๒๙ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๒๙ เดือนสิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘  ศาสนาพุทธ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ศาสนาคริสต์ ฮิจเลาะห์ศักราช ๑๔๔๖ ศาสนาอิสลาม

 

เรานับถือศาสนาพุทธ ศาสนาอิสลาม ศาสนาพราหมณ์ ศาสนาฮินดู ศาสนาต่าง ๆ ก็ใช้หลักการอันเดียวกัน เราต้องรู้เราต้องเข้าใจ เราจะได้ประพฤติปฏิบัติ จะได้ทำหน้าที่ให้สมบูรณ์ทั้งอรรถะทั้งพยัญชนะ ปัจจุบันนี้เป็นวาระสำคัญแห่งการประพฤติการปฏิบัติ เพราะเหตุว่าอดีตก็มารวมอยู่ที่ปัจจุบัน อนาคตที่อยู่ข้างหน้าก็อยู่ที่ปัจจุบันนี้เอง

 

ให้เรารู้ให้เข้าใจ เพราะทุกอย่างนั้นคือกรรมคือกฎแห่งกรรมคือผลของกรรม เราทั้งหลายต้องรู้ความจริงอย่างนี้ รู้เรื่องทุกข์ เหตุเกิดทุกข์ ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เรามามีปิติมีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ เมื่อมันผ่านไปแล้วก็ให้เราปล่อยเราวาง เพราะเหตุว่ามันเกษียณแล้วมันผ่านไปแล้ว เราเอาอดีตที่ผ่านมา มาแก้ไขความบกพร่อง เรามาเอาปัจจุบันมาประพฤติมาปฏิบัติให้สมบูรณ์ เรามาตั้งใจตั้งเจตนาให้เรารู้เหตุรู้ปัจจัยว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นเกิดจากเหตุเกิดจากปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปถึงมี

 

เราดูความบกพร่องของตัวเอง เราดูความบกพร่องของคนอื่น เรามองคนอื่นก็มองด้วยความเมตตากรุณามุทิตา เพื่อจะเป็นผู้ให้เป็นผู้ที่เสียสละ ถ้าสิ่งไหนเราช่วยเหลือไม่ได้ เราก็ต้องอุเบกขาวางเฉย เราไม่ต้องไปทุกข์กับใคร เราไม่ต้องไปทุกข์กับลูกกับหลานปู่ย่าตายายญาติวงศ์ตระกูล เพื่อนพ้องลูกน้องบริวาร เราไม่ต้องไปทุกข์กับใคร เพราะเราแก้ไขไม่ได้ ให้ถือว่ากรรมใครใครก่อ

 

เรามารู้จักการประพฤติการปฏิบัติ มาเน้นที่ตัวเรา ให้ตั้งใจตั้งเจตนา การปฏิบัติธรรมะถึงไม่มีต่อหน้าและลับหลัง ถ้ามีต่อหน้าและลับหลัง ทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ถือว่าเป็นการประพฤติการปฏิบัติที่ไม่ถูกต้อง เราจะปกปิดใครก็ปกปิดได้ ที่เราประพฤติปฏิบัติทำความดีต่อหน้าแต่ลับหลังอีกอย่างหนึ่ง เราอย่าลืมว่าเราปกปิดใจของตัวเองนั้นไม่ได้นะ เพื่อเป็นการพัฒนาใจพัฒนาวัตถุไปพร้อม ๆ กัน

 

เราทุกคนต้องตั้งใจเป็นพิเศษ ธรรมะเป็นสิ่งที่ทวนกระแส ความสงบและปัญญานั้นเป็นสิ่งที่ทวนกระแส ไม่ไปตามกระแส ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม เราต้องมีปัญญาสัมมาทิฏฐิอย่างนี้ ความดับทุกข์ของมนุษย์อยู่ที่ปัญญากับการประพฤติการปฏิบัติ ความสงบกับปัญญาถึงไปพร้อม ๆ กัน วัตถุกับจิตใจถึงไปพร้อมกัน เราต่อยอดอดีต เพื่อพัฒนาปัจจุบัน เพราะว่าปัจจุบันนี้เป็นวาระสำคัญเป็นวาระแห่งชาติ

 

เราคิดดูดี ๆ เราเป็นคนรวย มีทรัพย์สินมหาศาล มียศมีตำแหน่งมีอำนาจวาสนา ถ้าเราไม่เดินทางสายกลางระหว่างวัตถุกับจิตใจก็ย่อมดับทุกข์ไม่ได้ เราเป็นคนจนถ้าเรารู้เราเข้าใจเราก็ดับทุกข์ได้ ให้รู้เข้าใจ ความจนน่ะเนื่องมาจากเราไม่มีปัญญาสัมมาทิฏฐิ สัมมาทิฏฐิก็ได้แก่ เราไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ ไม่รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ อย่างนี้เรียกว่าไม่มีปัญญาสัมมาทิฏฐิ

 

เราไม่ได้สร้างเหตุสร้างปัจจัยให้เข้าถึงความดับทุกข์ ความไม่มีทุกข์ เราไม่มีปัญญาสัมมาทิฏฐิ เราจะเอาความรู้สึกของเรานั้นไม่ได้ เพราะความรู้สึกนั้นมันยังเป็นสัญชาตญาณเป็นนิติบุคคลตัวตนให้รู้ให้เข้าใจในเรื่องกรรม เรื่องกฎแห่งกรรม เรื่องผลของกรรม

 

เราจะเอาธาตุทั้ง ๔ ดินน้ำลมไฟเป็นเรา เอาขันธ์ทั้ง ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณเป็นเรา เอาอายตนะทั้ง ๖ ตาหูจมูกลิ้นกายใจนั้นเป็นเรา นั้นไม่ได้ เราไม่ได้ประพฤติไม่ได้ปฏิบัติเดินทางสายกลาง ระหว่างการพัฒนาทางวัตถุและการพัฒนาทางจิตใจ เราทั้งหลายถึงมีความทุกข์มีความจน มันจนทั้งกายทั้งวาจาทั้งกิริยามารยาทั้งอาชีพจนทั้งใจ เพราะเนื่องมาจากเราไม่เข้าใจในเรื่องเหตุเรื่องปัจจัย

 

เรามาบวชเป็นสมณะชีพราหมณ์ได้รับสิทธิพิเศษถูกต้องตามกฎหมายลายเซ็นต์ ถูกต้องตามธรรมาธิปไตย ผู้ที่เอาธรรมนำชีวิต เอาทั้งความสงบเอาทั้งและปัญญาไปพร้อม ๆ กัน อย่างนี้มีปิติสุขเอกัคคตา วันหนึ่งคืนหนึ่งเราต้องเอาความสงบและปัญญาไปพร้อม ๆ กัน เป็นสมถะเป็นวิปัสสนา กลางคืนเป็นเวลาพักผ่อน กลางวันเป็นเวลาทำงาน ความสงบคือการพักผ่อน การเสียสละไม่เอาธาตุเอาขันธ์เอาอายตนะมาเป็นเรา เพื่อมาทำงานมาเสียสละ มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติทั้งวัตถุและใจไปพร้อม ๆ กันเป็นหนึ่งเดียว ความสงบและปัญญารวมกันเป็นหนึ่ง เป็นการเข้าถึงธรรมเข้าถึงปัจจุบันธรรม

