๒๓ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๒๓ เดือนสิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘  ศาสนาพุทธ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ศาสนาคริสต์ ฮิจเลาะห์ศักราช ๑๔๔๖ ศาสนาอิสลาม

 

วันนี้เป็นวันเสาร์ วันเสาร์วันอาทิตย์เป็นวันหยุดของส่วนทางราชการ เพื่อเป็นหลักการบริหารประเทศนั้น ๆ วันจันทร์อังคารพุธพฤหัสศุกร์เป็นวันทำงานของราชการ มนุษย์เราต้องรู้เหตุรู้ปัจจัย รู้กรรม รู้กฎแห่งกรรม รู้ผลของกรรม เพื่อเราทั้งหลายจะได้รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ ไม่เอาความรู้สึกนำชีวิต ไม่เอาความชอบไม่ชอบนำชีวิต ยกเลิกนิวรณ์ทั้ง ๕ ยกเลิกอคตทั้ง ๔ มีความสงบมีปัญญา ไม่เอาอวิชชาไม่เอาความหลง ไม่เอาความไม่เข้าในนำชีวิต เอาความรู้ความเข้าใจเอาปัญญาสัมมาทิฏฐิ เพื่อให้เป็นพุทธะทั้งกายวาจากิริยามารยาทมารวมลงที่ใจ ลงที่เจตนา

 

การประพฤติการปฏิบัติของเราต้องมีปัญญาสัมมาทิฏฐิคู่กับการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อชีวิตของเราจะได้ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ จะได้เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา ชีวิตของเราที่จะไม่มีความทุกข์อยู่ที่ความสงบและปัญญา ไม่ใช่อยู่ที่ความรวยความจน ความดับทุกข์อยู่ที่เรามีความสงบมีปัญญา อยู่ที่ความพอดี ความพอเพียงเพียงพอ มนุษย์เราถึงต้องพัฒนาทั้งทางวิทยาศาสตร์ พัฒนาใจไปพร้อม ๆ กัน

 

เราทั้งหลายพากันมามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ถ้าเราไม่มีปิติไม่มีความสุขไม่มีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายก็จะมีความทุกข์ เราทั้งหลายก็จะเป็นโรคซึมเศร้า ให้เรารู้จักธาตุทั้ง ๔ ในได้แก่ดินน้ำลมไฟ ให้เรามารู้จักขันธ์ทั้ง ๕ ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

 

ให้เรามารู้จักอายตนะทั้ง ๖ ได้แก่ ตาหูจมูกลิ้นกายใจ อันนี้เป็นสภาวธรรมที่เกิดจากเหตุเกิดจากปัจจัย เกิดจากรรม เกิดจากกฎแห่งกรรมและผลของกรรม เราทั้งหลายจะได้รู้เข้าใจ พร้อมทั้งความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ เราจะได้จบลงที่ผัสสะ ว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นคือเหตุคือปัจจัย เราหยุดลงเพียงผัสสะ เพื่อไม่ให้เกิดเวทนาที่ดีใจเสียใจ ถ้าเรารู้เข้าใจ เราถึงจะเป็นผู้มีศีลมีสมาธิมีปัญญา เพราะเรารู้เข้าใจเรื่องธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ ที่เป็นธรรมเป็นสภาวธรรม

 

เราทั้งหลายต้องพากันรู้หลักการและอุดมการณ์ เพื่อเราจะได้เอาธรรมนำชีวิต เอาความสงบและปัญญา ความสงบและปัญญา ให้เราเข้าใจว่านี้เป็นพื้นเป็นฐานเป็นกรรมฐาน ถ้าเรามีปัญญาสัมมาทิฏฐิ เข้าสู่การประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายจะได้เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบปฏิบัติตรงปฏิบัติที่ออกจากทุกข์ ปฏิบัติที่สมควร

 

เราทั้งหลายพากันเข้าใจนะ การประพฤติการปฏิบัติไม่มีใครมาประพฤติปฏิบัติให้เราได้แทนเราได้ เราทั้งหลายต้องประพฤติปฏิบัติของตัวเราเอง วันหนึ่งคืนหนึ่ง เราต้องทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ อย่าให้ขาดตกบกพร่อง ทะลุ ด่างพร้อยด้วยความประมาท ความประมาทความเพลินเพลินทำให้ขาดให้ด่างให้พร้อย

 

เราทั้งหลายต้องเข้าใจ ต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสาร การประพฤติการปฏิบัตินี้ให้ถือเอาปัจจุบันเป็นสิ่งที่สำคัญ ปัจจุบันถือว่าเป็นวาระแห่งชาติ เพราะอดีตก็มารวมอยู่ที่ปัจจุบันแล้ว อนาคตจะก้าวไปข้างหน้าก็อยู่ที่ปัจจุบันนี้เอง ปัจจุบันถึงเป็นวาระแห่งชาติ ทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งอาชีพลงที่ใจ ลงที่เจตนา

 

เราทั้งหลายต้องไม่เอาความประมาทนำชีวิต ให้รู้จักหน้าที่การงาน เพราะสิ่งต่าง ๆ เราต้องรู้เข้าใจด้วยการเห็นภัยในวัฏฏสงสาร ธรรมะที่เป็นความรู้ต้องคู่กับการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายจะได้เข้าถึงชาติ ศาสน์ กษัตริย์ คำว่าชาติก็หมายถึงความเกิด ความเกิดคือเหตุคือปัจจัย ปัจจุบันมันอย่างไรอนาคตก็ย่อมเป็นอย่างนั้น เพราะอันนี้มันเป็นกระบวนการของเหตุของปัจจัย ถ้าเราเอาความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เอาปัญญาประกอบด้วยความดีถึงจะเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบปฏิบัติตรง มนุษย์เราต้องแก้ทั้งใจทั้งวัตถุไปพร้อม ๆ กัน

 

เราทั้งหลายต้องเข้าใจนะ ถ้าเราไปแก้ภายนอกนั้นถือว่าไม่ถูกต้อง เพราะไปแก้ที่ปลายเหตุ ต้องแก้ที่ต้นเหตุ เพื่อให้เป็นทางสายกลางระหว่างใจกับวัตถุไปพร้อม ๆ กัน เราไม่รู้ไม่เข้าใจ เราก็เป็นมนุษย์ไม่ได้ ก็เป็นได้แต่เพียงคน คำว่านี้นี้หมายถึงไปไหนไม่ได้ วกวนอยู่ที่เก่า เป็น cycle of life วนไปวนมา เดินไปข้างหน้าแล้วก็ถอยกลับมาที่เก่า เค้าถึงมีศัพท์ว่า คนคนน่ะ คนโน้นคนนี้ เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้เป็นมนุษย์ในปัจจุบัน เป็นมนุษย์ผู้ที่มีปัญญาสัมมาทิฏฐิ ผู้ที่พัฒนาใจทั้งใจทั้งวัตถุไปพร้อม ๆ กันเป็นเทวดาผู้รู้ผู้เข้าใจเห็นภัยในวัฏฏสงาร เป็นคนดีเป็นคนรวยเป็นผู้มียศมีตำแหน่งมีสมณศักดิ์เป็นผู้ไม่หลง ก้าวไปด้วยความสงบด้วยปัญญา เป็นพระพรหม เป็นผู้มีพรหมวิหาร ด้วยการรู้อริยสัจสี่ รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ ไม่เอาความชอบความชัง ต้องยกเลิกนิวรณ์ทั้ง ๕ ยกเลิกอคติทั้ง ๔ เป็นผู้ที่มีเมตตากรุณามุฑิตามีอุเบกขาวางเฉย รู้จักธรรมรู้จักสภาวธรรม ต้องรู้ธาตุรู้จักขันธ์รู้จักอายตนะ

 

เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เราจะได้เข้าถึงความเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา เป็นพระพรหม เพื่อส่งผลัดเข้าถึงความสงบเป็นปัญญา เป็นพระตั้งแต่ยังไม่ตาย คำว่าพระหมายถึงปัญญาสัมมาทิฏฐินะ มีความรู้ความเข้าใจเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ พระนี้เค้านับเอาพระอริยเจ้านะ พระอริยเจ้านี้ไม่มีใครแต่งตั้ง คฤหัสถ์ผู้ครองเรือนก็เป็นพระได้ ข้าราชการนักการเมืองนักบวชก็เป็นพระได้ คำว่าพระคือพระธรรมคือพระวินัย คือความสงบและปัญญา ให้เข้าใจอย่างนี้นะ พระนี้คือผู้มีความสงบและปัญญา ก้าวไปด้วยรู้เหตุรู้ปัจจัยรู้อริยสัจสี่รู้ทุกข์รู้เหตุเกิดทุกข์ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติของตนเอง เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัต

 

เราทั้งหลายจะได้รู้จักคำว่าพระ เราทั้งหลายจะได้รู้จักคำว่าข้าราชการนักการเมือง เพื่อเราจะได้เข้าสู่โครงการที่เป็นทั้งความสงบเป็นทั้งปัญญา เราจะได้รู้เรื่องวัฏฏสงสาร ด้วยความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายน่ะให้รู้เข้าใจในพระธรรมในพระวินัย ในธรรมนูญรัฐธรรมนูญ กฎหมายบ้านเมืองก็ต้องเอาธรรมนำกฎหมายบ้านเมือง ไม่ใช่เอาความถูกใจเหนือความถูกต้อง ไปเอาพวกพ้อง เอาอวิชชาความหลงนั้นไม่ได้ เพราะความดับทุกข์ของมนุษย์ มันอยู่ที่ความสงบอยู่ที่ปัญญา

 

เราคิดดูดี ๆ นะ ผู้ที่มีปัญญามาก มียศมีตำแหน่งมาก ไม่ใช่จะดับทุกข์ได้นะ มนุษย์เราถึงต้องมีปัญญา เทวดาถึงต้องมีปัญญา พระพรหมถึงต้องมีปัญญา เพราะความสงบและปัญญานี้ถึงจะแก้ปัญหาได้ ดับทุกข์ได้ พระธรรมพระวินัยที่เป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิมันเป็นความรู้ที่เอาตัวรอดในทางที่รอด เป็นการเรียนหนังสือเพื่อให้เกิดความสงบเกิดปัญญา เป็นการทำงานเพื่อให้เกิดความสงบเกิดปัญญา เพราะเราต้องพัฒนาใจกับพัฒนาวัตถุเพื่อเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม

 

เราทั้งหลายให้รู้เข้าใจหลักการ อานาปานสตินี้เป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม เพราะเรามีธาตุทั้ง ๔ คือดินน้ำลมไฟ เรามีขันธ์ทั้ง ๕ รูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ เรามีอายตนะทั้ง ๖ ตาหูจมูกลิ้นกายใจ เราต้องอาศัยหลักการอุดมการณ์อุดมธรรมด้วยการเจริญอาปานสติเราทั้งหลายจะได้อยู่กับความสงบกับปัญญา เราทั้งหลายจะไม่ได้ไปตามธาตุตามขันธ์ตามอายตนะ อาศัยหลักการอุดมการณ์ การเจริญอานาปานสตินี้ถึงต้องประพฤติปฏิบัติทุก ๆ อิริยาบถ ไม่ใช่ใช้เฉพาะเวลานั่งสมาธินะ เราต้องเอามาใช้ทุกอิริยาบถ เราทั้งหลายถึงจะเกิดความสงบเกิดปัญญา ถึงจะไม่ไปตามผัสสะไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม

 

หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านให้บริกรรมพุทโธ คือระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ระลึกถึงพระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ที่องค์สมเด็๗พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้บัญญัติไว้สิ่งเหล่านั้นมีแต่คุณมีแต่ประโยชน์ไม่มีโทษแต่อย่างเดียวท่านถึงให้ระลึกถึงพุทโธ เพื่อเป็นสติเป็นปัญญา เพื่อระลึกถึงสิ่งที่ถูกต้องเพื่อกำกับลมหายใจเข้าหรายใจออก อานาปานสติเราเอาไปใช้ได้ทั่งความสงบทั้งปัญญา

 

มนุษย์เราถ้ามีความสงบมีสติมีสัมปชัญญะนั้นเราจะมีความสงบความวิเวกที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา นี้เป็นหลักการที่ดี เราจะเป็นคฤหัสถ์ก็ต้องใช้หลักการนี้ เป็นข้าราชการนักการเมือง เป็นนักบวชก็ต้องใช้หลักการนี้ทุกชาติทุกศาสนาก็ต้องใช้หลักการนี้เพราะธรรมะนั้นเป็นสากลนะ เช่นความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพรากมันเป็นสากลเป็นสามัญลักษณะเสมอกัน ให้รู้เข้าใจ

 

เราทั้งหลายทุก ๆ ศาสนานี้เอาหลักการเดียวกันหมด ชื่อเสียงเรียงนามมันอาจต่างหาก แต่เนื้อในนั้นคือสิ่งเดียวกันนะ ชาติที่เป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ จะเป็นชาติไหนก็ต้องเอาความดีและปัญญา จะเป็นศาสน์ไหนก็ต้องเอาทั้งศีลสมาธิปัญญาให้เข้าใจอย่างนี้ ศาสนานั้นดีหมด ศาสนานั้นดีหมด พระมหากษัตริย์หรือประธานาธิบดีเป็นสิ่งดีหมด พระพระมหากษัตริย์หมายถึงปัญญาสัมมาทิฏฐิ ประธานาธิบดีคือปัญญาสัมมาทิฏฐิ

 

เราเป็นมนุษย์เป็นข้าราชการนักการเมืองเป็นนักบวชเราทั้งหลายต้องมีปัญญาสัมมาทิฏฐินะ เพราะอันนี้เป็นหลักการเป็นอุดมการณ์อุดมธรรม เราทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้เราก็ดับทุกข์ได้ เราตั้งใจประพฤติปฏิบัติให้ความสงบและปัญญามันไปพร้อม ๆ กัน

 

เราต้องรู้จักข้อสอบและข้อตอบ ที่มีข้อสอบและข้อตอบถึงจะเป็นการเลื่อนชั้น ที่จะเป็นสมาธิเป็นความสงบและปัญญา เราต้องรู้เข้าใจ ว่าธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ นั้นมันเป็นข้อสอบและก็เป็นข้อตอบไปในตัว เป็นความถูกต้องเป็นความดีไปในตัว

 

เราต้องรู้เข้าใจ ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจเราก็จะไม่รู้จักข้อสอบข้อตอบ เป็นคนไม่มีปัญญาสัมมาทิฏฐิ มนุษย์เราในโลกนี้ขณะนี้ไม่เข้าใจ ได้ทำความเสียหายกันทุก ๆ คน ทุกบ้านทุกเมืองทุก ๆ ประเทศ จะไปพากันแก้ที่ปลายเหตุเอาแต่วัตถุเอาแต่ทางวิทยาศาสตร์ เอาแต่ทางวัตถุเอาแต่ทางวิทยาศาสตร์มันไปไม่ได้เพราะมันปลายเหตุ ต้นเหตุปลายเหตุเราต้องรู้เข้าใจนะ มันกำลังมารวมที่ปัจจุบันนี้แหละ มารวมลงที่ดินน้ำลมไฟ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ ที่กำลังเป็นปัจจุบันอย่างนี้แหละ

 

