๒๔ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๒๔ เดือนสิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ ศาสนาพุทธ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ศาสนาคริสต์ ฮิจเลาะห์ศักราช ๑๔๔๖ ศาสนาอิสลาม
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ วันเสาร์วันอาทิตย์เป็นหยุดทำงานของราชการ วันจันทร์อังคารพุธพฤหัสศุกร์เป็นวันทำงาน มนุษย์เราทุก ๆ คน ต้องเอาธรรมนำชีวิต ไม่ให้เอาความรู้สึกนำชีวิต เพื่อจะได้เป็นทางสายกลางระหว่างใจกับวัตถุ เพื่อจะได้ทำที่สุดแห่งความดับทุกข์ความไม่มีทุกข์ ทางสายกลางที่อยู่ตรงกลาง อดีตก็มาอยู่ที่ปัจจุบันแล้ว อนาคตที่จะไปข้างหน้าก็อยู่ที่ปัจจุบัน ปัจจุบันถึงเป็นวาระสำคัญแห่งชาติ ถึงได้มีคำว่าชาติ ศาสน์ กษัตริย์
ชาติก็หมายถึงความเกิด การก้าวไปข้างหน้าต้องให้เป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นปัญญาที่ประกอบด้วยความดี ถึงจะเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบปฏิบัติตรง ปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์ เป็นการปฏิบัติสมควร เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอไม่ตึงเกินไป ไม่หย่อนเกินไป เปรียบเสมือนสายพิณสายกีต้าร์ ไม่ตึงเกินไปไม่หย่อนเกินไป ถ้าตึงมากมันก็จะขาด ถ้าหย่อนเกินไปเสียงก็ไม่ไพเราะ ความดับทุกข์ของมนุษย์เราถึงอยู่ที่ความพอเพียงเพียงพอ อยู่ที่ความสงบอยู่ที่ปัญญา เราทั้งหลายต้องพากันมารู้มาเข้าใจ ทุกชาติทุกศาสนาก็ต้องใช้หลักเดียวกันนี้แหละ
ศาสน์นี้ก็ได้แก่พระศาสนา พระศาสนาก็ได้แก่ความรู้ความเข้าใจ เอาทั้งวัตถุเอาทั้งใจไปพร้อม ๆ กัน มนุษย์เราถึงเอาพระศาสนาคือทางสายกลางระหว่างวัตถุกับจิตใจนำชีวิต ที่เป็นความเพียงพอพอเพียง ไม่ตึงเกินไป ไม่หย่อนเกินไป
ในโลกนี้มีชื่อพระศาสนาอยู่หลายชื่อ ให้คิดดูดี ๆ ถึงจะหลายชื่อก็ได้แก่ในสิ่งเดียวกัน คือธรรมะ ที่เป็นทางสายกลางระหว่างวัตถุและจิตใจ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นให้เข้าใจมันเป็นสากล อย่างความเกิดความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพรากนี้มันเป็นสากล เราต้องรู้เข้าใจ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจแล้วไม่ได้
เราทั้งหลายน่ะจะไปทำทั้งผิดทั้งถูกทั้งดีทั้งชั่วนั้นไม่ได้ ถ้าเราไม่เข้าใจ เราทั้งหลายนั้นก็จะเป็นได้แต่เพียงคน ความหมายคำว่าคนนี้หมายถึงระคนกันเอาของหลายอย่างมารวมกันในภาชนะ ภาชนะใหญ่ ๆ มาระคนกัน ระคนกันวกวนไปไหนไม่ได้ อยู่ที่นั่นแหละ มันเป็นวงกลม เป็น cycle of life เดินทางข้างหน้าแล้วก็ถอยกลับมาที่เก่าถึงมีศัพท์ว่าคน คนนั้นคนนี้
มนุษย์เราถึงมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ มีการเรียนการศึกษาเพื่อความรู้ความเข้าใจการเรียนการศึกษาของมนุษย์นั้นก็มีมาหลายร้อยหลายพันปีแล้ว เพื่อความรู้ความเข้าใจ ถ้าแบ่งเป็นศาสตร์ทั้งหมด ๑๘ ศาสตร์ ที่เราเรียนเราศึกษาทั้งหมดนี้มีทั้งหมด ๑๘ ศาสตร์ ๑๘ ศาสตร์ก็มารวมอยู่ที่ใจของเราทุก ๆ คนนี้แหละ ที่เป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ ความรู้ถึงเป็นคู่กับการประพฤติการปฏิบัติของมนุษย์ เพราะเราจะได้ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ เราทั้งหลายจะได้ผ่านไปด้วยความรู้ความเข้าใจ อริยสัจสี่นี้ถึงเป็นสิ่งที่หมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ
เราทั้งหลายถึงจะเป็นมนุษย์ได้ด้วยหลักการ ด้วยอุดมการณ์อุดมธรรม เราทั้งหลายถึงจะเป็นเทวดาได้ด้วยหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม เราทั้งหลายถึงจะเป็นพระพรหมได้ด้วยหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม เราทั้งหลายถึงจะเป็นพระอริยเจ้าได้ด้วยหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม
เราต้องพากันรู้เข้าใจเรื่องพระศาสนา พระศาสนานี้คือความรู้ความเข้าใจเรื่องอริยสัจสี่ เราจะได้ประพฤติปฏิบัติทุกอย่างนั้นจะได้มีแต่คุณไม่มีโทษ เค้าถึงเรียกว่าพุทธคุณ ธัมมคุณ สังฆคุณ พุทธคุณนั้นคือปัญญาบริสุทธิคุณ ธัมมคุณคือธรรมะที่เป็นทางสายกลางระหว่างวัตถุกับจิตใจ จะเป็นความพอเพียงเพียงพอ จะเป็นความพอดี ไม่มากเกินไม่น้อยเกิน ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ เมื่อรู้เมื่อเข้าใจแล้วก็มีปิติมีสุข มีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ สังฆคุณ เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบปฏิบัติตรงปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์ เป็นการปฏิบัติที่ทางสายกลาง เป็นความพอเพียงเพียงพอ เราต้องรู้เราต้องเข้าใจ