 

ความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติของเราต้องเป็นหนึ่ง เราจะทำช้าก็ต้องให้มีความสงบและปัญญา เราจะทำอะไรว่องไวรวดเร็วก็ต้องมีความสงบและปัญญาไปพร้อม ๆ กัน เพราะความสงบและปัญญานี้จะแยกกันไปไม่ได้ ต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน เราทั้งหลายถึงจะหยุดสัญชาตญาณที่เราพากันเวียนว่ายตายเกิด เพราะอวิชชาเพราะความหลง กลางคืนเราพักผ่อน กลางวันเราทำงาน ให้มีปิติมีความสุขในปัจจุบัน เราจะได้เป็นสุปฏิปันโน ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบปฏิบัติตรงปฏิบัติสมควร เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอระหว่างความสงบและปัญญาที่รวมกันเป็นหนึ่งเป็นเอกัคคตา

 

เราพากันอยู่ที่ไหนก็พากันปฏิบัติในที่นั้น ที่ไหนมีธาตุทั้ง ๔ มีขันธ์ทั้ง ๕ มีอายตนะทั้ง ๖ นั้นคือการประพฤติการปฏิบัติอยู่ที่ปัจจุบัน เราจะประมาทไม่ได้ เพลิดเพลินในความหลงนั้นไม่ได้ เราต้องมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ อุปกรณ์ในการประพฤติการปฏิบัติที่เป็นกรรมเป็นกฎแห่งกรรมเป็นผลของกรรมคือพระธรรมคือพระวินัย ธุดงควัตร ข้อวัตรกิจวัตรต่าง ๆ พระธรรม พระวินัย พระสูตรแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ให้เรารู้เข้าใจ นี้เป็นอุปกรณ์ในการประพฤติการปฏิบัติ

 

เราทั้งหลายต้องทำหน้าที่ของตัวเราให้สมบูรณ์ อย่าตั้งอยู่ในความประมาท ตั้งอยู่ในความหลงความเพลิดเพลิน เพราะปัจจุบันนี้เป็นวาระสำคัญ เป็นวาระแห่งชาติในการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายพากันรู้พากันเข้าใจ เราจะได้ประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้อง เราอย่าให้ธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ ครอบงำสติปัญญาของเรา

 

เราต้องทวนกระแส เพื่อให้เป็นพระธรรมเป็นพระวินัยเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เพื่อหยุดสัญชาตญาณ หยุดภพหยุดชาติในการเวียนว่ายตายเกิด หาที่สุดหาที่จบไม่ได้ มันเป็นวงกลม มันเป็น cycle of life เป็นวงกลม เราทั้งหลายต้องเข้าถึงความเป็นมนุษย์ในปัจจุบัน มนุษย์นี้คือผู้ที่เอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิต มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ

 

ท่านพุทธทาสภิกขุท่านได้พูดจากปัญญาสัมมาทิฏฐิ เพื่อให้เข้าถึงพระนิพพานในปัจจุบัน ไม่ใช่พระนิพพานอยู่ที่อนาคต พระนิพพานต้องอยู่ที่ปัจจุบัน ท่านถึงได้ประพันธ์ไว้ว่า เราทั้งหลายจะเป็นมนุษย์ได้ก็เพราะเรารู้อริยสัจสี่ รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ

 

เป็นมนุษย์  เป็นได้  เพราะใจสูง  เหมือนหนึ่งยูง  มีดี  ที่แววขน

ถ้าใจต่ำ  เป็นได้  แต่เพียงคน ย่อมเสียที  ที่ตน  ได้เกิดมา

ใจสะอาด  ใจสว่าง  ใจสงบ ถ้ามีครบ  ควรเรียก  มนุสสา

เพราะทำถูก  พูดถูก  ทุกเวลา เปรมปรีดา  คืนวัน  ศุขสันติ์จริง

ใจสกปรก  มืดมัว  และร้อนเร่า ใครมีเข้า ควรเรียก  ว่าผีสิง

เพราะพูดผิด  ทำผิด  จิตประวิง แต่ในสิ่ง นำตัว กลั้วอบาย

คิดดูเถิด  ถ้าใคร  ไม่อยากตก จงรีบยก  ใจตน รีบขวนขวาย

ให้ใจสูง  เสียได้  ก่อนตัวตาย ก็สมหมาย  ที่เกิดมา อย่าเชือน เอย ฯ

 

เราทั้งหลายต้องเข้าถึงความเป็นมนุษย์ตั้งแต่ในปัจจุบันด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิ ได้ทั้งความสงบและปัญญา พัฒนาทั้งวัตถุทั้งใจไปพร้อม ๆ กัน เพื่อจะเข้าถึงพระนิพพานบ้านของเรา ให้เรารู้เข้าใจนะ ธรรมชาติเดิมแท้เป็นของว่างเปล่า สิ่งที่จรไปจรมาเป็นเพียงอาคันตุกะชั่วคราว  อย่างร่างกายของเรานี้ก็เป็นของชั่วคราวไม่ถาวร ไม่จีรังยั่งยืน อายุขัยของมนุษย์อยู่ได้ ๑ ศตวรรษ คือร้อยปี ถ้าเราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบปฏิบัติตรง มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ สรีระร่างกายของมนุษย์อยู่ได้มากกว่าร้อยปี

 

เราเข้าถึงเทวดาตั้งแต่ปัจจุบัน ไม่ต้องรอชาติหน้า ความรู้ความเข้าใจปัญญาสัมมาทิฏฐิ รู้อริยสัจสี่ เป็นผู้ละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป ไม่หลงในสิ่งต่าง ๆ ว่าสิ่งต่าง ๆ นั้นเป็นเพียงเหตุเป็นเพียงปัจจัย เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ความเป็นเทวดานั้นอยู่ที่ใจ ใจที่รู้อริยสัจสี่ รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เป็นผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร มีความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป มีปิติมีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ เพื่อเนกขัมมะบารมี ถึงได้มีหลักการอุดมการณ์ที่ดี

 

วันจันทร์อังคารพุธพฤหัสศุกร์เป็นวันทำงานพร้อมกับการปฏิบัติธรรมที่มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาเป็นหนึ่งเดียวในการประพฤติการปฏิบัติ วันเสาร์วันอาทิตย์เป็นวันหยุดทำงานภายนอก ไปเน้นการประพฤติการปฏิบัติเรื่องจิตเรื่องใจ เอาความสงบและปัญญามาใช้มาปฏิบัติ เพื่อให้เป็นปฏิปทาติดต่อต่อเนื่อง เป็นเวลา ๒ วัน

 

วันเสาร์ วันอาทิตย์ เราจะปฏิบัติที่บ้านก็ได้ ปฏิบัติที่วัดก็ได้ ให้เข้าใจ วัดนี้คือข้อวัตรข้อปฏิบัติ เพื่อให้ได้มาตรฐาน เพื่อให้ได้ มอก. ผู้ที่จะสร้างบ้านสร้างเรือนสร้างอาคารสร้างประเทศชาติ เค้ามีเครื่องวัด วัดระยะใกล้ระยะไกล ระยะสูงระยะต่ำ วัดน้ำหนักความหนักความเบา เค้าต้องมีเครื่องวัด ให้เราเข้าใจในเรื่องวัดด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิอย่างนี้ เพื่อจะได้เน้นในการประพฤติในการปฏิบัติของเรา เราจะได้เป็นเทวดาเทวธรรม เป็นผู้ละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เราต้องเข้าถึงเทวดาเทวธรรมในปัจจุบัน ไม่ต้องไปรอชาติหน้า ปัจจุบันไม่มีเหตุไม่มีปัจจัย อนาคตนั้นก็ย่อมไม่มี หมายถึงมรรคผลนิพพานนั้นไม่มี สำหรับผู้ที่ไม่มีปัญญาสัมมาทิฏฐิ เพราะไม่มีเหตุไม่มีปัจจัยจะมีได้อย่างไร

 

เราทั้งหลายจะได้เข้าถึงพระพรหมในปัจจุบัน พระพรหมคือพรหมวิหาร พระพรหมก็ได้แก่ความเมตตาทั้งตัวเองและผู้อื่นอย่างไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ มีความกรุณาตนเองและผู้อื่นอย่างไม่มีที่สุดอย่างไม่มีประมาณ มีมุฑิตาตนเองด้วยความยินดีในการประพฤติการปฏิบัติธรรม มีมุฑิตาผู้อื่นที่เค้าเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบปฏิบัติตรงปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์ ต้องอนุโมทนาต้องแสดงความยินดีจากใจ อย่าไปคิดว่าเค้าเป็นคู่แข่งกับเรา เราต้องยินดีกับเขาเพื่อจะเข้าถึงความสงบเข้าถึงปัญญา เพราะนิติบุคคลตัวตนที่มีความอิจฉาคือผู้ที่ไม่รู้อริยสัจสี่ให้เข้าใจ

 

เราทั้งหลายถึงต้องมีกรุณาอย่างไม่มีที่สุดอย่างไม่มีประมาณ อุเบกขาคือความวางเฉย เพราะเราช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ช่วยเหลือคนอื่นไม่ได้ เพราะเป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพ เราทั้งหลายต้องรู้จักกรรม รู้จักกฎแห่งกรรม รู้จักผลของกรรม เราต้องมีความสงบมีปัญญา ไม่ลิดรอนสิทธิของตัวเอง ไม่ลิดรอนสิทธิของผู้อื่น คำว่าลิดรอนก็หมายถึงเรารู้เราเข้าใจในเรื่องอริยสัจสี่ เรื่องทุกข์ เรื่องเหตุเกิดทุกข์ ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เพราะธรรมชาติทุกอย่างนั้นเป็นประภัสสร สิ่งที่สัญจรไปมานั้นเป็นเพียงอาคันตุกะที่ธาตุทั้ง ๔ ได้สัญจรไปมา ขันธ์ทั้ง ๕ ได้สัญจรไปมา อายตนะทั้ง ๖ ได้สัญจรไปมา เราทั้งหลายจะไปลิดรอนสิทธินั้นไม่ได้ เราต้องเข้าถึงความสงบและปัญญา เป็นอุบเกขาบารมี เป็นทั้งความดีเป็นทั้งปัญญา

 

เราเอาธรรมเป็นใหญ่ เอาธรรมนูญเป็นใหญ่ มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ ไม่ไปลิดรอนสิทธิเสรีภาพในสิ่งต่าง ๆ ความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพรากนั้นเกิดจากเหตุเกิดจากปัจจัย เราต้องรู้เข้าใจ เราอย่าไปให้มันเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ เราอย่าไปอยากให้ไม่เป็นอยากโน้นอย่างนี้

 

เราต้องรู้เข้าใจ ทั้งสิ่งภายในคือตัวเรา สิ่งภายนอก เราต้องรู้เข้าใจ เราจะไม่ลิดรอนสิทธิเสรีภาพ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ เราก็ไม่รู้เรื่องในการประพฤติการปฏิบัติ ไม่รู้ไม่เข้าใจว่าเราเกิดมาทำไม ทำไมถึงเกิดมา ก็เพราะความไม่รู้ไม่เข้าใจ ความไม่รู้ไม่เข้าใจนี้เป็นวัฏฏสงสาร เราต้องรู้เข้าใจเพื่อหยุดวัฏฏสงสาร เห็นภัยในวัฏฏสงสาร ไม่เอาความผิดนำชีวิต เราต้องรู้เข้าใจเรื่องลิดรอนสิทธิเสรีภาพ

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านรู้เข้าใจ การประพฤติการปฏิบัติถึงเป็นการยกเลิกชาติชั้นวรรณะ นิติบุคคลตัวตน ไม่มีความสำคัญมั่นหมายว่าเราเป็นผู้หญิงเป้นผู้ชาย เป็นคนแก่คนเฒ่าคนชรา เป็นคนดีเป็นคนมีปัญญา เป็นผู้ดีกว่าเค้า เก่งกว่าเค้า ฉลาดกว่าเค้า รวยกว่าเค้า มีอำนาจวาสนามากกว่าเค้า ไม่สำคัญว่าเราสู้เขาไม่ได้ ต้องเข้าใจในเรื่องยกเลิกทาส ยกเลิกชั้นวรรณะ

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นท่านเข้าใจ ท่านถึงได้ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถึงได้เอาธรรมนูญนำชีวิต มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เข้าถึงพระนิพพานในปัจจุบันตั้งแต่ปัจจุบัน เข้าถึงความเต็ม เต็ม เต็ม เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านมาจุติในพระครรภ์ของมารดาเป็นวันเพ็ญพระจันทร์เต็มดวง ท่านประสูติก็วันเพ็ญพระจันทร์เต็มดวง ตรัสรู้ก็วันเพ็ญพระจันทร์เต็มดวง แสดงธรรมเทศนาธัมมจักกัปปวัตนสูตรเพื่อให้หมู่มวลมนุษย์ได้รู้หลักการในการประพฤติการปฏิบัติเพื่อเข้าถึงพระนิพพานในปัจจุบัน ไม่ใช่ชาติหน้า ต้องเข้าถึงในปัจจุบัน ท่านตรัสบอกว่าอีก ๓ เดือนข้างหน้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ พระจันทร์เต็มดวงเช่นเดียวกัน ท่านเสด็จดับขันธ์สู่มหาปรินิพพานทั้งกายทั้งใจไปพร้อม ๆ กันก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำเช่นเดียวกัน ท่านเข้าถึงความเต็ม เต็ม เต็ม เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอในปัจจุบัน

 

เราทั้งหลายให้รู้เข้าใจนะ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ ของเมืองไทยประเทศไทย ท่านตรัสแก่พสกนิกรชาวไทยและชาวโลกว่าเราต้องเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอด้วยความรู้ความเข้าใจ เราอยากได้มากมันก็ไม่มากมันก็เท่าเก่า เราอยากได้น้อยมันก็ไม่น้อยมันก็เท่าเก่า เราต้องรู้เข้าใจ ต้องเข้าถึงความสงบและปัญญา จะได้เข้าถึงเศรษฐกิจพอเพียงเพียงพอ เราต้องมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ

 

เรามาบวชมาปฏิบัติธรรม เราต้องรู้เข้าใจ ว่าเราใช้งบประมาณของแผ่นดินจากภาษีอากรของประชาชน เราใช้งบประมาณของศรัทธาที่เค้าพากันทำความดีสร้างบารมี เขาบริจาคทาน ก็เนื่องมาจากเค้ามีความเคารพในหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม เรามาบวชมาปฏิบัติ เราต้องพากันมามีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ ถือนิสัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นกิจที่ควรทำ มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ ยกเลิกความรู้สึกของเรา เพราะความรู้สึกของเรามันเป็นวัฏฏสงสาร มันไปตามความหลงไปตามอวิชชา ให้ถือพระธรรมถือพระวินัย เอาความดีและปัญญาปฏิบัติไปพร้อม ๆ กันที่เป็นความสงบและปัญญา

 

เราทุกคนต้องรู้เข้าใจ ว่าเราต้องประพฤติต้องปฏิบัติเอง ไม่มีใครมาประพฤติมาปฏิบัติให้เราได้แทนกันได้ นี้เป็นเรื่องของเราเอง เราต้องพากันมีความสงบให้เพียงพอ มีปัญญาให้เพียงพอ เพราะเหตุผลว่า ผู้มีปัญญาก็ต้องมีความสงบ ผู้มีความสงบก็ต้องเสียสละถึงจะมีปัญญา เพื่อเป็นปฏิปทาติดต่อต่อเนื่อง ไม่ขาดตกบกพร่อง ไม่ด่างไม่พร้อยไม่เศร้าหมอง

 

การทำอะไรติดต่อต่อเนื่อง ๓ อาทิตย์ขึ้นไปถึงจะได้ผลเห็นผล อย่างไก่ฟักอย่างนี้ก็ใช้เวลา ๓ อาทิตย์ จะฟักด้วยแม่ไก่หรือฟักด้วยไฟฟ้าก็ใช้เวลา ๓ อาทิตย์ขึ้นไป การปฏิบัติธรรมของเรานี้ถึงเป็นเรื่องธรรมเรื่องปัจจุบันธรรมเพื่อความติดต่อต่อเนื่อง ถ้าเราไม่ทำอย่างนี้แหละ ไม่ได้ผล มันต้องติดต่อต่อเนื่อง เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราถึงจะไม่ได้ไปตามผัสสะไปตามอารมณ์ไปตามสิ่งแวดล้อม

 

เขานิยมกันเลข ๙ คือความก้าวหน้า ไม่ถอยกลับไปกลับมาคำว่าก้าวนี้ก็หมายถึงปัญญาสัมมาทิฏฐิที่เป็นความสงบและเป็นปัญญา เพราะเอาธรรมนำชีวิตเอาธรรมนูญนำชีวิต ก้าวไปด้วยปัญญากับความสงบอย่างนี้ ไม่ได้หมายถึงนิมนต์พระไปทำบุญที่บ้าน ต้องไป ๙ รูป ไม่ใช่อย่างนั้นนะ การนิมนต์พระไปทำบุญที่บ้าน ถ้าไปหลายรูปก็ยิ่งดี คำว่าพระก็ให้เรารู้เข้าใจ พระนั้นคือผู้ที่เสียสละถือนิสัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เอาพระพุทธเจ้ามาไว้ในกายวาจากิริยามารยาท ยกเลิกนิสัยของตัวเอง ไม่เอาความชอบไม่ชอบนำ เป็นผู้ที่ทวนกระแส รู้อริยสัจสี่ รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เราเสียสละนิติบุคคลตัวตน ท่านผู้นั้นถึงจะเป็นพระ

 

พระนี้ไม่ได้หมายเอาพวกที่ปลงผมนุ่งห่มผ้าจีวรนะ พระนี้หมายถึงพระธรรมพระวินัย สิกขาบทน้อยใหญ่ เพื่อมาหยุดสัญชาตญาณที่เป็นนิติบุคคลตัวตน คำว่าพระนี้ให้ผู้ที่มาบวชก็ให้เข้าใจ ผู้ที่เป็นข้าราชการพ่อค้าประชาชน พระมหากษัตริย์ก็ให้เข้าใจความหมายของพระนะ ถ้าเราไม่เข้าใจก็ย่อมพังทลายเหมือนตึก สตง.นะ

 

ตึกสตง.สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ไปจัดการตั้งแต่ภายนอก ไปเอาแต่วัตถุเอาแต่วิทยาศาสตร์ ไม่ได้ปฏิบัติใจไปพร้อม ๆ กัน ไม่ใช่มรรค ไม่ใช่อริยมรรค แต่มันเป็นนิติบุคคลตัวตน

 

เราทั้งหลายต้องเข้าใจพระอย่างนี้ที่เค้าเรียกพระศาสนา ศาสนาทุกศาสนาไปในทางเดียวกันนะ เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจจะไม่ได้ทะเลาะกัน หลายชื่อไม่เป็นไร ความหมายก็คืออันเดียวกัน คือการทำที่สุดแห่งความดับทุกข์ รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ รู้เรื่องการประพฤติการปฏิบัติ กายวาจากิริยามารยาทเป็นเพียงอุปกรณ์ของจิตของใจเท่านั้น

 

เราทั้งหลายต้องเข้าใจพระแบบนี้แหละ ผู้ที่เป็นนักบวชก็เป็นพระได้นะ เป็นเกษตรกรรมอุตสาหกรรม เป็นข้าราชการ เป็นนักการเมือง เป็นพ่อค้าประชาชน เป็นพระมหากษัตริย์ ทุกชาติทุกศาสนาก็พระกันเป็นพระได้หมด เราทั้งหลายต้องเข้าใจพระอย่างนี้แหละ ไม่มีใครยกเว้น ยกเว้นตั้งแต่ผู้ที่เอานิติบุคคลตัวตนนำชีวิต พวกนี้ยกเว้น ผู้ที่เป็นบ้าสมองเสีย เอาตัวเอาตนนำชีวิตจนเป็นบ้าจนสมองเสีย ทุก ๆ คนถึงไม่เอาเรื่องเอาราวกับคนบ้า ส่วนราชการก็ไม่เอาเรื่องกับคนบ้า ส่วนศาสนาก็ไม่เอาเรื่องกับคนบ้า

