิบัติของผู้ประพฤติผู้ปฏิบัติก็ต้องดีด้วยการพักผ่อน ด้วยการออกกำลังกาย ท้องไม่ผูก ให้นอนเป็นเวลา พักผ่อนให้เป็นเวลา ถ่ายเป็นเวลา ในชีวิตประจำวันของเรา เราเน้นในการประพฤติการปฏิบัติ เพราะการประพฤติการปฏิบัตินั้นไม่มีใครประพฤติปฏิบัติให้เรา ถึงเราจะอยู่กันเป็นกลุ่มเป็นก้อนเป็นหมู่เป็นคณะ ก็ไม่มีใครประพฤติปฏิบัติให้เรา สิ่งที่เป็นอดีตนั้นย่อมมีอยู่ในใจของเราทุก ๆ คนนะ สิ่งที่เป็นอนาคตก็ย่อมมีอยู่ในใจของเราทุก ๆ คนนะ
เราทั้งหลายพากันพยายามมีความสงบมีปัญญา อย่าให้อดีตอนาคตมันปรุงแต่งเรา ปรุงแต่งจิตใจเรา ให้พวกเราทั้งหลายให้รู้เรื่องธาตุเรื่องขันธ์เรื่องอายตนะ ทุกอย่างนั้นเค้าก็ทำหน้าที่ของเค้า เป็นใหญ่ของตัวของเค้าเอง เราทั้งหลายต้องมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ เพื่อเราทั้งหลายจะได้รู้ธรรมรู้สภาวธรรมที่สิ่งเหล่านั้นทำหน้าที่
เรามาเน้นเรื่องของความบริสุทธิ เราจะบริสุทธิได้เราก็ต้องมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ รู้ธรรมรู้สภาวธรรม รู้อริยสัจสี่ รู้ทั้งกายวาจากิริยามารยาทรู้ทั้งอาชีพ เพื่อเข้าถึงธรรมะเข้าถึงสภาวธรรม เราจะได้เข้าถึงความว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ว่างจากตัวเราว่างจากคนอื่น เราทั้งหลายจะได้เข้าถึงพระนิพพานในปัจจุบัน ตั้งแต่ยังไม่ตาย ไม่ต้องรอให้ตายเสียก่อนถึงได้พระนิพพาน พระนิพพานนั้นให้ถือว่าเป็นเรื่องธรรมเรื่องปัจจุบันธรรม
เราทั้งหลายต้องมีความสงบและปัญญาไปพร้อม ๆ กัน มีปิติมีความสุขเป็นเอกัคคตาเป็นหนึ่งเดียวคือความไม่ปรุงแต่ง เป็นอาหารของใจที่บริสุทธิคุณเกิดจากปัญญาสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง แล้วการประพฤติการปฏิบัติก็ถูกต้อง เป็นทางสายกลางระหว่างวัตถุกับจิตใจ
เราทั้งหลายอย่าให้เรื่องอดีตมาปรุงแต่งจิตใจของเราได้ เราทั้งหลายต้องเบรกตัวเอง เซฟตี้ตัวเองด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิ ด้วยการประพฤติการปฏิบัติหยุดด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา อย่าให้เรื่องอนาคตมาปรุงแต่งจิตใจของเรา ให้เราทั้งหลายเข้าใจว่าอนาคตนี้ก็ไปจากปัจจุบันนี้แหละ ถ้าปัจจุบันมันเป็นอย่างไรอนาคตก็ย่อมเป็นเช่นนั้น เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปก็ย่อมมี เพราะปัจจุบันนี้เป็นเรื่องรีบด่วน ความรู้ต้องคู่กับการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เพื่อจะเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดีไม่มากเกินไม่น้อยเกิน
เราทั้งหลายจะได้หยุดวิ่งตามผัสสะ ไม่วิ่งตามอวิชชา ไม่วิ่งตามความหลง ไม่วิ่งตามธาตุตามขันธ์ตามอายตนะ ธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ นั้นเป็นสิ่งที่มีอยู่ ให้เรารู้ให้เข้าใจ เราจะไม่ได้วิ่งตามธาตุตามขันธ์ตามอายตนะ เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจเพื่อจะได้ยกเลิกเรื่องธาตุเรื่องขันธ์เรื่องอายตนะ เราไม่ต้องเป็นทาสของอวิชชา ไม่ต้องเป็นทาสของความหลงนะ
ให้เราทุกคนนั้นได้รับอิสรภาพ ใจของเราจะได้สบาย สิ่งภายนอกก็ให้เป็นสิ่งภายนอก สิ่งภายในก็ให้เป็นสิ่งภายใน ไม่ลิดรอนสิทธิซึ่งกันและกัน
สิ่งภายนอกนั้นเราจะแก้ไขไม่ได้ เพราะความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพรากจะมีใครไปแก้ไขได้ สิ่งภายใน รูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณใครจะแก้ไขได้ เราต้องรู้ต้องเข้าใจ เราจะไม่ได้ไปเพิ่มไปตัด เราจะได้มีความสงบมีปัญญา เราจะได้ก้าวไปด้วยปฏิปทาที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา
เราต้องมาแก้ที่ใจของเราด้วยการมีสติมีสัมปชัญญะ หลักการในการประพฤติการปฏิบัติต้องแก้ทั้งใจของเรา แก้ทั้งสิ่งภายนอก เพื่อให้ใจกับวัตถุไปพร้อม ๆ กัน เป็นการพัฒนาวิทยาศาสตร์พัฒนาใจไปพร้อม ๆ กัน การประพฤติการปฏิบัติถึงเป็นเรื่องความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน ปริยัติกับปฏิบัติจะแยกออกจากกันนั้นไม่ได้เลย ถ้าแยกจากกันก็ย่อมพังทลายเหมือนตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ตึกที่ไหนเค้าก็ไม่พังทลายทั้งในเมืองกรุงปริมณฑลต่างจังหวัด พังทลายตึกเดียวคือตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน
สิ่งภายนอกภายในเป็นสิ่งที่มีอยู่ เราต้องรู้เข้าใจว่าสิ่งภายนอกภายในนั้นเป็นสิ่งที่มีอยู่ สิ่งภายในสิ่งภายนอกเป็นขั้วบวกขั้วลบ สิ่งภายนอกภายในมันเป็นโจทย์ การประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบันเป็นข้อตอบ ให้เรารู้เข้าใจว่าถ้าธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ มันเป็นเพียงอาคันตุกะที่จรไปจรมาเพียงชั่วครั้งชั่วคราว ธรรมชาติเดิมแท้นั้นคือความว่างเปล่า ไม่มีอะไร มีแต่ความว่างเปล่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบรรยายธรรมให้พระโมฆราชว่าเธอจงพิจารณาสิ่งภายนอกภายในนั้นเป็นเพียงความว่างเปล่า สิ่งที่สัญจรไปมาเป็นเพียงอาคันตุกะชั่วคราวชั่วคราวเท่านั้นนะ มัจจจุราชคือความทุกข์ก็จะไม่สามารถที่จะเข้ามาปรุงแต่งจิตใจของเราได้
เรามีความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพรากเพื่อเป็นข้อสอบ เราต้องตอบด้วยความรู้ความเข้าใจ รู้จักอาคันตุกะสัญจรไปมา เยี่ยมเยียนเราชั่วครั้งชั่วคราว
การประพฤติการปฏิบัตินั้นให้เราเข้าใจ ถ้าเราไม่มีความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพราก เราก็จะไม่มีอะไรมาประพฤติมาปฏิบัติ เราถึงมาแก้ทั้งภายนอกแก้ทั้งภายในคือจิตใจไปพร้อม ๆ กัน เพื่อเราจะได้มีความสงบ เราถึงจะมีปัญญาที่เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม ความสงบและปัญญานี้เป็นสิ่งที่พอดี ไม่ตึงเกินไปไม่หย่อนเกินไป เหมือนสายพิณ สายกีต้าร์ที่เล่นดนตรีน่ะ ถ้าตึงเกินไปสายพิณนั้นก็จะขาด ถ้าหย่อนเกินไปนั้นก็จะเสียงไม่เพราะ
เรามีปัญญามากเราก็ต้องปรับใจให้สงบ เรามีความสงบมากก็ต้องเสียสละ เพื่อให้เกิดปัญญา เพื่อเอาว่างจากตัวตนนำชีวิต เอาอนัตตาที่ไม่มีตัวมีตนนำชีวิต ถึงจะมีความสงบมีปัญญา ไม่เอาความสงบมาเป็นตัวเป็นตน ไม่เอาปัญญามาเป็นตัวเป็นตน ไม่เอาตัวตนนำชีวิต เราจะเข้าถึงความพอดีความพอเพียงเพียงพอ ที่เราพากันเวียนว่ายตายเกิด เกิดแล้วเกิดอีกตายแล้วตายอีกนี้ก็เพราะเราไม่รู้ไม่เข้าใจ
การประพฤติการปฏิบัติเราต้องรู้ต้องเข้าใจ เราต้องพากันตั้งใจตั้งเจตนา มีความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เรื่องของความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาปนี้เป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ เป็นเรื่องรู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ ถึงเป็นเรื่องรู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ การปฏิบัติธรรมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงบอกพวกเราทั้งหลายว่า อย่าไปเพลิดเพลิน อย่าไปประมาท ต้องพากันเห็นภัยในวัฏฏสงสาร พระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ ธุดงควัตร ข้อวัตรปฏิบัติต่าง ๆ เราต้องตั้งอกตั้งใจตั้งเจตนา เพื่อเราจะไม่ได้มองข้ามสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ จนไปถึงเรื่องกลางเรื่องใหญ่
เน้นในการประพฤติการปฏิบัติให้เต็มที่อย่าตั้งอยู่ในความประมาท ความประมาทคือความผิดพลาดแน่นอน เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกรรมอยู่เหนือกฎแห่งกรรม อยู่เหนือผลของกรรม ให้การประพฤติการปฏิบัตินั้นเป็นไปด้วยดี เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบปฏิบัติตรง ปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์ เพราะเห็นภัยในวัฏฏสงสาร เพื่อให้การประพฤติการปฏิบัติมันติดต่อต่อเนื่อง เป็นกระบวนการเป็นกระแสที่ติดต่อต่อเนื่อง เป็นมรรคเป็นผลเป็นพระนิพพานในปัจจุบัน เดี๋ยวนี้เวลานี้ ความประมาทนั้นให้ถือว่าเป็นความไม่ถูกต้อง เป็นตัวเป็นตน
เราจะเอาตัวเอาตนเป็นที่ตั้งนั้นเราก็จะไม่สงบ เพราะความสงบนั้นต้องไม่มีตัวไม่มีตน เพราะตัวตนนั้นคือความไม่สงบ ตัวตนนั้นคือไม่เคารพในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราไม่เคารพในพระธรรมพระวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราไม่เคารพในพระอริยสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบปฏิบัติตรงเพื่อออกจากทุกข์ปฏิบัติที่สมควร
ความสงบ ความเคารพ ความซื่อสัตย์ ความกตัญญูกตเวที เราต้องรู้ต้องเข้าใจให้ใจของเรามีธรรมมีสภาวธรรมตั้งอยู่ในความไม่ประมาท
เราทั้งหลายต้องมาแก้ที่ใจของเรา เพราะใจของเราเป็นนายสิ่งภายนอกนั้นเป็นเพียงอุปกรณ์เท่านั้นเอง เราต้องแก้ที่ใจให้ในของเรามีความเคารพถึงจะเกิดความสงบเกิดปัญญา ใจนั้นเป็นนามธรรม เป็นสิ่งที่แก้ไขได้ยาก เบื้องต้นต้องแก้ที่กายวาจากิริยามารยาทอาชีพ ถ้าเรามีความเพลิดเพลินมีความประมาทเราทุกคนก็ไม่สามารถที่จะแก้ไขได้ ไม่สามารถที่จะปฏิบัติได้ เราต้องเอาพระธรรมเอาพระวินัยธุดงควัตร ข้อวัตรกิจวัตร แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์มาใช้เป็นการประพฤติการปฏิบัติ ใจมันยังแก้ไขไม่ได้ก็ให้กายวาจากิริยามารยาทอาชีพเข้าสู่มาตรฐาน เข้าสู่ มอก. ในการประพฤติการปฏิบัติ
ใจของเราน่ะให้เรารู้เข้าใจ ใจของเรามันคิดได้ทีละอย่าง ถ้าใจของเราเอาพระธรรมเอาพระวินัยเอาความไม่ประมาท ใจของเราก็จะได้ก้าวไปด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา ด้วยปฏิปทาที่ติดต่อต่อเนื่อง เข้าสู่ความวิเวกด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา ในชีวิตประจำวันของเราปัจจุบันเราต้องรู้เข้าใจในเรื่องผัสสะที่เกิดขึ้นจากตาหูจมูกลิ้นกายใจ เราทั้งหลายจะไม่ได้ไปตามผัสสะ ใหมันจบลงเพียงผัสสะ อย่าให้มันเกิดเวทนา เกิดเป็นนิติบุคคลตัวตน เราทั้งหลายถึงจะไปประมาทไม่ได้ ไปขี้เกียจขี้คร้านไม่ได้ ปัจจุบันของเราถึงเป็นฟอร์มสด มีความสงบและปัญญาเพื่อเข้าถึงฟอร์มสดในปัจจุบัน
ปัจจุบันเราทั้งแก้ทั้งภายนอกแก้ทั้งภายในไปพร้อม ๆ กัน เพื่อความสงบและปัญญาจะได้ทำงาน เพื่อเป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นปฏิปทา เพราะใจของเราเป็นวาระ ๆ ใจไป เมื่อเรารู้เข้าใจเรื่องอาคันตุกะที่จรไปจรไป เราทั้งหลายจะได้รู้เรื่องอนัตตาว่าสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากธาตุจากขันธ์จากอายตนนั้นมันเป็นเพียงอาคันตุกะที่จรไปจรมา
ไม่ใช่เราจะไปแก้ตั้งแต่ภายนอกนะ ถ้าเราแก้ตั้งแต่ภายนอกมันก็เป็นไปทางวิทยาศาสตร์ไปทางตัวตน แต่มันเป็นการเอาตัวรอดด้วยความไม่รอด เราต้องแก้ทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพพร้อมทั้งเรื่องจิตเรื่องใจไปพร้อม ๆ กัน
ให้พวกเราทั้งหลายพากันมาปรับปรุงแก้ไขในการประพฤติการปฏิบัติของเรา เราบวช เรามาบวชเรามาประพฤติปฏิบัติธรรม ต้องให้สมบูรณ์แบบทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งใจ เราทั้งหลายจะบวชทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งกิริยามารยาท บวชทั้งใจ คำว่าบวชนี้ถึงจะเป็นอบรมบ่มอินทรีย์ รู้เข้าใจ ไม่ไปตามผัสสะ ไม่ไปตามอารมณ์ ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม หยุดตัวเองด้วยพระธรรมพระวินัย ด้วยข้อวัตรกิจวัตร ธุดงควัตรด้วยสติด้วยสัมปชัญญะ ด้วยพระธรรมด้วยพระวินัย ธุดงควัตร ข้อวัตรกิจวัตรต่าง ๆ เราทุกคนน่ะต้องพากันรู้จักการประพฤติการปฏิบัติ ที่เป็นข้อวัตรข้อปฏิบัติของเรา ในปัจจุบันเราต้องให้การประพฤติการปฏิบัติของเรานี้ฟอร์มสด เอาความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ การปฏิบัติของเราในปัจจุบันต้องให้เป็นฟอร์มสด ปัจจุบันให้เป็นไฟต์ เป็นการชิงแชมป์ระหว่างหยุดเวียนว่ายตายเกิดและการเวียนว่ายตายเกิด