หลักการบริหารตัวเอง บริหารคนอื่นนี้เค้าต้องเอาทางสายกลางระหว่างเรื่องจิตเรื่องใจระหว่างทางวัตถุ การบริหารเราบริหารคนอื่นต้องทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ เพราะทุกคนนั้นในโลกนี้ไม่มีใครเหนือกรรม เหนือกฎแห่งกรรม เหนือผลของกรรม เราต้องรู้จักกรรมนะ กรรมนั้นเป็นอุปกรณ์ในการดำรงธาตุ ดำรงขันธ์ ดำรงอายตนะ เค้าถึงมีศัพท์ว่ากรรมกร กรรมนี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยนะ เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปถึงมี มันเป็นกระบวนการ เป็นกระแสของปฏิจสมุปปบาท
กษัตริย์หมายถึงปัญญา ปัญญาสัมมาทิฏฐิหมายถึงกษัตริย์นะ
มนุษย์ทั้งหลายต้องเอาปัญญานำชีวิต รู้อริยสัจสี่ รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ นี้คือความหมายของคำว่ากษัตริย์ กษัตริย์นี้ไม่ใช่นิติบุคคลตัวตนเป็นปัญญาบริสุทธิคุณ ไม่ใช่ปัญญาที่เป็นตัวเป็นตนนี้คือความหมายของคำว่ากษัตริย์ ความมั่นคงของชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ถึงอยู่ที่มีปัญญาสัมมาทิฏฐิรู้เรื่องทุกข์ เรื่องเหตุเกิดทุกข์ ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เข้าสู่หลักการเข้าสู่ศาสนา
เราทุกคนต้องเอาพระศาสนานำชีวิต เพื่อให้เป็นหลักการเป็นอุดมการณ์อุดมธรรม เราต้องรู้เข้าใจพระศาสนาอย่างนี้ เพราะว่าพระศาสนานั้นคือเรื่องกรรมเรื่องกฎแห่งกรรมเรื่องผลของกรรม เราทั้งหลายจะได้พากันรู้พากันเข้าใจเรื่องของชาติ เรื่องของศาสน์ เรื่องของกษัตริย์
เราทั้งหลายให้รู้เข้าใจแล้วก็พากันประพฤติพากันปฏิบัติตัวของเราเอง เพราะเราทุกคนจะไปคิดไปพูดไปทำในความไม่ถูกต้องนั้นไม่ได้ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมันคือกรรมคือกฎแห่งกรรมคือผลของกรรม เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ จะได้ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยปิติด้วยความสุขด้วยเอกัคคตา ในชีวิตชีวาในปัจจุบัน
เราทั้งหลายต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ชีวิตของเราจะได้ ว้าว ว้าว ว้าว ด้วยความรู้ความเข้าใจสว่างไสวทั้งภายนอกภายในด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยปิติด้วยสุขด้วยเอกัคคตา เมื่อมันผ่านไปแล้วเราก็ปล่อยก็วาง เพราะมันเป็นอดีตไปแล้ว ได้เกษียณไปแล้วเราต้องรู้เข้าใจ เราต้องรู้อริยสัจสี่อย่างนี้นะ เอาปัจจุบันนั่นแหละมาแก้ไขความบกพร่อง เอาปัจจุบันที่มาพัฒนาสิ่งที่ดี ๆ ที่ประกอบด้วยปัญญา
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเมตตาบอกสั่งสอนเราทั้งหลายว่า เราทั้งหลายเป็นมนุษย์เป็นผู้ที่ประเสริฐ เราอย่าไปประมาท เพราะความประมาทนี้ ทำให้เราเสียกาลเสียเวลา เราทั้งหลายต้องไม่พากันประมาท จะได้ไม่พลาดโอกาสในการประพฤติการปฏิบัติ กายวาจากิริยามารยาทอาชีพใจของเรานั้นต้องไม่ประมาท เราทั้งหลายต้องตั้งใจตั้งเจตนา ไม่ตั้งอยู่ในความประมาท อย่าไปมีข้อแม้ใด ๆ ทั้งสิ้น ต้องพากันรู้เข้าใจ เห็นภัยในความไม่ถูกต้อง เห็นภัยในวัฏฏสงสาร
เราทั้งหลายต้องพากันมาเสียสละ การเสียสละนี้ดีมันเป็นความสงบและเป็นปัญญา เราทั้งหลายต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการเสียสละ ถ้าเราไม่เสียสละเราก็จะไม่มีความสงบไม่มีปัญญา เราก็จะไม่มีปัญญาไม่มีความสงบนะ
มนุษย์เราผู้เอาธรรมนูญนำชีวิต พัฒนาใจพัฒนาวัตถุไปพร้อม ๆ กันต้องเสียสละ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบำเพ็ญพุทธบารมีมาหลายล้านชาติ หลายอสงไขย ไม่ได้ไปแก้ที่ใคร ไม่ไปปฏิบัติที่ใคร ปฏิบัติที่ตัวของท่านเอง พระอรหันต์ผู้ฟังพระธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์ก็แก้ที่พระอรหันต์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าส่งพระอรหันต์ขีณาสพออกไปเผยแผ่ไปบอก ไปบรรยายธรรมะบอกความทุกข์บอกเหตุเกิดทุกข์ บอกข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์แก่มหาชน เพื่อให้ทุกคนรู้เรื่องกรรมเรื่องกฎแห่งกรรมเรื่องผลของกรรม ทุกคนจะเหนือกรรมไปไม่ได้ ใครเกิดมาก็มีแต่แก่เจ็บตายพลัดพรากจากไปทั้งนั้น เพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมันคือธรรมะคือเหตุคือปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี ไปบรรยายเรื่องอริยสัจสี่ให้มนุษย์ทุกคนพากันมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติ การปฏิบัติ
การประพฤติการปฏิบัติธรรม มันเป็นเรื่องของชาติศาสน์กษัตริย์ มันเป็นเรื่องรู้เข้าใจ เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติเมื่อผ่านไปแล้วก็ปล่อยก็วางเพราะเกษียณแล้ว เราทุกคนต้องพากันเข้าใจในเรื่องของชาติศาสน์กษัตริย์ นี้เป็นหลักการที่ใช้กับหมู่มวลมนุษย์ ทุกชาติทุกศาสนาใช้หลักการอันเดียวกันนี้แหละ ถ้าเราไม่รู้เข้าใจ เราก็จะไม่เข้าใจว่าเราเกิดมาทำไม ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจเราก็ไม่รู้ว่าเราเรียนหนังสือทำไม ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจ เราก็จะไม่เข้าใจว่าเราทำงานทำไม ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจ เราก็จะไม่เข้าใจว่า เราเป็นข้าราชการนักการเมืองเป็นนักบวชทำไม เราต้องรู้เข้าใจนะ
ปัจจุบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์กำลังจะล่มสลายพังทลายนะ เราทั้งหลายต้องพากันรู้เข้าใจ ไม่ต้องไปแก้ที่ใคร แก้ที่เราคนเดียวนี้แหละ เราเป็นใครต้องแก้ที่คนนั้น เราทั้งหลายไม่ต้องไปแก้ที่ปลายเหตุ ต้องแก้ที่ต้นเหตุ ถ้าเราไปแก้ที่ปลายเหตุนั้น คือผู้ที่ไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ ไม่รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์นะ เราต้องรู้เข้าใจ ถ้าไม่รู้เข้าใจว่าเกิดมาทำไม เรียนหนังสือทำไม ทำงานทำไม เป็นข้าราชการ เป็นนักการเมืองเป็นนักบวชไปทำไม ชีวิตนั้นก็ย่อมพังทลายเช่นเดียวกับตึก สตง. ของเมืองไทยประเทศไทย มันพังทลายล่มสลายเช่นเดียวอย่างเดียวกันกับตึก สตง. นี้แหละ ตึกสตง.สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินตึกทั้งหลายในประเทศไทยมีมากมายหลายร้อยตึกทั่วฟ้าเมืองไทย ทั้งต่างจังหวัดทั้งเมืองหลวงปริมณฑลเค้าไม่พังทลายไปพังทลายตั้งแต่ตึกสตง.สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน
เราต้องพากันรู้เข้าใจนะ เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งชีวิตนั้นก็ย่อมพังทลายเช่นเดียวกันอย่างเดียวกัน ทุกคนไม่ต้องสงสัย เราทั้งหลายรู้ทุกข์นะ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เราทั้งหลายมามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ถ้าเรามาแก้ที่เราเองมันก็ไม่ยาก คนอื่นก็แก้ที่คนอื่น ถ้าพร้อมเพรียงกันประพฤติปฏิบัติในโลกนี้มีแปดพันกว่าล้านคนก็แก้ปัญหาในวินาทีเดียวนี้แหละ ให้รู้เข้าใจเราทั้งหลายต้องรู้จักปัญหา เราอย่าไปสร้างปัญหา เราต้องรู้เข้าใจ
เราจะเอาความรู้สึกนำชีวิตได้อย่างไร เพราะความรู้สึกนี้ที่มันเป็นสัญชาตญาณเป็นวัฏฏสงสารเป็นนิติบุคคลตัวตน ที่มันเป็นธาตุทั้ง ๔ ดินน้ำลมไฟ ที่มันเป็นรูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ ที่มันเป็นตาหูจมูกลิ้นกายใจ เราจะเอาสิ่งเหล่านี้มาเป็นเราไม่ได้ เราต้องรู้เข้าใจ ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นธรรมที่เกิดจากเหตุเกิดจากปัจจัย หาใช่นิติบุคคลตัวตนไม่
เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้รู้อริยสัจสี่รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เราไม่ต้องไปแก้ที่คนอื่น เพราะเราก็เห็นอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าก็แก้ที่พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ก็แก้ที่พระอรหันต์ ใครต่อใครก็แก้ที่คนนั้น เพราะเราจะไปก้าวก่ายลิดรอนสิทธินั้นไม่ได้ เพียงแต่ทุกคนรู้เข้าใจเรื่องอริยสัจสี่ รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ พากันมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติแล้วมันจะมีความดับทุกข์ได้อย่างเพราะเรารู้เข้าใจ เราก็มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ
เรามีหลักการ วันจันทร์อังคารพุธพฤหัสศุกร์เราก็มีปิติมีความสุขในการทำหน้าที่การงานในการปฏิบัติใจไปพร้อม ๆ กันเพื่อให้เกิดสติเกิดปัญญา เพื่อทำที่สุดแห่ง ความดับทุกข์ของเราทุกคน เราทั้งหลายมาเน้นที่ตัวเรา เพราะเราไม่มีสิทธิที่จะไป ก้าวก่ายใคร เพราะมันลิดรอนสิทธิของบุคคลอื่น เราไม่อยากแก่ไม่อยากเจ็บไม่อยากตายนี้ถือว่าเป็นการลิดรอนนะ เราอยากให้เป็นอย่างโน้นไม่อยากให้เป็นอย่างนี้ อย่างนี้เค้าเรียกว่าลิดรอนน่ะ
เราต้องรู้เรื่องอริยสัจสี่ เพราะความทุกข์มันอยู่ที่ไม่รู้เข้าใจ ไปลิดรอนสิทธิเสรีภาพของธรรมชาติ เราทั้งหลายต้องพากันเข้าใจ เราพากันนอนพากันพักผ่อนถ้าอยู่ในกรุงเทพอยู่ในเมืองหลวงก็นอน ๖ ชั่วโมงถึง ๘ ชั่วโมง เพราะค่าพีเอ็มของอากาศ ออกซิเจนมันไม่ค่อยดี เพราะอยู่ในเมืองกรุงเมืองหลวงปริมณฑลใครเค้าก็ไปรวมกันอยู่ที่นั่นทั้งรถทั้งเครื่องบิน เพราะเป็นศูนย์รวมของประเทศ ค่าพีเอ็มมันสูง ถึงเราจะพัฒนาเทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์ธรรมชาติกฎของธรรมชาติที่นั้นค่าพีเอ็มไม่ดี การนอนการพักผ่อนต้องนอน ๖-๘ ชั่วโมงสุขภาพของเราถึงจะแข็งแรง