 

เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจนะ ถ้าเอาตัวตนเป็นที่ตั้งถึงไม่เป็นบ้าสมบูรณ์เราทั้งหลายก็มีเชื้อบ้านะ เอาตัวเอาตนนำชีวิต ชีวิตนี้ก็ล้มละลายพังทลายเช่นเดียวกับตึกสตง.ให้รู้เข้าใจนะ เอานิติบุคคลตัวตนนี้เป็นอบายมุขอบายภูมิ ภูมิแห่งความเสื่อม ความตกต่ำ มนุษย์เราถึงต้องเอาธรรมนำชีวิต เราถึงจะได้เป็นมนุษย์ เป็นข้าราชการเป็นนักการเมือง เป็นนักบวช เป็นพระราชามหากษัตริย์

 

เราทั้งหลายต้องพากันเข้าใจเรื่องพระอย่างนี้แหละ พระนั้นเค้านับเอาตั้งแต่พระโสดาบัน พระสกิทาคา พระอนาคามี สูงสุดคือพระอรหันต์ พระอรหันต์หมายถึงว่าไม่ไปตามผัสสะ ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม มีแต่ความสงบมีแต่ปัญญา เป็นความสงบบริสุทธิคุณ เป็นปัญญาบริสุทธิคุณ สมบูรณ์ทั้งอรรถะทั้งพยัญชนะ มีความสง่างามทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งใจ ความเป็นพระเป็นอย่างนี้ เราทั้งหลายจะได้เข้าใจในเรื่องของความเป็นพระ ความก้าวไปในการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายจะได้ก้าวไปทั้งวัตถุก้าวไปทั้งใจไปพร้อม ๆ กัน เข้าถึงความก้าวหน้าไม่ถอยกลับไปกลับมา

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสถามพวกเรานะ ว่าคืนวันผ่านไปเราทำอะไรกันอยู่ ความเพลิดเพลินจะทำให้เราเนิ่นช้านะ เราทั้งหลายต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสาร เรามาบวชมาปฏิบัติธรรม เราทุกคนต้องมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ ให้เข้าถึงฟอร์มสดในปัจจุบัน ทั้งผู้เก่าผู้ใหม่ต้องเน้นที่ปัจจุบัน ต้องพากันมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ

 

เราทั้งหลายไม่ต้องไปมองผู้อื่นมองคนอื่น ถ้ามองก็เพื่อจะเป็นผู้ให้เป็นผู้เสียสละ เราทำหน้าที่ของตัวเองด้วยการเจริญสติคือความสงบ เจริญสัมปชัญญะคือตัวปัญญา ความสงบและปัญญาต้องเป็นหนึ่งเป็นเอกัคคตา

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้หลักการอุดมการณ์อุดมธรรม หลักการก็ให้เราใช้อานาปานสติ เพื่อเป็นทั้งสมถะเป็นทั้งวิปัสสนา ให้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ ต้องพากันเจริญอานาปานสติทุก ๆ อิริยาบถเลย ไม่ใช่เฉพาะเวลาเรานั่งสมาธินะ เพราะสิ่งแวดล้อมนั้นมากมายของอาคันตุกะที่สัญจรไปมา ธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ มันสัญจรไปมาเราต้องมีหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม

 

เราต้องใช้อานาปานสติเป็นหลักการ เพราะอานาปานสติเป็นทั้งสมถะเป็นทั้งวิปัสสนา สมถะก็ได้แก่ลมหายใจก็มีสติรู้ตัวทั่วพร้อมด้วยปิติสุขมีเอกัคคตา หายใจออกก็มีสติรู้ตัวทั่วพร้อมด้วยปิติสุขเอกัคคตา เอาออกซิเจนดี ๆ เข้าสู่ร่างกายเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง เอาของเสียในร่างกายของเราออกไป เรานั่งสมาธิก็ต้องเจริญอานาปานสติ เช่นเดียวกัน อย่างเดียวกัน นี้เป็นหลักการขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

 

ประเทศไทยเรา หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านให้เอาอานาปานสติพร้อมทั้งบริกรรมพุทธโธไปพร้อม ๆ กัน เพื่อเราจะได้ระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หายใจเข้าท่องพร้อมกับลมหายใจว่า “พุทธ” หายใจออกท่องพร้อมกับลมหายใจว่า “โธ” อยู่กับพุทธอยู่กับโธ มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ ถ้าเรารู้เข้าใจในหลักการ การปฏิบัติธรรมก็จะเป็นการปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องทุก ๆ อิริยาบถให้รู้เข้าใจ ถ้าเราจะให้เกิดปัญญาเราก็เจริญวิปัสสนากับลมหายใจนั้นแหละ เราบริกรรมท่องในใจว่าหายใจเข้าเพื่อเอาออกซิเจนเข้าไปสู่ร่างกายให้แข็งแรง แล้วก็หายใจออกเพื่อเอาคาร์บอนไดออกไซด์เอาของเสียออกไป เอาค่าพีเอ็มที่มีในร่างกายที่มันหมักหมมอยู่ในร่างกายออกไป ว่าหายใจเข้าก็มีแต่ความไม่เที่ยงไม่แน่ หายใจออกก็มีแต่ความไม่แน่ใจไม่เที่ยง หายใจมีแต่นิติบุคคลตัวตน ให้เราทำอย่างนี้

 

ปกติเราแล้วก็เป็นผู้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสารอยู่แล้ว เราจะหยุดวัฏฏสงสารเราต้องรู้เข้าใจ เรื่องความอยากไม่อยาก ให้รู้เข้าใจความอยากไม่อยากคือสิ่งเดียวกันคือความปรุงแต่ง ไม่ใช่ความสงบไม่ใช่ปัญญานะ เป็นนิติบุคคลตัวตน เราทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ด้วยปิติด้วยความสุขด้วยเอกัคคตาเมื่อมันผ่านไปแล้วเกษียณไปแล้วเราก็ต้องปล่อยต้องวาง เราอย่าปฏิบัติเพื่อเอาเพื่อมีเพื่อเป็นให้เข้าใจนะ ถ้าเราปฏิบัติเพื่อเอาเพื่อมีเพื่อเป็น มันเป็นความเสื่อมนะ มันเป็นตัวเป็นตนนะ อย่างมากก็เป็นเพียงสมาธิเป็นเพียงสมาบัติเท่านั้น มันเป็นเพียงหินทับหญ้าให้เรารู้เข้าใจ ถ้ามีสิ่งที่เศร้าหมองกระทบกระเทือนใจบุคคลนั้นก็ย่อมเข้าสมาธิไม่ได้เข้าสมาบัติไม่ได้นะ เราเข้าใจอย่างนี้แหละ เราไม่รู้อริยสัจสี่นะ เราจะมาเอาวัฏฏสงสารได้อย่างไร เราต้องรู้เข้าใจ

 

เหมือนสมัยที่ท่านหลวงปู่ชา สุภัทโท แห่งวัดหนองป่าพง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ท่านส่งพระอาจารย์สุเมโธ ที่เป็นพระฝรั่งเกิดที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้พัฒนาตั้งแต่วิทยาศาสตร์พัฒนาแต่วัตถุมันแก้ไขปัญหาไม่ได้ ท่านถึงไปยังประเทศอินเดีย เนปาล ศรีลังกา มาที่ประเทศไทย มาบวชที่ประเทศไทย เมื่อบวชแล้วก็ถามหาว่า ปัจจุบันนี้มีพระรูปไหนเป็นพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบปฏิบัติตรง เป็นผู้ที่ไว้วางใจ เพื่อจะได้ไปประพฤติปฏิบัติกับท่าน

 

มาปฏิบัติใหม่ ๆ ท่านพระอาจารย์สุเมโธ ท่านก็ไม่สงบ เพราะอยู่ที่วัดป่า สิ่งที่อำนวยความสะดวกความสบายนั้นไม่มีเลย ไม่มีประปา ไม่มีไฟฟ้า การใช้น้ำก็ต้องตักจากน้ำบ่อน้ำสร้าง สมัยโบราณเค้ามีน้ำบ่อน้ำสร้างขุดลึกลงถึงน้ำ เค้าใช้หลักการอย่างนี้ ไม่เหมือนประปาสมัยปัจจุบัน ถึงเวลาเย็น ๓ โมงเย็นจะมีข้อวัตรกิจวัตร ปัดกวาดลานวัดให้สะอาดทุกวัน กวาดศาลาถูศาลา ห้องน้ำห้องสุขา ก็ต้องให้สะอาด เพื่อเป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม เพื่อจะได้ปฏิบัติธรรมอยู่เหนือความชอบความไม่ชอบ ต้องอาศัยหลักการหลักวิชาการอุดมการณ์อุดมธรรม ใจไม่สงบก็ให้กายวาจากิริยามารยาทมันสงบ เค้ามีหลักการอย่างนี้

 

ท่านพระอาจารย์สุเมโธ ท่านพัฒนาตั้งแต่วิทยาศาสตร์ไม่เข้าใจเรื่องจิตเรื่องใจ ท่านหลวงปู่ชา ท่านก็รู้ว่าท่านพระอาจารย์สุเมโธคิดอย่างไร ท่านถึงพูดกับท่านพระอาจารย์สุเมโธว่า วัดหนองป่าพงนี้เป็นทุกข์หรือว่าพระสุเมโธเป็นทุกข์ เราต้องรู้เข้าใจในเรื่องอริยสัจสี่ เราต้องพัฒนาใจกับวัตถุไปพร้อม ๆ กัน เป็นธรรมเป็นปัจจุบัน เป็นธัมมจักกัปปวัตตนสูตรเพื่อเป็นทางสายกลางระหว่างวัตถุกับจิตใจถึงจะดับทุกข์ได้

 

ท่านพระอาจารย์สุเมโธรู้เข้าใจในเรื่องความจริงของเหตุของปัจจัยได้ปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องกับท่านพระอาจารย์ชา ใช้เวลานานเป็น ๑๐ ปี ๑๐ พรรษาอยู่กับท่านพระอาจารย์ชา เมื่อพระอาจารย์สุเมโธเข้าใจในเรื่องอริยสัจสี่ ในเรื่องทุกข์ เรื่องเหตุเกิดทุกข์ เรื่องข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ท่านถึงส่งท่านพระอาจารย์สุเมโธ พระฝรั่งไปเผยแผ่ เพราะเค้าพูดภาษาอังกฤษได้ หลาย ๆ ประเทศที่เค้าเจริญเค้าใช้ภาษากลางเป็นภาษาอังกฤษ ท่านให้ไปเผยแผ่ไปบอกไปสอนเรื่องอริยสัจสี่ เรื่องความทุกข์ เรื่องเหตุเกิดทุกข์ เรื่องข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ ไปอยู่ที่ประเทศอังกฤษ

 

เพราะมนุษย์เราต้องเอาวัตถุไปพร้อม ๆ กัน ประเทศที่เค้าเจริญแล้ว เค้าเอาแต่วิทยาศาสตร์เอาแต่วัตถุเอาแต่ความอร่อยความแซบความลำความนัวความหรอย เอาแต่วิทยาศาสตร์มันแก้ปัญหาไม่ได้ ท่านพระอาจารย์ชาก็เดินทางไปส่งพระอาจารย์สุเมโธที่ประเทศอังกฤษ คนที่ประเทศอังกฤษส่วนใหญ่เข้าใจศาสนาพุทธไปทางปรัชญาไปทางปัญญา เพราะพระที่ไปเผยแผ่เป็นพระในพระพุทธศาสนามหายาน มหายานคือยานใหญ่ เปรียบเสมือนเครื่องบินก็เครื่องบินเครื่องใหญ่ เรือก็เรือลำใหญ่ รถก็รถใหญ่ บรรทุกได้มาก การประพฤติการปฏิบัติไปทางปัญญาไปทางปรัชญา จะไปแนวเดียวกับพระโปฐิละ พระคงแก่เรียน แต่ไม่ได้มีการประพฤติการปฏิบัติไปพร้อม ๆ กัน เอาหลักอริยสัจสี่เป็นหลักการในการเผยแผ่

 

 ศาสนาพุทธในปัจจุบันนี้มีอยู่หลายสาย เช่น สายเถรวาท คืออยู่ในโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติเพื่อเข้าสู่ความสมดุลระหว่างวัตถุกับใจไปพร้อม ๆ กัน สายเถรวาทจะเอาพระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่เป็นหลักการ เป็นหลักวิชาการ เพื่อให้เอาความสงบเกิดปัญญา ก้าวไปด้วยปฏิปทาที่ติดต่อต่อเนื่อง เอาความสงบและปัญญา ไม่ตั้งอยู่ในความประมาท ถือนิสัยถือพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ ข้อวัตรปฏิบัติกิจวัตรธุดงควัตรละเอียดลึกซึ้งในทุกแง่ทุกมุม เป็นความดีเป็นทั้งปัญญา เป็นปฏิปทาในการประพฤติการปฏิบัติ

 

คนที่ประเทศอังกฤษได้สนทนากับหลวงปู่ชาเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจ ได้ถามหลวงปู่ชาว่า การที่เอาพระอรหันต์ขีณาสพนั้นดีมากดีพิเศษดีจริง ๆ ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าก็ยิ่งดียิ่ง ๆ แต่การบำเพ็ญเพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าต้องใช้เวลานานหลายล้านชาติหลายล้านปี อยากจะถามท่านหลวงปู่ชาว่า ๒ อย่างนี้แหละ ท่านหลวงปู่ชาว่าอันไหนดีมีประเทศมากกว่ากัน

 

ท่านหลวงปู่ชาได้ให้สติปัญญาแก่ประชาชนคนประเทศอังกฤษว่า เราต้องรู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ เราจะได้เข้าถึงความสงบและปัญญา เราจะได้เข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ปัจจุบันที่ยังไม่ตาย ไม่ใช่ชาติหน้าโน้น ไกล ๆ โน้น ที่พระท่านเทศน์สอนว่าอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญ มันไกลเหลือเกิน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เน้นที่ปัจจุบันให้เข้าใจอย่างนี้

 

เราต้องรู้เข้าใจ ถ้าเราอยากเป็นอะไรมันก็เป็นความทุกข์ทั้งนั้น ถ้าเราไม่อยากเป็นอะไรมันก็เป็นทุกข์ทั้งนั้น เพราะทั้งสองอย่างนี้เป็นความปรุงแต่งเป็นนิติบุคคลตัวตนเป็นสังขารความปรุงแต่ง ให้เข้าใจนะ เราต้องรู้เข้าใจ เราจะได้มีปัญญาสัมมาทิฏฐิ เราจะได้มีทั้งความสงบและปัญญา ต้องรู้เข้าใจ เราอย่าไปอยากเป็นอะไร ความอยากนี้มันเป็นความทุกข์นะ ความอยากนี้เป็นทะเลไม่อิ่มด้วยน้ำเป็นไฟไม่อิ่มด้วยเชื้อ

 

ให้เรารู้เข้าใจ เราจะได้มีปัญญาสัมมาทิฏฐิ เพื่อจะได้เกิดความสงบเกิดปัญญา เป็นพระพุทธเจ้าเราก็อย่าไปอยากเป็น เป็นพระอรหันต์ก็อย่าไปอยากเป็น เป็นอะไรก็เป็นทุกข์ทั้งนั้น ให้เรารู้เข้าใจ เราจะได้เอาความสงบและปัญญาไปพร้อม ๆ กันเพื่อเป็นวิทยาศาสตร์เป็นทั้งใจไปพร้อม ๆ กัน ความหมายของหลวงปู่ชาท่านตรัสกับคนประเทศอังกฤษอย่างนี้แหละ เอาความหมายที่ท่านสนทนาเพื่อให้พวกเรารู้เข้าใจ

 

เราต้องรู้เข้าใจ เราจะได้เกิดความสงบเกิดปัญญา เราจะได้เข้าถึงความรู้ความเข้าใจ ว่าเราเกิดมาทำไม เราเรียนศึกษาทำไม เราทำการทำงานเป็นพ่อค้าเป็นข้าราชการเป็นนักการเมืองเป็นนักบวชทำไม เราทั้งหลายต้องรู้หลักการในการประพฤติการปฏิบัติ การประพฤติการปฏิบัติความรู้ต้องคู่กับการประพฤติการปฏิบัติ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ ก็ย่อมพังทลายเหมือนตึกสตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ปัจจุบันนี้แหละ ความไม่รู้ไม่เข้าใจได้ทำความเสียหาย ความไม่รู้ไม่เข้าใจนั้นมันเป็นความผิดนะ มันผิดทางไม่ใช่ทาง มันเป็นทางตัน มันเป็นตัณหา มันหาเรื่องหาราวให้กับตัวเอง หาเรื่องหาราวให้คนอื่น เราไปหาเรื่องมันก็ได้เรื่อง

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านว่าให้เรามีปัญญสัมมาทิฏฐิ ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจมันก็จะไม่เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ ไม่เข้าถึงความสงบและปัญญา เราก็เอาความหลงนำชีวิต เอาความผิดนำชีวิตด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ

 

เราทั้งหลายน่ะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เราพิจารณาสรีระร่างกายนะ สรีระร่างกายของมนุษย์นี้มี ๓๒ ชิ้นส่วน เพื่อให้เกิดความสงบเกิดปัญญา เพื่อจะสลายอัตตาตัวตนที่มันเป็นจิ๊กซอร์ที่มันเป็นตัวเป็นตน เราต้องสลายด้วยการมาพิจารณาร่างกายออกเป็นชิ้นเป็นส่วนให้แยกออกเป็นชิ้นเป็นส่วนเลยเอาออกเป็นชิ้น ๆ ไปแล้วก็เอามาประกอบ เราทำอย่างนี้ดีมากนะ ดีจริง ๆ

 

ผู้ที่มาบวชในพระพุทธศาสนา ก่อนที่จะครองผ้ากาสาวพัสตร์ท่านถึงให้กรรมฐาน เพื่อให้เกิดความสงบเกิดปัญญา ที่ท่านพูดว่า เกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ ตะโจ ทันตา นะขา โลมา เกสา พูดกลับไปกลับมาพูดย้อนไปย้อนมา ท่านแยกออกเป็นชิ้นส่วนถึงเอามาประกอบเรียกว่าเอากลับไปกลับมา เราทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้แหละถึงจะเกิดความสงบเกิดปัญญานะ ถ้าเราเอาแต่ความสงบเอาแต่ในเรื่องสตติสัมปชัญญะนั้นมันไม่เกิดปัญญานะ มันเป็นเพียงหินทับหญ้า มันเป็นเพียงสมาธิเป็นเพียงสมาบัติ เราพากันพิจารณาพระกรรมฐานนะ ดีกว่าเราพากันนั่งหลับ นั่งโงกง่วง เราจะไปนั่งหลับนั่งโงกง่วงได้อย่างไร ถ้าเรามีความสงบและปัญญาเสมอกันนี้ความโงกง่วงนี้ก็จะไม่มีเพราะเป็นความดีเป็นความพอเพียงเพียงพอ ไม่เหวี่ยงเหวี่ยงมาเป็นไบโพล่า ให้เข้าใจอย่างนี้

 

การนั่งสมาธินี้เราต้องเอาความสงบและปัญญาไปพร้อม ๆ กัน เราทั้งหลายพากันพิจารณาสรีระร่างกายให้มาก ๆ

 

หลวงปู่มั่น ได้บอกท่านพระอาจารย์มหาบัว ท่านได้บอกว่าให้พิจารณาร่างกายให้มาก แยกเป็นชิ้นส่วนแล้วก็ประกอบกับคืนมา เราจะเอาแต่ความสงบ เอาแต่สมาธิ เอาแต่สมาบัติไม่ได้ เพราะมันเป็นตัวเป็นตน เพราะตัวตนให้รู้เข้าใจมันคือความเจริญความเสื่อม เพราะมันมีตัวมีตนมันถึงมีความเสื่อม ท่านบอกพระอาจารย์มหาบัวหลายครั้ง ท่านพระอาจารย์มหาบัวก็เฉย เพราะคิดว่านี้มันดีแล้วมันสงบแล้วมันสุดยอดแล้ว เมื่อองค์หลวงปู่มั่น ละสังขารปรินิพพาน สมาธิของท่านพระอาจารย์มหาบัวเสื่อม เพราะขาดความรู้ความเข้าใจ ไม่ได้พิจารณาสรีระร่างกายแยกเป็นชิ้นส่วนแล้วเอามาประกอบกันเข้า มันก็เสื่อมน่ะ ท่านถึงเข้าใจ เมื่อท่านระลึกถึงโอวาทธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่หลวงปู่มั่นได้มีเมตตาบอก ท่านก็ภาวนาประพฤติปฏิบัติตาม ในไม่ช้าความสงบและปัญญาเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี ท่านพระอาจารย์มหาบัวได้เข้าถึงธรรมบรรลุธรรมหลังหลวงปู่มั่นนิพพานเมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๒ ไป ๑ ปี เมื่อท่านได้บรรลุธรรมถึงไปบอกเพื่อนสหธรรมิกที่เป็นพระร่วมกันให้เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติอย่างนี้

 

พระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น เอาหลักการของเถรวาทถือพระวินัยเคร่งครัด เน้นที่จิตที่ใจที่เจตนา อันไหนไม่ถูกต้อง ไม่ตรึกนึกคิดไม่พูดไม่ทำทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งใจ เน้นลงที่ใจที่เจตนา เราทั้งหลายต้องพากันพิจารณาร่างกายให้มาก นี้เป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม ข้อวัตรข้อปฏิบัติของเรา

 

เราทุกคนต้องพากันมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เราพากันนอนพากันพักผ่อนให้เพียงพอ ให้เข้าใจอย่างนี้นะ พระป่าพระกรรมฐาน หลวงปู่มั่นท่านจำวัดเวลา ๒๒ นาฬิกา คือ ๔ ทุ่ม ตื่นขึ้น ๒ ยามคือตี ๒ วัดเราถือหลักการโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

 

เราพากันนอนจำวัด ๓ ทุ่ม ตื่นตี ๓ เวลากลางวันก็พากันประพฤติพากันปฏิบัติอย่าพากันอยู่เฉย ๆ อยู่ลอย ๆ ลอยไปลอยมา ลอยหน้าลอยตา ต้องอยู่กับธรรมอยู่กับปัจจุบันธรรม

 

วัดเราน่ะอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้าน เดินบิณฑบาตไปกลับ ๓ กิโลเมตร การออกกำลังกายของเราไม่เพียงพอ เราต้องออกกำลังกายให้เพียงพอด้วยการเดินจงกรม อย่างน้อยก็วันละ ๑ ชั่วโมง เดินพอปานกลางหรือเดินเร็วได้ ร่างกายถึงจะแข็งแรง เดินจงกรมไม่ได้เดินหาอะไรนะ เดินเพื่อเจริญสติสัมปชัญญะ เดินไปก็เจริญอานาปานสติไป เอาทั้งความสงบและปัญญา ต้องให้อยู่กับธรรม อยู่กับปัจจุบันธรรม ต้องให้มีสติอยู่กับการเดิน

 

 เราไม่เห็นสหธรรมิกผู้ปฏิบัติธรรมเดิน เราไม่ได้เห็นตัวอย่างแบบอย่าง เมื่อรู้เข้าใจ เราไม่ต้องไปเน้นที่ใคร เน้นที่ตัวเรานี้แหละ ให้เข้าใจอย่างนี้นะ ต้องออกกำลังกายให้เพียงพอ ถ้าจะทำโยคะเหมือนฤาษีดัดตน ท่าฤาษีดัดตนก็ทำอยู่ที่ห้องที่มุงที่บัง การทำโยคะ อย่าจะไปยกเวทยกอะไรอย่างนี้เหมือนฆราวาสเค้า เราต้องให้อยู่ในสมณะสารูปอยู่ในท่าฤาษีดัดตน ฤาษีก็หมายถึงผู้มีศีลมีสมาธิมีปัญญาให้เข้าใจอย่างนี้

 

เวลาเราฉันอาหารก็ต้องฉันให้เพียงพอพอเพียง ฉันในบาตร เหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฉันในบาตร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ฉันในฝาบาตร ไม่ฉันในถ้วยโถโอจาน ไม่ฉันโต๊ะจีนโต๊ะไทยโต๊ะจีนโต๊ะฝรั่งโต๊ะพม่าโต๊ะเกาหลีโต๊ะอินเดียเนปาลศรีลังกาท่านฉันในบาตาให้รู้เข้าใจ เพราะทุกวันนี้ยิ่งดีเพราะบาตรสมัยใหม่ไม่ขึ้นสนิมเป็นบาตรสแตนเลสให้เราสบายใจได้ ให้ฉันในบาตรนะ ให้ตักอาหารใส่ในบาตรให้พอดี ให้มีสติคือความสงบให้มีสัมปชัญญะคือปัญญาพยายามให้อย่าให้อาหารเหลือทำเหมือนประเทศที่เค้าเจริญเค้าจะไม่มีอาหารเหลือ คนจีนสมัยโบราณทานอาหารนี้ไม่ให้เหลือเพื่อจะเข้าถึงความพอเพียงความพอดี

 

การตักอาหารก็ต้องให้มีสติสัมปชัญญะ การตักอาหารก็อย่าให้ช้าเกินเร็วเกินให้อยู่กับความพอดี อย่าไปช้าเกินไปมัวแต่งงอยู่ ผู้ที่อยู่ข้างหลังก็ต้องรู้เข้าใจ อย่าไปกดดันคนอื่นมาก อย่าเอาบาตรดันผู้ที่อยู่ข้างหน้า ผู้ที่เป็นโยมก็อย่าไปเอากามะลังเอาจานผู้ที่เดินหน้า ต้องรู้เข้าใจ เราจะได้มีความสงบมีปัญญา การทำอะไรนี้ต้องรู้เข้าใจ ถึงเราจะทำเป็นหมู่เป็นคณะก็ถือว่าเป็นการไม่คลุกคลี เพราะพระธรรมพระวินัยคือความสงบคือปัญญาคือความไม่คลุกคลี พระธรรมพระวินัยจะเป็นความสงบและปัญญาให้รู้เข้าใจ

 

 ให้เราทั้งหลายพากันระลึกถึงพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านได้บำเพ็ญพุทธบารมีมาหลายล้านชาติมาบอกมาสอนที่ท่านตรัสปัจฉิมโอวาทไว้ว่า

“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”

 

โอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ

ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ

ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู

ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรม ความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบั ไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละ คือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะ

 

 

--------------------------------

โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม

เมตตาให้ไว้ในเช้าวันที่ ๒๙ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

Visitors: 100,722