เราต้องรู้ต้องเข้าใจในเรื่องธรรมเรื่องสภาวธรรม เราทั้งหลายน่ะเอาอานาปานสติมาใช้มาปฏิบัติ เวลาเราทำการทำงานพูดจากิริยามารยาทตลอดถึงใจเรานี้ เราทั้งหลายต้องมีความสุขนะ ต้องมีความสุขมีปิติมีเอกัคคตาให้ชีวิตของเรามันสว่างไสวว้าว ว้าว ว้าวไปเลยเหมือนนำขบวนเสด็จของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สว่างทั้งข้างหน้าข้างหลังทั้งสูงทั้งต่ำทั้งข้างทั้งบน เราต้องมีความสุข เมื่อมันผ่านไปแล้วเราก็ปล่อยก็วาง เราต้องรู้เข้าใจ เพราะสิ่งที่ผ่านไปแล้วถือว่าเกษียณแล้วเราต้องปล่อยต้องวาง ถ้าเราไม่ปล่อยไม่วางเราจะเป็นคนไม่มีศีลไม่มีสมาธิไม่มีปัญญา เราจะไปไหนไม่ได้ ความสงบและปัญญาจะไม่เกิดแก่เรา เราจะไม่เข้าถึงธรรมไม่เข้าถึงปัจจุบันธรรม

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เรามีหลักการอุดมการณ์เพื่อเจริญปัญญา วันหนึ่งคืนหนึ่งมนุษย์เราต้องมีหลักการอุดมการณ์อุดมธรรมนะ ให้ภาวนาสาธยายส่วนที่เป็นสรีระร่างกายของมนุษย์นี้ ที่เราเป็นมนุษย์ได้เราต้องมีสรีระร่างกายในส่วนต่าง ๆ สรีระร่างกายในสว่นต่าง ๆ ที่จะรวมกันเป็นมนุษย์ได้มีอยู่ ๓๒ ชิ้นส่วน

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เราแยกออกเป็นชิ้นเป็นส่วน แยกออกเป็นชิ้นเลย เอาผมออก เอาขนออก เอาหนังออก เอาทุกชิ้นทุกส่วนของร่างกายออกจนไม่เหลืออะไร แล้วก็เอามาประกอบอย่างนี้เป็นต้น เพื่อเราทั้งหลายจะได้เกิดความสงบและปัญญา เพื่อเราจะได้ละความยึดมั่นถือมั่น ความสำคัญมั่นหมายว่าเราเป็นผู้หญิงเป็นผู้ชายเป็นคนแก่คนเฒ่าคนชราคนตายคนพลัดพราก เราจะได้ยกเลิกในความคิดเห็นผิดเข้าใจผิด

 

วันหนึ่งคืนหนึ่งทั้งข้าราชการนักการเมืองทั้งนักบวชนี้ต้องพิจารณาร่างกายนะ พิจารณาร่างกายของเราเพื่อให้รู้สัจธรรมรู้ความจริง พิจารณาเพื่อให้เกิดเป็นปฏิกูล เช่นน้ำลายของเรา เราพ่นออกจากปากเราเอามาทานมาบริโภคอีกได้ไหม เช่นน้ำเลือดน้ำหนองเราเอามาบริโภคอีกได้ไหม ถ้าเราพิจารณาแล้วมันก็ย่อมไม่ได้ ย่อมไม่เข้าใจ เราก็หลงสิ่งที่มันเอามารวมกันเป็นนิติบุคคลตัวตน เรียกว่าหลงตัวหลงตน หลงนิมิต นิมิตหมายน่ะ เราคิดดูดี ๆ นะ เรามันหลงนะ มันเป็นคนพูดเอาเออเอานะ คิดเองเออเองนะ

 

เราคิดดูดี ๆ ถ้าเราไม่ได้พิจารณาร่างกายสู่พระไตรลักษณ์ ถ้าเราไม่ได้พิจารณาร่างกายให้เห็นเป็นของปฏิกูล เราคิดดูดีๆ สิ แม้แต่อุจจาระปัสสาวะน้ำเลือดน้ำลายน้ำเหลือของตัวเองถ้าออกจากร่างกายแล้วทุกคนก็รังเกียจน่ะ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน เพราะทุกอย่างนั้นมันเป็นของน่าเกลียดเป็นของปฏิกูล เราต้องมีภาระเยอะ ต้องซักเสื้อผ้าอาภรณ์ ต้องบ้วนปากแปรงฟันอาบน้ำ ต้องใช้สบู่ ต้องใช้ผงซักฟอก ต้องมีน้ำอบน้ำหอม เพื่อกลบเกลื่อนของปฏิกูล เราคิดดูดี ๆ ตายไปไม่กี่ชั่วโมงจะให้ไปกอดไปจูบไปดมก็ยากที่จะทำได้ ยิ่งตายไปหลายวันก็ยิ่งอืดยิ่งเน่ายิ่งเหม็น

 

เหมือนสมัยครั้งพุทธกาลองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้พระพิจารณาร่างกายแยกออกเป็นชิ้นเป็นส่วนแล้วเอาประกอบกัน เพื่อให้เกิดความสงบเกิดปัญญา

 

สมัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครั้งพุทธกาล ณ เมืองเวสาลีเป็นเมืองที่กว้างใหญ่ไพศาลเศรษฐกิจการค้าเจริญรุ่งเรืองมาก ๆ หนึ่งในปัจจัยที่กระตุ้นเศรษฐกิจของเมืองนี้ได้แก่ความงามของสตรี จึงได้มีโสเภณีชื่อดังคนหนึ่ง ชื่อ "นางอัมพปาลี" ถูกแต่งตั้งเป็นนางงาม “นครโสเภณี” คือเป็นหญิงงามเมือง หรือโสเภณีประจำเมืองเวสาลี เรียกว่าความงามของนางสวยสะคราญโฉม หาผู้ใดเทียบได้ยากมีศิลปะวิทยาการชั้นสูง ร้องเพลงเพราะ ฟ้อนรำสวยเอาใจเก่ง เข้าใจการปรนนิบัติผู้ชายเป็นอย่างดีทำให้ค่าตัวนางสูงมาก ผู้ชายใดอยากมีความสัมพันธ์กับนางต้องจ่ายค่าตัวสูงถึง 50 กหาปณะ หรือคิดเป็นเงินบาทคือประมาณ 130,000 บาท เรียกได้ว่าต้องเป็นระดับเศรษฐีเท่านั้นถึงจะมีอะไรกับนางได้ สมัยนั้น เหล่าเศรษฐีที่เป็นชายฉกรรจ์กระทั่งกษัตริย์เมืองน้อยเมืองใหญ่ต่างมีความฝัน มีความปรารถนาที่อยากมาสัมผัสนางสักครั้งในชีวิตทั้งนั้นทำให้มีพ่อค้านักธุรกิจมากมายเดินทางมาที่เวสาลี เพื่อได้ร่วมอภิรมย์กับนางกลายเป็นนำพาให้เศรษฐกิจการค้าการขายพลอยรุ่งเรื่องเติบโตขึ้นมาด้วยเพราะนางอัมพปาลี เป็นผู้ดึงดูดนั่นเองว่ากันว่า หนึ่งในแขกของนางอัมพปาลีคือพระเจ้าพิมพิสาร แห่งกรุงราชคฤห์ เห็นเวสาลีเจริญเพราะมีนางนครโสภิณี จึงเอาไอเดียไปใช้ที่เมืองของตัวเองบ้าง กลับเมืองไป ประกาศตามหาหญิงงามที่สุด ก็ได้สตรีสาวสวยมีเสน่ห์คนหนึ่ง ชื่อ "นางสาลวดี" เป็นนางนครโสภิณีคนแรกแห่งเมืองราชคฤห์ นางสาลวดี ถูกฝึกถูกอบรมศิลปะวิทยาการต่างๆ ด้วยพื้นฐานทุนเดิมนางสวยมากอยู่แล้ว พอโดนฝึกเคี่ยวกรำอย่างหนักจนเป็นผู้หญิงที่งามพร้อม ทั้งสวยทั้งฉลาดทั้งมารยาทงามเล่นดนตรีเก่ง ร้องเพลงไพเราะ พูดจามีเสน่ห์ ทำให้นาง มีค่าตัวแพงกว่านางอัมพปาลีอีก คือใครอยากเชยชมนาง ต้องจ่ายขั้นต่ำถึง 100 กหาปนะ หรือเกือบ 260,000 บาท แพงกว่านางอัมพปาลีถึง 2 เท่า จากคนฐานะธรรมดากลายเป็นร่ำรวยเงินทองขึ้นมานางเลยใช้ชีวิตประมาททำให้ตัวเองเผลอผิดพลาด ปล่อยตัวเองตั้งครรภ์ขึ้นมาซึ่งแน่นอนว่าเป็นอุปสรรคสำคัญของอาชีพนางถ้าให้ใครรู้ ความนิยมของนางก็จะลดลงนางจึงปิดบังไว้ พอเด็กคลอดออกมาเป็นผู้ชายก็รีบให้สาวใช้เอาไปทิ้งทันทีแต่เด็กผู้ชายนั้นกลับมีบุญมีเจ้าชายมาเจอ เลยเก็บไปเลี้ยงเด็กน้อยผู้ถูกทิ้งคนนั้น โตขึ้นมาสนใจศึกษาการแพทย์จนสุดท้ายกลายเป็น "หมอชีวกโกมารภัจจ์" หมอที่เก่งที่สุดในพระไตรปิฎก เป็นหมอประจำตัวพระพุทธเจ้า กลับมาที่นางสาลวดีพอทิ้งลูกไปแล้ว ก็กลับมาเป็นหญิงงามเมืองเหมือนเดิมมีแขกเหรื่อไปมาหาสู่ไม่ขาดแต่สุดท้ายนางก็พลาด..ตั้งท้องอีกแต่คราวนี้ลูกออกมาเป็นผู้หญิงนางคิดว่าไหนๆนางก็เริ่มแก่ละเลี้ยงเด็กคนนี้ไว้สืบทอดตำแหน่งนางนครโสภิณีดีกว่า นางเลยเลี้ยงไว้ และตั้งชื่อเด็กคนนี้ว่า “นางสิริมา”

 

พอเติบใหญ่ นางสิริมาก็ได้ตำแหน่งนางนครโสภิณีแห่งเมืองราชคฤห์ ต่อจากแม่ของนางสมใจนางสิริมาเป็นสตรีที่งามล้นเหลือยิ่งกว่าแม่ของตนความงามของนาง ว่ากันว่า งามจนใครเห็นก็เป็นต้องตกตะลึง อีกทั้งโตขึ้นมากับแม่ที่เป็นโสเภณี ที่งามและค่าตัวแพงที่สุดในชมพูทวีป จึงได้รับการถ่ายทอดวิชาในทุกแง่ทุกมุม ทุกเทคนิคเคล็ดลับในการเป็นโสเภณีตั้งแต่ยังเด็กด้วยความครบทั้งภายนอกภายในแห่งความเป็นโสเภณี จึงทำให้นางมีค่าตัวสูงถึง 1,000 กหาปณะ หรือ 2,600,000 บาทแพงกว่าแม่ของนางถึง 10 เท่า จะได้เชยชมนางครั้งหนึ่ง ต้องจ่ายถึง 2.6 ล้าน นางจึงเป็นมหาเศรษฐีณีผู้ร่ำรวยบ้านไม่รู้ใหญ่แค่ไหน แต่ใหญ่พอที่จะมีบริวารคนรับใช้ถึง 500 คนจุด

 

งานใหญ่ครั้งหนึ่งที่นางไปในลักษณะที่ค่อนข้างประหลาดคือมีผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ "นางอุตตรา" มาจ้างนางสิริมาให้ไปบำเรอสามีตัวเอง เป็นงานเหมา 15 วัน 15 คืน ซึ่งต้องจ่ายสูงถึง 15,000 กหาปณะ หรือ 39 ล้านบาท สาเหตุที่นางอุตตราทำเช่นนั้นคือ.. พื้นฐานเดิมนางเกิดในครอบครัวที่ใจบุญสุนทาน จิตใจใฝ่หาทางธรรม มาโดยตลอดเคยฟังธรรมเทศนาจากพระพุทธเจ้า พ่อแม่ของนาง รวมทั้งตัวนางอุตตราเองก็บรรลุธรรมระดับโสดาบัน แต่พอแต่งงานมาในครอบครัวเศรษฐีเหมือนกันบ้านสามี โดยเฉพาะตัวสามีเป็นคนไม่ใส่ใจธรรมะเลยแม้แต่น้อยใช้เงินกินบุญเก่าวาสนาเก่าไปวันๆและปฏิเสธไม่ให้นางอุตตราทำบุญทำทานใดๆทั้งสิ้น นางเลยไม่เคยได้ตักบาตร ฟังเทศน์ฟังธรรมเหมือนตอนก่อนแต่งงาน นางอุตตราจึงขอสามีจะจ้างนางสิริมา หญิงงามที่สุดในเมืองด้วยเงินของพ่อแม่ตัวเอง มาปรนนิบัติสามี 15 วันและขอช่วงเวลานี้ จะนิมนต์พระสงฆ์มารับบิณฑบาตและถือศีลแปด ปฏิบัติธรรมที่บ้าน สามีได้ยินชื่อเสียงความงามของนางสิริมา มานานเลยไม่ปฏิเสธ ยิ่งเจอตัวจริงยิ่งหลงใหล และขอบใจภรรยายิ่งนัก นางสิริมาก็มาบริการท่านเศรษฐีสามีของนางอุตตราสามีก็เบิกบานกาย นางอุตตราก็เบิกบานใจ เพราะได้ทำบุญใส่บาตร นิมนต์มารับบิณฑบาตตลอด 15 วัน ได้ถือศีลอุโบสถปฏิบัติธรรมสมดังตั้งใจวันเวลาผ่านไปจนถึงใกล้วันท้ายๆ นางสิริมาด้วยอยู่มาหลายวันกลายเป็นความยึดติด เกิดความหึงหวงอยากเป็นใหญ่ในเรือนแทนนางอุตตราเลยตรงเข้ามา ตักน้ำมันร้อนๆจะมาราดนางอุตตรานางอุตตราเห็นดังนั้น..จึงรีบทำสมาธิ รีบเข้าฌานในทันทีทำจิตรวมเป็นสมาธิ เพื่อแผ่เมตตาไปยังนางสิริมา โดยอธิษฐานจิตในใจว่า.."หญิงนี้เป็นสหายของเรา และเป็นผู้มีคุณกับเรา ถ้าไม่มีเขา เราคงไม่ได้ทำทานและฟังธรรมเช่นนี้ถ้าเรามีความโกรธ ขอให้น้ำมันร้อนๆนั้นลวกเราแต่เราถ้าไม่มีความโกรธ ขออย่าให้น้ำมันลวกเราเลย" สุดท้ายน้ำมันร้อนเดือดจัด ที่นางสิริมามาราดเทใส่หัวนางอุตตรา ก็กลายเป็นน้ำเย็นบ่าวไพร่นางอุตตรารีบเข้ามาจับตัวนางสิริมาและจะรุมทำร้ายให้จงหนัก นางอุตตรารีบเอาตัวเข้าไปขวางไม่ให้บ่าวไพร่รุมทำร้าย นางสิริมาเห็นดังนั้นก็รู้สึกตัว รู้สึกผิดอย่างยิ่งเลยเข้าไปกราบที่เท้านางอุตตรา ขอโทษด้วยความรู้สึกอยู่เต็มหัวใจอยากให้นางยกโทษให้

 

นางอุตตราบอกว่า..."พรุ่งนี้พระพุทธเจ้าจะเสด็จมารับบิณฑบาตให้ไปขอโทษพระองค์แทนถ้าพระองค์ยกโทษให้เราก็จะยกโทษให้"รุ่งเช้าพอพระพุทธเจ้าเสด็จมา และทราบเรื่องทรงยกโทษให้นางสิริมาและทรงยกย่องนางอุตตราเป็นเอตทัคคะผู้เป็นเลิศด้านยินดีในฌานและเทศนาเป็นพระคาถาว่า

 

" อักโกเธนะ ชิเน โกธัง อสาธุ สาธุนา ชิเน ชิเน กะทะริยัง ทาเนนะ สัจเจนาลิกะวาทินัง " แปลเป็นไทยได้ว่า... พึงชนะคนโกรธ ด้วยความใจเย็น พึงชนะคนร้ายๆ ด้วยความดีพึงชนะคนตระหนี่ขี้เหนียว ด้วยการให้ พึงชนะคนพูดเหลวไหล ด้วยการพูดความจริง

 

จบเทศนานี้แล้ว พระพุทธองค์ก็ทรงแสดงธรรม

 

จนนางสิริมา ก็บรรลุโสดาบันทันที กลับบ้านไป เลิกประกอบอาชีพโสเภณีเข้าทางธรรมะ รักษาศีล ปฏิบัติธรรมใส่บาตรพระ 8 รูป ทุกวันเป็นประจำโดยถวายของอันประณีตที่สุดเท่าที่จะหาได้

 

นางสิริมาทำแบบนี้ทุกวัน จนเวลาผ่านไป..มีภิกษุรูปหนึ่ง คุยกับพระอีกรูปที่เพิ่งไปรับบิณฑบาตที่บ้านของนางสิริมา พระท่านนั้นเล่าถึงอาหารอันประณีตและความงดงามของนางสิริมา ภิกษุรูปนี้ แค่ได้ฟังเรื่องเล่าฟังคำบรรยายความงามของนางสิริมาก็เกิดความหลง (รัก) แค่เพียงจากเรื่องเล่าทั้งๆที่ยังไม่เห็นตัวจริงวันพรุ่งนี้เลยขอไปรับบิณฑบาตที่บ้านของนางเพื่อได้เห็นนางสิริมาตัวจริงกับตาตัวเอง

 

รุ่งขึ้น เมื่อภิกษุรูปนี้ เดินทางไปรับบิณฑบาตแต่วันนั้นนางสิริมาไม่สบายหนักแทบจะลุกออกจากห้องไม่ไหว แต่ก็พยายามลุกออกมาโดยที่หน้าตาไม่ได้แต่ง ภิกษุผู้ลุ่มหลงยิ่งเห็นตัวจริงของนางก็ยิ่งหลงรักคิดในใจว่า "ขนาดป่วยไม่สบายยังงดงามขนาดนี้นี่ถ้าไม่เจ็บไข้ ได้แต่งตัวตามปกติจะสวยงามปานนางฟ้าสักแค่ไหน"

 

ภิกษุผู้นั้นบังเกิดราคะลุ่มหลงในนางสิริมากลับกุฏิไปก็ไม่ฉัน ฉันอาหารไม่ลงไม่ปฏิบัติกิจของสงฆ์เอาแต่เฝ้าคิดถึงนางสิริมาไม่กินไม่นอนอยู่หลายวัน

 

.ตัดกลับมาที่นางสิริมาวันนั้นนางไม่สบายหนักจริงๆและการใส่บาตรในครั้งนั้นก็เป็นครั้งสุดท้ายของนางเพราะตกเย็นนางก็เสียชีวิตจากความเจ็บป่วย

 

พระพุทธเจ้าทรงทราบเรื่องภิกษุผู้ลุ่มหลงและการตายของนางสิริมาจึงขอให้เก็บศพนางสิริมาไว้อย่างดีจนเวลาผ่านไปถึงวันที่ 4ศพเริ่มเน่าเหม็นส่งกลิ่นคละคลุ้งมีน้ำหนอง น้ำเลือดไหลออกมาตามทวารต่างๆผิวพรรณแตกและเริ่มร่างกายพุพองสภาพคือแทบดูไม่ได้

 

วันนั้นพระเจ้าพิมพิสารประกาศให้ชาวเมืองทุกคนมาประชุมกันที่หน้าศพนางสิริมา พระพุทธเจ้าและคณะภิกษุสงฆ์ก็เดินทางมาที่นี่ ภิกษุผู้ลุ่มหลงไม่รู้ว่านางสิริมาตายแล้วได้ยินว่าพระพุทธเจ้าจะเสด็จไปหาแค่ได้ยินคำว่า “สิริมา”เลยรีบผุดลุกจากกุฏิ เดินทางตามไปกับหมู่พระภิกษุ

 

เมื่อทุกคนมาพร้อมกัน

พระพุทธเจ้าให้พระราชาประกาศขายศพนางสิริมาเท่ากับราคาค่าตัวของนาง 1 วันคือ 1,000 กหาปณะปรากฏ..ไม่มีใครซื้อ เลยให้ประกาศลดลงเรื่อยๆ

 

จาก 1,000 เหลือ 500 เหลือ 250 เหลือ 200 เหลือ 100 เหลือ 50 เหลือ 20 เหลือ 10 เหลือ 1 ก็ยังไม่มีใครเอา จนกระทั่งประกาศให้ฟรีๆเลยก็ยังไม่มีใครเอา

 

พระพุทธเจ้าจึงทรงเทศนาสั่งสอนโดยใช้ศพของนางสิริมาเป็นอุบายว่าให้ทุกคนดูนะ นี่คือผู้หญิงที่งามที่สุดของเมืองนี้ใครจะเชยชมนาง ต้องจ่ายถึง 1,000 กหาปณะแต่วันนี้พอนางตายไปแล้วผ่านเวลาไปแค่ไม่กี่วันความงามของนางสิ้นและเสื่อมลงไม่เหลือเค้าเดิมความงามใดๆอีกและเมื่อหมดซึ่งความงามแล้วยกให้เปล่าๆ ก็ไม่มีใครเอา แม้แต่คนเดียว

 

พอเทศนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจบลง พระภิกษุผู้ลุ่มหลงผู้นั้นก็ได้เกิดความสงบเกิดปัญญา ได้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร ได้รู้เรื่องธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน ด้วยความรู้ความเข้าใจ เป็นผู้มีศีลเป็นผู้มีสมาธิเป็นผู้มีปัญญามีความสงบและปัญญาควบคู่กันไป

 

ส่วนนางสิริมาพอตายไป ก็ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นยามา สวรรค์ชั้นที่ 3 เหนือกว่าชั้นดาวดึงส์ และกลับมาฟังธรรมของพระพุทธเจ้าที่หน้าศพของตัวเอง ได้บรรลุธรรมเพิ่มอีกสองขั้น เป็นระดับพระอนาคามีไม่มาเกิดในมนุษย์ ไม่ไปเกิดเป็นเทวดาอีก อยู่ชั้นพรหม ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ขีณาสพอยู่ในชั้นนั้น

 

การพิจารณาร่างกายเป็นหลักการที่สำคัญ ทั้งผู้ที่ไม่ได้บวชผู้ที่บวช เพื่อให้เกิดความสงบเกิดปัญญา เราทั้งหลายน่ะต้องพากันพิจารณาให้เกิดความสงบเกิดปัญญา เพื่อเราทั้งหลายจะรู้จักอริยสัจสี่ รู้จักทุกข์ เหตุเกิดทุกข์ ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เราทั้งหลายจะไม่ได้ไปตามผัสสะ ไม่ไปตามอารมณ์ ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม

 

ถ้าเราพิจารณามาก ๆ ปฏิบัติมาก ๆ จะมองเห็นธรรมเห็นสภาวธรรมทั้งสิ่งภายนอกภายใน ที่ตั้งอยู่และดับไปด้วยเหตุด้วยปัจจัย ยกตัวอย่างอย่างพระที่พิจารณากรรมฐาน พิจารณาร่างกายให้เป็นโครงกระดูก ถือโครงกระดูกเป็นอารมณ์ โครงกระดูกของมนุษย์นี้มีทั้งหมด ๓๐๐ ท่อน พิจารณาให้เห็นเป็นโครงกระดูก เห็นโครงกระดูกที่ยืนเดินนั่งนอน พิจารณามาก ๆ พิจารณาติดต่อต่อเนื่อง จะเกิดความสงบเกิดปัญญาเกิดอนัตตาไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน

 

มีวันหนึ่งเดินผ่านผู้หญิงสวยที่มีรูปงาม ท่านก็พิจารณาร่างกายเป็นโครงกระดูกเดินได้ ผู้หญิงผ่านท่านไปท่านก็ไม่รู้ว่าเป็นผู้หญิงผู้ชายเห็นเป็นโครงกระดูก สามีของหญิงงามคนนั้นมาถามว่าเห็นหญิงงามคนหนึ่งเดินไปทางนี้มั๊ย พระผู้บำเพ็ญภาวนาก็ตอบว่าไม่เห็นน่ะ เห็นแต่โครงกระดูกผ่านไป แต่ไม่รู้ว่าเป็นผู้หญิงหรือเป็นผู้ชายเห็นเป็นเพียงโครงกระดูก การภาวนา ถ้าเราภาวนาติดต่อต่อเนื่อง การภาวนาพิจารณานั้นถึงจะได้ผล

 

หลักการในการประพฤติการปฏิบัติองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงให้เราพากันพิจารณากรรมฐานเพื่อให้เกิดปัญญา เราจะเอาแต่สมาธิเอาแต่สมาบัตินั้นมันไม่เกิดปัญญา สมถะกับปัญญาก็ต้องไปพร้อม ๆ กัน เพื่อเราจะได้มีทั้งความสงบมีทั้งปัญญา เราจะได้เข้าถึงความเป็นพระได้ทั้งนักบวชทั้งคฤหัสถ์ทั้งข้าราชการนักการเมือง เราต้องรู้เข้าใจในเรื่องการประพฤติการปฏิบัติ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจชีวิตของเรานั้นก็ย่อมพังทลายเหมือนตึกสตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทยนี้แหละ

ให้เราทั้งหลายระลึกถึงโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพานท่านได้ตรัสโอวาทสำคัญครั้งสุดท้ายไว้ว่า

“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”

โอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ

ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ

ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู

ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละคือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะ

 

----------------------------------------

 

โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม

เมตตาให้ไว้ในเช้าวันเสาร์ที่ ๒๓ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

 

Visitors: 100,724