ถ้าอยู่ต่างจังหวัดถ้าจะให้ดีก็นอน ๕,๖,๗,๘ ชั่วโมงเช่นเดียวกัน เราทั้งหลายต้องไม่คอร์รัปชั่น เบียดเบียนเวลานอนเวลาพักผ่อน เราต้องรู้เข้าใจ เพราะว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นมันมีอยู่น่ะ ทุกอย่างนั้นต้องรู้เข้าใจ ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจเราก็จะไปตามสิ่งแวดล้อม ไปตามรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะธรรมารมณ์ไปตามลาภยศสรรเสริญ เราต้องรู้เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเป็นสิ่งที่มีอยู่ เราต้องคอนโทรลตัวเองในปัจจุบันให้ดี ๆ เพื่อให้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ ต้องให้อยู่กับความสงบอยู่กับปัญญา เราปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์แปด เราจะได้อยู่กับความสงบอยู่กับปัญญา
เน้นที่ตัวเรานี้แหละ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เราต้องรู้เข้าใจในเรื่องอริยสัจสี่ เราทั้งหลายจะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ว่างจากรูปที่มีอยู่เสียงที่มีอยู่รสที่มีอยู่โผฏฐัพพะธรรมารมณ์ที่มีอยู่ เราต้องรู้เข้าใจ ถ้าไม่อย่างนั้นเราจะไปลิดรอนสิทธิในการนอนในการพักผ่อนนะ
เราต้องรู้เข้าใจ ในเรื่องธรรมชาติสิ่งที่มีอยู่ ถ้าเราไม่เข้าใจมันก็จะไปของมันเรื่อย เพราะรูปทั้งหลายเป็นสิ่งที่มีอยู่ เสียงเป็นสิ่งที่มีอยู่ กลิ่น รส โผฏฐัพพะธรรมารมเป็นสิ่งที่มีอยู่ เราต้องรุ้เข้าใจ เราจะได้หยุดด้วยความรู้ความเข้าใจ เราจะได้รู้จักสิ่งภายนอกภายในเราจะได้รู้เรื่องกรรมเก่า เราจะได้รู้กรรมใหม่ รู้หลักการในการประพฤติการปฏิบัติ ยิ่งเราเรียนมากเราศึกษามาก ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจเรื่องการเรียนเรื่องการศึกษา ว่าเรียนศึกษาเพื่ออะไร การเรียนการศึกษานั้นแหละมันจะเป็นอันตราย ตัวไม่รู้ไม่เข้าใจมันจะทำลายตัวของมันเอง เรียกว่าเป็นโรคภูมิแพ้ แพ้ภูมิของตัวเอง ตัวเองนั่นแหละจะเป็นรัฐประหารของตัวเอง ที่พวกข้าราชการนักการเมืองเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ไม่เอาความสงบและปัญญา เอาแต่ความรู้สึก เอาแต่ตัวแต่ตนเอาแต่สัญชาตญาณ ไม่ได้เป็นข้าราชการ เป็นข้าราชกิน ไม่ได้เป็นนักการเมือง เป็นนักกินเมืองกัน ไม่ได้เป็นักบวช พากันเป็นซาตาน ประเทศไทยเรานี้ เราดูดี ๆ ถ้ามันมากเกินไปพวกทหารถึงได้ออกมาปฏิวัติรัฐประหาร ถ้าไม่มาปฏิวัติรัฐประหาร ประเทศชาติจะล้มละลาย เพราะพวกข้าราชการนักการเมืองนักบวชที่เป็นซาตาน ที่เป็นนิติบุคคลตัวตน พากันทำลายชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ให้เรารู้ให้เข้าใจ
เราเอาตัวตนนำชีวิตนี้แหละคือรัฐประหาร คือหายนะ เป็นความหายนะ มันไม่ใช่การพัฒนาใจพัฒนาวัตถุเพื่อความสงบและปัญญา ไม่ใช่ปัญญาและความสงบเราทั้งหลายต้องพากันรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้รู้ว่าเราเกิดมาทำไม เราทำงานทำไม มาเป็นข้าราชการนักการบวชมาเป็นนักบวช เราต้องรู้เข้าใจเรื่องทุกข์ เรื่องเหตุเกิดทุกข์ เรื่องข้ปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เราอย่าไปหาเรื่องหาราวให้กับตนเอง หาเรื่องหาราวให้กับคนอื่น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่าเราต้องรู้เข้าใจถ้าไม่รู้เข้าใจเราก็จะเอาความหลงนำชีวิตที่มันเป็นสัญชาตญาณที่เป็นนิติบุคคลตัวนำชีวิต เป็นการเรียนการศึกษาเป็นการทำมาหากินเป็นข้าราชการเป็นนักการเมืองเป็นพระศาสนาที่มันเป็นนิติบุคคลตัวตน ตัวตนนั้นไม่ใช่สงบไม่ใช่ปัญญา ตัวตนเป็นอัตตา
เราคิดดูดี ๆ นะ มหาวิทยาลัยนาลันทาศูนย์การเรียนการศึกษาของพระพุทธศาสนาอยู่ที่ประเทศอินเดีย เพราะมีแต่การเรียนการศึกษาไม่มีการประพฤติการปฏิบัติ ไม่เอาความสงบและปัญญาไปพร้อม ๆ กัน การศึกษาเราต้องรู้เข้าใจ ถ้าไม่รู้เข้าใจ การเรียนการศึกษานั้นก็จะทำลายตัวของมันเองด้วยความรู้ความเข้าใจ ความรู้เรื่องปริยัติกับการปฏิบัติถึงต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จะแยกกันไม่ได้ ความรู้ต้องคู่การประพฤติการปฏิบัติถึงจะหยุดสัญชาตญาณ เพราะรู้แล้วไม่ปฏิบัตินั้นจะรู้ไปทำไม มันแก้ปัญหาไม่ได้ มีแต่สร้างปัญหา มหาวิทยาลัยนาลันทา พระนิสิตนักศึกษาถูกเผาทั้งอาคาร เราต้องรู้เข้าใจว่าพระพุทธศาสนาที่หายไปเกือบไม่มีส่วนเหลือในประเทศอินเดีย เพราะเอาแต่ความรู้ไม่คู่การประพฤติการปฏิบัติ
เราทุกคนพากันคิดดูดี ๆ นะ ตัวตนนั้นแหละคือความไม่สมดุลระหว่างใจกับทางวิทยาศาสตร์ มันไม่รู้สัจธรรม ไม่รู้ความจริง ไม่รู้อริยสัจสี่นะ พระนิสิตนักศึกษามหาวิทยาลัยนาลันทา พัฒนาแต่การเรียนการศึกษา ไม่พัฒนาในการประพฤติการปฏิบัติไปพร้อมกัน เป็นสาเหตุให้มหาวิทยาลัยนาลันทาถูกเผา ไปเอาแต่วิทยาศาสตร์ เอาแต่วัตถุ ไปประจบตั้งแต่คนรวย ไปประจบแต่ข้าราชการนักการเมืองผู้ให้ยศให้ตำแหน่ง เพราะว่าไปเอาแต่ทางวิทยาศาสตร์ ไม่เอาใจไปพร้อม ๆ กัน ด้วยเหตุนี้มหาวิทยาลัยนาลันทาถึงถูกเผา ใช้เวลาเผาอยู่ตั้งหลายเดือน
พระศาสนาในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช
ครั้งหนึ่งในอดีต “พระเจ้าอโศกมหาราช” ทรงร่วมปฏิรูปพระศาสนา จับสึกพระอลัชชีผู้ตกอยู่ใต้อำนาจกิเลส สั่งสมของมัวเมาในลาภสักการะ เหลวไหลในเกียรติ เห่อเหิมและเพลิดเพลินในโลกียวัตถุ จากนั้นทรงเป็นศาสนูปถัมภกในการสังคยานา และส่งสมณฑูตประกาศพระพุทธศาสนา
เมื่อเกิดเหตุการณ์นักบวชนอกศาสนามาปลอมบวช เพื่อหวังลาภสักการะและบิดเบือนคำสอนองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระเจ้าอโศกมหาราช (AShoka the great) แห่งราชวงศ์ โมริยะ กษัตริย์ผู้ปกครองดินแดนอินเดีย (พ.ศ.276 – พ.ศ.312) พระองค์ ทรงมีพระทัยเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า ได้ทรงทำนุบำรุงพุทธศาสนา เช่นทรงสร้างวัด วิหาร พระสถูป พระเจดีย์ และหลักศิลาจารึกเป็นต้น ได้บำรุง พระภิกษุสงฆ์ด้วยปัจจัย 4 คือ อาหาร ที่อยู่ อาศัย เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค การที่พระองค์ทรงบำรุงพระภิกษุสงฆ์เช่นนี้ ก็เพื่อจะได้พระภิกษุในพุทธศาสนาได้รับความสะดวก มีโอกาสบำเพ็ญสมณธรรมได้เต็มที่ ไม่ต้องกังวลในการแสวงหาปัจจัย 4 แทนที่จะเป็นเช่นนั้น
แต่กลับปรากฏว่ามีพวกนักบวชนอกศาสนาเป็นจำนวนมาก ปลอมบวชในพุทธศาสนา เพราะเห็นแก่ลาภสักการะ เมื่อบวชแล้วก็คงสั่งสอนลัทธิศาสนาเก่าของตน โดยอ้างว่าเป็นคำสอนของพุทธศาสนา แสดงลัทธิธรรมให้ผิดคลองพระพุทธบัญญัติกระทำให้สังฆมณฑลยุ่งเหยิง แตกสามัคคีด้วยสัทธรรมปฏิรูป
ข้อนี้ทำให้พระโมคคัลลีบุตรติสสะเถระ (คนละรูปกับพระมหาโมคคัลลานะเถระในพุทธกาล) ซึ่งเป็นผู้ที่มีความแตกฉานในพระไตรปิฎก เกิดความระอาใจต่อการประพฤติปฏิบัติของเหล่าพระภิกษุอลัชชีที่ปลอมบวชทั้งหลาย จึงได้ปลีกตัวไปอยู่ที่ ถ้ำอุโธตังคบรรพต เจริญวิเวกสมาบัติอยู่ที่นั้นอย่างเงียบๆ เป็นเวลา 7 ปี และมอบภารกิจคณะสงฆ์ให้พระมหินทเถระดูแลแทน
เมื่อจำนวนพระอลัชชีมีมากกว่าพระภิกษุแท้ ๆ จนพระภิกษุผู้บริสุทธิ์ งดทำอุโบสถสังฆกรรมร่วม ถึง 7 ปี
ในสมัยนั้นจำนวนของพระอลัชชี มีมากกว่าพระภิกษุแท้ ๆ จึงทำให้ต้องหยุดการทำอุโบสถสังฆกรรมถึง 7 ปี เพราะเหตุที่พระสงฆ์ ผู้มีศีลบริสุทธิ์ไม่ยอมร่วมกับพระอลัชชีเหล่านั้น
จึงทำให้พระเจ้าอโศกมหาราชไม่สบายพระหฤทัยในการแตกแยกของพระสงฆ์ ทรงปวารณาจะให้พระสงฆ์เหล่านั้นสามัคคีกัน จึงได้ตรัสสั่งให้อำมาตย์หาทางสามัคคี ฝ่ายอำมาตย์ฟังพระดำรัสไม่แจ้งชัด สำคัญผิดในหน้าที่ จึงได้ทำความผิดอันร้ายแรง คือ ได้บังคับให้พระภิกษุบริสุทธิ์ทำอุโบสถร่วมกับพระอลัชชี พระภิกษุผู้บริสุทธิ์ต่างปฏิเสธที่จะร่วมอุโบสถสังฆกรรม อำมาตย์จึงตัดศีรษะเสียหลายองค์
เมื่อพระเจ้าอโศกมหาราชทราบข่าวนี้ ทรงตกพระทัยยิ่งจึงเสด็จไปขอขมาโทษต่อพระภิกษุที่อาราม และได้ตรัสถามสงฆ์ว่า การที่อำมาตย์ได้ทำความผิดเช่นนี้ ความผิดจะตกมาถึงพระองค์หรือไม่ พระสงฆ์ถวายคำตอบไม่ตรงกัน บ้างก็ว่า ความผิดจะตกมาถึงพระองค์ด้วยเพราะอำมาตย์ทำตามคำสั่ง แต่บางองค์ก็ตอบว่าไม่ถึงเพราะไม่มีเจตนา
คำวิสัชนาที่ขัดแย้งกันเช่นนี้ทำให้พระเจ้าอโศกมหาราชกระวนกระวายพระทัยยิ่งนัก ทรงปรารถนาที่จะให้พระภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง ผู้มีความสามารถและแตกฉานในพระธรรมวินัยถวายคำวิสัชนาอย่างแจ่มแจ้ง จึงได้ตรัสถามถึง พระภิกษุเหล่านั้นก็ได้ตรัสตอบว่า มีแต่พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระรูปเดียวเท่านั้นที่อาจแก้ความสงสัยได้
พระเจ้าอโศกมหาราช จึงได้ส่งสาส์นไปอาราธนาพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ ให้ท่านเดินทางมายังเมืองปาฏลีบุตร แต่ไม่สำเร็จ เพราะพระเถระไม่ยอมเดินทางมาตามคำอาราธนา พระเจ้าอโศกมหาราชก็ทรงไม่หมดความพยายาม จึงได้รับสั่งให้พนักงานออกเดินทางโดยทางเรือรบท่านตามคำแนะนำของพระติสสะเถระ ผู้เป็นพระอาจารย์ของโมคคัลลีบุตรติสสะเถระ ในที่สุดพระเถระก็ยอมมาและในวันที่ท่านเดินทางมาถึงนั้น พระเจ้าอโศกมหาราชได้เสด็จไปรับพระเถระด้วยพระองค์เอง ได้เสด็จลุยน้ำไปถึงพระชานุ แล้วยื่นพระกรให้พระเถระจับและตรัสว่า