เราทั้งหลายต้องมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์อย่าให้ธาตุให้ขันธ์ให้อายตนะมันครอบงำสติปัญญาเรา อย่าให้ธาตุให้ขันธ์มันครอบงำใจของเรา เดี๋ยวฟอร์มของเราจะตกฟอร์มของเราจะไม่สดนะ
ร่างกายของเราทุก ๆ คนต้องแข็งแรง กายวาจากิริยามารยาทของเราต้องสมบูรณ์ จะได้เป็นความงามในเบื้องต้น ท่ามกลางและที่สุด อินทรีย์สังวร สังวรทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ สังวรในพระปาฏิโมกข์สิกขาบทน้อยใหญ่ เราต้องไม่ตั้งอยู่ในความประมาท ไม่ตรึกในกาม ไม่ตรึกในพบาบาท พิจารณาทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเรา พิจารณาให้เกิดพระไตรลักษณ์ ให้เกิดปัญญาสัมมาทิฏฐิ เพื่อให้เข้าถึงฟอร์มสดในปัจจุบัน ให้เข้าใจว่าตัวตนนั้นไม่ใช่ฟอร์มสด ตัวตนนั้นคือของบูดของเน่าของเสียหายของปฏิกูล ตัวตนนั้นท่านหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ท่านบอกว่า ตัวตนนั้นมันเน่าในเปียกแฉะ ตัวตนนั้นมันเหม็นเหลือกเกิน เหม็นสามแดนโลกธาตุ ไม่ใช่เหม็นธรรมดานะ
การประพฤติการปฏิบัติให้พวกเราเข้าใจ เราไม่รู้ไม่เข้าใจเราก็ปฏิบัติไม่ได้เพราะไม่มีปัญญาสัมมาทิฏฐิ ไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ ไม่รู้ข้อปฏิบัติถึงความทุกข์มันจะปฏิบัติได้อย่างไร เราก็อยากให้มันสงบ มันจะสงบได้อย่างไรเพราะไม่มีเหตุไม่มีปัจจัย ความสงบนั้นจะสงบได้มันต้องมีเหตุมีปัจจัยนะ ความอยากความไม่อยากไม่ใช่ความสงบนะ ให้เรารู้เข้าใจ ความอยากความไม่อยากนั้นมันคือความไม่สงบคือความวุ่นวายนะ ปกติเราทุกคนพื้นฐานพากันเอาอวิชชาเอาความหลงนำชีวิต เอาตัวเอาตนนำชีวิต ตัวตนนั้นมันก็ไม่สงบอยู่แล้ว เพราะมีตัวมีตนมันไม่สงบ อยากให้มันสงบมันก็ยิ่งวุ่นวาย เราอยากให้มันสงบมันก็ยิ่งไม่สงบ เราเป็นโรควุ่นวายโรคไม่สงบอยู่แล้ว เราต้องรู้ต้องเข้าใจ เราจะไม่ได้เพิ่มโรคจิตโรคประสาทเพิ่มทวีคูณมากขึ้นไปอีก ปกติเราก็มีโรคซึมเศร้าเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว เรายิ่งจะมาเอามามีมาเป็นมันก็ยิ่งมากทวีคูณ
การทำอะไรเพื่อหวังผลประโยชน์ตอบแทนมันเป็นการเอาตัวรอดในทางที่ไม่รอดนะ ให้เรารู้เข้าใจ ทำอะไรทุกอย่างอย่าไปหวังผลอะไรตอบแทน เราต้องทำไปเรารู้เหตุรู้ปัจจัย รู้ธรรมะ เราทำอะไรก็เพื่อเสียสละ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติในการเสียสละ เราพากันคิดดูดี ๆ นะธรรมชาติมันลงตัวอยู่พอดีแล้ว มันพอเพียงเพียงพอ
เราอยากให้มากมันก็ไม่ได้มาก มันก็เท่าเก่า ให้เราเข้าใจ เราทั้งหลายจะไม่ได้ไปตรึกนึกคิดในเรื่องกามในเรื่องพยาบาทให้ตัวเองมีความทุกข์เปล่า ๆ เราทั้งหลายจะไม่ได้เอาความปรุงแต่ง เราต้องหยุดความปรุงแต่งด้วยความรู้ความเขาใจด้วยพระธรรมพระวินัยด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิ เราจะไปปรุงแต่งมันทำไม เราอยากให้น้อยมันก็ไม่น้อย เพราะของมันมีเท่านี้ เราจะไปปรุงแต่งมันทำไม เราอยากให้เราสวยงามมากกว่านี้มันก็ไม่สวยงามมากกว่านี้หรอก เราต้องรู้จักความสวยความงาม ศีลสมาธิปัญญาคือความสวยความงาม ความสงบและปัญญานั้นคือความสงบความงาม
เราจะไปปรุงแต่งให้เราเป็นทุกข์ไปทำไม ทุกอย่างน่ะเราไปคิดเองเออเอง เราทุกคนให้เข้าใจนะ เราไปคิดเองเออเองเหมือนกับคนผีบ้าพูดอยู่คนเดียว ผีบ้าน่ะ อยากไม่ให้แก่ไม่อยากเจ็บไม่ให้ตายไม่ให้พลัดพรากเค้าเรียกคนบ้า คนผีบ้า คนมีเชื้อบ้า ไปตรึกนึกคิดในสิ่งที่เป็นไปม่ได้ เราคิดไม่ถูกต้อง ตรึกไม่ถูกต้อง มันแก้ปัญหาไม่ได้นะ ถึงจะตายแล้วเกิดแล้วหลายภพหลายชาติหลายล้านชาติมันก็แก้ปัญหาไม่ได้ เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจปัญหา เราอย่าไปหาเรื่องหาราวให้กับตัวเอง อย่าไปหาเรื่องหาราวให้กับคนอื่น เราต้องรู้เข้าใจ ถ้าไม่รู้เข้าใจมันจะก้าวไปด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ
ให้เรารู้ให้เราเข้าใจ ความปรุงแต่งมีแต่ความเป็นทุกข์ทั้งนั้น นอกจากทุกข์แล้วไม่มีอะไรเลย ทุกข์ฟรี ๆ ทุกข์เปล่า ๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงตรัสว่า การมารู้เข้าใจ การเรามาสงบระงับสังขารด้วยความรู้ความเข้าใจด้วยพระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตรธุดงควัตรถึงเป็นความสุขอย่างยิ่ง ทุกอย่างถึงจะมีแต่คุณ พุทธคุณธัมมคุณสังฆคุณ เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์ปฏิบัติสมควร
ด้วยความรู้ความเข้าใจ นี้คือการประพฤติการปฏิบัติที่ติดต่อต่อเนื่องเพื่อให้เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา เป็นอนัตตา เป็นความว่างจากความหลงว่างจากตัวจากตน ไม่ใช่เอานิติบุคคลตัวตนเอาความหลงนำชีวิต เอาพระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตรธุดงควัตรของเราในปัจจุบันให้สมบูรณ์ ด้วยปิติสุขเอกัคคตาเราทั้งหลายจะได้เข้าสู่ความเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา เป็นพรหม เป็นพระอริยเจ้าในปัจจุบัน เราทั้งหลายให้รู้เข้าใจอย่าไปรออนาคต ต้องให้เข้าถึงธรรมถึงปัจจุบันธรรม
เราคิดดูดี ๆ นะ ปัจจุบันนี้นะ เราไม่เอาความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ ปัจจุบันก็จะไม่เป็นปัจจุบันธรรม มันเป็นตัวเป็นตน ตัวนนั้นคือไม่ใช่มรรคผลพระนิพพาน ตัวตนนั้นคือตัวตน เราทั้งหลายอย่าไปคิดว่าพระนิพพานอยู่เบื้องหน้าโน้นเทอญ คำว่าเทินนี้มันไกลเหลือเกิน ไม่รู้เมื่อไหร่จะไปถึง
ปัจจุบันเราต้องรู้จักการประพฤติการปฏิบัติ อย่าไปผลัดวันประกันพรุ่ง ตั้งอยู่ในความประมาท เพราะเราต้องรู้เข้าใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นถ้าเราประมาทแล้วมันจะไม่จบ ต้องจบด้วยความรู้ความเข้าใจ ต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เพื่อให้เข้าถึงภาคประพฤติภาคปฏิบัติในปัจจุบัน
อนาคตนั้นก็ย่อมไปเป็นไม่ได้ถ้าไม่มีการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน เพราะไม่มีเหตุไม่มีปัจจัย เราต้องถือนิสัย ๔ กิจที่ควรทำ เราต้องเข้าสู่กายวาจากิริยามารยาทใจ เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติในปัจจุบัน เราทั้งหลายจะได้มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน
เราต้องรู้อกรณียกิจ ๔ อย่าง กิจที่ไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่งในปัจจุบัน เราต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสารในอกรณียกิจในกิจที่ไม่ควรทำ ถ้าปัจจุบันเราไม่หยุด ไม่มีเหตุไม่มีปัจจัยมันจะหยุดได้อย่างไรเพราะไม่มีเหตุไม่มีปัจจัย
เราต้องรู้ต้องเข้าใจ ต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสาร ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจในธรรมในสภาวธรรมในเรื่องกรรมเรื่องกฎแห่งกรรมผลของกรรม เราทั้งหลายก็ย่อมตั้งอยู่ในความเพลิดเพลินในความหลงความประมาท
เค้าจะเดินทางไกลเค้าต้องก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจทั้งกายวาจากิริยามารยาทด้วยความรู้ความเข้าใจ เค้าต้องอาศัยยานพาไปด้วยก้าวเท้าซ้ายเท้าขวา มนุษย์สมัยใหม่มีการพัฒนาวิทยาศาสตร์เค้าใช้ยานพาหนะรถใช้เครื่องบิน ใช้เรือในการเดินทางถึงจะรวดเร็วว่องไวทันใจ ความตั้งใจตั้งเจตนามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ
เราประมาท ไม่ตั้งใจประพฤติปฏิบัติในปัจจุบัน ให้เข้าใจนะ มันเป็นความเสียหายเป็นความพังทลายเช่นเดียวกับตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน
เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เราคิดว่าเราจะเอาตัวรอดน่ะ ตัวตนนั้นคือความไม่รอด ต้องเอาตัวรอดในทางที่รอด เราต้องพัฒนาทั้งวิทยาศาสตร์ พัฒนาทั้งใจไปพร้อม ๆ กัน ถึงจะเดินช้าไม่เป็นไรให้มันถูกต้อง เราจะเดินปานกลางก็ยิ่งดีขึ้น เราเดินเร็วก็ยิ่งดี ความดีความถูกต้องมันเป็นการเอาตัวรอดในทางที่รอด เราทั้งหลายต้องมารู้ธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ ของตัวเอง ให้รู้จักว่าอันนี้มันคือกรรม กรรมเก่าของเราทุกคน เราทั้งหลายจะได้หยุดกรรมด้วยความรู้ความเข้าใจ จะไม่ได้สร้างกรรมใหม่ เราจะเอาขั้วบวกขั้วลบมาทำงานให้เป็นวัฏฏสงสารนั้นไม่ได้
เราทุกคนต้องพากันทวนกระแสน่ะ เราต้องระมัดระวังเหมือนช่างไฟฟ้าปฏิบัติต่อสายไฟฟ้าแรงสูง ต้องระมัดระวัง ต้องระมัดระวังเหมือนผู้ที่ใช้เครื่องจักรทำงาน เพราะสิ่งเหล่านี้มันอันตราย เราทั้งหลายต้องตั้งอยู่ในความไม่ประมาท เราทั้งหลายต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสาร ถ้าไม่เห็นภัยในวัฏฏสงสารก็ย่อมประมาท ในการเกี่ยวข้องกับไฟฟ้ากระแสไฟฟ้า เราย่อมประมาทในการใช้เครื่องจักรกลในการทำงาน
อย่างเรามาบวชมาประพฤติมาปฏิบัติธรรม ต้องเข้าสู่ความวิเวก ความวิเวกทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งใจ เราทั้งหลายต้องเข้าสู่ความวิเวก พระธรรมพระวินัยธุดงควัตร ข้อวัตรกิจวัตรต่าง ๆ นั้นจะให้เราเข้าสู่ความวิเวก ใจมันไม่สงบก็ให้กายวาจากิริยามารยาทอาชีพมันสงบเสียก่อน ต้องเข้าสู่ความเป็นมาตรฐาน เข้าสู่ มอก. มาถือนิสัย ๔ ยกเลิกอกรณียกิจ ๔ ด้วยความรู้ความเข้าใจ เพื่อเข้าสู่ความวิเวกทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งใจ อย่าให้กายวาจากิริยามารยาทอาชีพมันผิดพลาด เพราะสิ่งภายนอก กายวาจากิริยามารยาทอาชีพนี้มันเป็นของมองเห็นด้วยตา ได้ฟังเสียง เราทุกคนต้องทำให้ได้ปฏิบัติให้ได้
เราทั้งหลายต้องมีความเคารพในธรรมในคารวธรรม เพื่อเข้าสู่หลักการอุดมการณ์เข้าสู่ความวิเวก เราต้องเอาแบบอย่างตัวอย่างขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เราสู่คาวมวิเวกทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพ พระอานนท์ถึงทูลถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในเรื่องของความวิเวก จะให้ข้าพเจ้าทั้งหลายปฏิบัติต่อสุภาพสตรีอย่างไร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสกับท่านพระอานนท์ว่า อานนท์เอย
พระอานนท์ได้กราบเรียนถวายพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า การประพฤติการปฏิบัติพรหมจรรย์นี้ที่เกี่ยวข้องกับผู้หญิงที่เกี่ยวข้องกับสตรีนี้จะให้ข้าพเจ้าประพฤติปฏิบัติอย่างไร
พระอานนท์ กราบทูลถามพระพุทธองค์ว่า
“ในพรหมจรรย์นี้ มีสตรีเข้ามาเกี่ยวข้องในหลากหลายบทบาท เป็นมารดา เป็นพี่น้อง เป็นญาติ เป็นผู้มีศรัทธาในพระรัตนตรัย พระภิกษุทั้งหลายควรปฏิบัติต่อสตรีเหล่านี้อย่างไรจึงจะเหมาะสม?”
องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกับพระอานนท์ว่า
“อานนท์ การที่ภิกษุจะ ไม่จ้องมองหรือให้ความสนใจแก่สตรีเพศเลย นั่นแหละ เป็นสิ่งที่ดี”
พระอานนท์ ถามต่อ
“ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ จำเป็นต้องเห็น ต้องพบปะ จะวางตนอย่างไร?”
พระพุทธองค์ ตรัสว่า
“หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็ อย่าได้พูดคุยหรือสนทนาด้วย นั่นแหละเป็นการดี”
พระอานนท์ ถามอีกว่า
“ถ้าจำเป็นต้องพูด ต้องสนทนาด้วยเล่า จะปฏิบัติตนอย่างไร?”
พระพุทธองค์ ตรัสตอบว่า
“อานนท์ หากจำเป็นต้องพูด ต้องสนทนาด้วย ก็พึงมี สติ ระลึกอยู่เสมอ สำรวมกาย วาจา ใจ ควบคุมอินทรีย์ และ กล่าวคำอย่างสำรวม อย่าให้ความกำหนัด ความยินดี หรือความหลงไหล ครอบงำจิตใจได้”
พระพุทธองค์ยังตรัสเตือนใจอีกว่า
“สิ่งงดงามวิจิตรที่ตาเห็นนั้น แท้จริงไม่ใช่กาม แต่ความกำหนัดที่เกิดจากความดำริ คือกามของคน เมื่อละความพอใจเสียได้แล้ว สิ่งงดงามก็ยังคงอยู่อย่างนั้น แต่ไม่อาจทำให้จิตใจเป็นพิษได้อีกต่อไป…”
เพราะเรื่องสุภาพบุรุษกับสุภาพสตรีนี้เปรียบเสมือนกระแสไฟฟ้าที่เป็นขั้วบวกขั้วลบ ให้พวกเราทั้งหลายรู้เข้าใจในเรื่องการประพฤติการปฏิบัติพรหมจรรย์ เราทั้งหลายถึงต้องละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป เพราะอันนี้มันคือกรรมคือกฎแห่งกรรมและจะเป็นผลของกรรมเป็นวัฏฏสงสาร เรามาบวชมาปฏิบัติธรรม เราต้องเข้าสู่หลักการอุดมการณ์อุดมธรรม มีความสงบมีปัญญา
เบื้องต้นของการประพฤติพรหมจรรย์มีอยู่ ๔ อย่าง ได้แก่ หนึ่ง เสพเมถุน สอง ไม่ถือเอาสิ่งของต่าง ๆ ที่มีเจ้าของ ที่เค้าไม่ได้ให้ ของทุกอย่างต้องมาจากเจ้าของที่เค้าให้ เราจะไปเอาของบุคคลอื่นด้วยเขาไม่ได้ให้เรา เค้าไม่ได้มอบให้เรา นั้นไม่ได้ เราจะไม่เอาของใครที่เค้าไม่ได้มอบให้เรา เราจะเอาสิ่งของได้จากที่ผู้อื่นเค้าให้เรา สาม เราทั้งหลายจะไม่ฆ่าสัตว์ ชีวิตของเราต้องไม่มีการเบียดเบียน เราจะไม่เบีดเบียนใครมีแต่ความเมตตามีแต่ความกรุณา สัตว์เล็กสัตว์กลางสัตว์ใหญ่รวมถึงมนุษย์น่ะ เราจะไม่อวดอุตริ ยกหูชูงวง ที่ไม่มีในตน ด้วยความตั้งใจตั้งเจตนา เพื่อให้คนอื่นเค้ายอมรับคนอื่นเค้าโอเคเพื่อหวังผลประโยชน์ตอบแทนหรือลาภยศสรรเสริญ
หลักการทั้ง ๔ ข้อนี้ถือว่าเป็นต้นของพรหมจรรย์ ให้เรารู้เข้าใจ เราทั้งหลายต้องมีความสงบและปัญญา ให้เราตั้งใจตั้งเจตนา เพื่อเน้นบริสุทธิทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งใจเพื่อเข้าถึงความสงบเข้าถึงปัญญาเข้าถึงอนัตตาไม่ให้เป็นนิติบุคคลตัวตน เพื่อให้กายวาจากิริยามารยาทใจของเราไม่เป็นอนามาส
เราเป็นคนเก่งคนฉลาด ความเป็นนิติบุคคลตัวตน สมองเราดี ๆ เรามีการเรียนการศึกษา ถ้าเราไม่เข้าใจการเรียนการศึกษานั้นมันจะมาทำลายเรา การทำธุรกิจหน้าที่การงานนั้นมันจะมาทำลายเรา การที่เราเป็นข้าราชการนักการเมืองเป็นนักบวช สิ่งเหล่านั้นแหละมันจะมาทำลายเรา ถ้าความสงบของเราไม่เพียงพอ ปัญญาของเราไม่เพียงพอ มันจะหยุดพลังงานของการเวียนว่ายตายเกิดนั้นไม่ได้ ให้เข้าใจนะ ถ้าไม่เข้าใจแล้วมันจะพังทลายเหมือนตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ลองคิดดูดี ๆ นะ ตึกในเมืองไทยทั้งในเมืองกรุงปริมณฑลทั้งต่างจังหวัดมีหลายร้อยตึก แต่ตึกต่าง ๆ นั้นไม่พังทลาย มันไปพังทลายตั้งแต่ตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน การเรียนการศึกษาการทำงานการเป็นนักบวชก็ย่อมพังทลายเช่นเดียวกันตึก สตง.
ความไม่ละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาปเป็นสิ่งที่อันตราย ไม่มีอะไรที่จะอันตรายเท่ากับความไม่ละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาปนะ ต้นไม้อายุไม่ยืน อายุยืน มันอยู่ที่ยางอยู่ที่น้ำยาง ความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาปคือเป็นยางอายนะ อายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป มีความสงบมีความเคารพในพระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราทั้งหลายต้องมีความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาปมีความละอายอย่าเป็นคนที่หมดยางอาย ถ้าเราไม่มีความละอาย ไม่มียางอาย ชีวิตนี้ก็ย่อมพังทลายเช่นเดียวกับตึก สตง.นะ เราทั้งหลายต้องมีความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป เราต้องเบรกตัวเองให้อยู่
เราเป็นนักบวชเป็นผู้ปฏิบัติธรรม เราทั้งหลายต้องมียางอายมีความละอาย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราตรึกในกามตรึกในพยาบาทชื่อว่เป็นบุคคลที่ไม่มีความละอายไม่มียางอาย พระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่เราก็ต้องเคารพ เราต้องกตัญญูต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะท่านบำเพ็ญพุทธบารมีหลายล้านชาติหลายอสงไขย
เราจะมาทำลายความมั่นคงพระธรรมพระวินัยด้วยความไม่ละอายต่อบาปไม่เกรงกลัวต่อบาปนี้ไม่ได้ เราต้องรู้จักอนามาส อนามาสทางกายวาจากิริยามารยาทอาชีพ รู้จักวัตถุอนามาส ไม่ตรึกในกามไม่ตรึกในพยาบาท กายวาจากิริยามารยาทใจต้องมีความละอาย ต้องมียางอาย เรื่องภายนอกนี้เป็นสิ่งที่มองเห็น ทุกท่านทุกคนมองเห็น ทุกท่านทุกคนได้ยิน เราต้องพากันทำให้ได้มาตรฐานให้ได้ มอก. เพื่อให้ได้สมบูรณ์ทั้งอรรถะทั้งพยัญชนะให้สมบูรณ์ทั้งกายวาจากิริยามารยาทสมบูรณ์ทั้งใจเพื่อเป็นอุปกรณ์ในการประพฤติการปฏิบัติ การประพฤติการปฏิบัติจะได้ติดต่อต่อเนื่องกันด้วยความดีที่ประกอบด้วยปัญญา ปัญญาที่ประกอบด้วยความดี
เราต้องเคารพคารวะในพระธรรมในพระวินัย เราต้องไม่ตัดไม่เพิ่มพระธรรมพระวินัย เราต้องรู้เรื่องตัดเรื่องไม่ตัด การที่เราไม่ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่เป็นสิ่งที่ตัดเป็นสิ่งที่เพิ่ม เพราะพระธรรมพระวินัยเป็นสิ่งที่นอกเหตุเหนือผล เหนือความปรุงแต่ง มันเป็นความสงบและปัญญา เป็นอนัตตาไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน การปฏิบัติของเรามันต้องชัดเจน สิ่งที่มองเห็นด้วยตาฟังด้วยหูต้องชัดเจน
เราต้องรู้เข้าใจว่ากายวาจากิริยามารยาทอาชีพนี้มันเป็นเพียงอุปกรณ์ของใจ เราจะฝึกใจก็ต้องฝึกที่กายวาจากิริยามารยาท ปฏิบัติที่อาชีพ เมื่อภายนอกมันไม่ได้ภายในมันจะได้อย่างไร ให้พวกเรารู้เข้าใจนะ อย่าพากันไปทำลายความมั่นคงของชาติของศาสน์กษัตริย์
เราทั้งหลายต้องกตัญญูกตเวทีต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเราปฏิบัติไม่ได้เราก็อย่าพากันมาบวช ถ้าบวชแล้วปฏิบัติไม่ได้ก็พากันลาสิกขาไปเสีย ถ้าไม่มีพระก็อย่าให้มีโจรไปเลย ให้มันเจ๊ากันไปเลย มันจะไม่ได้เสียทรัพยากรของแผ่นดินของศรัทธาประชาชน
เราทั้งหลายต้องเข้าถึงหลักการเข้าถึงอุดมการณ์อุดมธรรม เราทั้งหลายจะได้ยกเลิกก๊กเลิกแก๊ง ยกเลิกนิติบุคคลตัวตน ความไม่ละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาปนี้แหละสำคัญ เราคิดดูดี ๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบรรยายธรรมให้ใครฟังไม่กี่ครั้ง ผู้นั้นรู้เข้าใจมีปัญญาสัมมาทิฏฐิเอาไปประพฤติเอาไปปฏิบัติเพราะทุกอย่างนั้นเป็นหลักการเป็นอุดมการณ์อุดมธรรมได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ทุก ๆ คนอยู่แล้ว เรามีวัดมีสถานที่การประพฤติการปฏิบัติให้เราทุกคนตั้งอกตั้งใจ ตั้งเจตนา ทั้งต่อหน้าและลับหลังให้ตั้งใจ เพื่อเราทั้งหลายจะได้ก้าวไปด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยข้อวัตรกิจวัตรต่าง ๆ
ถ้าเราเอาตัวตนเราทุกคนจะเข้าใจได้อย่างไร เพราะตัวตนมันคือความไม่รู้ไม่เข้าใจ ให้เข้าใจนะ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโร ท่านถึงให้ความรู้ความเข้าใจพากันไปประพฤติพากันไปปฏิบัติ ไม่ใช่สอบทานอารมณ์เช้าอารมณ์เย็น ไม่ใช่อย่างนั้น สตรีสตางค์ยศตำแหน่งมันทำให้เกิดความไม่สงบเกิดความไม่วิเวก ให้รู้เข้าใจมันเป็นขั้วบวกขั้วลบ
-------------------------------------
โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
เมตตาให้ไว้ในเช้าวันที่ ๑๕ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา