๒๑ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

วันนี้เป็นวันพฤหัสบดีที่ ๒๑ เดือนสิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘  ศาสนาพุทธ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ศาสนาคริสต์ ฮิจเลาะห์ศักราช ๑๔๔๖ ศาสนาอิสลาม

 

เราทั้งหลายต้องพากันมาสร้างความดีบำเพ็ญบารมี เอาทั้งความดีเอาทั้งปัญญาประกอบควบคู่กันไป มาเอาปัญญาเพื่อให้เป็นปัญญาบริสุทธิคุณไม่ใช่ปัญญาที่เป็นตัวเป็นตน มาเอาความดีที่เป็นบริสุทธิคุณไม่ใช่เป็นตัวเป็นตน เราทั้งหลายต้องพากันตั้งใจตั้งเจตนา เพราะสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นอยู่ที่ความตั้งใจตั้งเจตนา เพราะกายวาจากิริยามารยาทอาชีพนี้ เป็นเพียงอุปกรณ์ของใจ เราทั้งหลายต้องพากันตั้งใจตั้งเจตนา

 

 เราทุกคนพากันมาเน้นที่ตัวของเราทุก ๆ คน มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ มีความตั้งใจตั้งเจตนา เพราะกายวาจากิริยามารยาทอาชีพนี้เป็นเพียงอุปกรณ์ในการประพฤติการปฏิบัติ  

 

เราทุกคนต้องตั้งใจตั้งเจตนา การประพฤติการปฏิบัติของเรานั้นต้องไม่มีต่อหน้าและลับหลัง เน้นที่ใจ เน้นที่บริสุทธิคุณ เพื่อให้ความดีนั้นเป็นบริสุทธิคุณ ปัญญาเป็นบริสุทธิคุณ จะได้เป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรง ปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์ เป็นผู้ที่ปฏิบัติสมควร เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ ปฏิบัติเป็นทางสายกลางเพื่อเป็นการพัฒนาใจพัฒนาวัตถุไปพร้อม ๆ กัน ไม่ให้ขาดตกบกพร่อง เอาปัญญาบริสุทธิคุณนำชีวิต เอาความดีที่ประกอบด้วยปัญญา บริสุทธินำชีวิต

 

เราทั้งหลายจะได้พากันเป็นมนุษย์ ทั้งกายวาจากิริยามารยาทลงที่ใจที่เจตนา เป็นเทวดาผู้มีปัญญาสัมมาทิฏฐิ มีความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เป็นพระพรหม เป็นผู้มีความสงบมีปัญญา ไม่มีนิวรณ์ทั้ง ๕ ไม่มีอคติทั้ง ๔ ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ เป็นผู้มีปัญญาบริสุทธิคุณด้วยอนัตตา ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เราทั้งหลายต้องพากันอบรมบ่มอินทรีย์ เพื่อให้ความดีและปัญญาก้าวไปพร้อม ๆ กัน

 

เราทั้งหลายน่ะต้องพากันมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ เราทั้งหลายถึงจะไม่ได้ไปตามผัสสะ ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม จะไม่ได้ถูกครอบงำด้วยธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ มนุษย์เราต้องแก้ไขทั้งใจทั้งวัตถุไปพร้อม ๆ กัน แก้ไขทั้งภายนอกแก้ไขทั้งภายใน เพื่อให้เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม

 

เราทั้งหลายต้องพากันรู้เข้าใจ ว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นคือเหตุคือปัจจัย เป็นกระบวนการของปฏิจจสมุปปบาท เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี ให้เข้าใจ ว่านี้คือกรรมคือกฎแห่งกรรมและผลของกรรม  ถ้าเราไม่ประพฤติไม่ปฏิบัติอย่างนี้ เราทั้งหลายก็ย่อมตกอยู่ในสัญชาตญาณที่มันเป็นตัวเป็นตน เป็นเราเป็นเขา เราต้องรู้ต้องเข้าใจ เราจะได้หยุดยาน ที่มันเป็นภพเป็นชาติ ที่มันเป็นธาตุเป็นขันธ์เป็นอายตนะ เพื่อเราจะได้หยุดสัญชาตญาณ ที่ท่องเที่ยวอยู่ในวัฏฏสงสาร

 

ถ้าเราไม่ประพฤติไม่ปฏิบัติอย่างนี้ เราทั้งหลายก็จะพากันเป็นได้แต่เพียงคน วกวนอยู่ในที่เก่าด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ ไม่มีปัญญาสัมมาทิฏฐิ ที่เอาธาตุเอาขันธ์ เอาอายตนะเป็นเราเป็นของเรา เราทั้งหลายก็จะวกวนอยู่ในที่เก่า ย่ำต๊อกอยู่ในที่เก่า เราทั้งหลายจะเป็นได้แต่เพียงคนไม่ใช่เป็นมนุษย์ ร่างกายของเราเป็นมนุษย์แต่จิตใจนั้นไม่ใช่มนุษย์ จิตใจของเรานั้นเป็นได้แต่เพียงคน คำว่าคนนี้มีความหมายอย่างนี้นะ ไปไหนไม่ได้ ย่ำต๊อกอยู่ในที่เก่า เดินไปข้างหน้าแล้วถอยกลับไปไหนไม่ได้ย่ำต๊อกอยู่ที่เก่า ถึงมีศัพท์ว่าคน คนนั้นคนโน้นคนนี้

 

เราจะเป็นมนุษย์ได้ก็ต้องมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ เอาธรรมนำชีวิตเอาธรรมนูญนำชีวิต เป็นอริยมรรคในการเดินทางของการประพฤติการปฏิบัติเน้นที่ปัจจุบัน เพราะอดีตก็มารวมอยู่ที่ปัจจุบันแล้ว อนาคตที่จะไปข้างหน้าก็มารวมอยู่ที่ปัจจุบันแล้ว มนุษย์เราต้องมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ เอาความดีกับปัญญาปฏิบัติร่วม ๆ กันไปเป็นปฏิปทา ด้วยความตั้งใจตั้งเจตนา เป็นมรรคเป็นอริยมรรค

  

อริยมรรคข้อแรกถึงเป็นสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องเป็นความเห็นชอบ การมีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับความเป็นจริงของการดำเนินชีวิต  ความจริงทุกสิ่งทุกอย่าง เราต้องรู้ต้องเข้าใจ เช่น เรื่องของความทุกข์ เหตุให้เกิดความทุกข์ ข้อประพฤติข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ มนุษย์เราต้องมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ

 

อริยมรรคในข้อที่สอง ได้แก่ สัมมาสังกัปปะ คำว่าสัมมาก็ได้แก่ปัญญาที่มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง รู้ความจริงรู้อริยสัจ ๔ จึงได้มีความดำริชอบดำริออกจากกาม ดำริออกจากพยาบาท กามกับพยาบาทนี้ถือว่าเป็นสิ่งเดียวกัน เพราะเกิดจากความไม่รู้ไม่เข้าใจที่มันเป็นนิติบุคคล ที่เป็นตัวเป็นตน เราทั้งหลายต้องไม่เอาความชอบความไม่ชอบนำชีวิต

 

เราต้องตั้งใจตั้งเจตนา เพราะความตั้งใจตั้งเจตนาเป็นเบรก เป็นเซฟตี้ เป็นการหยุด เป็นความพอเพียงเพียงพอ เป็นความพอดี รถเขาก็ต้องมีเบรก เครื่องบินก็ต้องมีเบรก เรือก็ต้องมีเบรก กายวาจากิริยามารยาทใจของเราก็ต้องมีเบรกเช่นเดียวกัน เราต้องปฏิบัติทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งใจด้วยความตั้งใจตั้งเจตนา เพราะต้นตอคืออวิชชาคือความหลง ต้องหยุดตัวเองด้วยความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายน่ะต้องไม่พากันตรึกในกาม ไม่พากันตรึกในพยาบาท เราถึงจะสมบูรณ์ทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งใจ เราทั้งหลายจะได้อบรมบ่มอินทรีย์ จะได้บวชทั้งกายทั้งวาจาทั้งกิริยามารยาทบวชทั้งใจด้วยความตั้งใจตั้งเจตนา

ชีวิตของเรามีปัญญาสัมมาทิฏฐิอย่างนี้ เราทั้งหลายถึงจะเป็นผู้มีศีล เป็นผู้มีสมาธิ เป็นผู้มีปัญญาด้วยความตั้งใจตั้งเจตนา ไม่พากันตรึกในกาม ไม่พากันตรึกในพยาบาท

 

เราทั้งหลายน่ะพากันบวชแต่กายวาจากิริยามารยาท ใจไม่ได้บวช อย่างนี้มันไม่ได้นะ เราต้องบวชที่ใจ ไม่ตรึกในกาม ไม่ตรึกในพยาบาท การตรึกในกามในพยาบาทนั้นให้เรารู้เข้าใจมันเป็นวัฏฏสงสาร มันเป็นครอบครัว มันเป็นสมีน่ะ สมีก็หมายถึงสามี สามีที่ไม่ได้จดทะเบียน ภรรยาที่ไม่ได้จดทะเบียน ความหมายของสมีมีความหมายอย่างนี้นะ ถ้าเราไม่มีความตั้งใจตั้งเจตนา การรักษาศีลก็จะไม่เข้าถึงบริสุทธิคุณ การทำสมาธิก็ไม่เข้าถึงบริสุทธิคุณ การเจริญปัญญาก็ไม่บริสุทธิคุณ ไม่ใช่ความสงบไม่ใช่ปัญญา มันเป็นอัตตาตัวตน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงตรัสว่าตัวตนนั้นแหละมีแต่ทุกข์เกิดขึ้นทุกข์ตั้งอยู่ทุกข์ดับไป นอกจากทุกข์นั้นไม่มีเลย เป็นทะเลไม่อิ่มด้วยน้ำเป็นไฟไม่อิ่มด้วยเชื้อ หาเรื่องหาราวให้กับตนเอง หาเรื่องหาราวให้กับคนอื่น

 

การประพฤติการปฏิบัติเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมพุทธเจ้าใหม่ ๆ ท่านจะพูดแต่เรื่องอริยสัจสี่ พูดเรื่องอริยมรรคมีองค์ ๘ ท่านยังไม่ได้วางหลักพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ พูดให้รู้ให้เข้าใจ เพื่อเน้นที่ใจที่เจตนา ท่านใช้เวลาเผยแผ่พระศาสนาเป็นเวลาร่วม ๒๐ พรรษา เป็นเวลาร่วม ๒๐ ปีนะ  นี้จะบรรยายให้เข้าใจว่าเรื่องเจตนานี้สำคัญกว่าอื่นใด

 

เหมือนธรรมะที่หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านบรรยายเรื่องมุตโตทัย เรื่องเหตุเรื่องปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี เราทั้งหลายต้องรู้เหตุรู้ปัจจัย รู้อริยสัจสี่ เราจะได้เข้าถึงอริยมรรคด้วยความตั้งใจตั้งเจตนา อริยมรรคเป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ เป็นความเข้าใจในกระบวนการของกรรม ของกฎแห่งกรรมและผลของกรรม

 

เรามองดูดี ๆ น่ะ ปัญญาสัมมาทิฏฐินี้ต้องเป็นความรู้ความเข้าใจ เรามองดูด้วยปัญญาว่า การจะได้มาของอาหารวิตามินเกลือแร่แร่ธาตุของต้นไม้ต้องได้อาหารมาจากทุกทิศทุกทางของต้นไม้ ไม่ใช่มาจากทางรากอย่างเดียว ได้มาจากทางรากทางใบกิ่งก้านสาขาทางยอดตลอดปริมณฑล แสงแดด อากาศ ออกซิเจน ต้นไม้นั้นถึงจะเจริญสง่างาม ฉันใดฉันนั้นก็เช่นเดียวกัน ธรรมะที่เป็นความสงบและปัญญานั้นต้องเป็นปฏิปทา ปัญญาสัมมาทิฏฐิเป็นความดีกับปัญญาควบคู่กันไป ไม่ใช่จากอริยมรรคข้อใดข้อหนึ่ง ต้องครบ ๘ ของอริยมรรค ความตั้งใจตั้งเจตนาถึงเป็นสิ่งที่สำคัญ เรามาระลึกถึงพระอัสสชิได้กล่าวกับพระสารีบุตร เรื่องราวพระอัสสชิและพระสารีบุตร

 