"ขอพระคุณท่านจงสงเคราะห์ข้าพเจ้าเถิด"
แล้วได้นำท่านไปสู่อุทยาน ได้ทรงแสดงความเคารพพระเถระอย่างสูง และได้ตรัสถามพระเถระว่า การที่อำมาตย์ได้ตัดศีรษะพระภิกษุนั้นจะเป็นบาปกรรมตกถึงตนหรือไม่ พระเถระได้ตอบว่า
“มหาบพิตร จะเป็นเป็นบาปได้ก็ต่อเมื่อพระองค์มีเจตนาที่จะฆ่าเท่านั้น”
คำวิสัชนาของพระเถระนั้น ทำให้พระองค์ทรงพอพระทัยมาก
พระอลัชชีมัวเมาในลาภสักการะ แม้แต่พระภิกษุก็ยังตกภายใต้อำนาจ
ฝ่ายพระอลัชชีผู้ปลอมบวชในพุทธศาสนานั้นก็ยังพยายามที่จะประกอบมิจฉาชีพอยู่ต่อไป พระเหล่านั้นได้มัวเมาหลงใหลในลาภสักการะไม่พอใจในการปฏิบัติธรรม อาศัยผ้าเหลืองเลี้ยงชีพ ประพฤติผิดธรรมวินัยไม่สำรวมระวังในสีลาจารวัตร เที่ยวอวดอ้างคุณสมบัติโดยอาการต่าง ๆ เพื่อหลอกลวงประชาชนให้หลงเชื่อ เพื่อหาลาภสักการะเข้าตัว เพราะเหตุนี้จึงทำให้พระสัทธรรมอันบริสุทธิ์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องพลอยด่างพร้อยไปด้วย ความอลเวงได้เกิดขึ้นในวงการของพุทธศาสนาทั่วไปลาภสักการะมีอำนาจเหนือ อุดมคติของผู้เห็นแก่ได้
แม้กระทั่งผู้ทรงเพศเป็นพระภิกษุห่มเหลืองก็ยังตกอยู่ภายใต้อำนาจของมัน ที่จริงผู้มีลาภคือผู้มีบุญ แต่มัวเมาในลาภคือสั่งสมบาป การที่พระได้ของมามาก ๆ จากประชาชนที่เขาบริจาคด้วยศรัทธานั้น นับว่าเป็นการดีไม่มีผิด แต่การที่พระสั่งสมของมัวเมาในลาภ เหลวไหลในเกียรติ เห่อเหิมและเพลิดเพลินในโลกียวัตถุ จนลืมหน้าที่ของตนนั้นนับว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง
เริ่มกระบวนการกวาดล้างพระอลัชชี เพื่อทำพระพุทธศาสนาให้บริสุทธิ์
พ.ศ.287 พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ ได้ถวายเทศนาแก่พระเจ้าอโศกมหาราช จนพระองค์ทรงมีความเลื่อมใส และซาบซึ้งในหลักธรรมอันบริสุทธิ์ของพระพุทธองค์ ได้ประทับอยู่ที่อุทยานนับเป็นเวลา 7 วัน เพื่อชำระพระศาสนาให้บริสุทธิ์จากเดียรถีย์ที่เข้ามาปลอมบวช ในวันที่ 7 พระองค์ได้ประกาศบอกนัดให้พระภิกษุที่อยู่ในชมพูทวีปทั้งสิ้นให้มาประชุมที่อโศการามเพื่อชำระความบริสุทธิ์ของตน ภายใน 7 วัน พระองค์ประทับนั่งภายในม่านกับท่านโมคคัลลีบุตรติสสเถระ ได้สั่งให้ภิกษุผู้สังกัดอยู่ในนิกายนั้น ๆ นั่งรวมกันเป็นนิกาย ๆ แล้วตรัสถามให้พระภิกษุเหล่านั้นอธิบายคำสอนของพระพุทธองค์ ซึ่งพระสงฆ์เหล่านั้นได้อธิบายผิดไปตามลัทธิของตน ๆ พระเจ้าอโศกมหาราชจึงได้ตรัสให้สึกพระอลัชชีเหล่านั้นทั้งหมด ซึ่งเป็นจำนวน 60,000 รูป
ครั้นกำจัดพระภิกษุพวกอลัชชีให้หมดไปจากพุทธศาสนาแล้ว พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ จึงได้จัดให้มีการทำสังคายนาครั้งที่ 3 ขึ้น ณ อโศการาม เมืองปาฏลีบุตร โดยได้รับราชูปถัมภ์จากพระเจ้าอโศกมหาราชอย่างเต็มที่
เมื่อทำสังคายนาเสร็จสิ้นพระเจ้าอโศกมหาราชและพระโมคคัลลีบุตรติสเถระก็จัดพระสมณทูตเป็น 9 สายส่งไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาดังนี้
สายที่ 1 คณะพระมัชณันติกเถระ ไปรัฐกัศมี-คันธาระ (อัฟกานิสถาน)
สายที่ 2 คณะพระมหาเทวเถระ ไปสหมณฑล (แคว้นไมซอร์)
สายที่ 3 คณะพระรักขิตเถระ ไปวนาสี ( ตอนเหนือเมืองบอมเบย์)
สายที่ 4 คณะพระธัมมรักขิตเถระ ไปอปรันตประเทศ
สายที่ 5 คณะพระมหาธัมมรักขิตเถระ ไปมหารัฏฐะต้นแม่น้ำโคธาวารี
สายที่ 6 คณะพระมหารักขิตตเถระ ไปโยนกประเทศ (ประเทศอิหร่านหรือที่กรีกปกครอง)
สายที่ 7 คณะพระมัชฌิมเถระ ไปเนปาล (เชิงขาหิมาลัย)
สายที่ 8 คณะพระโสณเถระและพระอุตตรเถระ ไปสุวรรณภูมิ
สายที่ 9 คณะพระมหินทเถระ ไปศรีลังกา
โดยสายที่ 8 พระโสณะและพระอุตระเถระได้เดินทางไปยังสุวรรณภูมิประเทศหรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปัจจุบัน (ไทย พม่า ลาว กัมพูชา เวียดนามและอินโดนีเซีย) ทำให้ไทยได้รับอิทธิพลจากศาสนาพุทธจากอินเดียมาตั้งแต่สมัยนั้น หลังจากสมัยพุทธกาล พุทธศาสนาได้เจริญรุ่งเรืองถึงที่สุดในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ต่อมาระหว่าง พ.ศ. 1300 – 1700 คณะสงฆ์อ่อนแอลง รวมทั้งถูกศาสนาอื่นต่อต้านและบีบคั้น กอปรกับถูกชนชาติมุสลิมเข้ารุกรานและทำลายวัดวาอารามตลอดจนพระสงฆ์ ในที่สุดในช่วงปี พ.ศ. 1700 พุทธศาสนาจึงเสื่อมลงและสูญหายไปจากอินเดียในที่สุด แต่ผลจากการที่ส่งสมณะทูตออกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระเจ้าอโศกมหาราช จึงยังผลให้พระพุทธศาสนาไปรุ่งเรืองอยู่ในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้และบริเวณใกล้เคียง
ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 10 – 18 เอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีจักรวรรดิที่รุ่งเรืองทางด้านพุทธศาสนาและศิลปะอยู่สองแห่ง ความเชื่อสำคัญในยุคนี้เป็นแบบมหายาน จักรวรรดิที่มีอิทธิพลทางใต้บริเวณหมู่เกาะ คือ อาณาจักรศรีวิชัย ส่วนทางเหนือ คือ อาณาจักรขอมหรือเขมรโบราณ ที่มีการสร้างรูปพระโพธิสัตว์มาก
ประเทศไทยเราขณะนี้เวลานี้กำลังตกอยู่ในอันตราย ชาตินี้มีความหมายถึงกำลังจะเกิดอันตราย พระศาสนาที่เป็นทางสายกลางระหว่างใจกับวัตถุนี้กำลังตกอยู่ในอันตราย พระมหากษัตริย์กำลังตกอยู่ในอันตราย ให้เราทุกคนพากันรู้เข้าใจนะ
เราทั้งหลายไม่ต้องไปแก้ที่ใคร มาแก้ที่ตัวของเราเอง เราดูแล้วขณะนี้เวลานี้อยู่ในขั้นอันตราย เหมือนกับประเทศอินเดียเมื่อมหาวิทยาลัยนาลันทาถูกเผาอยู่ในอันตรายมากกว่าสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชประเทศอินเดียที่ได้สังคายนาเอาพระที่ไม่ได้มุ่งมรรคผลนิพพานลาสิกขาไป ประเทศเราขณะนี้เวลานี้อยู่ในขั้นอันตรายมากกว่ายิ่งกว่านะ เราทั้งหลายต้องพากันมาสมัครสมานสามัคคี เพราะการเสียสละถึงจะแก้ปัญหาได้ ไม่ต้องไปแก้ที่ใคร แก้ที่ตัวของเอง เราต้องรู้เข้าใจเรื่องปัญหา ถ้าเราไม่รู้ปัญหาเราก็ไปแก้ภายนอก เอาแต่วิทยาศาสตร์ เอาแต่ตัวเอาแต่ตน มันแก้ปัญหาไม่ถูกทาง มีแต่ไปสร้างปัญหา เราทั้งหลายต้องพากันมีจิตใต้สำนึกว่าเราทุกคนเป็นมนุษย์เป็นผู้ประเสริฐ
เราต้องพากันมาประพฤติมาปฏิบัติของเราเอง เอาทั้งทางวิทยาศาสตร์ทั้งใจไปพร้อม ๆ กันเอาทั้งความสงบเอาทั้งปัญญาไปพร้อม ๆ กันมันถึงแก้ปัญหาได้ เราพากันนอนพากันพักผ่อนให้เพียงพอ เราพากันนอนพักผ่อนให้เพียงพอ พากันนอน ๖-๘ ชั่งโมง ฆราวาสที่เป็นข้าราชการนักการเมืองพ่อค้าประชาชน เพื่อสุขภาพร่างกายจะได้แข็งแรง สำหรับนักบวชพากันนอนจำวัดวันละ ๕-๖ ชั่วโมงก็เพียงพอ เวลากลางวันเราก็มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบิธรรมไปพร้อม ๆ กัน
เราทั้งหลายต้องรู้หลักการอุดมการณ์เราจะไม่ไปตามสิ่งแวดล้อมไม่ตามอารมณ์เรามีความรู้คู่การประพฤติการปฏิบัติ เราจะได้จบลงด้วยความรู้ความเข้าใจ เราจะได้จบลงเพียงผัสสะ ไม่ต้องให้จิตใจของเรามีความหลง ที่เกิดเวทนา เกิดความชอบใจไม่ชอบใจ ให้จบลงได้เพียงผัสสะด้วยความรู้ความเข้าใจ ไม่ตั้งอยู่ในความประมาท รู้จักธรรมรู้จักสภาวธรรม รู้จักการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายจะได้เป็นมนุษย์ เป็นพระพรหมเป็นพระอริยเจ้า จะได้เข้าถึงพระนิพพานในปัจจุบันไม่ต้องรอชาติหน้าเอาปัจจุบันนี้แหละ เมื่อปัจจุบันไม่มีเหตุไม่มีปัจจัย อนาคตจะเป็นชาติเป็นศาสน์เป็นกษัตริย์ได้อย่างไร
ให้เรารู้เข้าใจนะ ถ้าเราไม่รู้เข้าใจ ตัวเราเองนี้แหละจะเป็นตัวอันตรายเป็นตัวทำลาย เป็นเจ้าเสือร้าย เจ้าอันตราย เราจะทำร้ายตัวของตัวเราเอง ไม่ได้นะ
ถึงกาลถึงเวลาแล้ว เราต้องพากันระลึกถึงนึกเราทุกคนที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เราต้องพัฒนาจากมนุษย์ไปสู่เทวดา พัฒนาเทวดาสู่พระพรหม พัฒนาพระพรหมเข้าสู่ความเป็นพระอริยเจ้าด้วยความรู้ความเข้าใจ
ปัญหาต่าง ๆ เราทั้งหลายไม่ต้องตกอกตกใจนะ ปัญหาต่าง ๆ มันแก้ได้ แต่เราต้องเข้าใจ อย่าไปแก้ตั้งแต่ภายนอก เราต้องเอาทั้งใจทั้งวัตถุไปพร้อม ๆ กัน เพื่อจะเป็นทางสายกลาง เพื่อจะเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ ให้เราระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นหลัก ให้ระลึกถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ เป็นหลัก
เราทั้งหลายคิดดูดี ๆ นะ อยากให้มากมันก็ไม่มาก อยากให้น้อยมันก็ไม่น้อย เราจะไปอยากไม่อยากไปทำไมเป็นทุกข์ฟรี ๆ เป็นทุกข์เปล่า ๆ มันจะมีประโยชน์อะไร ความดับทุกข์นั้นถึงดับทุกข์อยู่ที่ปัญญา ที่รู้เข้าใจ เป็นคนรวย ถ้าเรามีตัวมีตนมันก็แก้ปัญหาไม่ได้ มันก็มีทุกข์ เป็นคนจนถ้าเรามีตัวมีตนมันก็แก้ปัญหาไม่ได้ เพราะมันก็ต้องทุกข์ เพราะตัวตนให้เราเข้าใจ ว่าตัวตนนั้นคือความทุกข์ ความรู้ความเข้าใจการมาสงบรำงับสังขารทั้งหลายอยู่นอกเหตุเหนือผล หยุดความปรุงแต่งเสียได้นั้นแหละเกิดความสงบเกิดปัญญา เกิดสภาวธรรมที่เป็นปัจจุบันธรรม
ผู้มีปัญญามากก็ต้องมีความสงบมาก ผู้มีความสงบมาก ๆ ก็ต้องเสียสละมันถึงมีจะปัญญา ให้พวกเราทั้งหลายพากันรู้ปัญหานะ พากันแก้ปัญหา อย่าได้พากันตกอกตกใจ เพราะปัญหาทุกอย่างนั้นมันแก้ได้ อย่าพากันคิดไปว่าเรามีข้าราชการนักการเมือง มีพระที่อยู่ในเมืองไทยพากันประพฤติปฏิบัติอย่างนี้ ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ของเราจะอยู่ได้อย่างไร ทุกอย่างนั้นแก้ปัญหาได้
เราอย่าไปคิดว่าในไม่ช้าพุทธศาสนาคงจะหมดไปจากเมืองไทยไปแน่นอน อย่าพากันตกอกตั้งใจนะ ปัญหาต่าง ๆ นั้น เรารู้เข้าใจ เราพากันแก้ไข
สมัยพุทธกาลที่ผ่านมาชาติ ศาสน์ กษัตริย์นี้ต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จะแยกกันไม่ได้ อย่างสมัยพระเจ้าอโศก พระมหากษัตริย์มาเป็นผู้ที่แก้ไข อย่างสมัยรัชกาลที่ ๓ ที่ ๔ พระมหากษัตริย์ก็มาแก้ไข ที่เกิดมีพระกลุ่มที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เอาหลักการพระธรรมพระวินัยที่เป็นเถรวาทได้เกิดขึ้นเมื่อสมัยรัชกาลที่ ๓ ที่ ๔ ที่เกิดมีพระธรรมยุต นี้ไม่ใช่เพื่อจะทำให้แตกแยกกัน แต่เพื่อจะทำให้แก้ไขสิ่งที่บกพร่องให้ดีขึ้นเข้าสู่ความสงบและปัญญา เพื่อยกเลิกอัตตา มีความสงบและปัญญา เราดูแล้วรัชกาลที่ ๓ ที่ ๔ รัชกาลที่ ๕ มาปรับปรุงหลักการปกครอง การเมืองและพระศาสนา ทำให้ดีขึ้น เราต้องรู้เข้าใจว่าปัญหานั้นแก้ได้ เราอย่าไปตกอกตกใจ เราเอาความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ เอาความสงบและปัญญานี้แหละเป็นการประพฤติการปฏิบัติเพื่อต่อยอดในสิ่งที่ดี สิ่งที่ไม่ดีนั้นต้องหยุด เราต้องพากันรู้จักปัญหาจะได้แก้ปัญหา
เราทั้งหลายต้องมีความสมัครสมานสามัคคีกันปฏิบัติไปในแนวเดียวกันเพราะเพียงแต่แก้ที่ตัวของเราเอง ไม่ต้องไปแก้ที่คนอื่น ทำหน้าที่ของตัวเองให้สมบูรณ์ทั้งอรรถะทั้งพยัญชนะ เพื่อให้เป็นศิลปะชีวิต เป็นความสงบและปัญญา เป็นการพัฒนาที่ยั่งยืน พัฒนาปลายเหตุเป็นการพัฒนาที่ไม่ยั่งยืนนะ มันเป็นการเอาตัวรอดในทางที่ไม่รอด
เราเอาความดีด้วยการเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบปฏิบัติตรง มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ ความสงบก็เกิดขึ้นแก่เรา ปัญญาก็เกิดขึ้นแก่เรา ญาณนั้นก็เกิดขึ้นแก่เรา แสงสว่างก็ย่อมเกิดขึ้นแก่เรา เราจะได้สว่างไสวทั้งใจทั้งสิ่งภายนอกไปพร้อม ๆ กัน
เอาความสงบและปัญญาไปพร้อม ๆ กัน เราทั้งหลายต้องพากันเห็นภัยเห็นอันตรายว่าเจ้าเสือร้ายก็คือตัวของเราเองนี้แหละ ที่เรามองเห็นชัด ๆ เจ้าเสือร้าย เจ้าอันตรายมันอยู่ที่ไม่รู้อริยสัจสี่นี้เอง ไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ ไม่รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ พากันไปแก้ไขแต่คนอื่นไปบริหารแต่คนอื่น เพราะการบริหารตนเองบริหารคนอื่นนี้มันความหลงนะ มันหลงมาก หลงจริง ๆ เอาแต่ทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้เอาทางเรื่องจิตเรื่องใจไปพร้อม ๆ กัน การประพฤติการปฏิบัติเพื่อให้มันเป็นรูปธรรมนามธรรม เอาทั้งภายนอกเอาทั้งใจไปพร้อม ๆ กัน ให้รู้เข้าใจว่ากายวาจากิริยามารยาทอาชีพเป็นเพียงอุปกรณ์ ใจของเราต้องมีปัญญาเป็นสัมมาทิฏฐิ เพื่อจะได้เน้นที่ตัวเรา การปฏิบัติธรรมถึงต้องรู้เข้าใจ ถึงจะได้สมบูรณ์ทั้งอรรถะทั้งพยัญชนะ จะได้แก้ทั้งต้นเหตุกลางเหตุปลายเหตุ เราทั้งหลายทุกคนเป็นข้าราชการนักการเมืองเป็นนักบวช การบริหารใช้ทรัพยากรของแผ่นดิน ใช้ทรัพยากรของศรัทธา ถ้าเราไม่เอาความสงบและปัญญา ตั้งอยู่ในหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม ชีวิตนี้ก็ย่อมพังทลายเช่นเดียวกับ ตึกสตง.สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทย
เราทั้งหลายมาระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้บำเพ็ญพุทธบารมีหลายล้านชาติหลายอสงไขยได้ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้วางหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม เอาทั้งหลายเอาทั้งวัตถุไปพร้อม ๆ กันเป็นทางสายกลาง
ท่านได้ตรัสโอวาทครั้งสุดท้ายก่อนที่จะเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพาน
“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”
โอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ
ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู
ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละ คือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะ
------------------------------------
โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
เมตตาให้ไว้ในเช้าวันอาทิตย์ที่ ๒๔ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา