๑๙ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

วันนี้เป็นวันที่ ๑๙ เดือนสิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘  ศาสนาพุทธ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ศาสนาคริสต์ ฮิจเลาะห์ศักราช ๑๔๔๖ ศาสนาอิสลาม

 

วันนี้ท่าน ผอ.โรงเรียนบุญวัฒนาพร้อมทั้งครู นักเรียน นักศึกษา ผู้ปกครอง ข้าราชการ พ่อค้าประชาชน ได้ทำบุญบำเพ็ญกุศล ณ โรงเรียนบุญวัฒนาแห่งนี้

 

มนุษย์เราต้องมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ พัฒนาใจพัฒนาวัตถุไปพร้อม ๆ กัน ระหว่างใจกับวัตถุเพื่อเป็นทางสายกลาง บุญได้แก่ความดี กุศลได้แก่ความฉลาด ความฉลาดและความดีต้องเดินควบคู่กันไป

 

มนุษย์เราต้องเอาธรรมนำชีวิต เอาใจกับวัตถุไปพร้อม ๆ กัน

มนุษย์เราทุก ๆ คนต้องมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ รู้เหตุรู้ปัจจัย เพราะทุกอย่างนั้นคือกรรมคือกฎแห่งกรรมคือผลของกรรม เพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเกิดจากเหตุเกิดจากปัจจัย มนุษย์เราถึงมีการเรียนการศึกษา

 

การเรียนการศึกษาของมนุษย์นั้นมีอยู่ทั้งหมด ๑๘ ศาสตร์ เพื่อจะได้พัฒนาทั้งใจทั้งวัตถุไปพร้อม ๆ กัน มนุษย์เราถึงมีบ้านมีที่อยู่ที่อาศัย มนุษย์เราถึงมีวัด มีพระศาสนา มนุษย์เราถึงมีโรงเรียน เพื่อเป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม การเรียนการศึกษาของมนุษย์นั้นถึงมีทั้งหมด ๑๘ ศาสตร์ ๑๘ ศาสตร์มีอะไรบ้าง พูดให้ฟังพอสังเขป ๑๘ ศาสตร์ก็ได้แก่

  1. ยุทธศาสตร์ วิชานักรบ
  2. รัฐศาสตร์ วิชาการปกครอง
  3. นิติศาสตร์ วิชากฎหมายและจารีตประเพณีต่างๆ
  4. วาณิชยศาสตร์ วิชาการค้า
  5. อักษรศาสตร์ วิชาหนังสือ
  6. นิรุกติศาสตร์ วิชารู้ภาษาของตนแตกฉานดี และรู้ภาษาของชนชาติที่ติดต่อกัน
  7. คณิตศาสตร์ วิชาคำนวณ
  8. โชติยศาสตร์ วิชาดูดวงดาวต่างๆ คือรู้จักว่าดวงดาวนั้นๆ ตั้งอยู่ทางทิศนั้นๆ และประจำเมืองนั้นๆ และรู้จักสีแสงของดวงดาวต่างๆ อันบอกลางดีและลางร้ายในกาลบางครั้ง
  9. ภูมิศาสตร์ วิชารู้พื้นที่ต่างๆ หรือรู้จักแผนที่ของประเทศต่างๆ
  10. โหราศาสตร์ วิชาโหร คือรู้พยากรณ์เหตุการณ์ต่างๆ ได้ และรู้ทายดวงชะตาราศีของคนได้ด้วย
  11. เวชศาสตร์ วิชาหมอยา
  12. สัตวศาสตร์ วิชารู้ลักษณะของสัตว์และเสียงสัตว์ว่าร้ายหรือดี
  13. เหตุศาสตร์ วิชารู้เหตุเป็นแดนเกิดแห่งผลว่าร้ายหรือดี
  14. โยคศาสตร์ ยันตรศึกษา คือรู้จักความเป็นช่างกล
  15. ศาสนศาสตร์ วิชารู้เรื่องศาสนา คือรู้จักประวัติความเป็นมาแห่งศาสนาทุกๆ ศาสนาที่มหาชนนิยม เพื่อปฏิบัติไม่ขัดแก่สังคมใดๆ และรู้คำสอนในศาสนานั้นๆ ด้วย
  16. มายาศาสตร์ วิชารู้กลอุบาย หรือรู้ตำรับพิชัยสงคราม
  17. คันธรรพศาสตร์ วิชาคนธรรพ์คือวิชาร้องรำ(ละคอน) ที่เรียกชื่อว่า "นาฏยศาสตร์" และวิชาดนตรีปี่พาทย์ ที่เรียกชื่อว่า "ดุริยางคศาสตร์"
  18. ฉันทศาสตร์ วิชาประพันธ์ คือแต่งหนังสือได้ ทั้งที่เป็นร้อยกรอง(บทกลอน) และร้อยแก้ว(ความเรียง)

 

๑๘ ศาสตร์นั้นก็มารวมที่ความรู้ความเข้าใจ การที่เราเรียนหนังสือก็เพื่อความเข้าใจ การศึกษาค้นคว้าตามหลักเหตุหลักผลหลักวิทยาศาสตร์ก็เพื่อความรู้ความเข้าใจ การฟังการบรรยายก็เพื่อความรู้ความเข้าใจ ความรู้ความเข้าใจนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ ความเข้าใจนั้นไม่ใช่ความจำ ถ้าความจำนั้นมันลืมได้ แต่ความเข้าใจนั้นไม่สามารถที่จะลืมได้

 

หลักการของมนุษย์เป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ ถึงมีหลักการชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ชาตินั้นหมายถึงความเกิด ถ้าเรามีการเรียนการศึกษา เราเอาความรู้จากการเรียนการศึกษาไปประพฤติไปปฏิบัติ ที่เป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา ที่เป็นชื่อโรงเรียนของเราคือบุญวัฒนา

 

ให้พวกเราทั้งหลายรู้เข้าใจ เราเป็นคนดีเราก็ต้องมีปัญญา เราเป็นคนมีปัญญาเราก็ต้องเป็นคนดี เหมือนความหมายของบุญวัฒนา ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ชาติก็หมายถึงความเกิด ถ้าเรามีการเรียนการศึกษาเพื่อเอามาประพฤติปฏิบัติให้เป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา

 

เราทั้งหลายก็จะได้เข้าถึงความเป็นมนุษย์ในปัจจุบัน เข้าถึงความเทวดาตั้งแต่ในปัจจุบัน เข้าถึงความเป็นพรหมตั้งแต่ปัจจุบัน เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าตั้งแต่ในปัจจุบัน เรื่องเหตุเรื่องปัจจัยนั้นเป็นเรื่องของปัจจุบันนะ เพราะอดีตก็มารวมที่ปัจจุบันแล้ว อนาคตที่จะไปข้างหน้าก็มารวมอยู่ที่ปัจจุบัน ปัจจุบันถึงเป็นวาระสำคัญแห่งชาติ กาย วาจา กิริยามารยาท อาชีพมารวมอยู่ที่ปัจจุบัน อยู่ที่ปัญญาสัมมาทิฏฐิ

 

เราทั้งหลายต้องรู้เหตุรู้ปัจจัย อุปกรณ์ของใจได้แก่ธาตุทั้ง ๔ ได้แก่ ดินน้ำลมไฟ ขันธ์ทั้ง ๕ ได้แก่ รูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ อายตนะทั้ง ๖ ได้แก่ ตาหูจมูกลิ้นกายใจ ธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ เป็นเพียงอุปกรณ์ของใจเท่านั้น เมื่อใจเรามีปัญญาจากการเรียนการศึกษา เรามีปัญญาสัมมาทิฏฐิ เอาความรู้จากการเรียนการศึกษามาประพฤติมาปฏิบัติที่เป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เราก็จะเข้าถึงความเป็นมนุษย์เป็นเทวดาเป็นพระพรหมเป็นพระอริยเจ้า

 

มนุษย์เราถึงต้องมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ เพื่อปฏิบัติให้เป็นทางสายกลางระหว่างเรื่องจิตเรื่องใจกับเรื่องวัตถุ เราต้องรู้เข้าใจ เราจะผ่านไปด้วยความรู้ความเข้าใจ ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ

 

การประพฤติการปฏิบัตินั้นเราทุกคนต้องพากันประพฤติปฏิบัติเอาเอง สิ่งเหล่านี้ไม่มีใครประพฤติปฏิบัติแทนเราได้ เราทั้งหลายต้องดำเนินชีวิตด้วยความรู้ความเข้าใจ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพราะสิ่งเหล่านี้มันคือความถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งอาชีพทั้งใจคือความถูกต้อง สิ่งเหล่านี้แหละมีแต่คุณ ไม่มีโทษ เป็นพุทธคุณ ธัมมคุณ สังฆคุณ ไม่มีโทษ

 

เราทั้งหลายต้องพากันรู้หลักการ รู้อุดมการณ์ รู้อุดมธรรม การประพฤติการปฏิบัตินั้นให้ประพฤติปฏิบัติในปัจจุบัน เพราะอดีตนั้นเป็นสิ่งที่ปฏิบัติไม่ได้เพราะมันผ่านไปแล้วมันเกษียณแล้ว อนาคตที่ยังมาไม่ถึงก็ปฏิบัติไม่ได้เพราะยังไปไม่ถึง ปัจจุบันนี้เป็นวาระสำคัญ

 

เราทั้งหลายต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติให้มีความสุข เราทั้งหลายต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตา เราต้องผ่านไปด้วยความรู้ความเข้าใจ เราต้องผ่านธาตุผ่านขันธ์ผ่านอายตนะด้วยความรู้ความเข้าใจ เพราะว่าธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ เป็นสิ่งที่เราต้องผ่านไป เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เพื่อจะไม่ให้ธาตุให้ขันธ์ให้อายตนะครอบงำสติ ครอบงำปัญญาของเรา

 

เราทั้งหลายต้องรู้โจทย์ คือรู้ข้อสอบ เราทั้งหลายต้องรู้ข้อตอบด้วยความรู้ความเข้าใจ เราทั้งหลายต้องผ่านไปด้วยความรู้ความเข้าใจ ความรู้ความเข้าใจนั้นจะเป็นสัมมาทิฏฐิที่จะเป็นศีลเป็นสมาธิ เป็นปัญญา เป็นธรรม เป็นปัจจุบันธรรม เราอายุหนึ่งขวบ สองขวบ สามขวบ สี่ขวบ ห้าขวบ อย่างนี้เป็นต้น อาศัยพ่ออาศัยแม่อาศัยผู้ปกครอง เมื่อเราอายุครบ ๗ ขวบแล้ว เราทุกคนต้องอาศัยตัวของเราเอง อาศัยปลีแข้งของเราเอง

 

เราต้องรู้ต้องเข้าใจ เราทั้งหลายต้องพากันมาเสียสละ ถ้าเราไม่เสียสละ เราทั้งหลายก็ไปไม่ได้ เพราะไม่เสียสละ

 

มนุษย์เราคือผู้รู้ผู้เข้าใจคือผู้ที่เสียสละ ต้องเสียสละ ต้องเข้าใจเรื่องเสียสละ ถ้าเราไม่เสียสละ เราก็ไม่มีศีลไม่มีสมาธิไม่มีปัญญา เราจะถูกอวิชชาความหลงมันครอบงำ ตกอยู่ในสัญชาตญาณที่มันเป็นตัวเป็นตน สัญชาตญาณ เสียสละที่เอาร่างกายมาเป็นเรา เอาธาตุทั้ง ๔ ดินน้ำลมไฟมาเป็นเรา เอาขันธ์ทั้ง ๕  รูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณนั้นมาเป็นเรา เสียสละเอาอายตนะทั้ง ๖ ตาหูจมูกลิ้นกายใจมาเป็นเรา

 

ให้พวกเรารู้เข้าใจ สิ่งเหล่านี้มันไม่ใช่เรานะ มันเกิดจากเหตุเกิดจากปัจจัย เพราะมันมีเหตุมีปัจจัยถึงมีธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ ความเป็นจริงแล้วสิ่งว่างเปล่านั้นเป็นสิ่งที่ดั้งเดิม สิ่งที่จรไปจรมาก็ได้แก่ธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ ที่เราไม่รู้ไม่เข้าใจ ที่เอาธาตทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ มาเป็นเรา เราทั้งหลายถึงต้องพากันเวียนว่ายตายเกิด

 

เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เพื่อจะได้หยุดสัญชาตญาณที่เป็นนิติบุคคลตัวตน ที่มีความสำคัญมั่นหมายที่เป็นตัวเป็นตน มีความสำคัญมั่นหมายว่าเราเป็นผู้หญิงผู้ชายเป็นคนหนุ่มคนสาวคนแก่คนเฒ่าคนชราเป็นคนตายคนพลัดพรากว่าเราดีกว่าเขาเก่งกว่าเขามีเพาเวอร์มากกว่าเขาเป็นผู้มียศตำแหน่งชาติตระกูลสูงกว่าเขาเราต้องรู้เข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้มันคือเหตุคือปัจจัยไม่ใช่เขาไม่ใช่เรา เราจะได้หยุดสัญชาตญาณที่มันเป็นนิติบุคคลตัวตน เราจะได้เบรก เราจะได้หยุด สัญชาตญาณ ให้เรารู้เข้าใจนะ รถก็ต้องมีเบรก เครื่องบินก็ต้องมีเบรก เรือก็ต้องมีเบรก เรามีธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ เราก็ต้องมีเบรก เบรกด้วยความรู้ความเข้าใจ เอาความรู้ เอาโจทย์นั้นมาประพฤติมาปฏิบัติ เพื่อให้เกิดความสงบเกิดปัญญา เกิดอนัตตาไม่ใช่เกิดเป็นตัวเป็นตนเป็นสัญชาตญาณรักความสุขไม่ชอบความทุกข์ ยินดีในกาม ไม่พอใจในสิ่งที่ไม่ได้ตามปรารถนา ตั้งอยู่ในพยาบาท เราต้องรู้เข้าใจว่าความปรุงแต่งที่เป็นกามเป็นพยาบาทนั้นมันเป็นนิติบุคคลเป็นตัวตนมันเป็นยาน มันเป็นสัญชาตญาณมันเป็นการเวียนว่ายตายเกิด เป็น cycle of life เป็นสังสารวัฏให้เราเข้าใจ

 

ครั้งพุทธกาลน่ะ สามเณรเกิดมา ๗ ปีหรือว่า ๗ ขวบ ได้ฟังพระธรรมเทศนาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เข้าใจในเรื่องเหตุปัจจัย เข้าใจเรื่องทุกข์เรื่องเหตุเกิดทุกข์เรื่องข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เอาปัญญาสัมมาทิฏฐิคู่กับการประพฤติการปฏิบัติ เด็กเพียง ๗ ขวบเป็นสามเณรก็สามารถหยุดสัญชาตญาณที่เป็นนิติบุคคลตัวตนได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ ความรู้ความเข้าใจนี้ถึงเป็นสิ่งที่สำคัญ

 

เราทุกคนต้องถือเอามติของความสงบและปัญญา มนุษย์เรานี้ต้องเอามติความดีกับปัญญาไปพร้อม ๆ กัน ความสงบและปัญญาเป็นสิ่งที่พอเพียงเพียงพอ เป็นความพอดี ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป เหมือนสายพิณสายกีต้าร์ ถ้าตึงเกินไปสายพิณสายกีต้าร์นั้นมันจะขาด ถ้าหย่อนเกินไปสายพิณสายกีต้าร์ก็จะไม่ไพเราะ ความสงบและปัญญา เป็นความพอเพียงเพียงพอ เป็นความพอดี การพัฒนาใจพัฒนาวัตถุถึงต้องไปพร้อม ๆ กัน เอาความสงบกับปัญญาไปพร้อม ๆ กัน

 

เราคิดดูดี ๆ เพื่อเราทุกคนจะได้ข้ามสัญชาตญาณที่มันเป็นนิติบุคคลตัวตน เราจะหยุดความชอบใจไม่ชอบใจ เราต้องรู้ต้องเข้าใจ ความชอบใจก็คือความไม่พอเพียงไม่เพียงพอ คือความไม่พอดี ความไม่ชอบใจก็คือความไม่พอเพียงไม่เพียงพอ คือความไม่พอดี เราคิดดูดี ๆ นะ เราอยากได้มากมันก็ไม่มากมันก็เท่าเก่า เราอยากได้น้อยมันก็ไม่น้อยมันก็เท่าเก่า

 

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลเดชท่านตรัสกับพสกนิกรชาวไทยและชาวโลกว่ามนุษย์เราต้องเอาทางสายกลางนำชีวิตพัฒนาใจพัฒนาวัตถุไปพร้อม ๆ กันให้ถึงความพอเพียงเพียงพอ เราจะไม่ได้ลิดรอนสิทธิของธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ เราจะเข้าถึงความสงบถึงปัญญาเข้าถึงเรื่องอนัตตาไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เราทั้งหลายจะได้หยุดสัญชาตญาณที่มันเวียนว่ายตายเกิด

 

เราจะเดินทางไกลเราต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจ ก้าวไปขาขวาขาซ้ายด้วยปลีแข้งลำแข้งของเรา

 

มนุษย์เราสมัยใหม่พัฒนาเรื่องใจเรื่องเทคโนโลยี มนุษย์เราก็ต้องอาศัยยาน เพื่อความรวดเร็วว่องไว เราจะไปทางบกเราก็ต้องอาศัยรถอาศัยเครื่องบิน เราจะไปทางน้ำเราก็อาศัยยานคือเรือ เพราะในโลกนี้มันกว้างใหญ่ไพศาลเป็นวงกลม มันหมุนรอบตัวเอง เป็นกลางวัน ๑๒ ชั่วโมง กลางคืน ๑๒ ชั่วโมง ส่วนที่เป็นน้ำนั้นมีอยู่ ๓ ส่วน ส่วนที่น้ำไม่ท่วมมีอยู่ ๑ ส่วนเค้าต้องอาศัยยาน

 

การเรียนการศึกษานี้ คือยานนะ เราต้องข้ามสัญชาตญาณ ด้วยความรู้ความเข้าใจเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ถ้าเรารู้เข้าใจแล้วเราไม่เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัตินั้นก็ไม่ได้ ครั้งหนึ่งในครั้งพุทธกาลองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านยังทรงพระชนม์อยู่ มีพระมีนามว่าท่านพระโปฐิละ เป็นผู้ที่มีปัญญามาก เพราะได้บำเพ็ญสาวกบารมีมาหลายภพหลายชาติเป็นผู้มีปัญญามาก แต่ไม่เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ มีแต่เรียนมีแต่ศึกษาไม่เอาความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ มีลูกศิษย์ตั้งหลายร้อยหลายพันหลายหมื่นได้ฟังธรรมจากการบรรยายของท่านพระโปฐิละ ท่านได้เข้าเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่เป็นประจำ

 

ความรู้กับการประพฤติการปฏิบัติต้องควบคู่ไปพร้อม ๆ กัน การฟังธรรมจากพระอรหันต์ขีณาสพ การฟังธรรมจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเมื่อเข้าใจแล้วก็เอาไปประพฤติไปปฏิบัติแม้แต่เป็นเพียงสามเณร ๗ ขวบก็สามารถบรรลุเป็นพระอรหันต์ขีณาสพได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ

 

เราทั้งหลายให้รู้ให้เข้าใจนะ เราทั้งหลายน่ะได้เกิดมาเป็นมนุษย์เป็นผู้ที่ประเสริฐ เราทั้งหลายต้องเอาธรรมนำชีวิต พัฒนาทั้งใจพัฒนาทั้งวัตถุไปพร้อม ๆ กันให้มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตา ชีวิตของเราเกิดมาเพื่อทำที่สุดแห่งความดับทุกข์นะ ไม่ใช่มาประกอบทุกข์นะ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งชีวิตนั้นไม่สงบนะ ชีวิตนั้นจะมีแต่ความวุ่นวายมีแต่ความขัดข้องนะ

 

เราทั้งหลายน่ะมีสิทธิเสรีภาพพอ ๆ กันนั่นแหละ เพราะว่ามีธาตุทั้ง ๔ มีขันธ์ทั้ง ๕ มีอายตนะทั้ง ๖ เหมือน ๆ กัน ความดับทุกข์นั้นอยู่ที่มีสัมมาทิฏฐินะ เราคิดดูดี ๆ ถ้าเรามีตัวมีตนแล้วเราเป็นคนจนเป็นทุกข์เพราะว่าไม่มี เราเป็นคนรวยก็ทุกข์เพราะไม่รู้จักพอ จะเป็นคนรวยคนจนก็เป็นทุกข์ได้พอ ๆ กัน ไม่มีใครยิ่งหย่อนกว่ากัน เราทั้งหลายต้องพากันรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะไม่ได้เอาคนอื่นมาเปรียบเทียบ เราทั้งหลายต้องเดินทางสายกลางระหว่างใจกับวัตถุเพื่อเป็นทางสายกลาง ถ้าจะเอาแต่วัตถุก็เน้นแต่เรื่องวิทยาศาสตร์เน้นแต่ตัวแต่ตน ถ้าจะเอาแต่ใจอย่างนี้ก็เอาแต่ความสงบ ไม่เสียสละ มันก็แก้ปัญหาไม่ได้ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงตรัสเป็นทางสายกลางระหว่างวัตถุกับจิตใจ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเปรียบเสมือนต้นไม้ต้นหนึ่ง ต้นไม้ต้นนั้นต้องได้อาหารมาจากทุกทิศทุกทางของต้นไม้นะ ใช่มาจากทางรากอย่างเดียว ต้องได้มาจากทั้งทางรากทางใบกิ่งก้านสาขาทางยอดตลอดปริมณฑลทั้งแสงแดดอากาศออกซิเจนต้นไม้นั้นถึงจะเจริญงอกงามสง่างาม

 

ปัญญาสัมมาทิฏฐิเราต้องเอามาใช้ประพฤติปฏิบัติในปัจจุบันนะ ปัจจุบันเราต้องรู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายจะได้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความสงบและปัญญา เข้าถึงความดีและปัญญา เป็นบุญวัฒนา เป็นปัญญาควบคู่กันไป เราทั้งหลายจะต้องอยู่ด้วยบุญอยู่ด้วยปัญญาให้รู้เข้าใจนะ "ปุญฺญานิ ปรโลกสฺมิง ปติฏฺฐา โหนฺติ ปาณินัง" บุญย่อมเป็นที่พึ่งของสรรพสัตว์ทั้งหลายด้วยความดีที่ประกอบด้วยปัญญา

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านมีเมตตาบอกพวกเราทั้งหลายว่า การประพฤติการปฏิบัติมันเป็นวาระแห่งชาติในการประพฤติการปฏิบัติ เราต้องตั้งอกตั้งใจ อย่าไปประมาท ความประมาทนั้นคือความผิดพลาด ความผิดพลาดคือความเสียหาย ความผิดพลาดคือการพังทลายเช่นเดียวอย่างเดียวกันกับตึก สตง.เลย ตึกสตง.ของเมืองไทยของเรา เป็นประจักษ์พยานให้เรารู้เข้าใจ เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ตั้งอยู่ในความประมาท มัวเพลิดเพลินตามธาตุตามขันธ์ตามอายตนะ ตามเพื่อนตามฝูงตามสิ่งแวดล้อมมันทำให้เราเสียเวลา เสียกาลเสียเวลา

 

เราทั้งหลายต้องเข้าสู่หลักการการประพฤติการปฏิบัติถ้าไม่อย่างนั้นชีวิตของเราก็ย่อมพังทลาย เราต้องหยุดความประมาท องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงตรัสว่าเธอทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด อย่าให้นิติบุคคลตัวตนมันครอบงำเรา อย่าให้ธาตุให้ขันธ์ให้อายตนะให้สิ่งแวดล้อมครอบงำเราต้องก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ ชีวิตของเราจะได้มีแต่ความสงบมีแต่ปัญญา ชีวิตของเราจะได้สว่างไสวก้าวไปด้วยปิติสุขเอกัคคตาเหมือนรถยนต์นำขบวนเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รถวิ่งข้างหน้าข้างหลังเปิดไซเรนว้าว ว้าว ว้าวไป

 

ชีวิตของเราต้องเข้าใจนะ ความไม่รู้เข้าใจเอาตัวตนนำชีวิตก็ย่อมพังทลายเช่นเดียวกับตึก สตง. เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันเป็นอบายมุขอบายภูมิ ภูมิแห่งความเสื่อม เสื่อมจากความดี เสื่อมจากปัญญา เราเข้าใจนะ ไม่มีใครมาประพฤติปฏิบัติให้เราได้ เราไม่ต้องอาศัยใคร อาศัยความรู้ความเข้าใจมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ พ่อแม่บางคนก็ยากจน บางคนก็ปานกลาง บางคนก็รวยก็ช่างหัวมัน

 

เราทุกคนต้องมีปิติมีความสุขมีความกระตือรือร้นให้ถือเอาความถูกต้องเป็นหลัก ให้เอาความดีและปัญญาเป็นหลักเราจะได้เป็นผู้ปฏิบัตดีปฏิบัติชอบปฏิบัติตรงเป็นทางสายกลางเป็นความพอเพียงเพียงพอเป็นความพอดี สิ่งที่แล้วแล้วก็แล้วไปนะ ให้พากันตั้งใจใหม่ การทำอะไรต้องติดต่อต่อเนื่อง เพราะทุกอย่างนั้นมันต้องติดต่อต่อเนื่องไม่ขาดไม่ด่างไม่พร้อย

 

เราคิดดูดี ๆ นะ ไก่มันฟักไข่มันต้องใช้เวลา ๓ อาทิตย์ออกมาเป็นลูกไก่ จะฟักด้วยแม่ของไข่หรือฟักด้วยไฟฟ้าก็ใช้เวลา ๓ อาทิตย์เหมือนกัน เราจะขยายพันธุ์ไม้ด้วยการตอนกิ่งทาบกิ่งก็ใช้เวลาอย่างน้อย ๓ อาทิตย์เหมือนกัน เราประพฤติปฏิบัติก็ต้องติดต่อต่อเนื่องมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เราอย่าไปตามเพื่อนตามฝูงตามสิ่งแวดล้อม เราต้องเอาความถูกต้องเอาความดีเอาปัญญาเป็นหลัก เราต้องข้ามธาตุข้ามขันธ์ข้ามอายตนะ ข้ามสัญชาตญาณที่เราตกอยู่ในอบายมุขอบายภูมิ การทำอะไรติดต่อต่อเนื่อง มันจะเป็นชิฟฝังอยู่ในธาตุในขันธ์ในสัญญาขันธ์ มันจะเป็นเมมโมรี่เช่นเดียวกันกับคอมพิวเตอร์ที่เก็บข้อมูลให้เราเข้าใจ เราทั้งหลายน่ะเอาพระพุทธเจ้าเป็นหลัก เอาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลยเดชเป็นหลัก จะได้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เราทั้งหลายต้องตั้งมั่นในความดีในปัญญา

 

วันหนึ่งคืนหนึ่งเราเป็นนักเรียนนักศึกษาเราพากันนอนพักผ่อน ๖-๘ ชั่วโมงนะ สุขภาพของเราถึงจะแข็งแรง เราต้องนอนพักผ่อน ๖-๘ ชั่วโมงนะ เราต้องออกกำลังกาย เราทุกคนต้องเข้าถึงความสงบและปัญญา เข้าถึงเจตนาตั้งใจ มีปิติมีความสุขในการเรียนการศึกษาในการทำงาน เราถึงจะได้เข้าถึงความเป็นมนุษย์เข้าถึงความเป็นเทวดาละอายต่อความไม่ถูกต้อง เข้าถึงพรหมคือมีความสงบมีปัญญา เข้าถึงอนัตตาที่เป็นสมถะเป็นทั้งวิปัสสนามันจะเป็นความพอดีเป็นความพอเพียงเพียงพอ

 

เราทั้งหลายให้รู้เข้าใจนะ เราจะได้เอาตัวรอดในทางที่รอด ถ้าไม่อย่างนั้นเราเอาความหลงนำชีวิตมันเป็นการเอาตัวรอดในทางที่ไม่รอดมันเป็นการหาเรื่องหาราวให้ตัวเอง หาเรื่องหาราวให้คนอื่นเราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจเราจะได้เน้นมาที่ตัวเรา ไม่ไปมองคนอื่นไม่ไปเทียบเคียงคนอื่น ถ้าเรามองคนอื่นก็มองเพื่อเป็นผู้ให้เพื่อเป็นผู้เสียสละ ไม่ได้มองเพื่อเพ่งโทษ

 

เราทั้งหลายน่ะไม่ต้องไปแก้ที่ใครหรอก เราดูตัวอย่างพระพุทธเจ้าท่านก็แก้ที่พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ก็แก้ที่พระอรหันต์ จะเป็นใครที่ไหนก็แก้ที่นั่น เรากลับมาหาความดีหาปัญญา เอาความสงบกับปัญญาไปพร้อม ๆ กันเราจะเข้าถึงบุญวัฒนาให้เรารู้เข้าใจ เราต้องอยู่ด้วยบุญกับปัญญาเพื่อการพัฒนา

 

เราทั้งหลายเป็นคนรุ่นใหม่สมัยใหม่ มีการพัฒนาทั้งใจทั้งวิทยาศาสตร์นะ เราอย่าเอาทางวิทยาศาสตร์ เอาแต่ตัวตนต้องพัฒนาใจไปพร้อม ๆ กันรู้จักทางสายกลาง เพื่อให้เกิดความสงบเกิดปัญญา เราเอาตัวเอาตนนั้นคือบุคคลบริโภคแต่วิทยาศาสตร์นะ บริโภคแต่ของเก่า เหมือนนางวิสาขาพูดกับพ่อปู่หรือพ่อของสามี ประวัติของนางวิสาขามหาอุบาสิกา เป็นผู้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันตั้งแต่ ๗ ขวบมีความเลื่อมใสในพระรัตนตรัย คือพระพุทธเจ้าพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าพระอริยสงฆ์ผู้ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า

 

เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งก็ชื่อว่าเราเอาแต่ทางวิทยาศาสตร์เอาแต่วัตถุนะ เราคิดดูดี ๆ สิ พวกเอาแต่วิทยาศาสตร์เอาแต่วัตถุนั้นมันไปไม่ได้มันไปไม่ได้ พวกเอาแต่วิทยาศาสตร์เอาแต่วัตถุไม่เอาจิตใจไปพร้อมกัน มันไปได้ไหม มันไปไม่ได้ เพราะมันเป็นตัวเป็นตนไม่ใช่ทางสายกลาง ธรรมนูญรัฐธรรมนูญเป็นสิ่งที่ให้เราปรับเข้าหาทางสายกลางนะ

 

 เราทั้งหลายต้องรู้พระศาสนาด้วยความรู้ความเข้าใจ เราจะไม่ได้เอาพระศาสนาเป็นนิติบุคคลตัวตน เราจะได้รู้ว่าเราเกิดมาทำไม เราเกิดมาเพื่อทำที่สุดแห่งความดับทุกข์เพื่อหยุดสัญชาตญาณที่เป็นการเวียนว่ายตายเกิด เราเรียนหนังสือทำไม เราเรียนหนังสือเพื่อหยุดสัญชาตญาณที่เป็นตัวเป็นตนเพื่อหยุดวัฏฏสงสาร เราทำงานทำไมเพื่อหยุดสัญชาตญาณเพราะเราทุกคนต้องเอามรรคเอาอริยมรรคนำชีวิตเพื่อจะได้มีความสงบและปัญญา เพราะความเป็นพระนั้นอยู่ที่รู้เข้าใจ ที่เราเอาบุญวัฒนานำชีวิตทั้งวัตถุทั้งใจเรียกว่าบุญวัฒนา

 

เราทั้งหลายเป็นผู้ที่ประเสริฐนะ เราต้องพากันตั้งอกตั้งใจ เพราะไม่มีใครช่วยเหลือเราได้ เราเป็นมนุษย์สมัยใหม่เราต้องเข้าใจในเรื่องการทำที่สุดแห่งความดับทุกข์ ด้วยความดีและปัญญา ชีวิตของเราจะได้ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจเราทั้งหลายมาระลึกถึงพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นปัจฉิมโอวาทครั้งสุดท้ายไว้ว่า

 

“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”

 

โอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ

ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ

ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู

ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละ คือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะ

 

-----------------------------------------

 

โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม

เมตตาให้ไว้ในวันที่ ๑๙ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

ณ โรงเรียนบุญวัฒนา อ.เมือง จ.นครราชสีมา

 

รายการล่าสุดที่คุณดู
Visitors: 98,215