ท่านพระอัสสชิเถระ ท่านเป็นพระอรหันต์ หนึ่งในปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ซึ่งท่านพระสารีบุตร ก่อนแต่บรรลุธรรม ท่านมีชื่อเดิมว่า อุปติสสะ และมีเพื่อนชื่อ โกลิตะ (พระมหาโมคคัลลานะ) ท่านทั้งสอง เมื่อยังไม่ได้บรรลุธรรม ทั้งคู่ก็ออกบวช แสวงหาหนทางบรรลุธรรม ท่านทั้งสองก็บวชในสำนักอาจารย์สญชัย ไม่ได้สาระจากสำนักนั้น ต่างก็เที่ยวกันไปแสวงหาหนทางบรรลุ และสัญญากันว่า ใครได้บรรลุธรรมก่อน คนนั้นจะต้องบอกกัน วันหนึ่งท่านอุปติสสะ (พระสารีบุตร) ได้พบท่านพระอัสสชิ ซึ่งในสมัยนั้น มีพระอรหันต์ ๖๑ รูป ที่พระพุทธเจ้าทรงส่งไปให้ประกาศพระศาสนา ท่านอุปติสสะ เห็นอาการของพระอัสสชิแล้ว เกิดความเลื่อมใสอย่างมาก ด้วยคิดว่า คงเป็นพระอรหันต์รูปหนึ่งเป็นแน่ จึงคิดที่จะถามธรรม และถามว่า ท่านบวชอุทิศใคร ใครเป็นศาสดาของท่าน แต่ในเวลานั้นเป็นเวลาที่ท่านพระอัสสชิ บิณฑบาตอยู่ ท่านอุปติสสะ จึงรอเวลาให้สมควร เมื่อท่านพระอัสสชิ ฉันเรียบร้อยแล้ว ท่านอุปติสสะ จึงเข้าไปถาม สนทนาด้วยคำที่เหมาะสมว่า ผิวพรรณ ร่างกายของท่านผ่องใสยิ่งนัก ท่านบวชอุทิศใคร ใครเป็นศาสดาของท่าน และท่านชอบใจธรรมของใคร พระอัสสชิ แสดงความถ่อมตน ด้วยกล่าวว่า ท่านเป็นผู้บวชใหม่ไม่นาน เพิ่งเข้ามาสู่ธรรมวินัยนี้ เราจะแสดงธรรมโดยพิสดาร คือ โดยละเอียดให้ท่านฟัง ท่านอุปติสสะ (พระสารีบุตร) ได้กล่าวตอบว่า ขอพระผู้เป็นเจ้าจงกล่าวเถิด จะน้อยจะมาก ข้าพเจ้าจะสามารถรับและเข้าใจได้เอง ดังนี้แล้วเรียนว่า " จะมากหรือน้อยก็ตาม ขอพระผู้เป็นเจ้า จงกล่าวเถิด, จงบอกแก่ข้าพเจ้าแต่ใจความเท่านั้น, ข้าพเจ้าต้องการใจความ จะต้องทำพยัญชนะให้มากไปทำไม."

 

ท่านพระอัสสชิ จึงได้กล่าวบทธรรมให้ท่านอุปติสสะ (พระสารีบุตร) ฟังดังนี้ที่ว่าธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตทรงแสดงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และความดับของธรรมเหล่านั้น พระมหาสมณะทรงสั่งสอนอย่างนี้. เมื่อกล่าวจบ ท่านพระสารีบุตร บรรลุเป็นพระโสดาบัน

 

ความรู้ความเข้าใจ เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติด้วยมันเป็นความรู้ความเข้าใจไม่ใช่ความจำ ใจเป็นความรู้คู่การประพฤติการปฏิบัติ มันเป็นการเห็นภัยในวัฏฏสงสาร มันเป็นความตั้งใจตั้งเจตนา การปฏิบัติธรรมน่ะถึงเป็นเรื่องความสงบเรื่องปัญญา เป็นบริสุทธิคุณทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งใจด้วยความตั้งใจด้วยเจตนา ความรู้ความเข้าใจอย่างนี้จะทำให้เราเข้าถึงบริสุทธิคุณทั้งกายวาจากิริยามารยาทที่ออกมาจากใจ ออกจากปัญญาที่เป็นปัญญาบริสุทธิคุณ

 

การเรียนการศึกษของนักเรียนนิสิตนักศึกษาเค้าถึงเน้นที่ความสงบและปัญญา ไม่ใช่ความจำไม่ใช่ท่องจำ เราไม่รู้ไม่เข้าใจ เราเพียงแต่ไปเรียนแบบลอกแบบ การเรียนการศึกษาถึงเป็นความรู้ความเข้าใจ เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ต่อยอดจากรุ่นน้องสู่รุ่นพี่

 

ปัจจุบันถ้าเรามีความตั้งใจตั้งเจตนา การประพฤติการปฏิบัตินั้นจะเกิดได้แต่เพียงผัสสะ เวทนาที่ดีใจเสียใจนั้นจะเกิดขึ้นไม่ได้ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิ คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ เพราะว่าพระคือผู้รู้ผู้เข้าใจคือเห็นภัยในวัฏฏสงสาร เพราะคือผู้ที่มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติความเป็นพระถึงหยุดโลกซึมเศร้า ไม่มีความเศร้าหมองทั้งกายวาจากิริยามารยาท ไม่ขาดไม่ด่างไม่พร้อยไม่ทะลุมีความสงบและปัญญา

 

เมื่อ ๒๐ พรรษาผ่านมาแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงได้วางหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม ถึงได้วางหลักพระธรรมพระวินัยแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ เปรียบเสมือนอาหารสำเร็จรูปที่อยู่ในเซเว่นหรือ แมคโคร โลตัส บิ๊กซี ห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ เซ็นทรัล โรบินสัน เดอะมอล เทอมินอล เป็นต้น

 

ธรรมวินัยเปรียบเสมือนของใช้สำเร็จรูป ของบริโภคสำเร็จรูป การปฏิบัติถึงได้มีหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม ทุกอย่างเราจะได้รู้เข้าใจ ทุกอย่างนั้นจะได้มีแต่คุณ จะได้มีแต่ประโยชน์ เราทั้งหลายจะได้รู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี  

 

การคิดกายวาจากิริยามารยาทลงที่ใจที่เจตนาเราทั้งหลายต้องมีปัญญามีความสงบ  ปราศจากความโลภ ความโกรธความหลง ความโลภความโกรธความหลงนี้ให้เรารู้เข้าใจ มันเป็นความไม่อิ่มไม่เต็มไม่พอไม่เพียงพอ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เราเข้าใจมันเปรียบเสมือนทะเลนี้แหละไม่อิ่มด้วยน้ำ เปรียบเสมือนไฟทั้งหลายไม่อิ่มด้วยเชื้อของเพลิง

 

มนุษย์เราต้องมีสติคือความสงบ สงบด้วยความรู้ความเข้าใจ สงบด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิ จะได้เป็นพระธรรมเป็นพระวินัย เราจะได้ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยอริยมรรคมีองค์ ๘  สติสัมปชัญญะถึงเป็นธรรมที่มีอุปการะมากแก่เราทุก ๆ คน ถ้าเรามีสติมีปัญญาเมื่อเราก็จะเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอเข้าถึงความพอดี เข้าถึงธรรมถึงปัจจุบันธรรม เป็นการอบรมบ่มอินทรีย์ เป็นบารมีในเบื้องต้นท่ามกลางและที่สุด มีทั้งความสงบมีทั้งปัญญา วาระต่าง ๆ เราต้องมีความสงบมีปัญญา เราต้องอยู่กับปัจจุบันให้สมบูรณ์ด้วยความสงบและปัญญา

 

ปัจจุบันถ้าเรามีความสงบมีปัญญา เราทั้งหลายก็จะสามารถหยุดความโลภของตัวเองได้ด้วยสติด้วยปัญญา เพราะธรรมชาติพื้นฐานจิตเดิมแท้นั้นเป็นประภัสสร สิ่งที่สัญจรไปมา เป็นเพียงอาคันตุกะ ธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ ให้เราเข้าใจนะมันเป็นเพียงสัญจรไปมา เรามีลาภเราเสื่อมลาภ เรามียศ เราเสื่อมยศ เรามีสรรเสริญเสื่อมจากสรรเสริญ เรามีสุขความสุขเสื่อมจากความทุกข์ เรามีทุกข์เสื่อมจากความทุกข์  สิ่งเหล่านี้ให้เรารู้ให้เข้าใจ เราต้องมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ เป็นเพียงอาคันตุกะที่สัญจรไปมาเท่านั้นนะ เราทั้งหลายจะได้หยุดสัญชาตญาณ หยุดวัฏฏสงสารด้วยความรู้ความเข้าใจด้วยการเห็นภัยในวัฏฏสงสาร เราต้อไม่ไปตามธาตุทั้งสี่ขันธ์ทั้งห้าอายตนะทั้งหก เราจะได้มีหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม

 

เพราะจิตเดิมแท้นั้นเป็นความว่างเปล่า สิ่งที่สัญจรไปมาเป็นเพียงอาคันตุกะ ความเป็นประภัสสรเป็นสิ่งที่ดั้งเดิม เราทั้งหลายต้องสงบด้วยความรู้ความเข้าใจ สงบด้วยสติด้วยปัญญา  สติสัมปชัญญะนั้นถึงเป็นธรรมะที่มีคุณ มีอุปการคุณมากแก่การประพฤติการปฏิบัติของเราทุก ๆ คน มนุษย์เราต้องมีสติเป็นพื้นฐานมีปัญญาเป็นพื้นฐานเรียกว่าสติปัฏฐาน

 

ผู้ประพฤติผู้ปฏิบัติธรรมในปัจจุบันในชีวิตประจำวัน ถึงต้องมีสติมีสัมปชัญญะ ความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติต้องควบคู่กันไป เราจะไปแยกความรู้จากการประพฤติการปฏิบัติไม่ได้ ถ้าแยกเมื่อไหร่ชีวิตนี้ก็ย่อมพังทลายเหมือนตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทย ตึกใหญ่สูง ๓๐ กว่าชั้นอยู่ในเมืองกรุงอยู่ในเมืองหลวง ตึกใหญ่ ๆ สูงกว่าตึก สตง.ทั่วทิศของเมืองไทยมีตั้งหลายร้อยตึกเค้าไม่พังทลาย เพราะความมาตรฐานเค้าเพียงพอ ให้เรารู้เข้าใจ เราจะได้มีความสงบกับปัญญาเป็นพื้นเป็นฐาน เพื่อเอาสติเป็นพื้นฐาน เอาปัญญาเป็นพื้นฐาน เราก็จะสามารถจัดการความโลภความโกรธความหลงด้วยสติและปัญญา ด้วยการประพฤติการปฏิบัติ

 

ปฏิฆะ ความโกรธนั้น เราทั้งหลายต้องพากันรู้เข้าใจนะ เพราะสิ่งเหล่านี้เราต้องละได้ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิ เราต้องรู้เราต้องเข้าใจ จะได้เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เราต้องรู้เข้าใจ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเป็นประภัสสร เราอยากจะได้มากมันก็ไม่มากมันก็เท่าเก่า เราอยากได้น้อยมันก็ไม่น้อยมันก็เท่าเก่า เราจะไปลิดรอนความเป็นประภัสสรนั้นไม่ได้ อย่างเราไม่อยากแก่อยากเจ็บอยากตายไม่อยากพลัดพราก ความคิดอย่างนี้แหละเรียกว่าลิดรอน อยากให้ช้าอยากให้เร็ว อยากให้มากอยากให้น้อย เราต้องรู้เข้าใจ ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจนั้นก็ย่อมมีปฏิฆะ ย่อมมีความไม่พอใจ ย่อมมีความโกรธ ให้เข้าใจ เราจะไปทุกข์ทำไม เราทั้งหลายจะหยุดปฏิฆะ จะได้หยุดพยาบาทด้วยการเจริญเมตตาเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ความเมตตาเป็นธรรมค้ำจุนโลก เราทั้งหลายต้องมีเมตตา เราทั้งหลายต้องไม่เอาความสุขจากความหลง ไม่ไปเอาความสุขจากความทุกข์ของคนอื่น เราทั้งหลายต้องเจริญเมตตา เป็นผู้ให้เป็นผู้เสียละ เราให้ธาตุให้ขันธ์ให้อายตนะด้วยอาหารด้วยการพักผ่อน ด้วยการมายกเลิกความโลภความโกรธความหลง การมองคนอื่นสัตว์อื่นเราก็มองเพื่อจะเป็นผู้ให้เป็นผู้ที่เสียสละ เพราะไม่ใช่จะเป็นผู้เอา

 

เราต้องมีทั้งสติมีทั้งสัมปชัญญะ มีความเมตตามีความกรุณาให้กับตนเองและผู้อื่นด้วยความตั้งใจตั้งเจตนา ความโลภความโกรธความหลงนั้นให้เรารู้เข้าใจ เราจะได้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร

 

 ความต้องการเปรียบเสมือนทะเลที่ไม่อิ่มด้วยน้ำ เปรียบเสมือนไฟไม่อิ่มด้วยเชื้อของเพลิง เมื่อไม่ได้ตามใจตามปรารถนาเราไม่มีปัญญาสัมมาทิฏฐิก็ย่อมเกิดปฏิฆะ เกิดความโกรธ ปฏิฆะ ความโกรธนี้เราทั้งหลายต้องพากันเอาความสงบและปัญญาด้วยความกรุณาเมตตาทั้งตนเองและคนอื่นด้วยความรู้ความเข้าใจ รู้จักเหตุรู้จักปัจจัย รู้จักอริยสัจสี่ คือรู้จักทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เพื่อจะไม่ได้เอาความผิดนำชีวิต เราจะไม่ได้ไปลิดรอนสิทธิเสรีภาพในสิ่งต่าง ๆ สิ่งภายนอกก็ให้เป็นภายนอก สิ่งภายในก็ให้เป็นภายใน ธาตุทั้ง ๔ จะได้บริสุทธิ ขันธ์ทั้ง ๕ จะได้บริสุทธิ์ อายตนะทั้ง ๖ จะได้บริสุทธิ คำว่าบริสุทธิก็หมายถึงความสงบและปัญญานั่นแหละ จะไม่ได้ลิดรอนสิทธิที่เป็นธาตุเป็นขันธ์เป็นอายตนะ เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เพราะทุกอย่างมันเป็นเพียงเหตุเพียงปัจจัยเราทั้งหลายจะได้เข้าถึงความสงบเข้าถึงปัญญา เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอเป็นความพอดี ไม่ตัดไม่เพิ่ม

 

เราอยากจะได้มากสิ่งเหล่านั้นมันก็ไม่มาก ก็เท่าเก่า เราอยากให้น้อยมันก็ไม่น้อยมันก็เท่าเก่าน่ะ เราทั้งหลายจะไปคิดไปปรุงแต่งไปทำไม เราต้องเข้าใจ เราต้องเมตตาตนเองอย่างไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ เมตตาคนอื่นอย่างไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะไม่ได้ตรึกนึกคิดในกาม ไม่ไปตรึกนึกคิดในพยาบาท เพราะกามกับพยาบาทนั้นก็คือวัฏฏสงสารนั้นคือตัวคือตน เราต้องรู้เข้าใจนะ ความปรุงแต่งนั้นมันเป็นตัวเป็นตน ธรรมะที่เป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ ถึงเป็นธรรมะที่อยู่นอกเหตุเหนือผล ไม่มีความปรุงแต่ง ไม่เพิ่มไม่ตัด

 

 ชื่อว่าความปรุงแต่งนั้นก็ย่อมมีแต่ความทุกข์ทั้งนั้น มีแต่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป นอกจากทุกข์นั้นไม่มีเลย มีแต่ความทุกข์

 

ความหลงความไม่เข้าใจ ถึงเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ พระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่เป็นสิ่งที่มาหยุดความทุกข์ เป็นเบรกเป็นเซฟตี้ พระธรรมพระวินัยถึงมีแต่คุณมีแต่อุปการคุณ

 

การเรียนการศึกษาของมนุษย์ทั้งหลายก็เพื่อความรู้ความเข้าใจ การค้นคว้าตามหลักเหตุผลตามหลักวิทยาศาสตร์ก็เพื่อความรู้ความเข้าใจ เพื่อพัฒนาจากสิ่งที่ผิดพลาดให้ดีขึ้น จะได้ก้าวไปด้วยปัญญษสัมมาทิฏฐิ จะไม่ได้ย่ำต๊อกในเรื่องเก่ากรรมเก่า เราต้องแก้ไขกรรมเก่าว่าสิ่งไหนไม่ดีเราต้องหยุด สิ่งไหนดีเราต้องทำไปยิ่ง ๆ ขึ้นไป หลักวิทยาศาสตร์ต้องทำอย่างนี้ เป็นการต่อยอดทั้งกายวาจากิริยามารยาทเพื่อความไม่ขาดตกบกพร่อง ถ้าเรารู้หลักการอุดมการณ์อุดมธรรม ก็จะเป็นเรื่องปัจจุบันด้วยการพัฒนาทั้งใจทั้งวัตถุไปพร้อม ๆ กัน มนุษย์เราต้องเข้าถึงความเป็นมนุษย์เป็นเทวดาเป็นพรหมเป็นพระอริยเจ้าในขณะนี้เดี๋ยวนี้ด้วยความรู้ความเข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ ปัจจุบันเราไม่ได้ประพฤติปฏิบัติอนาคตมันจะเป็นไปได้อย่างไร

 

 การฟังการบรรยายก็เพื่อความรู้ความเข้าใจ การฟังธรรมถึงต้องตั้งใจฟังการความสงบไม่คุยกัน ใครมีโทรศัพท์มือถือก็ต้องปิดไว้ก่อน ใครนั่งหลับนั่งโงกง่วงมันจะเข้าใจได้อย่างไร เอาแต่ตัวเอาแต่ตนเอาแต่นั่งโงกนั่งง่วงขนาดนั่งตัวตรง ๆ ตั้งใจฟังก็ยังไม่เข้าใจ เราจะไปหลับไปนั่งโงกง่วงได้อย่างไร เราต้องเคารพในการฟังการบรรยาย เราเอาความสงบกับปัญญาควบคู่กันไปด้วยความตั้งใจตั้งเจตนา เราจะตั้งประเทศหรือตั้งบ้านตั้งภาชนะอะไรต่าง ๆ มันต้องตั้งใจตั้งเจตนา มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการวาง เรื่องนั่งหลับนั่งง่วงนั่งคอพับคองอต้องยกเลิกไว้ก่อน เราต้องทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์เจริญสติสัมปชัญญะหายใจเข้าก็มีสติรู้ตัวทั่วพร้อมหายใจออกก็มีสติรู้ตัวทั่วพร้อมให้มีความสงบควบคู่กันไปให้มีความพอดี ใจมันทำไม่ได้ก็ให้กายวาจากิริยามารยาทสิ่งที่มองเห็นอยู่ทำให้ได้ก่อน เพราะการฝึกใจเค้าต้องฝึกกายวาจากิริยามารยาทเค้าต้องทำอย่างนี้ ต้องมีศีลมีสมาธิ ความสงบของเราถึงจะเกิดได้ด้วยปัญญาในเบื้องต้นท่ามกลางที่สุดด้วยการอบรมบ่มอินทรีย์

 

มนุษย์เราต้องทุกคนต้องเอาความสงบและปัญญา เอาปัญญาและความสงบไปพร้อม ๆ เราจะมีปัญญาได้เราก็อาศัยหลักการอาศัยอุดมการณ์อุดมธรรในการประพฤติการปฏิบัติที่เป็นความสงบและปัญญามาปฏิบัติติดต่อต่อเนื่อง เป็นกระบวนการเป็นกระแสของมรรคของอริยมรรค เรามาปฏิบัติธรรมเรามาบวชนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เราสาธยายร่างกายอาการ ๓๒ มนุษย์เรามีสรีระที่เป็นร่างกายนี้ ที่เป็นธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ มีอยู่ ๓๒ ชิ้นส่วน

 

การที่เราพิจารณาร่างกาย เราต้องแยกออกเป็นชิ้นเป็นส่วน ออกให้หมดน่ะ เพื่อจะได้รู้เข้าใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน ทุกอย่างคือกรรมคือกฎแห่งกรรมคือผลของกรรมที่มารวมกันเป็นกาย เป็นธาตุทั้ง ๔ เป็นขันธ์ทั้ง ๕ เป็นอายตนะทั้ง ๖ เราต้องพิจารณาอาการ ๓๒ แยกออกเป็นชิ้นส่วน

 

ร่างกายของมนุษย์นี้ ๓๒ ชิ้นส่วน ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เราพิจาณาร่างกายแยกออกเป็นชิ้นเป็นส่วนให้ครบ ๓๒ ชิ้นส่วน แล้วเอามาแยกทำกลับไปกลับมา เพื่อเราทั้งหลายจะไม่ได้ถือเอาธาตุทั้ง ๔ ดินน้ำลมไฟ ขันธ์ทั้ง ๕ รูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ อายตนะทั้ง ๖ ตาหูจมูกลิ้นกายใจมาเป็นเรา เราจะได้รู้สภาวธรรมที่เกิดเหตุเกิดจากปัจจัย

 

เราทั้งหลายต้องจับหลักให้ได้จับประเด็นให้ได้ ต้องรู้เรื่องในการประพฤติการปฏิบัติ เราต้องพิจารณาร่างกายเข้าสู่พระไตรลักษณ์ แยกชิ้นส่วนของร่างกาย ประกอบชิ้นส่วนของร่างกาย เพื่อความสงบและปัญญาของเราจะได้ก้าวไปเพื่อเป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา

 

วันหนึ่งคืนหนึ่งเพื่อให้การประพฤติการปฏิบัติของเราจะได้เจริญก้าวหน้า การปฏิบัติของเราน่ะมันต้องมีการปฏิบัติติดต่อต่อเนื่อง ไม่ขาดสาย จะเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี ให้เรารู้ให้เราเข้าใจสมถะกับวิปัสสนา เพื่อเราจะได้มีสมถะคือความสงบ เพื่อเราจะได้มีปัญญา มีวิปัสสนา เราทั้งหลายต้องพากันรู้หลักในการประพฤติการปฏิบัติ เราทำอย่างนี้เราปฏิบัติอย่างนี้ เราจะได้ยกเลิกในเรื่องของวัฏฏสงสารคือยกเลิกเรื่องของกาม เรื่องของพยาบาท  เพื่อเราจะได้เข้าสู่เนกขัมมะบารมีเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา

 

สัมมาวาจา การเจรจาชอบ เรื่องของการพูดเป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ เพื่อให้เกิดความสงบเกิดปัญญา เพื่อเราจะได้ก้าวไปด้วยอนัตตา ไม่ใช่ก้าวไปด้วยตัวตน เพื่อจะได้เข้าถึงบริสุทธิคุณ เป็นความดีด้วยการเอาใจใส่ด้วยความตั้งใจตั้งเจตนา เราทั้งหลายจะไปประมาทนั้นไม่ได้ เราต้องยกเลิกกิจกรรมที่เป็นวาจา เราต้องเอาธรรมนำชีวิต เอาปัญญานำชีวิต การพูดจาของเราเราต้องรู้เข้าใจ เพราะวาจานี้เป็นสื่อสารมวลชน ก่อนที่เราพูดเราเป็นนายนะ เมื่อเราพูดไปแล้วมันเป็นบ่าวมันเป็นกรรมเป็นกฎของกรรม เราต้องตั้งอยู่ในสัมมาวาจา ถึงแม้เราจะเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบในมรรคของอื่น มนุษย์เราต้องมีปัญญาสัมมาทิฏฐิในการพูด ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ ไม่เอาใจใส่ ไม่มีเบรก ไม่มีเซฟตี้ เราต้องรู้เข้าใจเพราะทุกอย่างมันคือกรรมคือกฎแห่งกรรมคือผลของกรรม คำพูดนี้เราต้องสำรวมระวัง

 

ในสมัยของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า เศรษฐีผู้หนึ่งชื่อว่า สุมงคล เป็นผู้มีความเคารพเลื่อมใสในพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ่งนัก เศรษฐีได้สร้างพระคันธกุฎี(กุฏิ)ถวายพระพุทธองค์ และคอยไปเฝ้าอุปัฏฐากดูแลอยู่ทุกเช้า

 

เช้าวันหนึ่ง เศรษฐีออกเดินทางไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเช่นเคย เมื่อมาถึงประตูเมือง เศรษฐีได้เห็นชายผู้หนึ่งนอนคลุมโปงอยู่นอกประตูเมือง เท้าเปรอะเปื้อนไปด้วยโคลนเศรษฐีรู้สึกสงสารจึงกล่าวกับคนรับใช้ที่ติดตามมาว่า"ชายผู้นี้ คงเที่ยวดึก กลับเข้าเมืองไม่ทัน จึงต้องมานอนลำบากอย่างนี้"

 

แต่ชายผู้นั้นเป็นโจรใจพาล เมื่อได้ยินถ้อยคำของเศรษฐี ก็รู้สึกโกรธ หาว่าเศรษฐีมายุ่งเรื่องของตน จึงคิดหาทางแก้แค้น แต่เมื่อไม่สามารถทำร้ายเศรษฐีโดยตรงได้ โจรจึงลอบทำลายทรัพย์สิน ด้วยการเผานาของเศรษฐีถึง 7 ครั้ง ตัดเท้าวัวอีก 7 หน

 

แต่เศรษฐีก็ไม่โกรธ ทั้งไม่ติดใจตามหาตัวคนร้ายอีกด้วย โจรร้ายยิ่งแค้นใจ หาโอกาสเผาบ้านของเศรษฐีอีกถึง 7 ครั้ง แต่เศรษฐีก็ยังไม่โกรธอยู่ดี (โอ้!จิตใจทำด้วยอะไรเนี่ย) ผิดกับโจรผู้เต็มไปด้วยโทสะ เฝ้าคิดร้ายต่อผู้อื่น เมื่อเศรษฐีไม่โกรธไม่สนใจ ตนเองกลับยิ่งทุรณทุรายด้วยความแค้น

 

เมื่อสืบทราบว่า เศรษฐีมีความเคารพรักในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงกับสร้างกุฏิถวาย โจรใจพาลจึงคิดทีเด็ด วางแผนการทำลายกุฏินั้น เพื่อให้เศรษฐีเจ็บช้ำน้ำใจ ครั้นเมื่อถึงเวลาที่พระพุทธเจ้าออกไปบิณฑบาต โจรร้ายก็ลอบไปจุดไฟเผากุฏิจนวอดวาย จากนั้นจึงมายืนรวมกับฝูงชนเพื่อรอดูอาการเจ็บช้ำใจของเศรษฐี ฝ่ายเศรษฐี เมื่อทราบข่าวร้ายเรื่องไฟไหม้กุฏิ ก็รีบรุดมายังที่เกิดเหตุทันที แต่กุฏิมอดไหม้จนเหลือแต่ซากเสียแล้ว

 

ท่ามกลางความสลดหดหู่ของชาวเมืองนั่นเอง เศรษฐีกลับตบมือด้วยความดีอกดีใจ ทำเอาผู้ไม่รู้เข้าใจว่า เศรษฐีเสียใจจนเสียสติไปแล้ว แต่เศรษฐีประกาศกับชาวเมืองทั้งหลายว่า "โชคดีจริงๆ เราจะได้บุญใหญ่อีกแล้ว คราวนี้เราจะสร้างพระคันธกุฎีใหม่ให้ดียิ่งกว่าเดิมอีก"

 

โจรได้ยินเช่นนั้น เมื่อทีเด็ด ถูกเศรษฐีเด็ดทิ้งอย่างง่ายดาย ก็แค้นใจอย่างหนัก เฝ้าคิดหาทางที่จะกำจัดเศรษฐีให้ได้ เมื่อเศรษฐีสร้างกุฏิหลังใหม่เสร็จ ก็จัดงานฉลอง โจรได้ช่องทางจึงเหน็บมีดปลายแหลมไว้ หวังจะลอบสังหารเศรษฐี แล้วแทรกตัวปะปนมากับฝูงชน

 

ฝ่ายเศรษฐี ปลื้มปีติใจในผลแห่งทานนี้มาก ประกาศกับฝูงชนว่า

"ท่านทั้งหลาย การที่ข้าพเจ้าได้บุญใหญ่ในวันนี้ ก็เพราะมีคนได้เผาพระคันธกุฎีหลังเก่าไป ถ้าหากไม่มีเขา ข้าพเจ้าก็คงไม่ได้บุญใหญ่เช่นนี้อีก ข้าพเจ้าจึงขอแบ่งส่วนบุญนี้ให้เขาเป็นคนแรก"

 

โจรร้ายได้เห็นน้ำใจของเศรษฐี ก็ละอาย เสียใจในความผิดของตน จึงเข้ามาคุกเข่ากราบขอขมาท่านเศรษฐี เศรษฐีก็ให้อภัย การฉลองก็ดำเนินต่อไป ต่อมาโจรขอฝากตัวเป็นลูกน้องเศรษฐี แต่เศรษฐีปฏิเสธ บอกว่า แค่พูดนิดเดียวโจรโกรธขนาดนี้แล้ว ต่อไปถ้าเป็นลูกน้อง ตนจะไปตำหนิอะไรโจรได้ เจ้าจงไปตามทางของเจ้าเถิด

 

ผลแห่งกรรมชั่วนั้น ทำให้โจรได้รับความทุกข์ในอเวจีนรกอยู่เป็นเวลานาน ในกาลบัดนี้ ได้มาเกิดเป็นอชครเปรต (เปรตงูเหลือม) ร่างกายใหญ่ยาวประมาณ 25 โยชน์ มีเปลวไฟลุกไหม้ทั้งสามด้าน คือตั้งแต่ศีรษะลามจนถึงหาง ตั้งแต่หางลามไปถึงศีรษะ และตั้งแต่ข้างลำตัวลามไปที่กลางตัว

 

สัมมาวาจา เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เราทั้งหลายน่ะที่พากันมาบวชมาปฏิบัติธรรมต้องพากันมาพัฒนาสัมมาวาจา ผู้ที่มาบวชมาปฏิบัติธรรมต้องเข้าสู่หลักการอุดมการณ์อุดมธรรมในเรื่องสัมมาวาจา เราอยู่กับครอบครัว อยู่กับสิ่งแวดล้อม ครอบครัวสิ่งแวดล้อมนั้นย่อมเป็นชิฟที่ฝังอยู่ในขันธ์ในสัญญาขันธ์ เพราะสิ่งเหล่านั้นเมมโมรี่ที่ฝังอยู่ เรามาบวชมาปฏิบัติธรรมเราถึงต้องมาฝึกมาปฏิบัติ พร้อมทั้งการประพฤติการปฏิบัติให้ติดต่อต่อเนื่อง ไม่มีใครละวาสนาได้ เพราะการบำเพ็ญบารมีนั้นไม่เพียงพอ ผู้ที่ละวาสนาได้มีเพียงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพียงรูปเดียว เพราะท่านบำเพ็ญพุทธบารมี ๔ อสงไขย แสนมหากัป เป็นเวลาหลายล้านชาติ สำหรับพระอรหันต์ขีณาสพเพียงแต่ดีขึ้นด้วยอริยมรรคมีองค์แปด

 

เราทั้งหลายถึงใส่ใจเอาใจใส่ในการพูดจา เราอย่าไปพูดจาดีเฉพาะผู้ที่ให้คุณให้ประโยชน์เรา เราต้องพูดจาดีกับทุก ๆ คน ทั้งผู้ให้ผลประโยชน์ ไม่ให้ผลประโยชน์ แม้แต่สรรพสัตว์ทั้งหลาย

 

อย่างตัวอย่างเรื่องโคที่มีกำลังมหาศาล สามารถลากเกวียนได้เป็นร้อยเล่มเพราะกำลังพิเศษด้วยบารมีการบำเพ็ญบารมีของโคนันทวิศาล สามารถลากเกวียนได้เป็นร้อย ๆ เล่มเกวียน ในการบรรทุกสิ่งของต่าง ๆ

ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วันเชตวัน เมืองสาวัตถี
ทรงปรารภการพูดเสียดแทงให้เจ็บใจของพวกภิกษุฉัพพัคคีย์
ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธกว่า
.
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในสมัยของพระเจ้าคันธาระ
ครองเมืองตักกศิลา แคว้นคันธาระ พระโพธิสัตว์เกิดเป็นโคนามว่า
“นันทิวิสาล” เป็นโคมีรูปร่างสวยงาม มีพละกำลังมาก มีพราหมณ์คนหนึ่ง
ได้เลี้ยงและรักโคนั้นเหมือนลูกชาย โคนั้นคิดจะตอบแทนบุญคุณ
การเลี้ยงดูของพราหมณ์ในวันหนึ่ง ได้พูดกะพราหมณ์ว่า
"พ่อ จงไปท้าพนันกับโควินทกเศรษฐีว่า โคของเราสามารถ
ลากเกวียนหนึ่งร้อยเล่ม ที่ผูกติดกันให้เคลื่อนไหวได้ พนันด้วย
เงินหนึ่งพันกหาปณะเถิด"
.
พราหมณ์ได้ไปที่บ้านเศรษฐีและตกลงกันตามนั้น นัดเดิมพันในวันรุ่งขึ้น
ในวันเดิมพัน พราหมณ์ได้เทียมโคนันทิวิสาลเข้าที่เกวียนเล่มแรก
เพื่อลากเกวียนหนึ่งร้อยเล่มผูกติดกันซึ่งบรรทุกทราย กรวดและหินเต็มลำ
แล้วขึ้นไปนั่งบนเกวียน เงื้อปฏักขึ้นพร้อมกับตวาดว่า
"ไอ้โคโกง โคโง่ เจ้าจงลากเกวียนไปเดี๋ยวนี้"
ฝ่ายโคนันทิวิสาลเมื่อได้ยินพราหมณ์พูดเช่นนั้น ก็คิดน้อยใจว่า
"พราหมณ์เรียกเราผู้ไม่โกง ว่าโกง ผู้ไม่โง่ ว่าโง่” จึงยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหว
โควินทกเศรษฐีจึงเรียกให้พราหมณ์นำเงินหนึ่งพันกหาปณะมาให้
แล้วกลับบ้านไป ฝ่ายพราหมณ์ผู้แพ้พนันเงินหนึ่งพันกหาปณะ
ปลดโคแล้วก็เข้าไปนอนเศร้าโศกเสียใจอยู่ในบ้าน
.
ส่วนโคนันทิวิสาลเห็นพราหมณ์เศร้าโศกเสียใจเช่นนั้น
จึงเข้าไปปลอบและกล่าวว่า
"พ่อ ฉันอยู่ในเรือนของท่านตลอดมา เคยทำภาชนะอะไรแตกไหม
เคยเหยียบใคร ๆ เคยถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะในที่อันไม่ควรหรือไม่
เพราะเหตุใด ท่านจึงเรียกเราว่า โคโกง โคโง่ ครั้งนี้เป็นความผิดของท่าน
ไม่ใช่ความผิดของฉัน บัดนี้ ขอให้ท่านไปเดิมพันกับโควินทกเศรษฐีใหม่
ด้วยเงินสองพันกหาปณะ ขออย่างเดียวท่านอย่าได้เรียกฉันว่า โคโกง โคโง่
ท่านจะได้ทรัพย์ตามที่ท่านปรารถนา ฉันจะไม่ทำให้ท่านเศร้าเสียใจ"
พราหมณ์ได้ทำตามที่โคนันทิวิสาลบอก ในวันเดิมพันพราหมณ์จึงพูด
หวานว่า "นันทิวิสาลลูกรัก เจ้าจงลากเกวียนทั้งร้อยเล่มนี้ไปเถิด"
โคนันทวิสาลได้ลากเกวียนร้อยเล่มที่ผูกติดกัน ด้วยการออกแรงลาก
เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ทำให้เกวียนเล่มสุดท้ายไปตั้งอยู่ที่เกวียนเล่มแรก
ทำให้พราหมณ์ชนะพนัน ด้วยเงินสองพันกหาปณะ
.
พระพุทธองค์เมื่อนำอดีตนิทานมาสาธกแล้วตรัสว่า
"ภิกษุทั้งหลาย ชื่อว่า คำหยาบ ไม่เป็นที่ชอบใจของใคร ๆ แม้กระทั่ง
สัตว์เดียรัจฉาน” แล้วได้ตรัสพระคาถาว่า
"บุคคลควรพูดแต่คำที่น่าพอใจเท่านั้น ไม่ควรพูดคำที่ไม่น่าพอใจในกาลใด ๆ
เมื่อพราหมณ์พูดคำที่น่าพอใจ โคนันทิวิสาลได้ลากสัมภาระอันหนักได้
ทั้งยังทำให้หราหมณ์ผู้นั้นได้ทรัพย์อีกด้วย ส่วนตนเองก็เป็นผู้ปลื้มใจ
เพราะการช่วยเหลือนั้นด้วย"

 

สัมมาวาจานี้เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องรู้เข้าใจ ต้องพากันเอาใจใส่ เรามาบวชมาปฏิบัติถึงต้องมาเรียกกันว่าคุณ คุณก็หมายถึงไม่มีโทษ กายวาจากิริยามารยาทใจที่เอาความสงบและปัญญานำชีวิตถึงมีแต่คุณไม่มีโทษ คำว่าท่านนี้หมายถึงธรรมะทางสายกลาง ไม่มีนิวรณ์ทั้ง ๕ ไม่มีอคติทั้ง ๔ มีความสงบมีปัญญา เป็นประภัสสร

 

ขออนุโมทนากับท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายเป็นผู้ที่ได้รับสิทธิพิเศษที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เราทั้งหลายต้องเอาความดีและปัญญา ตั้งอยู่ในปิติสุขเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ สิ่งที่ผ่านไปแล้วก็ปล่อยวางเราจะได้เข้าถึงความสงบและปัญญา เราจะได้ระลึกถึงพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า

 

“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”

 

โอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ

ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ

ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู

ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละคือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะ

 

----------------------------------

 

โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม

เมตตาให้ไว้ในเช้าวันพฤหัสบดีที่ ๒๑ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

รายการล่าสุดที่คุณดู
Visitors: 100,724