๑๗ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๑๗ เดือนสิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ ศาสนาพุทธ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ศาสนาคริสต์ ฮิจเลาะห์ศักราช ๑๔๔๖ ศาสนาอิสลาม
วันเสาร์วันอาทิตย์เป็นวันหยุดทำงานของข้าราชการ วันจันทร์อังคารพุธพฤหัสศุกร์เป็นวันทำงานของข้าราชการ
เราทั้งหลายพากันเข้าใจเรื่องหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม เพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นคือเหตุคือปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปถึงมี อดีตก็มารวมที่ปัจจุบัน อนาคตจะก้าวไปข้างหน้าก็อยู่ที่ปัจจุบัน ปัจจุบันถึงเป็นวาระแห่งชาติในการประพฤติการปฏิบัติ
เราพากันมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เราทุกคนไม่ต้องไปทำอะไรตามใจตามอัธยาศัย การทำอะไรตามใจตามอัธยาศัยนั้นคือความไม่ถูกต้อง เราทั้งหลายพากันรู้อริยสัจสี่ พากันรู้เรื่องทุกข์ เรื่องเหตุเกิดทุกข์ เรื่องข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์
ให้เข้าใจเพราะทุกอย่างนั้นคือเหตุคือปัจจัย เราจะได้เข้าสู่คำว่าชาติ ศาสน์ กษัตริย์
ชาตินี้ก็หมายถึงความเกิด ศาสน์ก็คือสิ่งที่ประสานติดต่อต่อเนื่อง เหมือนจิ๊กซอร์ที่ประสานติดต่อต่อเนื่องกันเป็นกระบวนการ เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปถึงมี ทุกอย่างนั้นคือเหตุคือปัจจัย ทุกอย่างต้องเกิดจากเหตุจากปัจจัย ประสานกันติดต่อต่อเนื่องเป็นพระศาสนา กษัตริย์หมายถึงปัญญา ปัญญารู้แจ้งเห็นตามความเป็นจริงว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน มันเป็นเพียงเหตุเป็นเพียงปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี สิ่งที่ว่างเปล่านั้นเป็นของเดิมแท้ สิ่งที่จรไปจรมาทางธาตุทางขันธ์ทางอายตนะ เป็นอาคันตุกะที่สัญจรไปมา ปัญญาคือรู้เหตุปัจจัย กษัตริย์นี้หมายถึงปัญญาที่รู้อริยสัจ ๔ ความหมายของกษัตริย์มีความหมายอย่างนี้
เราทั้งหลายที่เป็นมนุษย์ อายุขัยของเราเป็นมนุษย์อยู่ได้ร่วม ๆ ศตวรรษหนึ่งคือร้อยปี ถ้าเรารู้เข้าใจเรื่องอริยสัจ ๔ เอาธรรมนำชีวิต เรามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตา ชีวิตของเราก็ย่อมอยู่ได้มากกว่าร้อยปี เราทั้งหลายต้องพากันมีหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม เราจะได้เข้าถึงชาติ เข้าถึงศาสน์ เข้าถึงกษัตริย์ ทั้งความรู้ทั้งการประพฤติการปฏิบัติ
การประพฤติการปฏิบัตินั้นเป็นอริยมรรค กายวาจากิริยามารยาทใจนั้นเป็นอริยมรรค อริยมรรคของเราต้องไม่ขาดตกบกพร่อง ไม่ตั้งอยู่ในความหลงไม่ตั้งอยู่ในความประมาท
เมื่อวานนี้ได้พูดเรื่องปัญญาสัมมาทิฏฐิ เรื่องอริยมรรคมีองค์ ๘ เพราะการประพฤติการปฏิบัติมันเป็นปัจจุบันขณะ เพราะทุกอย่างจะทำได้ปฏิบัติได้เป็นขณะ ๆ ไป ใจของเราต้องอยู่กับความสงบอยู่กับปัญญา ก้าวไปด้วยความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติเป็นวาระแห่งชาติในการประพฤติการปฏิบัติไป เป็นมรรคเป็นอริยมรรค
เหมือนต้นไม้ต้นหนึ่งนี้ ที่ได้อาหารมา ต้องได้อาหารมาจากทุกทิศทุกทางของต้นไม้ ไม่ใช่ได้เฉพาะมาจากทางรากอย่างเดียว ต้นไม้ต้นนั้นจะสมบูรณ์สง่างามต้องได้อาหารมาจากทางกิ่งก้านสาขาทางใบทางยอตลอดปริมณฑล ต้นไม้นั้นถึงจะเจริญสมบูรณ์สง่างาม
ชีวิตของเราจะสมบูรณ์ในปัจจุบัน ชีวิตของเราก็ต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตา เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน เป็นทั้งความสงบเป็นทั้งปัญญาไปพร้อม ๆ เป็นความพอดีเป็นความพอเพียง ให้รู้เข้าใจ เราอยากจะได้มากมันก็ไม่มากมันก็เท่าเก่าให้รู้เข้าใจ เราอยากได้น้อยมันก็ไม่น้อยมันก็เท่าเก่าเราต้องเข้าใจ เราไม่อยากให้แก่ไม่ให้เจ็บไม่ให้ตายไม่ให้พลัดพรากมันก็ไม่ไปตามเราคิดเราต้องการ
เราทั้งหลายจะได้รู้เข้าใจเรื่องอริยสัจ ๔ เราจะได้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เราทั้งหลายพากันประพฤติพากันปฏิบัติที่ตัวเราเน้นที่ตัวเรา เราต้องทำที่สุดแห่งความดับทุกข์ทั้งกายวาจากิริยามารยาทใจของเรา ธรรมะเป็นความพอดี ความเพียงพอ เป็นความรู้ความเข้าใจ ไม่เอามาเพิ่มไม่เอามาตัด รู้เหตุรู้ปัจจัย ทั้งภายนอกภายใน เพื่อหยุดสัญชาตญาณในการเวียนว่ายตายเกิดของเราเอง ไม่ไปตามสัญชาตญาณ ไม่ไปตามธาตุตามขันธ์ตามอายตนะ มีความสงบมีปัญญา รู้เรื่องอนัตตาว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน เราจะไปทุกข์ไปทำไม ทุกข์เปล่า ๆ ทุกข์ฟรี ๆ ไม่มีประโยชน์อะไร
การปฏิบัติเราถึงเป็นอริยมรรคมีองค์ ๘ เมื่อเราทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้เราก็จะไม่มีปัญหา เราก็จะไม่สร้างปัญหา เราก็จะรู้จักปัญหา เราต้องแก้ทั้งสิ่งภายนอกตามหลักเหตุผลตามหลักวิทยาศาสตร์ เราต้องแก้ภายในเรื่องจิตเรื่องใจของเราด้วยเรามารู้จักอริยสัจสี่ เราจะไม่ได้ลิดรอนสิทธิของธรรมชาติของความเป็นประภัสสร การลิดรอนสิทธิมันเป็นสิ่งที่ไม่ดีไม่ถูกต้อง เรามีความอยากนั้นคือลิดรอนสิทธิ เรามีความไม่อยากนั้นแหละคือการลิดรอนสิทธิ ให้เข้าใจ ความปรุงแต่งทั้งหลายคือการลิดรอนสิทธิ สติเราก็ต้องไว ปัญญาเราก็ต้องไว ปัจจุบันถึงเป็นวาระสำคัญนะ ปัจจุบันถึงเป็นวาระแห่งชาติในการประพฤติการปฏิบัติ
เราทั้งหลายต้องมีความสงบมีปัญญา มีปัญญามีความสงบอย่างนี้ แก้ทั้งภายนอกแก้ทั้งใจ อย่าขี้เกียจขี้คร้าน ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อความขี้เกียจขี้คร้านนั้นคืออาการของตัวของตน ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อความขี้เกียจขี้คร้านนั้นไม่ใช่ธรรม มันเป็นตัวเป็นตนให้ทุกคนรู้เข้าใจ
อย่าไปท้ออกท้อใจในการทำงานในการเสียสละ เราต้องรู้จักข้อสอบและตอบด้วยความรู้ความเข้าใจ เราทั้งหลายต้องไม่ขี้เกียจขี้คร้าน หลักการพระธรรมพระวินัยธุดงควัตร กิจวัตรต่าง ๆ พวกเราทั้งหลายอย่าไปขี้เกียจขี้คร้าน ให้ถือว่าสำคัญ
พระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ ธุดงควัตรกิจวัตรต่าง ๆ เราอย่าพากันขี้เกียจขี้คร้าน เราอย่าไปหยุดในพระธรรมพระวินัย ให้ถือเอาพระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตรธุดงควัตรต่าง ๆ นั้นสำคัญ เราต้องรู้ชัดเจนในการประพฤติการปฏิบัติอย่างนี้
เราทั้งหลายอย่าพากันประมาท ถ้าประมาทนี้แสดงว่าเราได้ผิดพลาดแล้ว ให้เข้าใจอย่างนี้ เราต้องรู้หลักการในการประพฤติการปฏิบัติอย่ามีข้อแม้ใด ๆ ทั้งสิ้น อย่าให้ธาตุให้ขันธ์ให้อายตนะทั้งสิ่งภายนอกภายในมันครอบงำสติครอบงำปัญญาของเรา อย่าให้สิ่งต่าง ๆ นั้นมันครอบงำพระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตรต่าง ๆ เราทั้งหลายจะได้ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ
โพชฌงค์ ๗ เป็นองค์ธรรมแห่งการตรัสรู้ เราต้องตัดอกตัดใจ ตัดกายวาจากิริยามารยาทตัดอาชีพ อาชีพที่มันเป็นนิติบุคคลตัวตน เราต้องตัดน่ะ ต้องตัดเรื่องอดีตอนาคต ปัจจุบันเราจะได้มีความสงบมีปัญญา เราจะได้เข้าถึงสภาวธรรมที่เป็นประภัสสร สภาวธรรมที่เป็นอนัตตาไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เมื่อเราเข้าสู่กระบวนอุดมการณ์อุดมธรรม เข้าสู่อริยมรรคแล้ว ต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจเรื่องเหตุเรื่องปัจจัย เราจะได้ตัดอกตัดใจ ตัดสิ่งที่ชอบใจไม่ชอบใจ โพชฌงค์ ๗ ที่เป็นคุณธรรมของการตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โพชฌงค์ ๗ มีอะไรบ้าง โพชฌงค์ ๗ ก็ได้แก่
๑. สติสัมโพชฌงค์ ความระลึกได้ สำนึกพร้อมอยู่ ใจอยู่กับจิต จิตอยู่กับเรื่องนั้น ๆ ในการกระทำในการปฏิบัติ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เป็นกระบวนการเป็นกระแสของปฏิจจสมุปปบาทที่ติดต่อต่อเนื่องในการประพฤติการปฏิบัติ เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา ไม่ขาด ไม่ด่าง ไม่พร้อย ไม่เศร้าหมอง เพราะวาระต่าง ๆ นั้นจะได้ไม่มาแทรกแซงให้ขาด ให้ด่าง ให้พร้อยด้วยมีสติสัมโพชฌงค์
๒. ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ หมายถึงความเพียรที่ติดต่อต่อเนื่อง การปฏิบัติที่จะได้ผลต้องปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องกัน เหมือนกระแสไฟฟ้า กระแสดินน้ำลมไฟมันต้องติดต่อต่อเนื่องเป็นความเพียรที่ติดต่อต่อเนื่องกัน การทำอะไรติดต่อต่อเนื่องถึงจะเป็นความเพียร ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ต้องอาศัยความสงบ อาศัยปัญญา เอาปัญญามาปฏิบัติติดต่อต่อ ปัญญากับความสงบต้องเดินควบคู่กันไป ต้องอาศัยการอบรมบ่มอินทรีย์ เหมือนคนโบราณจะก่อไฟต้องเอาไม้ไผ่แห้ง ๒ อันมาสีกัน สีกันสม่ำเสมอให้เกิดไฟ ไม่ทอดธุระ สีสม่ำเสมอ เป็นความพอเพียงเพียงพอ เป็นความพอดี ไฟนั้นก็จะเกิดขึ้นได้จากไม้ไผ่ ๒ อันที่เราเอามาสีกัน หรือเปรียบเสมือนไก่มันฟักไข่ ไก่ฟักไข่ก็ต้องใช้เวลา ๓ อาทิตย์ถึงออกมาเป็นตัวไก่ เราจะฟักด้วยแม่ไก่หรือฟักด้วยไฟฟ้าที่อุณหภูมิพอดี พอเพียงเพียงพอก็ต้องใช้เวลา ๓ อาทิตย์เช่นเดียวกัน หรือเราจะขยายพันธุ์ไม้ ทาบกิ่ง ตอนกิ่งที่ขยายพันุ์ดี ๆ ก็ต้องใช้เวลาประมาณ ๓ อาทิตย์เช่นเดียวกันขึ้นอยู่กับไม้ชนิดนั้น ๆ การทำความเพียรของเรา การรักษาศีล การทำสมาธิ การเจริญปัญญา ข้อวัตรกิจวัตรต่าง ๆ นั้นต้องอาศัยหลักการ อาศัยพระธรรมพระวินัย ข้อวัตรกิจวัตร ต้องทำให้ติดต่อต่อเนื่องกัน เราจะเอาความชอบใจไม่ชอบใจไม่ได้ เอาความชอบไม่ชอบใจมันจะด่างมันจะพร้อยมันจะขาดมันจะไม่เกิดธรรมะเป็นองค์ธรรมตรัสรู้เป็นธรรมวินัยที่เป็นหลักการเป็นอุดมการณ์อุดมธรรม ชีวิตของเราในปัจจุบันเราต้องละสักกายทิฏฐิไม่เอาความชอบไม่ชอบ เราทั้งหลายต้องหยุดตรึกในกามหยุดตรึกในพยาบาทเพื่อให้เกิดความสงบเกิดปัญญา เพื่อความเข้าสู่ความสงบสู่ปัญญา เพื่อปฏิปทาจะได้ติดต่อต่อเนื่องด้วยความรู้ความเข้าใจ ในการประพฤติการปฏิบัติ ธรรมะถึงจะสมบูรณ์ด้วยทั้งอรรถะทั้งพยัญชนะ ด้วยความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ
๓. วิริยสัมโพชฌงค์ คือการทำความเพียรของเราต้องติดต่อต่อเนื่อง การปฏิบัติของเราต้องติดต่อต่อเนื่อง พระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ให้เรารู้เข้าใจ ไม่ให้ขาดตกบกพร่อง เป็นผู้ละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป เราต้องรู้เข้าใจ เรื่องกรรมเรื่องกฎแห่งกรรมเรื่องผลของกรรม กรรมเก่านั้นของเรามีทุก ๆ คน ถ้าเราไม่เข้าใจกรรมใหม่ก็จะมีมา มีมาต่อไป เราต้องรู้เข้าใจเรื่องกรรมเก่ากรรมใหม่ เพราะกรรมเก่ากรรมใหม่นี้คือวัฏฏสงสาร ที่เรามีความเกิดความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพราก มีธาตุมีขันธ์มีอายตนะต่าง ๆ นี้คือกรรมเก่าของเราทุก ๆ คน ให้เรารู้ให้เข้าใจ ให้ถือว่าเป็นกรรมเป็นวิบากกรรม เราทุกคนต้องรู้เข้าใจ เราต้องยอมใช้หนี้ใช้บาปใช้กรรม ไม่มีใครต่อกรรมเหนือเวรเหนือภัยไปได้ เราเกิดมาแล้วต้องแก่ต้องเจ็บต้องตายต้องพลัดพราก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็แก่เจ็บตายพลัดพรากเหมือนกับเราทุก ๆ คน พระอรหันต์ขีณาสพท่านก็แก่เจ็บตายพลัดพรากเหมือนกับเราทุก ๆ คน เราเป็นใครก็ต้องได้รับผลของกรรมนั้น ๆ เราต้องรู้จักต้องปลงใจยอมรับบาปยอมรับกรรม รับเวรรับภัย เช่น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนที่ท่านจะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานหลังจากเสวยภัตตาหารครั้งสุดท้ายของนายจุนทะ
ในเวลานั้นข่าวการปลงอายุสังขารของพระบรมศาสดาแพร่สะพัดไป เหล่าภิกษุสงฆ์ต่างพากันมาเฝ้าแวดล้อมอยู่เป็นจำนวนมาก พระองค์เสด็จจากโภคนคร ไปถึงเมืองปาวานคร ประทับอยู่ที่สวนมะม่วงของนายจุนทะ บุตรช่างทอง
นายจุนทะทราบข่าวแล้วดีใจมาก รีบไปเข้าเฝ้า พระองค์ตรัสสอนให้นายจุนทะเชื่อเรื่องกรรมและวิบาก(ผลของกรรม) ให้ถือมั่นปฏิบัติตนอยู่ในกุศล มีความกล้าหาญรื่นเริงในการประพฤติที่ถูกทำนองคลองธรรม ปฏิบัติที่ถูกที่ควร
นายจุนทะกราบทูลนิมนต์พระบรมศาสดาพร้อมภิกษุทั้งหมดรับภัตตาหารเช้าวันรุ่งขึ้นที่บ้านของตน
รุ่งขึ้นเป็นวันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๖ สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์และเหล่าพุทธบริษัทเป็นจำนวนมาก เสด็จจากสวนมะม่วงไปยังบ้านนายจุนทะ
นายจุนทะถวายภัตตาหารอันประณีตต่างๆ รวมทั้งอาหารชื่อ สุกรมัททวะ (อาจปรุงด้วยเนื้อสุกรอ่อนจริง หรือปรุงด้วยเห็ดที่มีรสอร่อยเหมือนเนื้อสุกรอ่อนก็ได้) พระองค์ทรงรับอาหารชนิดนี้ไว้ ให้นายจุนทะถวายอาหารอื่นๆ แก่ภิกษุสงฆ์ ให้นำอาหารที่มีชื่อสุกรมัททวะที่เหลือจากพระองค์ไปเทฝังดินเสียทั้งหมด ห้ามผู้ใดบริโภค เพราะเป็นอาหารย่อยยาก เสร็จแล้วทรงแสดงธรรมให้นายจุนทะดีใจในบุญของตน
เมื่อพระบรมศาสดาทรงบริโภคอาหารของนายจุนทะไม่นาน ก็เกิดอาพาธแรงกล้า ทรงพระประชวรลงพระโลหิต(ถ่ายเป็นเลือด) มีทุกขเวทนามาก ทรงอดกลั้นด้วยอธิวาสขันติ ตรัสชวนหมู่ภิกษุเดินทางไปเมืองกุสินารา
ระหว่างทางทรงเหน็ดเหนื่อยพระวรกายมาก ตรัสสั่งให้ปูผ้าสังฆาฏิรองประทับนั่ง ตรัสเรียกพระอานนท์ให้นำบาตรไปตักน้ำในแม่น้ำมาถวาย พระอานนท์กราบทูลคัดค้านว่า แม่น้ำนั้นมีน้ำน้อย เกวียน ๕๐๐ เล่มเพิ่งข้าม น้ำจึงขุ่นเป็นโคลนทั่วไปหมด ควรไปฉันน้ำที่แม่น้ำกกุธานทีซึ่งอยู่ถัดไป
พระบรมศาสดาตรัสสั่งถึง ๓ ครั้ง พระอานนท์จึงได้คิดว่า ธรรมดาผู้เป็นพระพุทธเจ้านั้นจะตรัสพระวาจาสิ่งใด ต้องมีสาเหตุทุกครั้งไป จึงรีบไปตักน้ำ ด้วยพุทธานุภาพของพระพุทธองค์ เป็นที่น่าพิศวง เมื่อพระอานนท์ถือบาตรเข้าไปใกล้แม้น้ำ น้ำที่ขุ่นอยู่ด้วยล้อเกวียนก็พลันใสสะอาดเป็นอัศจรรย์
แรงกรรมนั้นเป็นสิ่งมีอำนาจมาก ทำกรรมใดไว้ถ้าถึงคราวให้ผล แม้ทรงบังเกิดเป็นถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่ออกุศลวิบากครั้งทรงเกิดเป็นพ่อค้านำเกวียนไปค้าขาย โคเทียมเกวียนกระหายน้ำ พ่อค้าเห็นน้ำขุ่น ไม่ยอมให้โคดื่ม ให้ทรมานลากเกวียนไปอีกไกลเพื่อดื่มน้ำที่ใสกว่า ผลของกรรมตามมาทันในขณะนี้ กรรมบันดาลให้พระอานนท์ชักช้าทำให้พระศาสดาทรงกระหายน้ำมากยิ่งขึ้น
มีหลายเรื่องในพระประวัติที่มีอกุศลวิบาก (ผลของกรรมชั่ว) ตามทัน ทำให้พระบรมศาสดาทรงพบเหตุการณ์ไม่สมควรต่างๆ เช่น ถูกสะเก็ดหินทำพระบาทห้อพระโลหิต (เพราะเคยผลักน้องชายต่างมารดาตกเหวตาย) ถูกนางจิญจมาณวิกาใส่ความว่าทรงทำนางตั้งครรภ์ (เพราะเคยกล่าวใส่ความพระปัจเจกพุทธเจ้า) ประชวรลงพระโลหิต ฯลฯ ล้วนแต่เป็นการยืนยันให้เห็นอำนาจของแรงกรรมทั้งสิ้น
ขณะที่พระบรมศาสดาเสวยน้ำดับความกระหาย และประทับอยู่ใต้ร่มไม้เวลานั้นมีบุตรแห่งมัลลกษัตริย์ผู้หนึ่ง ชื่อ ปุกกุสะ เป็นสาวกของอาฬารดาบส กาลามโคตร ออกจากเมืองกุสินารา มาปาวานคร ผ่านมาทางซึ่งพระบรมศาสดาประทับนั่งอยู่ จึงเข้าไปถวายความเคารพ พระองค์ทรงแสดงสันติวิหารธรรม(ธรรมเป็นเครื่องอยู่อย่างสงบ)ให้ฟัง
ปุกกุสะฟังแล้วเกิดความเลื่อมใส ถวายผ้าเนื้อดี สีเหลืองดังทองคำ ทออย่างประณีต ชื่อ ผ้าสิงควรรณ ๒ ผืน พระบรมศาสดาให้แบ่งถวายพระอานนท์ผืนหนึ่ง เมื่อปุกกุสะจากไปแล้ว พระอานนท์ได้นำผ้านั้นถวายพระบรมศาสดา พระองค์ทรงนุ่งผืนหนึ่งห่มผืนหนึ่ง
เมื่อครองผ้าเสร็จแล้ว พระวรกายพลันปรากฏพระรัศมีผุดผ่องเปล่งปลั่งผิดปกติทันที พระอานนท์กราบทูลสรรเสริญ พระบรมศาสดาชี้แจงว่า ผิวพรรณของพระองค์จะผุดผ่องเป็นพิเศษอยู่ ๒ ครั้ง ครั้งหนึ่งในคืนที่จะตรัสรู้ และครั้งที่สองในคืนที่จะปรินิพพาน พระองค์จะปรินิพพานในคืนนี้ ที่ระหว่างต้นสาละสองต้น ณ สาลวัน ของมัลลกษัตริย์เมืองกุสินารา
ครั้นแล้วตรัสชวนเสด็จไปยังแม่น้ำกกุธานที เพื่อลงสรงและเสวยสำราญพระอิริยบถตามพระพุทธอัธยาศัย แล้วเสด็จไปประทับที่สวนอัมพวัน ตรัสป้องกันนายจุนทะ ผู้ถวายอาหารมื้อสุดท้ายว่า
ถ้ามีใครตำหนิให้นายจุนทะเดือดร้อนใจว่า พระพุทธเจ้าทรงบริโภคอาหารของเขาทำให้เสด็จปรินิพพาน ให้ชี้แจงว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสจากพระโอษฐ์เองว่า อาหาร ๒ มื้อ ที่มีผลบุญยิ่งใหญ่มากเท่าๆ กัน เหนือการถวายภัตตหารในมื้ออื่นๆ ทั้งสิ้น คือ มื้อที่บริโภคแล้วตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ และมื้อที่บริโภคแล้วปรินิพพานชนิดสิ้นกิเลสและชีวิต อานิสงส์การถวายอาหารมื้อสุดท้ายที่นายจุนทะกระทำแล้วนี้ จะเป็นกรรมดีส่งผลให้ได้รับอายุ วรรณะ สุข ยศ และสวรรค์ พร้อมทั้งความเป็นใหญ่ พระบรมศาสดาทรงให้พระอานนท์เป็นผู้กล่าวรับรองผลบุญดังกล่าวแล้วนั้น ให้ผู้อื่นฟัง
อย่างพระโมคคัลลานะสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้มีอิทธิฤทธิ์มากกว่าภิกษุทั้งหลายทั้งปวงก็ยังหนีกรรมไปไม่พ้น ต้องได้รับวิบากรรรมแห่งการกระทำของตน
ในสมัยพุทธกาล ลาภสักการะได้เกิดขึ้นกับพระพุทธศาสนาเป็นอันมาก พวกนอกศาสนาพุทธมีความเสื่อมลาภ ประชาชนเค้าไม่เคารพสักการะ เค้าไม่ให้ทาน ไม่ให้ความเคารพนับถือ จึงเกิดความริษยา จึงคิดกันว่า เพราะอาศัยพระมหาโมคคัลลานะเป็นผู้มีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์มากทำให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง ลาภสักการะเสียงสรรเสริญเยินยอของพวกเราถึงได้เสื่อมไป ควรที่จะฆ่าพระเถระโมคคัลลานะเสีย
จึงได้จ้างวานโจร มหาโจร พวกโจรพวกมหาโจรทั้งหลายจึงได้ไปล้อมกุฏิพระเถระ พระโมคคัลลานะก็หนีไปด้วยอิทธิปาฏิหารย์ของอิทธิฤทธิ์ ทางรูกุญแจเล็กนิดเดียวก้หนีไปได้ หนีไปทางช่อฟ้าหลังคากุฏิก็หนีไปได้ จนสุดท้าย ท่านพิจารณาด้วยปัญญาว่านี้คือกรรมคือกฎแห่งกรรมคือผลของกรรมที่ท่านได้ก่อไว้ทำไว้ตั้งแต่ชาติปางก่อน ท่านได้ระลึกชาติผลบาปอดีตที่ผ่านมา ที่ท่านเคยทุบตีบิดามารดาถึงแก่ความตาย เพราะไปหลงภรรยา ภรรยาบอกให้ฆ่าบิดามารดา เราเอาตัวเอาตนนำชีวิต เรามีตาก็มีแต่ตาเนื้อตาหนังไม่มีตาปัญญา หลงตัวลืมตาย หลงกายลืมแก่ หลงผัวหลงเมียลืมพ่อลืมแม่ หลงตัวหลงตนทำให้เกิดวัฏฏสงสาร ทำให้เป็นกรรมเป็นกฎแห่งกรรมเป็นผลของกรรม ในชาตินี้ท่านโมคัลลานะท่านถึงได้ถูกทุบตี จากพวกโจรจากพวกมหาโจรทั้งหลาย ท่านปล่อยวางให้โจรทั้งหลาย ให้ทุบตีกระดูกแหลกละเอียด เพราะเราทุกคนเกิดมาจะเหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรมไปไม่ได้
พระมหาโมคคัลลานะเมื่อถูกโจรมหาโจรทุบละเอียด ท่านถึงใช้อภิญญาประสานกระดูกด้วยการเข้าฌาน เพื่อไปเข้าเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทูลลาปรินิพพานและปรินิพพาน พวกโจรพวกมหาโจรถูกพระเจ้าอชาติศัตรูจับได้ และจับนักนอกพระพุทธศาสนา เพราะตัวตนนั้นคือบุคคลไม่มีพระศาสนา เพราะว่าพระศาสนานั้นคือธรรมะ ธรรมะคือพระศาสนา พระศาสนานั้นไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน
พระราชาให้ฆ่าอย่างทรมานกับพวกชนเหล่านั้น พระภิกษุประชุมกันว่า กรรม คือการถูกฆ่าของพระมหาโมคคัลลานะไม่สมควรเลย พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า พวกเธอประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร
พระพุทธเจ้าเมื่อทรงทราบ ทรงตรัสว่า กรรมที่โมคคัลลานะ สมควรแล้ว ทรงตรัสเล่าเรื่องในอดีตกาลว่า สมัยหนึ่ง มีกุลบุตรเลี้ยงมารดาบิดาอยู่ผู้เดียว มารดาบิดาผู้ตาบอด สงสารบุตร จึงนำภรรยามาให้ แต่เพราะภรรยาเป็นคนพาล เพียงอยู่ด้วยกัน ๒-๓ วันก็ไม่อยากให้บิดา มารดาของกุลบุตรผู้นั้นอยู่ จึงกล่าวว่า บอกกับสามีว่า บิดามารดาของท่านทำไม่ดี สามีไม่เชื่อ จึงใส่ร้ายโดยการทำพื้นสกปรก และกล่าวหาว่าบิดามารดาทำ สามีที่เป็นอดีตชาติของพระมหาโมคคัลลานะเชื่อ จึงหาอุบาย โดยการกล่าวกับบิดามารดาผู้ตาบอดว่า จะพาไปเยี่ยมญาติ ระหว่างทาง แกล้งทำเป็นเสียงโจร เพราะความรักลูก ของบิดามารดา จึงไล่ให้ลูกชายหนีไป ส่วนกุลบุตรนั้นก็ทุบตีบิดามารดาจนถึงแก่ความตาย ด้วยกรรมนั้นทำให้ท่านตกนรกอเวจีเป็นเวลานานถึงแสนชาติแสนปี และถูกทุบตีตายเวลาเป็นเวลายาวนานถึง ๑๐๐ ชาติ
มารดาบิดาได้ยินเสียงนั้น ด้วยสำคัญว่า "พวกโจรซุ่มอยู่" จึงกล่าวว่า "ลูกเอ๋ยแม่และพ่อแก่แล้ว เจ้าจงรักษาเฉพาะตัวเจ้า (ให้พ้นภัย) เถิด" เขาทำเสียงดุจโจรทุบตีมารดาบิดา แม้ผู้ร้องอยู่อย่างนั้นให้ตายแล้ว ทิ้งไว้ในดง แล้วกลับไป
พระศาสดา ครั้นตรัสบุรพกรรมนี้ของพระมหาโมคคัลลานะนั้นแล้วตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย โมคคัลลานะ ทำกรรมประมาณเท่านี้ ไหม้ในนรกหลายแสนปี ด้วยวิบากที่ยังเหลือ จึงถูกทุบตีอย่างนั้นนั่นแลละเอียดหมด ถึงมรณะ สิ้น ๑๐๐ อัตภาพ ...
เราทั้งหลายต้องพากันรู้ธรรม รู้เรื่องกรรม เรื่องกฎแห่งกรรม เราทั้งหลายถึงจะเกิดความสงบ จะได้รู้จักคำว่าโอเค โอเคนั้นก็หมายถึงความพอเพียงเพียงพอ ความพอดี ไม่เข้าไปปรุงไปแต่ง ไม่ไปชอบไม่ไปชัง รู้จักของกรรมเรื่องกฎแห่งกรรม เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เราเอาตัวตนมันไม่ขลังไม่ศักดิ์สิทธิ์อะไรหรอก ร่างกายสรีระของพระพุทธเจ้า ของพระอรหันต์ ของเราทุกคน
ให้รู้เข้าใจอันนี้เป็นเรื่องของกรรมเรื่องกฎแห่งกรรมผลของกรรม ให้เรารู้เราเข้าใจว่าทุกอย่างคือกรรมคือกฎแห่งกรรมคือผลของกรรม เราจะได้รู้เราจะได้โอเคเราจะได้หยุดด้วยความรู้ความเข้าใจ หยุดด้วยความสงบด้วยปัญญา เข้าถึงอนัตตาว่างจากสิ่งที่มีอยู่ว่างจากกรรมจากเวรจากภัย รูปเวทนาสัญญาสังขาณนั้นเป็นสิ่งที่มีอยู่ทุกอย่างนั้นเป็นสิ่งที่มีอยู่เรารู้เข้าใจเราจะได้เข้าถึงความสงบเข้าถึงปัญญา
เราคิดดูดี ๆ นะ พุทธะทางสรีระเป็นสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืน สรีระของพระอรหันต์ของสามัญชนก็ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืนเพราะอันนี้มันคือกรรมคือกฎแห่งกรรมผลของกรรม เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เราจะได้ยอมรับในธรรมในสภาวธรรม ทุกอย่างให้เรารู้เข้าใจ สิ่งที่สัญจรไปมามันถึงกรรมคือกฎแห่งกรรมคือผลของกรรม เราต้องรู้กรรมเก่าว่าเราแก้ไขไม่ได้ เราต้องรู้จักกรรมใหม่ กรรมใหม่ที่มาจากสิ่งภายนอก ที่เป็นรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะธรรมารมณ์หรือลาภยศสรรเสริญหรือการเสื่อมลาภยศสรรเสริญนี้คือกรรมใหม่ ให้เรารู้เข้าใจเราจะไม่ได้เอากรรมใหม่มาเป็นจิ๊กซอร์ให้มันติดต่อต่อเนื่องกัน
เราต้องอาศัยศีลสมาธิปัญญา อาศัยความสงบอาศัยปัญญา อาศัยความไม่ประมาทเพื่อการประพฤติการปฏิบัติของเราจะได้ติดต่อต่อเนื่องด้วยความเพียร กรรมเก่าก็เข้าใจไม่เข้าไปปรุงแต่ง บาปที่จะเกิดขึ้นใหม่ก็เข้าใจไม่หลงน่ะ เราจะได้เข้าถึงความเข้าถึงปัญญา มีศีลมีสมาธิมีปัญญาด้วยความรู้ความเข้าใจ
๔. ปีติ (ปีติสัมโพชฌงค์) คือความอิ่มอกอิ่มใจ พออกพอใจ ในพระธรรมพระวินัย ในข้อวัตรกิจวัตรธุดงควัตรต่าง ๆ ถือว่าพระธรรมพระวินัยเป็นอุปกรณ์ในการประพฤติการปฏิบัติ นอกจากพระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตรธุดงควัตรไม่มีอะไรที่จะแก้ปัญหาได้ ไม่มีอะไรที่จะหยุดปัญหาได้นอกจากพระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตรธุดงควัตร เราต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพราะอันนี้เป็นความถูกต้อง เป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นปัญญาที่ประกอบด้วยความดี เพราะพระธรรมพระวินัยมีแต่คุณมีแต่ประโยชน์ ไม่มีโทษน่ะ ด้วยเหตุด้วยปัจจัยนี้ทุกคนต้องมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ ปัจจุบันต้องให้เป็นฟอร์มสดน่ะ ต้องเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม ถ้าเราไม่มีปิติไม่มีความสุขไม่มีเอกัคคตาเราทั้งหลายก็จะพากันเป็นโรคซึมเศร้า ให้พวกเราทุกคนพากันเข้าใจนะ ปิติสัมโพชฌงค์นี้เป็นองค์ธรรมที่ไม่มีความทุกข์ เป็นองค์ธรรมแห่งการตรัสรู้ให้เราทุกคนพากันเข้าใจ เราจะไม่มีทุกข์อะไร มีแต่ปิติมีแต่สุขเอกัคคตา ชีวิตของเราจะได้สว่างไสวก้าวไปด้วยปิติสุขเอกัคคตา ชีวิตของเราจะได้ว้าว ว้าว ว้าว เหมือนขบวนเสด็จ มีไฟมีรถนำขบวนข้างหน้าข้างหลัง การประพฤติการปฏิบัติเราจะต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาอย่างนั้น เราทั้งหลายจะไม่ได้มีความทุกข์เป็นโรคซึมเศร้า
๕. ปัสสัทธิ (ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์) ได้แก่ ความรู้ความเข้าใจ เพราะพระธรรมพระวินัยจะเกิดความสงบเกิดปัญญา ถ้าเราไม่เอาพระธรรมพระวินัยจะไม่เกิดความสงบเกิดปัญญา เพราะพระธรรมพระวินัยเป็นสิ่งที่เราจะเข้าถึงสู่อนัตตาเข้าสู่ความว่างจากเรื่องกรรมเก่าหรือว่าจากกรรมใหม่ ต้องอาศัยพระธรรมพระวินัยนี้มาใช้มาปฏิบัติ การปฏิบัติความสงบและปัญญาถึงเอามาใช้เอามาปฏิบัติไปพร้อม ๆ กัน อินทรีย์สังวร สังวรในพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ธุดงควัตรกิจวัตรต่าง ๆ เราต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เราจะได้เข้าถึงความสงบความวิเวก เพราะธรรมวินัยเป็นสิ่งที่จะให้เราสงบให้เราวิเวก พระธรรมพระวินัยเป็นเบรกเป็นเซฟตี้ รถก็มีเบรกเครื่องบินก็มีเบรกเรือก็มีเบรก เรามีกายวาจากิริยามารยาทมีใจเราก็ต้องมีเบรกเหมือนกัน เบรกด้วยพระธรรมพระวินัย เราจะได้เข้าถึงความวิเวก เราทั้งหลายถึงจะได้หยุดกรรมเก่าไม่สร้างกรรมใหม่ด้วยความรู้ความเข้าใจ เรื่องของความสงบความวิเวก วิเวกด้วยพระธรรมพระวินัย ธุดงควัตรกิจวัตรต่าง ๆ วิเวกด้วยอินทรีย์สังวร สังวรทั้งตาหูจมูกลิ้นกายใจ ต้องรู้เข้าใจ รู้แล้วยังไม่พอต้องเข้าสู่การประพฤติการปฏิบัติ ถ้าเรารู้เข้าใจ เราไม่เข้าสู่การประพฤติการปฏิบัติเราทุกคนก็จะเป็นเหมือนพระโปฐิละ พระโปฐิละนั้นเป็นผู้เก่งผู้ฉลาดผู้มีปัญญาเก่งมากฉลาดมากมีลูกศิษย์ลูกหาหลายร้อยหลายพันหลายหมื่นแต่ก็ยังเป็นสามัญชนยังไม่เป็นพระอริยเจ้าพระมีความรู้แล้วยังไม่คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ ความสงบและปัญญาไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันจึงเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้แก้ปัญหาไม่ได้
พระโปฐิลเถระ ซึ่งเรารู้จักกันในนามของพระใบลานเปล่า ท่านเป็นผู้ทรงพระไตรปิฎกในศาสนาของพระพุทธเจ้ามาถึง ๗ พระองค์ ครั้นออกบวชก็ตั้งใจศึกษาพระไตรปิฎกจนแตกฉาน และยังสอนธรรมะให้กับพระภิกษุ ๕๐๐ รูป นอกจากนี้ ท่านยังเป็นเจ้าคณะใหญ่ถึง ๑๘ คณะ ทำให้เป็นผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นที่รู้จักของภิกษุสามเณรเป็นอย่างดี
พระบรมศาสดาปรารถนาจะให้พระโปฐิละเป็นผู้มีความรู้ทั้งทางด้านปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ และเทศนา คือได้ทั้งคันถะธุระและวิปัสสนาธุระ สมกับที่เป็นสาวกของพระพุทธองค์ แต่เนื่องจากพระโปฐิละมัวแต่สอนคนอื่นจนไม่มีเวลาสอนตนเอง ไม่ยอมปลีกวิเวกไปบำเพ็ญสมณธรรมตามลำพังบ้าง วันๆ ได้แต่เตรียมสอนธรรมะ และตอบปัญหาข้อสงสัยให้กับลูกศิษย์ลูกหามากมาย ท่านจึงไม่มีความคิดที่จะสลัดออกจากกองทุกข์เพื่อมุ่งสู่พระนิพพาน
เพราะฉะนั้น เวลาท่านไปเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา จึงถูกพระพุทธองค์ทักทายว่า “ท่านใบลานเปล่ามาแล้วเหรอ เชิญนั่งเถิดท่านใบลานเปล่า” ครั้นท่านกราบนมัสการลา ก็ถูกทักอีกว่า “ท่านใบลานเปล่าไปแล้วหรือ” ทำให้ท่านกลับไปคิดตริตรองว่า “เราเป็นผู้ทรงไว้ทั้งพระไตรปิฎก แต่พระบรมศาสดาก็ยังตรัสเรียกเราว่าใบลานเปล่า อาจเป็นเพราะเราเป็นผู้ไม่มีคุณวิเศษภายใน”
เนื่องจากท่านมีปัญญามาก จึงรู้ถึงนัยของพุทธองค์ กล่าวคือ ผู้รู้ เขาแค่เตือนแบบสะกิดกันนิดเดียว ก็สามารถเข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้ง พระเถระรู้ตัวเช่นนี้เกิดความสลดสังเวชใจว่า ที่ผ่านมาตนเองเปรียบเหมือนคนเลี้ยงโค แต่ไม่เคยดื่มกินปัญจโครสเลย คือรู้ธรรมะด้วยสุตมยปัญญา เพราะอ่านมามาก ได้ยินได้ฟังมามาก แต่ไม่เคยลงมือปฏิบัติให้เข้าถึงเลย
ท่านตัดสินใจเพื่อเข้าสู่การประพฤติการปฏิบัติ เน้นที่ตัวของท่าน ออกปลีกวิเวกตามลำพังในป่า แต่เมื่อจะลงมือปฏิบัติ ก็กลับไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดเลย คือ มีความรู้มากก็ยิ่งยากนาน ครั้นจะไปถามพระถามเณรในวัดก็เขินอาย เพราะพระเณรเกือบทุกรูปที่เป็นพระอรหันต์ขีณาสพนั้นล้วนเคยเป็นลูกศิษย์ของท่านเอง
ท่านจึงออกเดินทางไปไกลถึงสองพันโยชน์ แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีผู้จำท่านได้ ตั้งแต่พระสังฆเถระ ไล่เรื่อยลงมาจนถึงพระนวกะ ต่างก็ปฏิเสธที่จะแนะนำธรรมะให้ท่าน เพราะรู้ว่าท่านเป็นผู้รู้มาก มีปัญญามาก เป็นพระธรรมกถึกผู้มีชื่อเสียงโด่งดังมากในเวลานั้นขณะนั้น ผู้ที่ท่านเคยบอกเคยสอนส่วนใหญ่ก็เป็นพระอรหันต์ขีณาสพกันและที่ท่านเหล่านั้นได้บรรลุธรรมาภิสมัย ก็เพราะอาศัยพระเถระเป็นผู้บอกผู้สอนเป็นครูบาอาจารย์ ดังนั้น ต่างเกรงว่าสิ่งที่แนะนำไปจะเป็นการเอามะพร้าวห้าวไปขายสวน
เมื่อไม่มีใครแนะนำ สุดท้ายท่านต้องยอมตนไปขอความรู้ภาคปฏิบัติกับสามเณรน้อยซึ่งอายุเพียง ๗ ขวบ แต่เป็นสามเณรอรหันต์ พระเถระเป็นผู้ทรงภูมิรู้ภูมิธรรมมาก แต่ท่านยอมทำตัวเหมือนเด็กอนุบาล เป็นนักศึกษาที่ดีมาก แม้สามเณรจะทดสอบให้ท่านเดินลงไปในสระน้ำ ท่านก็ไม่ได้ลังเลใจ ยอมทำตามที่สามเณรบอกทันที
สามเณรเห็นว่า พระโปฐิละได้ลดมานะละทิฏฐิ เพื่อแก้ไขตนเอง เพราะมีมานทิฏฐินั้นมันแก้ปัญหาไม่ได้ เพราะมานะทิฏฐิมันเป็นนิติบุคคลตัวตน มันเป็นความปรุงแต่งที่สำคัญมั่นหมายที่เป็นนิติบุคคลตัวตน สำคัญมั่นหมายว่าเป็นเราเป็นคนอื่น ผู้ที่ยกเลิกเรายกเลิกคนอื่นถึงจะมีความสงบมีปัญญา มีปัญญามีความสงบ เมื่อละเราละเขาถึงเป็นความสงบเป็นผู้มีปัญญาถึงเป็นผู้ว่าง่ายสอนง่าย ไม่เป็นผู้ว่ายากสอนยาก เพราะตัวตนนั้นคือผู้ว่ายากสอนยากยอมอยู่ในโอวาทของสามเณร แม้สามเณรจะให้ทำอะไรก็ทำ ไม่มีข้อแม้ใด ๆ ทั้งสิ้น ยกเลิกตัวยกเลิกตนยกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพื่อจะได้อบรมบ่มอินทรีย์ เพื่อจะได้เอาความดีเอาความถูกต้องให้เกิดความสงบเกิดปัญญา แม้จะให้ไปกระโจนลงเหว หรือกระโดดเข้ากองเพลิง ท่านก็ยอมทำตามทุกสิ่งทุกอย่าง สามเณรจึงให้ท่านกลับขึ้นมายืนที่ริมฝั่ง แล้วกล่าวให้นัยว่า “ในจอมปลวกแห่งหนึ่ง มีช่องอยู่ ๖ ช่อง เหี้ยได้เข้าไปในจอมปลวกช่องหนึ่ง ผู้หวังจะจับเหี้ย จึงอุดช่องทั้ง ๕ ไว้ คอยจับเหี้ยออกทางช่องที่ ๖ บรรดาทวารทั้งหก แม้ท่านจงปิดทวารทั้ง ๕ แล้วเปิดมโนทวาร กำหนดใจให้หยุดให้นิ่งอยู่ที่ตรงนั้น”
เนื่องจากพระเถระเป็นพหูสูต ทรงพระไตรปิฎกมาหลายภพหลายชาติ นัยที่สามเณรให้จึงเป็นประดุจการลุกโพลงขึ้นของดวงประทีป ท่านเริ่มประคองใจให้หยุดนิ่งอยู่ภายใน มีสติตั้งมั่นเป็นสมาธิ แม้พระบรมศาสดาประทับนั่งในที่ไกลถึง ๑๒๐ โยชน์ ทรงเห็นความแก่รอบแห่งญาณของพระโปฐิละ จึงเปล่งรัศมีออกไปดุจปรากฏต่อหน้าพระเถระ แล้วตรัสว่า “ปัญญาย่อมเกิดเพราะการประกอบความเพียร ท่านพึงตั้งตนไว้โดยประการที่ปัญญาจะเจริญขึ้นได้เถิด” พระเถระตั้งใจทำภาวนาจนเกิดภาวนามยปัญญา และในที่สุดก็แทงตลอดในคำสอนของพระบรมศาสดา บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ในท่ายืนนั่นเอง
เราทั้งหลายไม่รู้ไม่เข้าใจเราก็ไม่เข้าถึงความสงบไม่เข้าถึงปัญญา ไม่เข้าถึงความเป็นอนัตตาความว่างจากตัวตน เราปล่อยให้วัฏฏสงสารทำงาน เราทั้งหลายต้องรู้ต้องเข้าใจ เราอย่าปล่อยให้กรรมเก่ากรรมใหม่มันทำงานเป็นวัฏฏสงสาร วัฏฏสงสารนั้นเราต้องรู้ต้องเข้าใจ ถ้าเราไม่เข้าใจเราก็จะเป็นมนุษย์ไม่ได้ เราจะเป็นได้แต่เพียงคน คำว่าคนนี้ไปไหนไม่ได้มันวกวนอยู่ที่เก่า มันย่ำต๊อกอยู่ที่เก่า เดินไปข้างหน้าแล้วถอยกลับมามันก็อยู่ที่เก่าน่ะ เค้าถึงมีศัพท์ว่า คน คน
๖. สมาธิสัมโพชฌงค์ จิตใจของเราต้องมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ เราต้องเอาทั้งใจทั้งวัตถุไปพร้อม ๆ กันเพื่อให้เป็นมรรคเป็นอริยมรรค เพื่อการดำเนินธุรกิจหน้าที่การงานเป็นอริยมรรคมีองค์ ๘ ทางกายวาจากิริยามารยาททั้งอาชีพ ต้องเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม ใจของเราจะได้เป็นมนุษย์ มีความสงบมีปัญญา ใจของเราจะได้เป็นเทวดา ผู้มีความสงบมีปัญญา เป็นผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร มีความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป รู้จักพิจารณทุกอย่างเข้าสู่พระไตรลักษณ์ของเราจะได้เป็นพรหม มีความสงบมีปัญญา จะได้มีพระนิพพานเป็นบ้านของเรา ด้วยเรารู้เข้าใจ เราจะไม่ได้เอานิวรณ์ทั้ง ๕ มาครองใจ ครองธาตุครองขันธ์ครองอายตนะ เราจะไม่ได้เอาอคติทั้ง ๔ มาครองธาตุครองขันธ์ครองอายตนะ นิวรณ์ทั้ง ๕ ก็ได้แก่
นิวรณ์ทั้ง ๕ ก็ได้แก่
นิวรณ์ข้อที่ ๑ การตรึกในกามฉันทะ หมกมุ่นในกาม พอใจยินดีลุ่มหลงในกาม กามนี้หมายถึงตัวถึงตน มีความลุ่มหลงในธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ กามนี้มันเป็นขั้วบวกขั้วลบเหมือนกระแสไฟฟ้า กระแสไฟฟ้านี้มันมีขั้วบวกขั้วลบ หมกมุ่นในเรื่องขั้วบวกขั้วลบ มันเป็นสิ่งที่ตรงกันข้าม อย่างเช่นเพศอย่างนี้ เพศหญิงเพศชายนี้เป็นขั้วบวกขั้วลบอยากได้อยากมีอยากเป็นอยากเด่นอยากดัง ยินดีในความหลงในยศในตำแหน่ง ที่เป็นทางวิทยาศาสตร์เป็นทางวัตถุ ไม่เอาวัตถุกับเราจิตใจไปพร้อม ๆ กัน เอาแต่ทางวิทยาศาสตร์ เอาแต่ตัวเอาแต่ตนเรียกว่าหมกมุ่นอยู่ในกาม
นิวรณ์ข้อที่ ๒ หมกมุ่นในพยาบาท มันเป็นขั้วบวกขั้วลบ เมื่อมันมีกามมันก็มีพยาบาท มันไปเอาความสุขจากความหลง เพราะความหลงมันคือความปรุงแต่งความหลงมันคือความไม่สงบ มันเป็นปฏิฆะ มันเป็นสงคราม สงครามที่มันอยากให้ได้ตามใจตามปรารถนา เมื่อมันไม่ได้ตามใจตามปรารถนามันก็เกิดปฏิฆะ เกิดพยาบาท มันเป็นสงครามน่ะ สงครามระหว่างคนสองคน หรือว่าหลายคน หรือระหว่างประเทศ หรือสงครามโลก ตัวตนนี้มันเป็นสงคราม สงครามมันเป็นสีดำ ตัวตนคือความมืด ตัวตนปรียบเสมือนคนตาบอด มีแต่ตาเนื้อตาหนังไม่มีตาปัญญา ตัวตนมันไปเอาความสุขจากคนอื่น มันไปเอาความสุขจากการทำปาณาติบาต ไปเอาของคนอื่น ตัวตนนี้แหละมันสร้างเครื่องประหัตประหาร สร้างธนู สร้างปืน สร้างระเบิด สร้างเครื่องบินรบ ตัวตนนี้แหละที่ประเทศไทยเอาเครื่องบิน F16 ไปบอมประเทศกัมพูชา ไปบอมประเทศเขมร เป็นความเย่อหยิ่งจองหองคิดว่าตัวเองเก่งกว่าเค้ามีเพาเวอร์มากกว่าเค้า ประเทศเขมรจนกว่าเราประเทศเล็กกว่าเรา อาวุธก็สู้เราไม่ได้ ตัวตนนี้ทำให้เย่อหยิ่งจองหองเป็นตัวเป็นตนมันเป็นการชูงวง ไม่ใช่ความสงบและปัญญา ไม่ใช่ปัญญาและความสงบ เวลาอเมริกาน่ะ ประเทศไทยไม่กล้า หงอเลย กลัวสหรัฐอเมริกายิ่งกว่าหมาตอนเสียอีก เราทั้งหลายต้องพากันรู้เข้าใจ เรื่องความสงบเรื่องปัญญา จะได้หยุดปฏิฆะ หยุดพยาบาท ความสงบและปัญญานี้ ความเมตตาเป็นเครื่องคุ้มครองป้องกันพยาบาท ป้องกันปฏิฆะ เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ จะไปโกรธทำไม ไปปฏิฆะทำไม ไปพยาบาททำไม ความโกรธความปฏิฆะเราทั้งหลายผู้มาบวชเราต้องพากันยกเลิกนะ
นิวรณ์ข้อที่ ๓ ถีนมิทธะ ความง่วงเหงาหาวนอน เรามีธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ เราต้องรู้ต้องเข้าใจอย่าให้ถีนมิทธะ ความง่วงเหงาหาวนอนมาครอบงำใจทั้ง ธาตุทั้ง ๔ ก็ให้เป็นธาตทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ ก็ให้เป็นขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ ก็ให้เป็นอายตนะทั้ง ๖ อย่าให้ครอบงำใจของเรา ใจของเราต้องสว่างไสว ธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ ก็ให้เป็นเรื่องของเขา เราต้องรู้เข้าใจ พระโมคคัลลานะ อัครสาวกฝ่ายซ้ายผู้เลิศทางอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์เป็นผู้ที่เจริญสมถะมาก เจริญสมาธิมาก มีความง่วงเหงาหาวนอน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็ให้อุบายแก่พระโมคคัลลา ว่าเราต้องผ่านไปด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยการประพฤติการปฏิบัติ เพราะมันมีปัญญาเราก็ต้องแก้ปัญหา เราอย่าให้ความง่วงเหงาหาวนอนมาครอบงำเรา ด้วยการสาธยายสรีระร่างกาย เช่น ร่างกายของเรามีอาการ ๓๒ เราก็ ๑ จนถึง ๓๒ มีอะไรบ้าง แยกออกเป็นชิ้นเป็นส่วน ออกจากกันให้หมด แล้วประกอบกันอย่างนี้ ดีกว่าไปง่วงเหงาหาวนอน อย่างปัจจุบันนี้เราพากันฝึกท่องปาฏิโมกข์ สวดปาฏิโมกข์ หรือเรียนบทสวดอะไรต่าง ๆ เราก็เอาบทท่องปาฏิโมกข์มาสวดในใจ เอาบทสวดมนต์มาท่องในใจก็ได้ดีกว่าไปง่วงเหงาหาวนอน ถ้าทำอะไรอยู่มันก็ยังง่วงอยู่ก็ให้หยุดลมหายใจมันเสียเลย กลั้นลมหายใจไว้ ใจจะขาด ทำอย่างนี้แหละไม่เกิน ๓๐ นาทีมันก็หายง่วง เช่น คนขับรถยนต์ที่เดินทางไกลจากทางเหนือไปใต้ จากทางใต้ไปเหนือ ถ้ามันง่วงมากก็หยุดลมหายใจกลั้นลมหายใจทำอย่างนี้ไม่กี่ครั้งมันก็หายง่วง เราต้องมีสติไวสติเร็ว อย่าให้ความปรุงแต่งมันมาครอบงำเรา เอาอานาปานสติให้มีปิติในการเจริญอานาปานสติหายใจเข้าให้มีความสุขหายใจออกให้มีความสุข หายใจเข้าให้สบายให้มีปิติมีความสว่างไสวให้แยกจากธาตุจากขันธ์จากอายตนะ การทำสมาธิ สมาธิขั้นละเอียดนี้เค้าจะหยุดเรื่องความปรุงแต่ง เรื่องอายตนะภายนอก มันจะหยุดใช้ระบบสมอง ระบบปัญญาอย่างนี้ จิตใจก็จะเข้าสู่เอกัคคตา เข้าสู่ความเป็นหนึ่ง เข้าอัปปณาฌาน อย่างนี้ก็จะหายง่วงได้ให้เข้าใจนะ เราเอาตัวตนเอาความปรุงแต่งนำชีวิตมันก็ต้องโงกง่วงเป็นธรรมดา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่าถ้ายังง่วงอยู่อย่างนี้ก็ให้ออกไปเดินจงกรม เดินทำใจให้สว่างไสว เดินกลับไปกลับมา เพื่อให้ร่างกายมันตื่นตัว เพื่อกายมันจะได้ทำงาน หรือเอาร่างกายไปทำการทำงานอะไรให้มีความสุขในการทำงาน ถ้าเราทำอะไรมีความสุขมันจะไม่มีความง่วงน่ะ อย่างพวกที่เล่นการพนัน พวกที่เล่นไพ่กัน ใจมันมีความสุขในการเล่นไพ่ ๓ วัน ๓ คืน พวกนี้ก็ไม่ง่วง เพราะเค้ามีความสุข แต่ความสุขอันนั้นมันเป็นความสุขไม่ถูกต้อง เป็นความสุขที่เป็นความหลง เพราะการพนันเป็นความเสื่อม การพนันมันเป็นความไม่ถูกต้อง เป็นอบายมุขอบายภูมิ เป็นความเสื่อม
นิวรณ์ข้อที่ ๔ อุทธัจจะกุกกุจจะ คือความฟุ้งซ่านรำคาญ ให้เรารู้เข้าใจนะ ถ้าเรามีตัวมีตนมันก็ต้องฟุ้งซ่านรำคาญ ให้เรารู้เข้าใจว่าตัวว่าตนนั้นคือตัวที่ฟุ้งซ่านรำคาญ ให้เรารู้ให้เข้าว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมันได้ตามใจบ้างไม่ได้ตามใจบ้าง ทุกอย่างมันไม่มีสิ่งใดที่ได้ตามใจตามปรารถนาถึงร้อยเปอร์เซ็นต์ การที่ไม่ได้ตามใจนี้แหละ เป็นเหตุเป็นปัจจัยที่เราจะได้มีโอกาสได้ประพฤติได้ปฏิบัติธรรม เราต้องขอบใจธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ ได้เปิดโอกาสให้เราได้ประพฤติได้ปฏิบัติธรรม ให้ถือคติธรรมอย่างนี้มาประพฤติมาปฏิบัติ ถ้าไม่มีอุทธัจจะกุกกุจจะ เราก็ไม่มีการประพฤติการปฏิบัติ เราก็จะไม่มีข้อวัตรข้อปฏิบัติ เมื่อมันมีปัญหาเราก็ได้แก้ปัญหา ให้เรารู้เข้าใจเรื่องอุทธัจจะกุกกุจจะ เราอย่าไปรำคาญ เราทั้งหลายอย่าพากันไปฟุ้งซ่านรำคาญ ให้รู้เข้าใจว่าอันนี้มันเป็นตัวเป็นตนมันเป็นความปรุงแต่งของเราเอง เรามีตัวมีตนมันก็ฟุ้งซ่านรำคาญมันก็ต้องปรุงแต่งอย่างนี้แหละ มันเป็นความหลงเป็นความต้องการของเราเอง เราต้องรู้เข้าใจ เราไม่เข้าใจเราก็อยากให้มันช้าอยากให้มันเร็ว ไม่อยากเกิดแก่เจ็บตายพลัดพราก เราอยากให้มันช้าก็ว่ามันเร็ว อยากให้มันเร็วก็ว่าอันนี้มันช้า มันเป็นเรื่องความปรุงแต่งเรื่องตัวเรื่องตนทั้งนั้นให้เรารู้เข้าใจ พระสกิทาคา พระอนาคามีรู้เข้าใจแล้วประพฤติในเรื่องอุทธัจจะกุกกุจจะ ท่านรู้เข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้แหละดี จะได้ประพฤติจะได้ปฏิบัติ ถ้าไม่มีอุทธัจจะกุกกุจจะก็ไม่มีข้อวัตรปฏิบัติ ให้เข้าใจอย่างนี้ เราอย่าไปรำคาญ รำคาญเหมือนกับเห็นเค้ามีปัญญาน้อยกว่าเรา เราก็รำคาญ เหมือนเอาตัวแมลงหวี่แมลงวันที่มาเกาะเรามาตอมเราเราก็รำคาญ เหมือนมดมาไต่ตัวเรา เหมือนยุงมากัดกินเลือดเรา เราก็รำคาญ เหมือนเราไปมองเห็นที่เค้าเข้าโรงพยาบาลเค้าใส่สายทางจมูก ใส่สายออกซิเจน ถูกใส่สายออกซิเจนที่เค้าให้ออกซิเจนทางปากทางจมูก พะรุงพะรัง เราเองเห็นก็รำคาญ อันนี้มันเป็นความรู้สึกของเรานะ ตัวตนมันรำคาญอย่างนี้แหละ ถ้าเรารู้เราเข้าใจแล้วเราก็จะไม่รำคาญ เพราะความรำคาญนั้นมันเป็นตัวเป็นตนเป็นความปรุงแต่งของเราเอง หรือว่าเค้าเอาออกซิเจนมาใส่ปากใส่จมูกเรา เราให้รู้เข้าใจนะ เราอย่าไปรำคาญ รำคาญคือตัวตนคือความปรุงแต่งให้รู้เข้าใจ เรามีความปรุงแต่งเมื่อไหร่เราก็ต้องรำคาญ เพราะความรำคาญคือความปรุงแต่งให้เรารู้เข้าใจ อันนี้ก็เป็นนิวรณ์ข้อหนึ่งนะ มีแง่มุมให้เราได้รู้ได้ประพฤติได้ปฏิบัติ ต้องขอบใจสิ่งต่าง ๆ ที่ให้เราได้ประพฤติปฏิบัติให้เข้าใจอย่างนั้น
นิวรณ์ข้อที่ ๕ วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย ลังเลสงสัยเรื่องตายแล้วได้เกิดอีกมั๊ย หรือว่าตายไปแล้วสูญไป ลังเลสงสัยในเรื่องพระพุทธ ลังเลในพระธรรมคำสั่งสอนว่าจะดับทุกข์ได้แก้ปัญหาได้ ก็มองเห็นอยู่คนเค้าไม่เอาธรรมะเค้าโกงกินคอร์รัปชั่นก็มีแต่พากันรวยทั้งนั้น ส่วนใหญ่ก็ไม่เห็นใครจนมีแต่รวยน่ะ มีความลังเลสงสัยในนักบวชทั้งหลาย นักบวชทั้งหลายนี้ไม่เป็นที่ไว้วางใจของมหาชนเลย ได้รับการแต่งตั้งถูกต้องตามกฎหมายจารีตประเพณีแล้วปฏิบัติตรงกันข้ามกับที่ได้รับการแต่งตั้ง แต่งตั้งแล้วไม่ได้ปฏิบัติงานไม่ได้ทำหน้าที่เลยมีความสงสัยในพระสงฆ์ที่มาบวช พากันมีเรื่องมีราวมีปัญหาแทบทุกวันเลย พากันปฏิบัติตรงกันข้าม พากันมาเป็นสมีกันเป็นส่วนใหญ่ คำว่าสมีนี้หมายถึงตัวตนนะ ตัวตนนั้นคือสมี สมีกับสามีก็อันเดียวกันแหละ ถ้าเรามีตัวมีตนเอาตัวตนนำชีวิตถือว่าจัดว่าเป็นสมีนะ มารับเงินรับสตางค์ มาเก็บสังฆทาน มาหลงในยศในตำแหน่งของนักบวช มาหลงในยศในตำแหน่งที่พระราชาแต่งตั้งประทานยศต่าง ๆ ให้ ประชาชนเค้าไม่แน่ใจเค้าลังเลสงสัยในพระสงฆ์ มีความลังเลสงสัยว่าทำดีได้ดีจริงมั๊ย เพราะว่าคนทำชั่วโกงกินคอร์รัปชั่น ไม่เห็นเขาได้รับบาปรับกรรมรับเวรรับภัยเลย มีแต่รวย ๆ ทั้งนั้นเลย
๗. อุเบกขาสัมโพชฌงค์ เรารู้เรื่องธาตุเรื่องขันธ์เรื่องอายตนะต่าง ๆ มันเป็นสิ่งที่มีอยู่ เราต้องรู้เข้าใจ เราจะได้หยุดด้วยพระธรรมพระวินัย เราจะได้เข้าถึงความสงบเข้าถึงความพอเพียง เราจะได้เข้าถึงปิติถึงความสุขถึงเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน สิ่งที่เป็นปัจจุบันเราต้องเห็นความสำคัญ เราจะได้เข้าถึงความสงบถึงปัญญาเข้าถึงปฏิปทาที่เป็นความสงบเป็นปัญญา สิ่งที่ผ่านไปแล้วถือว่ามันเกษียณแล้วเอากลับคืนมาไม่ได้ ต้องไม่ให้อดีตอนาคตของเราทำงาน ทั้งกรรมเก่ากรรมใหม่ต้องอยู่ได้ด้วยความสงบด้วยปัญญา อุเบกขานี้เป็นธรรมะอยู่นอกเหตุเหนือผล เป็นสิ่งที่หยุดความปรุงแต่ง ไม่มีเหตุอะไรที่จะเข้าไปปรุงแต่ง เรารู้เข้าใจเรื่องกรรมเรื่องกฎแห่งกรรมผลของกรรมอาศัยความดีอาศัยปัญญาประพฤติปฏิบัติที่เป็นปฏิปทาด้วยความรู้ความเข้าใจ ธรรมะที่เป็นความสงบและปัญญา เป็นธรรมะที่อยู่นอกเหตุเหนือผล เป็นพระธรรมเป็นพระวินัย เป็นเรื่องเข้าใจ เป็นการปฏิบัติ เป็นมรรคเป็นอริยมรรค ให้เราทั้งหลายเป็นผู้ที่ประเสริฐที่มีลมปราณ เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติเราทั้งหลายจะได้เข้าถึงธรรมแห่งการตรัสรู้ด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา ให้ทุกท่านทุกคนระลึกถึงพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านตรัสไว้ว่าเราทุกคนทุกท่านเป็นผู้ที่ประเสริฐต้องเอาธรรมนำชีวิต ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านมีเมตตาตรัสไว้ว่า
“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”
โอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ
ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ
ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู
ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบัน ไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละ คือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะ
--------------------------------
โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
เมตตาให้ไว้ในเช้าวันที่ ๑๗ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา