๒๐ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

วันนี้เป็นวันพุธที่ ๒๐ เดือนสิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘  ศาสนาพุทธ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ศาสนาคริสต์ ฮิจเลาะห์ศักราช ๑๔๔๖ ศาสนาอิสลาม

 

เรามาบวชมาปฏิบัติธรรม ผู้ที่มาบวชมาปฏิบัติธรรมต้องตัดเรื่องที่เป็นอดีตทั้งหมดเลย ทิ้งเรื่องอดีตทั้งหมดเลย อยู่กับปัจจุบัน ปัจจุบันก็เอาธรรมนำชีวิต ทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพทั้งจิตใจก็เอาธรรมนำชีวิต มีความสงบมีปัญญาไปพร้อม ๆ กัน

 

อนาคตก็ไม่ต้องไปคิดมัน เพราะอนาคตมันอยู่ที่ปัจจุบันนี้แหละ เพราะสิ่งต่าง ๆ นั้นคือกรรมคือกฎแห่งกรรมคือผลของกรรม ปัจจุบันมันเป็นเช่นไรอนาคตก็ย่อมเป็นไปเช่นนั้น เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปถึงมี

 

เราทั้งหลายมาเน้นที่ตัวของเรานี้เองให้พากันตั้งใจตั้งเจตนา เราคิดดูดี ๆ นะ การดำรงชีพดำรงธาตุดำรงขันธ์ดำรงอายตนะงบประมาณในการดำรงชีวิตได้มาจากงบประมาณของแผ่นดินภาษีอากรได้มาจากงบประมาณของศรัทธาประชาชน

 

เราทั้งหลายต้องพากันทำหน้าที่เพื่อเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นปัญญาประกอบด้วยความดีปัจจุบันถึงเป็นวาระแห่งชาติ เป็นวาระสำคัญในการประพฤติการปฏิบัติ

 

เราทั้งหลายต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาให้เต็มที่ในการประพฤติการปฏิบัติ เพราะการประพฤติการปฏิบัติมันอยู่ที่ปัจจุบัน ปัจจุบันเราต้องเข้าถึงความเป็นมนุษย์ความเป็นเทวดาเป็นพรหมเป็นพระอริยเจ้าไม่ต้องรอให้ตายไปเสียก่อนนะ เมื่อปัจจุบันมันไม่มีเหตุมีปัจจัยอนาคตจะเป็นไปได้อย่างไร

 

คำว่าพระนี้ไม่ใช่เรานะ ไม่ใช่คนอื่น พระคือพระธรรมคือพระวินัย คือความสงบคือปัญญา คืออนัตตาไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เป็นความสงบเป็นปัญญาเป็นประภัสสร ไม่ลิดรอนสิทธิผู้อื่น คำว่าลิดรอนนี้ก็หมายถึงไม่มีความปรุงแต่งเพราะรู้เข้าใจแล้วก็ไม่เข้าไปปรุงแต่ง เพราะความปรุงแต่งนั้นเป็นวัฏฏสงสาร ความปรุงแต่งนั้นมันมีตัวมีตนมีเหตุมีผล เราต้องรู้จักว่าความปรุงแต่งนี้มันเป็นตัวเป็นตน

 

ความชอบใจไม่ชอบใจสองอย่างนี้ก็คืออันเดียวกันน่ะ คือตัวคือตน ธรรมะที่เข้าถึงความพอดีได้แก่ความสงบและปัญญา ถึงไม่ลิดรอนสิทธิ ธรรม สภาวธรรม ความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพรากนั้นมาจากเหตุมาจากปัจจัย ไปตามอายุขัยไปตามวาระ เช่นวาระลมหายใจนี้ก็เข้าแล้วก็ออกตามวาระอย่างนี้ ตาเราก็มีรูปเป็นวาระ ๆ ไป หูเรามีอย่างนี้เสียงก็มีตามวาระไป จมูกเรามีกลิ่นถึงมี ลิ้นเรามีรสถึงมี กายเรามีถึงมีสิ่งที่สัมผัส ใจเรามี เรามีอายุขัยเราถึงมีความรู้สึกนึกคิด ทุกอย่างนั้นมันไม่ใช่เราไม่ใช่ผู้อื่นนะ ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเป็นเพียงเหตุเพียงปัจจัยให้เรารู้เข้าใจเราทั้งหลายจะไม่ได้ลิดรอนสิทธิในสภาวธรรมต่าง ๆ

 

เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ ความรู้ความเข้าใจนี้เป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ เราทั้งหลายพากันมาประพฤติมาปฏิบัติเพื่อความสงบและปัญญา เพื่อปัญญาและความสงบ เราทั้งหลายน่ะให้เข้าใจนะ มีสิทธิเสรีภาพประพฤติปฏิบัติพอ ๆ กัน ไม่มีใครมากน้อยกว่ากัน ให้รู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ ความรู้ต้องคู่กับการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเราจะได้ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ ก้าวไปด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญาเพื่อเป็นอนัตตาไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน

 

เราทั้งหลายน่ะต้องพากันมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตานะ ถ้าเราไม่มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตานั้นเราทั้งหลายจะมีความทุกข์ เราทั้งหลายจะเป็นโรคซึมเศร้า เราต้องรู้เข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจเราจะเอาความชอบไม่ชอบนำชีวิตนะ อันนั้นมันเป็นโรคไบโพล่านะที่อารมณ์มันเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาเดี๋ยวก็ชอบไม่ชอบ เราต้องรู้จักว่าอันนี้มันเป็นเพียงอารมณ์เป็นเพียงผัสสะ ให้เรารู้เข้าใจ เราจะได้จบลงเพียงผัสสะ ไม่เอาความชอบความชังนำชีวิต เมื่อเรามีความรู้เราก็มีการปฏิบัติ เราทั้งหลายจะได้จบลงเพียงผัสสะ เพื่อให้ศีลสมาธิปัญญามันติดต่อต่อเนื่องไม่ขาดไม่ด่างไม่พร้อยไม่ทะลุ เป็นสัมมาสมาธิว่างจากนิวรณ์ ว่างจากอคติ มีความสงบมีปัญญา

 

เราทั้งหลายพากันมาบวชพากันมาปฏิบัติธรรม เราทั้งหลายต้องทิ้งเรื่องอดีตให้หมด อดีตทุกคนนั้นย่อมมี ไม่มีใครไม่มีอดีต เราทุกคนต้องหยุดเรื่องอดีตให้ได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ เพื่อไม่ให้อดีตหรือว่ากรรมเก่านั้นตามเราทันได้ กรรมเก่านั้นก็เป็นเงาตามตัวนี้แหละ ถ้าเราเอาสัญชาตญาณเอาธาตุทั้ง ๔ เอาขันธ์ทั้ง ๕ เอาอายตนะทั้ง ๖ มาเป็นเรา กรรมเก่าก็ย่อมตามตัวเราไปเหมือนเงาตามตัวนะ ธรรมะที่รู้เข้าใจเป็นความรู้เข้าใจเรื่องกรรมเก่า หยุดกรรมเก่าด้วยไม่เข้าไปเพิ่มไปตัด มีความสงบมีปัญญา สิ่งที่เป็นอนัตตานั้นอยู่นอกเหตุเหนือผลนะ อยู่นอกความปรุงแต่งนะ ตัวตนมันคือตัวคือตนคือความปรุงแต่งนะ

 

เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจในการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏนะ ถ้าเราไม่รู้เข้าใจกรรมเก่าและกรรมใหม่ก็จะทำงานไปไม่มีที่จบไม่มีที่สิ้นนะ เราทั้งหลายเป็นผู้ที่ประเสริฐ อายุขัยของมนุษย์ของเรานี้อยู่ได้ร่วม ๆ ร้อยปีนะ หนึ่งศตวรรษนะ ถ้าเราปฏิบัติดี ๆ เอาทั้งใจทั้งวิทยาศาสตร์ไปพร้อม ๆ กันชีวิตของเราก็ย่อมอยู่ได้มากกว่าร้อยปี

 

เราทั้งหลายน่ะในชีวิตประจำวันต้องเจริญสติปัฏฐาน หมายถึงความสงบเป็นพื้นฐานปัญญาเป็นพื้นฐานไม่ใช่ความฟุ้งซ่านเป็นพื้นฐานไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนเป็นพื้นฐานต้องเอาความสงบและปัญญาเป็นพื้นฐาน สติปัฏฐานทั้งกายวาจากิริยามารยาทและใจนี้เราต้องรู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ

 

การปฏิบัติก็ต้องเน้นที่ใจเน้นที่เจตนาเพื่อความสุขสงบและปัญญา เพราะการปฏิบัตินั้นเราต้องรู้เข้าใจนะ ธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ เป็นเพียงอุปกรณ์ของใจนะ เป็นเพียงอุปกรณ์เป็นกรรมกรเฉย ๆ ใจของเราเจตนาของเราเป็นสิ่งที่สำคัญ เราทั้งหลายต้องเน้นที่ใจของเรา เรื่องความคิดของเราความตรึกของเราไม่มีใครรู้หรอก เรารู้คนเดียว เราต้องรู้เข้าใจเพื่อเราจะได้เกิดความสงบเกิดปัญญา เราต้องตั้งใจตั้งเจตนา

 

เรามาบวชมาปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัด คำว่าวัดนี้ก็หมายถึงข้อวัตรข้อปฏิบัติ เค้าจะทำอะไรเค้าต้องมีเครื่องวัด เค้าจะสร้างบ้านเค้าก็ต้องมีเครื่องวัดความกว้างความยาวความสูงความต่ำน้ำหนักเบาเค้าต้องมีเครื่องวัดนะ กายวาจากิริยามารยาทอาชีพนี้ต้องมีเครื่องวัด มันต้องลงที่ปัจจุบันนี้แหละ ปัจจุบันนี้เราก็ตั้งจิตตั้งใจตั้งเจตนา มีปิติมีความสุขเอกัคคตามีความตั้งใจตั้งเจตนา

 

เราทั้งหลายต้องเข้าถึงความเป็นมนุษย์เป็นเทวดาเป็นพรหมเป็นพระอริยเจ้าในปัจจุบัน เพื่อเป็นฐานเป็นสติปัฏฐาน เราพากันนอนพากันพักผ่อน พากันจำวัดให้เพียงพอ นอน ๕,๖ ชั่วโมง จำวัด ๕,๖ ชั่วโมง เรานอน ๓ ทุ่ม ตื่นตี ๓ กลางวันของเราน่ะที่เราไม่ได้นอนหลับเราก็เน้นที่ใจเน้นที่เจตนา เอากายวาจากิริยามารยาทอาชีพมาประพฤติมาปฏิบัติ มาเสียสละมีความสุขในการทำข้อวัตรกิจวัตรในการเสียสละ เพื่อใจของเราจะได้มีความสงบมีปัญญา ใจของเราจะได้อยู่กับสติอยู่กับสัมปชัญญะ อยู่กับความสงบอยู่กับปัญญาอยู่กับอนัตตา

 

เราต้องมีเครื่องอยู่ บ้านของเรานั้นคือพระนิพพานนะ พระนิพพานคือบ้านของเรา พระนิพพานคือความสงบและปัญญา พระนิพพานคืออนัตตาไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เราต้องเข้าถึงบริสุทธิคุณด้วยความตั้งใจตั้งเจตนาเพื่อเข้าถึงอนัตตา ยกเลิกวัฏฏสงสารคือตัวคือตน เรามามีความสุขในการเจริญสติสัมปชัญญะ เอาข้อวัตรกิจวัตรนั้นมาประพฤติมาปฏิบัติให้เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา การประพฤติปฏิบัตินั้นเป็นอริยมรรคมีองค์แปดทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพทั้งใจเป็นอริยมรรคเป็นขณะ ๆ ไปเรียกว่าขณิกสมาธิ สมาธิเป็นขณะ ๆ ไป อุปจารสมาธิ สมาธิทั้งความสงบและปัญญาที่เป็นสมถะวิปัสสนาให้รู้เข้าใจ

 

เราทั้งหลายให้พากันรู้นะอย่าให้เรื่องอดีตมาปรุงแต่งจิตใจของเราได้ อย่าให้ความไม่รู้จักเต็มไม่รู้จักอิ่มไม่รู้จักพอมันปรุงแต่งเราได้ เราต้องรู้เข้าใจ ถ้าเราไม่รู้เข้าใจก็มีแต่ทุกข์เกิดขึ้นทุกข์ตั้งอยู่ทุกข์ดับไปนอกจากทุกข์นั้นไม่มีเลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านมีเมตตาตรัสสั่งสอนว่า ถ้าเราไม่เข้าใจนั้นก็จะเป็นทะเลไม่อิ่มด้วยน้ำ เป็นไฟที่ไม่อิ่มด้วยเชื้อเพลิง ความอยากนี้เราต้องรู้เข้าใจ เราอยากได้มากมันก็ไม่มากมันก็เท่าเก่านั้นแหละ เราอยากได้น้อยมันก็ไม่น้อยมันก็เท่าเก่านั้นแหละ เพราะทุกอย่างนั้นมันเป็นธรรมชาติเป็นประภัสสร อันนี้แหละมันเป็นความคิดความหลงความปรุงแต่ง เป็นการพูดเอา เออเอา มันเป็นความหลงนะ

 

เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะไม่ได้ไปตามผัสสะ ไปตามอารมณ์ไปตามสิ่งแวดล้อมจะไม่ได้ไปตามความปรุงแต่ง เราทั้งหลายจะได้มีความสงบมีปัญญา กลางวันเราอยู่กับการเจริญสมถะวิปัสสนานะ

 

ร่างกายของมนุษย์นี้มันมี ๓๒ ชิ้นส่วนนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เราสาธยายแยกออกเป็นชิ้นเป็นส่วนให้ครบอาการ ๓๒ น่ะ แยกออกจะได้เอามารวมกันให้เป็นนิติบุคคลตัวตน แยกออกหมดแล้วก็เอามาประกอบเป็นชิ้นส่วน ฝึกทำอย่างนี้แหละ ใจของเราก็จะได้รู้ว่าทุกอย่างนั้นมันเป็นเหตุเป็นปัจจัย เป็นอดีตเป็นอนาคตเป็นปัจจุบัน มันไม่ใช่เราไม่ใช่คนอื่น มันเป็นเพียงอาคันตุกะที่สัญจรไปมา จากเหตุจากปัจจัย

 

ผู้ประพฤติปฏิบัติธรรมทั้งหลายนักบวชทั้งหลายเราต้องพิจารณาเป็นชิ้นเป็นส่วนนะ เราจะได้หยุดสัญชาตญาณที่มันเป็นตัวเป็นตนที่เป็นเราเป็นเขา เป็นผู้หญิงผู้ชายเป็นคนแก่คนเฒ่าคนชราคนตายคนพลัดพรากมีความสำคัญมั่นหมายว่าเราดีกว่าเขาเก่งกว่าเขาฉลาดกว่าเขามีปัญญามากกว่าเขามีเพาเวอร์สูง สูงศักดิ์สูงส่งหรือเสมอเขาหรือสู้เขาไม่ได้ เราจะได้รู้เข้าใจว่าทุกอย่างนั้นไม่มีเขาไม่มีเรา มีแต่ธรรมมีแต่สภาวธรรม เราไม่รู้เข้าใจ เราถึงต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสารด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ เราพากันมาบวชมาปฏิบัติธรรม เราต้องทำงานอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ เอาความสงบกับปัญญาควบคู่กันไป

 

เราพากันอ่านหนังสือธรรมะ อ่านพระวินัยอ่านพระธรรมอ่านพระสูตร อ่านพุทธประวัติ สาวกประวัติ เราจะได้มีงานอยู่กับความสงบอยู่กับปัญญา เราจะได้ฝึกท่องทำวัตรสวดมนต์ สวด ๗ ตำนาน ๑๒ ตำนาน สวดพระอภิธรรมน่ะ

 

เรามาบวชมาปฏิบัติเราต้องยกเลิกโทรศัพท์มือถือ ยกเลิกมีโทรศัพท์มือถือ โทรศัพท์มือถือคอมพิวเตอร์อินเตอร์เนทเฟซบุ๊คให้เรารู้เราเข้าใจ สิ่งเหล่านี้มีทั้งคุณมีทั้งโทษ เรามาบวชมาปฏิบัติให้เรารู้เข้าใจเรื่องภายในภายนอก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ไฟในอย่าให้ออกไฟนอกอย่าให้เข้า

 

เราทั้งหลายต้องสำรวมอินทรีย์ สำรวมตาหูจมูกลิ้นกายใจ สำรวมในพระธรรมในพระวินัย เพื่อจะได้หยุดขั้วบวกแล้วก็ขั้วลบน่ะ วัฏฏสงสารนี้มีขั้วบวกขั้วลบนะ สิ่งภายนอกภายในให้เราเข้าใจคือขั้วบวกขั้วลบ ไฟในอย่าให้ออกไฟนอกอย่าให้เข้า

 

เราต้องมีความสงบมีปัญญา เพื่อให้มีพื้นฐานในการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายน่ะต้องอยู่กับความสงบอยู่กับปัญญา ไม่ใช่อยู่กับอวิชชาอยู่กับความหลงอยู่กับความฟุ้งซ่านไม่ใช่อยู่กับนิวรณ์ทั้ง ๕ อยู่กับอคติทั้ง ๔

 

เราทั้งหลายต้องเป็นทั้งคนดีคนมีปัญญา เราทั้งหลายต้องบวชทั้งกายวาจากิริยามารยาทบวชทั้งใจ เราต้องรู้ต้องเข้าใจ ตั้งใจตั้งเจตนา เราทั้งหลายต้องหยุดวัฏฏสงสารของตัวเองด้วยความรู้ความเข้าใจ เราทั้งหลายด้วยเหตุผลนี้ที่เรามาบวชมาปฏิบัติธรรม เราทั้งหลายน่ะถึงต้องหยุดมีโทรศัพท์มือถือหยุดใช้โทรศัพท์มือถือ เพื่อไม่ให้เอาไฟภายในออก เอาไฟภายนอกเข้า เพื่อมาเป็นจิ๊กซอร์เป็นขั้วบวกขั้วลบเป็นวัฏฏสงสาร ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจ เราไม่เห็นภัยในวัฏฏสงสาร

 

เราคิดดูดี ๆ สิ เด็ก ๆ ก็อยู่กับจอโทรศัพท์มือถือ ผู้ใหญ่ก็อยู่กับหน้าจอมือถือ อากงอาม่า สมณะชีพราหมณ์ก็อยู่แต่กับโทรศัพท์มือถือ อยู่กับความหลง เป็นการเอาไฟภายนอก เอาไฟภายนอกมาเป็นจิ๊กซอร์มาทำงานเป็นวัฏฏสงสาร

 

เราทั้งหลายต้องเอาพระพุทธเจ้าเป็นหลัก เอาพระอรหันต์เป็นหลัก เอาพระธรรมพระวินัย เพื่อเราทั้งหลายจะได้ตรึกในกามไม่ตรึกในพยาบาท เพื่อเราทั้งหลายจะได้หยุดกามหยุดพยาบาท เพื่อเราจะไม่ได้มีนิวรณ์ทั้ง ๕ มีอคติทั้ง ๔ เรามาเจริญสติสัมปชัญญะมาก ๆ เพื่อหยุดกามหยุดพยาบาท เพื่อจะไม่ได้ฟุ้งซ่านในกามไม่ได้ฟุ้งซ่านในพยาบาท การประพฤติการปฏิบัตินี้สำรวมในพระธรรมในพระวินัย ก็ยังไม่เพียงพอ ต้องสำรวมทางตาหูจมูกลิ้นกายใจอีก สำรวมตาหูจมูกลิ้นกายใจยังไม่เพียงพอ ต้องสำรวมในการบริโภคใช้สอยปัจจัยทั้ง ๔

 

เราทั้งหลายน่ะต้องรู้จักโภชนีมัตตัญญุตา เพราะการดำเนินชีวิตของเราน่ะ เราต้องรู้จักเรื่องการบริโภค เราบริโภคทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ เราก็ต้องมีสติมีปัญญา มีอนัตตาไม่ใช่มีตัวตน เน้นที่ความตั้งใจตั้งเจตนานะ ทำไมล่ะมนุษย์ถึงยังไม่มีสติไม่มีปัญญา มนุษย์เราจะมีสติมีปัญญาได้อย่างไร เพราะไม่ได้เอาความสงบนำชีวิตไม่ได้เอาปัญญานำชีวิต เอาตัวตนนำชีวิต ความปรุงแต่งนำชีวิต เอาความชอบความชังนำชีวิต เราต้องเข้าใจเรื่องขั้วบวกขั้วลบ

 

เราทั้งหลายจะได้มีความสงบมีปัญญา เราทั้งหลายพากันเจริญสติสัมปชัญญะ ให้มีความสุขในการเจริญสติสัมปชัญญะ ให้มีความสุขในการพิจารณาสภาวธรรมเข้าสู่พระไตรลักษณ์ เพื่อเราจะก้าวไปด้วยความสงบด้วยปัญญา

 

การมาบวชมาปฏิบัติของเราจุดหมายปลายทางของการบวชคือพระนิพพาน ไม่ใช่ประการใดประการหนึ่งนะ เราไม่ได้มาบวชเพราะฐานะเรายากจนน่ะ มาบวชแล้วจะได้ดำรงชีพดำรงธาตุดำรงขันธ์เพราะฐานะยากจน เราไม่ได้มาบวชเพราะเราเป็นคนไม่มีความสามารถไม่มีศักยภาพ เพราะเราเป็นคนรับผิดชอบน้อย มีความประมาทพลาดพลั้ง ไม่เห็นความสำคัญในเวลา ไม่ตั้งใจเรียนไม่ตั้งใจศึกษาเลยพลาดโอกาสพลาดความรู้เลยพากันมาบวช เพื่อเอาพระศาสนาหาอยู่หาเลี้ยงชีพ เราไม่ได้มาบวชเพราะสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง อยู่ทางบ้านไม่มีเงินไม่มีสตางค์ที่จะรักษา เราไม่ได้มาบวชเพื่อมาทำธุรกิจหน้าที่การงานในพระศาสนา ธุรกิจหน้าที่การงานในพระศาสนาที่พวกเรามองเห็นกันทุกวันนี้ เช่นมาขายรูปแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขายรูปขายเหรียญ เป็นหมอดูหมอยา ขายเหรียญของครูบาอาจารย์เป็นเจ้าพิธีต่าง ๆ เพื่อมารับกิจนิมนต์ไปในกิจนิมนต์ต่าง ๆ จุดมุ่งหมายเราต้องไม่คิดอย่างนั้น

 

เรามาบวชมาปฏิบัติ เราพากันมามุ่งมรรคผลพระนิพพาน อย่าพากันมาสร้างวัดสร้างกุฏิวิหาร สร้างเจดีย์ พระพุทธเจ้าน่ะไม่สร้างโบสถ์ไม่สร้างวิหารไม่สร้างเจดีย์นะ ไม่มีพระพุทธเจ้าที่ไหนสร้างกุฏิสร้างวิหารสร้างเจดีย์ ไม่มีพระพุทธเจ้าที่ไหนเป็นหมอดูหมอเดา ให้รู้เข้าใจ ปกติประชาชนผู้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสารเค้าก็หลงอยู่แล้ว เรายังจะไปซ้ำเติมเค้า เรายังจะไปประทุษร้ายเค้าอยู่นั่นแหละ ไม่ได้นะ

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราหาฉันหาบริโภคด้วยการซ้ำเติมประชาชนเค้า เราทั้งหลายน่ะอย่าไปโง่หลายอย่าไปงมงายหลาย อย่าไปกลัวอดตาย เราทั้งหลายต้องเสียสละ ถ้าเราไม่เสียสละเราจะเป็นพระธรรมพระวินัยเป็นความสงบเป็นปัญญาได้อย่างไร เพราะตัวตนนั้นมันคือความทุจริต ความทุจริตนั้นแหละมันถึงพังทลายเหมือนตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน

 

เราอย่าบวชมาเพื่อมาหลอกลวงประชาชน มามอมเมาประชาชน ตัวตนนั้นคืออบายมุขอบายภูมินะให้เข้าใจ ความสงบและปัญญารู้จักวัฏฏสงสาร

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านส่งสาวกอรหันต์ขีณาสพไปเผยแผ่ ไปบอกความจริงแก่ประชาชนแก่มหาชนเค้าว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นให้เรารู้เข้าใจเรื่องเหตุเรื่องปัจจัย พากันมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อให้ผู้รู้เข้าใจได้ปฏิบัติด้วยกายวาจากิริยามารยาททั้งอาชีพรวมลงที่ใจที่เจตนา เราทั้งหลายจะได้หยุดขั้วบวกขั้วลบที่เป็นดินเป็นน้ำเป็นลมเป็นไฟเป็นธาตุเป็นขันธ์เป็นอายตนะท่านส่งไปบอกเพื่อความรู้ความเข้าใจ ท่านไม่ได้ส่งไปบอกประชาชนว่าสร้างโบสถ์สร้างศาลาสร้างวิหารถวายทานอย่างโน้นอย่างนี้ได้บุญมากได้อานิสงส์มากนะโยมนะ ท่านไม่ได้ส่งไปอย่างนั้น ท่านส่งไปให้รู้ให้เข้าใจ เพราะว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นเป็นเหตุเป็นปัจจัย

 

ให้ทุกคนแก้ปัญญาทั้งทางวิทยาศาสตร์ทางวัตถุแก้ปัญหาทั้งทางจิตใจไปพร้อม ๆ กันเป็นทางสายกลาง เปรียบเสมือนสายพิณนี้สายพิณสายกีต้าร์ถ้าหย่อนเกินไปมันก็ไม่ไพเราะ ตึงไปมันก็จะขาดต้องเข้าถึงความพอดีความพอเพียงเพียงพอ การประพฤติการปฏิบัติเป็นเรื่องปัจจุบัน ปัจจุบันถึงเป็นวาระแห่งชาติ

 

เราทั้งหลายต้องรู้อริยสัจสี่ รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ ท่านส่งสาวกของไปเผยแผ่ ท่านให้ไปเผยแผ่อย่างนี้ไม่ใช่ไปซ้ำเติมประชาชนเค้า ประชาชนเค้าก็หลงงมงายเค้าก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสาร จะเอาของเค้ามาทำไม จะเอาสตางค์เค้ามาทำไม เป็นนักบวชน่ะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็ให้ฉันอาหารวันหนึ่งเพียงครั้งเดียว ฉันในบาตร อะไรก็ใส่ลงในบาตร ไม่ให้ใส่ในถ้วยโถโอจาน ไม่ต้องมีการฉันโต๊ะจีนโต๊ะไทยโต๊ะฝรั่งโต๊ะลาวโต๊ะเกาหลีโต๊ะญี่ปุ่นอะไรก็ใส่ลงในบาตร เพื่อความเรียบง่าย

 

เรามาบวชมาปฏิบัติธรรมเราต้องเข้าถึงความสงบเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี เราแก้ปัญหาตัวเรานี้แหละ แก้ทั้งใจแก้ทั้งวัตถุไปพร้อม ๆ กัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายินดีในสิ่งที่มีอยู่ เราทั้งหลายถึงจะเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอเข้าถึงความสงบเข้าถึงปัญญา หยุดความปรุงแต่ง ละเหยื่อในโลกนี้เพื่อเข้าถึงพระนิพพานเข้าถึงสันติเถิด ความรู้ความเข้าใจเราต้องเข้าใจอย่างนี้นะ เราอย่าเอาสามัญชนเป็นพื้นฐาน เราต้องเอาพระพุทธเจ้าเอาพระธรรมเอาพระวินัยเป็นพื้นฐานเป็นพระกรรมฐาน ฐานนั้นคือพระธรรมคือพระวินัยคือความสงบและปัญญา ฐานนั้นเป็นอนัตตา ไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน

 

เราทั้งหลายน่ะต้องพากันออกกำลังกายให้เพียงพอนะ เราคิดดูดี ๆ นะ ถ้าเราไม่ออกกำลังกายให้เพียงพอ ร่างกายของเราจะแข็งแรงได้อย่างไร ร่างกายของเราจะแข็งแรงได้เพราะเราออกกำลังกาย นักบวชก็ต้องออกกำลังกาย ข้าราชการนักการเมืองก็ต้องออกกำลังกายถ้าเราไม่ออกกำลังกายจะแข็งแรงได้อย่างไร

 

 การออกกำลังกายของพระของผู้ปฏิบัติธรรมก็ออกกำลังกายในข้อวัตรกิจวัตร ข้อวัตรกิจวัตรต่าง ๆ นั้นยังไม่เพียงพอนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงเดินจงกรมน่ะ เดินจงกรมกลับไปกลับมาให้ร่างกายแข็งแรง เดินจงกรมไม่ใช่ไปหาอะไรนะ เดินจงกรมให้เกิดความสงบเกิดปัญญาให้เกิดอนัตตา เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง พระเราสมณะของเราน่ะ ต้องออกกำลังกายด้วยการเดินจงกรม พระเราสมณะเรา ออกกำลังกายวันละ ๒ ชั่วโมง หรืออย่างน้อยวันละ ๑ ชั่วโมงด้วยกันเดินจงกรม ถ้าจะทำโยคะโยคีต้องทำในที่มุงที่บัง เพื่อสมณะสารูป การออกกำลังกายของพระไม่ใช่ไปเล่นเวท ยกน้ำหนัก เดี๋ยวจะเกิดกำหนัดยินดีในกาม

 

ข้อวัตรกิจวัตรของเราทุกคนทั้งพระเก่าพระใหม่ต้องเป็นฟอร์มสด ต้องเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรมต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตามีทั้งความสงบมีทั้งปัญญา เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานในธรรมในปัจจุบันธรรม

 

เราทั้งหลายอย่าไปทำอะไรตามใจตามอัธยาศัย พระธรรมพระวินัยทุกข้อ ข้อวัตรกิจวัตรเราต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตา ตามหลักการทางพระศาสนาใช้อานาปานสติเป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม อานาปานสตินี้ได้แก่หายใจเข้าก็ให้สบาย หายใจออกก็ให้สบาย หายใจเข้าก็มีความสุขหายใจออกก็มีความสุข เราต้องทำอย่างนี้ทุกอิริยาบถ ไม่ใช่ใช้เฉพาะนั่งสมาธินะ

 

ประเทศไทยเราหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ถ้าเรามาเจริญอานาปานสติทุกอิริยาบถพร้อมทั้งท่องบทกำกับไปเพื่อให้เราระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านให้หายใจเข้าก็ท่องพุทธ หายใจออกก็ท่องโธ มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติเพื่อเป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม เราทั้งหลายจะได้มีเครื่องอยู่ เพราะเราทุกคนน่ะมีธาตุทั้ง ๔ ดินน้ำลมไฟ มีขันธ์ทั้ง ๕ คือรูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ มีอายตนะทั้ง ๖ คือตาหูจมูกลิ้นกายใจ เราต้องมีเครื่องอยู่ด้วยฝึกหายใจเข้าหายใจออก เพื่อเราทั้งหลายจะได้มีหลักการมีอุดมการณ์อุดมธรรม จะไม่ได้ไปตามผัสสะไม่ได้ไปตามสิ่งแวดล้อม

 

 เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจนะ อาปานสติคือพุทโธกำกับนั้นต้องเอามาใช้มาประพฤติมาปฏิบัติทุกาลทุกเวลาทุกสถานที่ทุกอิริยาบถนะ เราต้องมีเครื่องอยู่ด้วยพระธรรมพระวินัยด้วยสติสัมปชัญญะ ด้วยอานาปานสติ เราต้องพากันฝึกสมาธิให้มีสติสัมปชัญญะ ให้เต็มที่น่ะ

 

การประพฤติการปฏิบัติมันต้องอาศัยการปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องกัน การปฏิบัติถึงไม่มีการคลุกคลีกัน ไม่มีการพูดการคุย ไม่มีการสนทนากันนะ ต่างคนก็ต่างจะได้ประพฤติพรหมจรรย์ เจริญสติเจริญสัมปชัญญะ ถึงเราจะทำกันเป็นหมู่เป็นคณะเป็นกลุ่มเป็นก้อน ถ้าเราเจริญสติสัมปชัญญะเราก็ย่อมมีแต่ความสงบมีปัญญา เรามีแต่ความสงบความวิเวกน่ะ ให้รู้เข้าใจ เราต้องเข้าใจเรื่องความว่างนะ ความว่างที่เป็นพระนิพพานต้องเป็นความว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ไม่ใช่ว่างจากสิ่งไม่มีอยู่ สิ่งภายนอกก็มีอยู่สิ่งภายในก็มีอยู่ เพียงแต่เราไม่เอามาสปาร์คกัน ไม่เอามาให้เกิดวัฏฏสงสารด้วยความรู้ความเข้าใจ แต่ก่อนเราไม่รู้ไม่เข้าใจเราก็จะไปเอาแต่วิทยาศาสตร์เราไม่เอาใจไปพร้อม ๆ กัน เราไม่รู้หลักการไม่รู้อุดมการณ์ไม่รู้อุดมธรรม เราจะไปหาความว่างจากสิ่งที่ไม่มี ไปเอาความสงบอยู่ที่ทุ่งใหญ่นเรศวรโน้น ไปเอาความสงบที่ห้วยขาแข้ง ไปเอาความสงบที่เขาใหญ่ภูสอยเดือนสอยดาวสอยอะไรต่าง ๆ

 

เราต้องรู้เข้าใจความสงบนั้นอยู่ในพระธรรมพระวินัยอยู่ที่เรารู้เข้าใจ เรามีสติสัมปชัญญะเมื่อไหร่เราก็มีความสงบมีปัญญา เพราะเราเข้าถึงสภาธรรมด้วยความรู้ความเข้าใจ เราจะได้หยุดวัฏฏสงสารด้วยความรู้ความเข้าใจ สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นก็มีอยู่ทั้งภายนอกภายในก็เป็นสิ่งที่มีอยู่พระนิพพานบ้านของเราให้เรารู้เข้าใจนะ เป็นความว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ไม่ใช่ว่างจากสิ่งไม่มี แล้วก็เข้าถึงพระนิพพานในปัจจุบันด้วยไม่ใช่ในอนาคตต้องเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม การปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องก็จะเป็นการอบรมบ่มอินทรีย์เอาความดีและปัญญาก้าวไปด้วยความสงบและปัญญา

 

เราจะบวชใหม่บวชเก่าเราก็ปฏิบัติอย่างเดียวกันเช่นเดียวกันนะ เราจะบวชหรือไม่ได้บวชเราก็ต้องมีปัญญามีความสงบ มีความตั้งใจตั้งเจตนา เพราะทุกคนมันคือกรรมคือกฎแห่งกรรมคือผลของกรรม เราจะได้รู้จักกรรมรู้กฎแห่งกรรมรู้ผลของกรรม เราทั้งหลายจะเป็นพระได้เหมือนกันทุก ๆ คน คำว่าพระคือผู้ที่มีปัญญาสัมมาทิฏฐิมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง มีความสงบมีปัญญา มีปัญญามีความสงบเราจะได้เข้าถึงความเป็นพระทั้งข้าราชการนักการเมืองนักบวช เราจะได้เข้าถึงชาติศาสน์กษัตริย์ เข้าถึงความสงบและปัญญา ด้วยปฏิปทาที่รู้เข้าใจ

 

เราต้องเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เราจะได้เป็นชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ชาติก็คือสัมมาทิฏฐิ เอาธรรมนำชีวิตเอาธรรมนูญนำชีวิต ศาสน์ก็หมายถึงธรรมะ ที่เป็นทางสายกลางระหว่างจิตใจกับวัตถุหรือระหว่างวิทยาศาสตร์กับจิตใจมันจะเป็นจิ๊กซอว์ทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพทั้งใจที่จะเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม กษัตริย์ก็หมายถึงปัญญาไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน ผู้ที่จะเป็นกษัตริย์ทั้งหลายถึงต้องเอาธรรมนำชีวิตเอาธรรมนูญนำชีวิต ก่อนทุกคนที่จะเป็นพระมหากษัตริย์ถึงต้องกล่าวว่าจะทรงทศพิธราชธรรม หลักการอุดมการณ์อุดมธรรมทั้งข้าราชการนักการเมืองนักบวชต้องมีหลักการอุดมการณ์อย่างนี้ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิ

 

เราทุกคนก็จะเน้นมาที่เราที่เจตนาของเรา เราทั้งหลายทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ทั้งอรรถะทั้งพยัญชนะเอาตามโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่าเธอทั้งหลายต้องรู้เข้าใจเรื่องอริยสัจสี่เพราะทุกอย่างมันคือกรรมคือกฎแห่งกรรมคือผลของกรรม เธอทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิดนี้เป็นพระวาจาในพระตถาคตเจ้าก่อนที่จะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน

 

----------------------------------------------

โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม

เมตตาให้ไว้ในเช้าวันที่ ๒๐ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

 

Visitors: 98,218