๓๐ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๓๐ เดือนสิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ ศาสนาพุทธ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ศาสนาคริสต์ ฮิจเลาะห์ศักราช ๑๔๔๖ ศาสนาอิสลาม
วันเสาร์วันอาทิตย์เป็นวันหยุดทำงานของข้าราชการ วันจันทร์อังคารพุธพฤหัสศุกร์เป็นวันทำงานเป็นวันทำธุรกิจ การทำงานทำธุรกิจก็ต้องเอาธรรมนำชีวิต เพื่อพัฒนาธุรกิจพัฒนาใจไปพร้อม ๆ กันให้เป็นทางสายกลาง ให้เป็นธรรมนูญ ประชาธิปไตยก็เสียงข้างมากก็ต้องปรับเข้าหาธรรมาธิปไตย สังคมนิยมชมชอบก็ต้องปรับตัวเข้าหาธรรมะ ธรรมะนั้นได้แก่ธรรมาธิปไตย พัฒนาทั้งใจ พัฒนาทั้งวิทยาศาสตร์ควบคู่พร้อมกันไป มนุษย์เราต้องรู้เหตุรู้ปัจจัย เพราะทุกอย่างนั้นมันคือเหตุคือปัจจัย คือเรื่องของกรรม เรื่องกฎแห่งกรรม เรื่องผลของกรรม เหตุอย่างไรผลย่อมเป็นไปอย่างนั้น เป็นขบวนการของปฏิจจสมุปบาท ที่เป็นจิ๊กซอว์ที่ติดต่อต่อเนื่องด้วยเหตุด้วยปัจจัย ถ้าไม่มีเหตุก็ไม่มีผล
เราทุกคนน่ะมาเน้นการประพฤติการปฏิบัติของเราเอง พากันมามีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ การประพฤติการปฏิบัตินั้นเราต้องรู้เข้าใจ ถ้าเรามองดูคนอื่นก็เพื่อจะเป็นผู้ให้ผู้เสียสละ ธรรมะที่เป็นคารวธรรมที่ดูแลเทคแคร์คนอื่น ที่เป็นเมตตาอย่างไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ กรุณาอย่างไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ มุฑิตาอย่างไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ สิ่งไหนเราแก้ไขไม่ได้เราก็ต้องอุเบกขา เพราะว่าเป็นความประพฤติของเขาเอง เป็นการปฏิบัติของเขาเอง
การประพฤติการปฏิบัติเราต้องรู้ต้องเข้าใจนะ เราต้องเอาพระรัตนตรัยนำชีวิต เพื่อให้สมบูรณ์ทั้งกายวาจากิริยามารยาทรวมลงที่ใจรวมลงที่เจตนา เราต้องพร้อมด้วยทั้งกายวาจากิริยามารยาทพร้อมทั้งใจเพื่อเป็นทางสายกลางระหว่างจิตใจกับวิทยาศาสตร์ การประพฤติการปฏิบัตินั้นให้เราเองปัจจุบัน เพราะอดีตที่ผ่านมาก็มาอยู่ที่ปัจจุบัน อนาคตที่จะไปข้างหน้าก็เนื่องมาจากเหตุปัจจัยในปัจจุบัน เราต้องรู้เข้าใจ ปัจจุบันนี้ถึงเป็นวาระสำคัญแห่งชาติ กายวาจากิริยามารยาทใจนี้ ปัจจุบันเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นวาระแห่งชาติ
ความรู้ความเข้าใจนี้ไม่ใช่ความจำนะ ถ้าความจำมันลืมได้ ถ้าเรารู้เข้าใจมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ ความรู้นั้นจะหยุดสัญชาตญาณที่เป็นนิติบุคคลตัวตน การปฏิบัติธรรมถึงยกเลิกสักกายทิฏฐิที่ถือตัวถือตน ถือว่าเราว่าของ ๆ เรา พ่อแม่ญาติพี่น้องวงศ์ตระกูลเรา
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านปฏิบัติธรรมที่เป็นทางสายกลาง ท่านเอาทั้งทางวิทยาศาสตร์ทั้งทางใจไปพร้อม ๆ กันมันจะเป็นความสงบเป็นปัญญาที่เป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ ความรู้กับการประพฤติการปฏิบัติจะแยกกันไม่ได้ ถ้าแยกกันแล้วจะไม่เป็นปัจจุบันธรรม มันจะเป็นนิติบุคคลตัวตนทันที ความรู้นี้ถึงเป็นความพอเพียงเพียงพอ เป็นความพอดี ไม่มากไม่น้อย อยู่ตรงกลางระหว่างวิทยาศาสตร์กับใจ จะไปเป็นความสงบเป็นความเพียงพอ เหมือนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลยเดชรัชกาลที่ ๙ ของเมืองไทยให้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ อยากได้มากมันก็ไม่มากมันก็เท่าเก่า อยากได้น้อยมันก็ไม่น้อยมันก็เท่าเกา ไม่อยากให้แก่ให้เจ็บให้ตายมันก็เท่าเก่าน่ะ ถ้าจะว่ามากมันก็มากขึ้นอีก เพราะมันทุกข์ทั้งกายทั้งใจ
เราทั้งหลายต้องพากันมาตั้งใจตั้งเจตนา เราต้องรู้เข้าใจ กายวาจากิริยามารยาทนั้นเป็นเพียงอุปกรณ์ใจเท่านั้น การประพฤติการปฏิบัติเราต้องพร้อมทุกแง่ทุกมุม เราต้องเน้นการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน ถ้าเรามีตัวมีตนความลังเลสงสัยมันไม่จบ เพราะตัวตนมันคือความลังเลสงสัย ตัวตนคือปัญญาคือเจ้าปัญหา มันหาเรื่องหาราวให้กับตนเอง หาเรื่องหาราวให้กับคนอื่น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเปรียบทะเลแม่น้ำมหาสมุทรไม่อิ่มด้วยน้ำ ท่านเปรียบเสมือนไฟไม่อิ่มด้วยเชื้อของเพลิง
เราทั้งหลายต้องพากันมาเอาปัญญาบริสุทธิคุณ ปัญญาที่ความสงบและวิทยาศาสตร์ไปพร้อม ๆ กันหรือว่าเอาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นหลักการเป็นโมเดลในการประพฤติการปฏิบัติ เพราะเหตุผลว่า พระพุทธเจ้านั้นไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน พระพุทธเจ้าคือผู้บำเพ็ญพุทธบารมีหลายล้านชาติ หลายล้านปี ท่านรู้เข้าใจ ได้ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้านั้นเข้าถึงความเต็ม เต็ม เต็ม ท่านจุติในพระครรภ์พระราชมารดาก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ วันพระจันทร์เต็มดวง ท่านประสูติก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ วันพระจันทร์เต็มดวง ท่านตรัสรู้วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ วันพระจันทร์เต็มดวง ท่านแสดงธรรมให้ปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ให้เข้าใจเพื่อจะเป็นทางสายกลางระหว่างใจกับวัตถุก็วันเพ็ฐ ๑๕ ค่ำ วันพระจันทร์เต็มดวงเช่นเดียวกัน ท่านบอกกล่าวพุทธบริษัท พระภิกษุ ภิกษุณี สามเณร สามเณรี อุบาสิก อุบาสิกา ว่าอีกสามเดือนข้างหน้าจะเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพานก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ วันพระจันทร์เต็มดวงเช่นเดียวกัน ท่านเสด็จดับขันธ์สู่มหาปรินพพานก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ วันพระจันทร์เต็มดวง
เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจในเรื่องกรรม เรื่องกฎแห่งกรรม เรื่องผลของกรรม เราพากันมามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เหตุผลว่าถ้าเราไม่มีปิติไม่มีความสุขไม่มีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติอันนั้นมันเป็นการไม่ลงตัว เป็นการไม่โอเค คำว่าโอเคเป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นความพอดีเป็นความพอเพียงเป็นความเต็ม เต็ม เต็ม เราถึงต้องมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายจะไม่ได้พากันมีความทุกข์ เพราะความทุกข์คือความไม่เต็ม คือความไม่พอเพียงเพียงพอ เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ไม่เข้าสู่ทางสายกลาง เราปฏิบัติถึงต้องมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เพราะอันนี้มันเป็นปัญญาและความสงบควบคู่กันไป ถ้าเราไม่รู้เข้าใจด้วยปัญญา การประพฤติปฏิบัติมันก็ดับทุกข์ไม่ได้ มันก็เป็นตัวตน ที่แพทย์หมอพยาบาลนักวิชาการที่พัฒนาร่างกายพัฒนาใจบอกว่านี้มันเป็นโรคซึมเศร้า เรามีตัวมีตนทุกคนก็ย่อมเป็นโรคซึมเศร้าเป็นพื้นฐาน
เราต้องรู้เข้าใจ เราทุกคนถึงต้องละสักกายทิฏฐิเพื่อเอาธรรรมนำชีวิตถึงจะเกิดความสงบเกิดปัญญา เกิดความพอดีความพอเพียงเพียงพอ เราต้องรู้เข้าใจ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นตั้งอยู่บนรากฐานของพระไตรลักษณ์ กฎแห่งกรรม ตั้งอยู่ในรากฐานของพระไตรลักษณ์ เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปถึงมี มันอย่างเดียวกับกระแสไฟฟ้า กระแสดินน้ำลมไฟมันอันเดียวกัน
การปฏิบัติของเรานี้ เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงตรัสรู้วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ วันพระจันทร์เต็มดวง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้ทบทวนการประพฤติการปฏิบัติ ท่านได้มองเห็นด้วยปัญญาว่าทุกอย่างนั้นมันคือเหตุคือปัจจัย ท่านถึงได้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความเต็ม ท่านจึงได้เสวยภัตตาหารของนางสุชาดา
เราต้องรู้เข้าใจในเรื่องเหตุเรื่องปัจจัยในกรรมเรื่องกฎแห่งกรรม เรื่องผลของกรรมที่ปรากฎก็ได้แก่ธาตุทั้ง ๔ ดินน้ำลมไฟ ขันธ์ทั้ง ๕ ได้แก่ รูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ อายตนะทั้ง ๖ ตาหูจมูกลิ้นกายใจ เป็นอายตนะภายในตัวของเราเอง อายตนะภายนอกอีก ๖ เป็นสิ่งภายนอก รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะธรรมารมณ์ นี้สิ่งภายนอก เราทั้งหลายต้องพากันรู้กรรมเก่านะ อันนี้ไม่ใช่เราไม่ใช่คนอื่นมันหากเป็นแต่เหตุแต่ปัจจัยเท่านั้น
เราทุกคนต้องพากันเข้าใจ เน้นที่ตัวเราของเราทุกคนให้สมบูรณ์ทั้งอรรถะทั้งพยัญชนะสมบูรณ์ทั้งใจ จะได้เอาความสงบและปัญญามาใช้มาประพฤติมาปฏิบัติ วันเสาร์วันอาทิตย์ที่เป็นวันหยุดของข้าราชการทำงานเดี๋ยวนี้มีเพิ่มขึ้นจากวันต่าง ๆ ครั้งพุทธกาลนี้วันหยุดการทำงานของพุทธบริษัท วัน ๗ ค่ำ ๘ ค่ำ วัน ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ เดือนหนึ่งก็ ๘ วัน ปัจจุบันนี้สมัครสมานสามัคคีเอาวันเสาร์วันอาทิตย์เป็นวันหยุดทำงาน ทุก ๆ ประเทศทำอย่างนี้เหมือนกันหมดเป็นสากล
การประพฤติการปฏิบัติธรรมให้เราเข้าใจ เราจะได้รู้เรื่องกรรมเก่าที่กล่าวมาแล้วนี้ กรรมเก่านี้คือเหตุคือปัจจัยไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน แล้วก็มารู้กรรมเก่า รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะธรรมารมณ์ลาภยศสรรเสริญ มียศเลื่อมยศ มีลาภเสื่อมลาภ มีนินทามีสรรเสริญ อันนี้เป็นกรรมใหม่ ให้เรารู้เรื่องกรรม เพื่อเราจะได้หยุดทั้งกรรมเก่ากรรมใหม่ เพื่อจะได้หยุดขั้วบวกขั้วลบ ความรู้ความเข้าใจนี้เป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ เราต้องรู้เข้าใจ เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรม ทุกคนมีกรรมเป็นพื้นฐาน เรารู้เข้าใจ เราทุกคนจะได้เป็นพระ เป็นพระธรรมเป็นพระวินัย เป็นความสงบและปัญญาไปพร้อม ๆ กัน เป็นการพัฒนาระหว่างใจกับวัตถุไปพร้อม ๆ กันด้วยปิติด้วยความสุขเอกัคคตา เราทั้งหลายต้องทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้
เราทั้งหลายรู้เรื่องกรรมเก่ากรรมใหม่เพื่อไม่ให้กรรมเก่ากรรมใหม่ที่เป็นขั้วบวกขั้วลบนี้ทำงาน เพราะว่ามันเป็นขั้วบวกขั้วลบ สิ่งที่เป็นวัตถุเป็นนิติบุคคลที่มองเห็นก็ได้แก่สุภาพบุรุษสุภาพสตรีนี้เป็นขั้วบวกขั้วลบ พระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่เป็นกรณียกิจ กิจที่เราทั้งหลายต้องทำ ควรทำ อกรณียกิจ กิจที่ทำไม่ได้ ไม่ควรกระทำ เพราะเราต้องรู้เข้าใจในเรื่องอริยสัจสี่
ถ้าเราไม่รู้เข้าใจ เราเอาสัญชาตญาณนำชีวิต เอาทั้งกรรมเก่ากรรมใหม่นำชีวิตมันก็จะเป็จิ๊กซอว์ติดต่อต่อเนื่องมันจะเป็นวัฏฏสงสารนะ มันเวียนว่ายตายเกิด มันไม่จบ มันจะหมุนเป็นวงกลมหมุนรอบตัวเอง เราต้องรู้เข้าใจ ความรู้กับการประพฤติการปฏิบัติเราต้องมีความตั้งมั่น ปฎิบัติติดต่อต่อเนื่องกันให้เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา ไม่ให้ขาดตกบกพร่องไม่ให้ขาดไม่ให้ด่างไม่ให้พร้อยไม่ให้ทะลุ ปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องกันเป็นเวลาหลายเดือนหลายปีถึงจะได้ผล
อย่างไก่ฟักไข่ก็ใช้เวลา ๓ อาทิตย์จะฟักด้วยแม่ของไก่หรือฟักด้วยไฟฟ้าสมัยใหม่ก็ใช้เวลา ๓ อาทิตย์ การทำอะไรติดต่อต่อเนื่องเป็นทั้งความดีเป็นทั้งปัญญาต้อง ๓ อาทิตย์ขึ้นไปถึงจะได้ผลนะ เพราะอันนี้มันคือกรรมคือกฎแห่งกรรมคือผลของกรรม จะฝังอยู่ในธาตุในขันธ์ในอายตนะ
เราต้องรู้เข้าใจ ใจของเรามันคิดได้ทีละอย่าง ตรึกได้ทีละอย่าง ทำอะไรทำได้ทีละอย่าง ถ้าเราเอาความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติมันจะเป็นกรรมดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา เราต้องใช้เวลาติดต่อต่อเนื่องกัน ๓ อาทิตย์ขึ้นไปนะ ตามหลักเหตุผลตามหลักวิทยาศาสตร์
เราต้องรู้เข้าใจ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ เราทั้งหลายก็จะไปตามธาตุตามขันธ์ตามอายตนะ ถ้าเรารู้เข้าใจ เรามีความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ กรรมใหม่และกรรมเก่าก็จะหยุดลงเพียงผัสสะ เพราะเอาทางสายกลางคือความพอเพียง พอดี ความเข้าใจที่เป็นสัมมาทิฏฐิ มันจะหยุดลงด้วยความรู้ความเข้าใจด้วยการประพฤติการปฏิบัติ หลักการในการประพฤติการปฏิบัตินี้เน้นที่ปัจจุบัน เพราะปัจจุบันนี้เป็นฐาน เป็นพื้นเป็นฐาน
เราทุกคนต้องรู้เข้าใจว่าพระธรรมพระวินัยนี้เป็นคุณเป็นประโยชน์มีแต่คุณมีแต่ประโยชน์หาโทษมิได้เลย ถึงเรียกว่าพุทธคุณธัมมคุณสังฆคุณมีแต่คุณ เช่นเค้าเรียกว่าคุณพ่อคุณแม่คุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยาย เค้าถึงได้บัญญัติศัพท์นี้มาใช้กัน พระธรรมพระวินัยถึงมีแต่คุณมีแต่ประโยชน์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงไม่ให้เราตั้งอยู่ในความประมาท เพราะความประมาทนี้ทำให้เราเสียหาย ทำให้เราพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกับตึก สตง.นี้นะ ตึกสตง.สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยใหญ่สูงสามสิบกว่าชั้น ความไม่รู้ไม่เข้าใจเอาความหลงนำชีวิตมันก็ย่อมพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกันกับตึกสตง.นี้แหละ
เราทั้งหลายต้องมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ รู้ทุกข์ เหตุเกิดทุกข์ เราจะได้รู้เข้าใจในการเรียนการศึกษาในการเป็นข้าราชการนักการเมือง เป็นพ่อค้าประชาชน เป็นพระมหากษัตริย์ เป็นนักบวช เราต้องรู้เข้าใจ ถ้าเราไม่รู้เข้าใจมันจะเป็นวัฏฏสงสาร การประพฤติการปฏิบัตินั้นก็เป็นไปเพื่อประกอบทุกข์ อยู่ดี ๆ ก็หาเรื่องหาราวให้กับตัวเอง เค้าถึงเรียกว่า ความไม่รู้ไม่เข้าใจนี้มันจะครอบงำความสงบครอบงำปัญญา ครอบงำปฏิปทาของเรา ชีวิตของเราเลยเป็นอบายมุขอบายภูมิต่ำกว่าภพภูมิของมนุษย์อีก
ท่านพุทธทาสภิกขุเป็นทั้งนักวิทยาศาสตร์ เป็นทั้งจิตวิญญาณพุทธศาสตร์ ท่านถึงประพันธ์เพื่อให้เป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ เราทั้งหลายจะไม่ได้ตกอยู่ในอบายมุขอบายภูมิ ถ้าเราไม่ประพฤติปฏิบัติทางสายกลางระหว่างวัตถุกับจิตใจไปพร้อม ๆ เราจะตกอยู่ในอบายมุขอบายภูมิท่านได้พูดจากใจจากความสงบและปัญญา ท่านได้ประพันธ์เป็นตัวอักษรไว้ว่า
เป็นมนุษย์ เป็นได้ เพราะใจสูง เหมือนหนึ่งยูง มีดี ที่แววขน
ถ้าใจต่ำ เป็นได้ แต่เพียงคน ย่อมเสียที ที่ตน ได้เกิดมา
ใจสะอาด ใจสว่าง ใจสงบ ถ้ามีครบ ควรเรียก มนุสสา
เพราะทำถูก พูดถูก ทุกเวลา เปรมปรีดา คืนวัน ศุขสันติ์จริง
ใจสกปรก มืดมัว และร้อนเร่า ใครมีเข้า ควรเรียก ว่าผีสิง
เพราะพูดผิด ทำผิด จิตประวิง แต่ในสิ่ง นำตัว กลั้วอบาย
คิดดูเถิด ถ้าใคร ไม่อยากตก จงรีบยก ใจตน รีบขวนขวาย
ให้ใจสูง เสียได้ ก่อนตัวตาย ก็สมหมาย ที่เกิดมา อย่าเชือน เอย ฯ
การประพฤติการปฏิบัติเราต้องมีสติเป็นพื้นฐาน มีปัญญาเป็นพื้นฐานเพื่อความสงบและปัญญาไปพร้อม ๆ กัน มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เราต้องรู้เข้าใจ การประพฤติการปฏิบัตินั้นอยู่ที่ความรู้ความเข้าใจ อยู่ที่ไหนก็ปฏิบัติที่นั่นเพื่อได้เข้าถึงความสงบความพอเพียงเพียงพอ ผู้ที่อยู่ในเมืองกรุงก็ปฏิบัตที่เมืองกรุง ผู้ที่อยู่ต่างจังหวัดก็ปฏิบัติที่ต่างจังหวัด ผู้ที่อยู่ป่าอยู่เขาก็ปฏิบัติที่นั่น ให้เรารู้เข้าใจ เราก็จะไปเอาความไม่รู้ไม่เข้าใจนั้นมาประพฤติปฏิบัติ ปริยัติปฏิบัติมันก็ไม่ลงที่ความพอเพียงเพียงพอ มันไม่เข้าถึงความเต็ม เต็ม เต็ม เพราะธรรมะมันคือความสงบคือปัญญา
เราคิดดูดี ๆ นะ ถ้าเราเป็นคนรวยมหาศาล เราเป็นคนฉลาดมาก ๆ ในโลกนี้ไม่มีใครสู้เราได้ ถ้ามีตัวมีตนความทุกข์ก็เหมือนเงาตามตัว ถ้าเราไม่รู้เข้าใจ เราไม่รู้เรื่องเหตุเรื่องผลเอาตัวตนไปประพฤติปฏิบัติก็ย่อมมีความทุกข์อยู่แล้วทุกข์ทั้งกายทั้งใจไปพร้อม ๆ กันสรุปแล้วตัวตนคือความทุกข์นะ เราต้องรู้เข้าใจ คนจนคนรวยถ้ารู้เข้าใจมันก็ดับทุกข์ได้พอ ๆ กันมันอยู่ที่ความสงบความพอเพียงเพียงพออยู่ที่ความเต็ม เต็ม เต็ม
ปัจจุบันนี้ปี ๒๕๖๘ ความเสียหายได้เกิดแก่มวลมนุษย์ทั่วโลกเลย เพราะเอาแต่ตัวเอาแต่ตนเอาแต่ทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้พัฒนาใจไปพร้อม ๆ กัน เสียหายมากเสียหายจริง ๆ ทั้งข้าราชการนักการเมืองทั้งนักบวช นักบวชนี้สละการงานภายนอก ไม่ทำธุรกิจหน้าที่การงานภายนอก เน้นแต่เรื่องสติสัมปชัญญะ เป็นผู้ยกเลิกวัฏฏสงสาร ไม่เอาความชอบความชัว เป็นผู้บวชทั้งกายวาจากิริยามารยาทบวชทั้งใจ นักบวชนี้สำคัญ เราไม่รู้ไม่เข้าใจ เราก็ไม่เห็นคุณเห็นประโยชน์ในพระธรรมในพระวินัย ไปหลงไหลในทางวิทยาศาสตร์ ทางวัตถุ พากันทิ้งพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปทิ้งกิจที่ควรทำ กิจที่ไม่ควรทำไปหมด ไปบวชตั้งแต่กาย กิริยามารยาทใจไม่ได้บวช บวชแต่ร่างกาย บวชอย่างนี้ก็ไม่ใช่พระธรรมไม่ใช่พระวินัย ไม่ใช่พระศาสนา นี้มันคืออัตตาตัวตน
สถาบันของศาสนาขณะนี้เวลานี้กำลังอ่อนแอทั้งพุทธคริสต์อิสลามพราหมณ์ฮินดูกำลังอ่อนแอนะ สังคายนาครั้งที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ก็เนื่องมาจากความไม่รู้ไม่เข้าใจเรื่องเหตุเรื่องปัจจัย เอาความหลงนำชีวิต จึงได้มีสังคายนาครั้งที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๕ การประพฤติการปฏิบัตินี้มันเป็นความสงบและปัญญา ต้องเน้นที่ตัวเรา ไม่ใช่การเรียนการศึกษาเพื่อจะไปบอกบุคคลอื่นบอกผู้อื่น มันต้องเน้นที่ตัวเรา คนอื่นรู้เข้าใจก็เน้นที่บุคคลอื่น การแก้ปัญหามันก็แก้ไม่ยาก
ทุกคนต้องรู้เรื่องอริยสัจสี่ รู้เรื่องทุกข์ เหตุเกิดทุกข์ ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ ทุกคนก็แก้ที่ตัวเอง มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ ความเสียหายนี้ได้เกิดแก่พระศาสนา พากันไปแก้ไขตั้งแต่ภายนอก ให้เรารู้เข้าใจ อย่างเราเป็นคุณพ่อคุณแม่ครูบาอาจารย์ ข้าราชการนักการเมือง นักบวช พระ นี้เราไปแก้คนอื่น อันนี้ถือว่าไม่ถูกต้อง ลูกหลานเค้าถึงเถียงเรา ลูกหลานเค้าไม่โอเค เราคิดดูดี ๆ นะ อย่างนี้เสียหายมาก พระภิกษุสามเณรในปัจจุบันต้องเข้าใจนะ ถ้าไม่เข้าใจแน่นอนนอนแน่มันต้องพังทลายเหมือนตึก สตง. มันต้องเป็นอบายมุขอบายภูมิแน่นอน
เราต้องรู้เข้าใจ เราจะมีพระศาสนาไว้ทำไม เพราะมีพระศาสนาที่เป็นตัวเป็นตน เป็นนิติบุคคลตัวตน พระศาสนามีแต่อ่อนแอนะ ประชุมตั้งแต่เรื่องนารีสีกา ไปประชุมเรื่องสร้างวัดขยายวัดเรื่องโบสถ์เรื่องวิหารเรื่องขอยศขอตำแหน่งมันไปคนละเรื่องเลยกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เอาแต่วิทยาศาสตร์ เอาแต่ตัวแต่ตน เราประพฤติปฏิบัติอย่างนี้ถึงพากันเป็นสมีกับเกือบทุกวัดเลย
คำว่าสมีหมายถึงสามี สามีที่ไม่ได้จดทะเบียน ภรรยาที่ไม่ได้จดทะเบียน ความหมายของสมีเป็นอย่างนั้น เรามีตัวมีตนไม่เอาธรรมนำชีวิตทุกคนก็เป็นสมีทั้งนั้น แล้วแต่กรรมของใครมันจะสุกงอมเร็วกว่ากันเท่านั้นเอง ผู้มาบวชทั้งหลายให้มีความกตัญญูกตเวทีนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบำเพ็ญพุทธบารมีหลายล้านชาติหลายล้านปีกว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า
เราต้องเป็นผู้กตัญญูกตเวทีเป็นผู้มีความสงบไม่กำเริบเสิบสานไม่ยกหูชูงวง เหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสให้กับพระโมคคัลลาฟังว่า เราต้องเอาความสงบกับปัญญาไปพร้อม ๆ กันเป็นปัจจุบันที่เป็นพระธรรมเป็นพระวินัย อย่าไปทำอะไรตามใจตามอัธยาศัย อย่าไปคิดว่าการทำอะไรตามใจตามอัธยาศัยเป็นไทยแท้อันนี้ไม่ใช่นะ มันเป็นความหลง มันเป็นการเอาตัวรอดในทางที่ไม่รอดนะ
เราทั้งหลายทั้งที่เป็นพระวัดบ้านวัดป่า ทั้งฝ่ายเถรวาทมหายาน วัชรญาณ ให้รู้เข้าใจว่าถึงกาลถึงเวลาแล้ว ที่เราจะสมัครสมานสามัคคีกันประพฤติปฏิบัติ ให้รู้เข้าใจว่าความดับทุกข์นั้นอยู่ที่ความสงบและปัญญา ที่เรามีปิติมีความสุขที่เอาพระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ที่เป็นบารมีเบื้องต้นท่ามกลางที่สุด พุทธบารมีทั้งหลายอย่าพากันคิดว่าถ้าปฏิบัติเหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะมีใครทำได้ปฏิบัติได้ ทำไม่ได้ปฏิบัติไม่ได้ก็อย่าพากันมาบวช เพราะการมาบวชนี้ก็ต้องใช้งบประมาณของแผ่นดิน ภาษีอากรของประชาชน ต้องใช้งบประมาณของศรัทธาประชาชนให้การสนับสนุน
พุทธบริษัทต้องเข้าถึงหลักการอุดมการณ์อุดมธรรมเป็น
หลักการในการประพฤติการปฏิบัติ ต้องเน้นเรื่องปัจจุบัน ประชาชนทั้งหลาย นักบวชทั้งหลายอย่าพากันใจอ่อน การปกครองตัวเองปกครองคนอื่นก็ต้องเอาความสงบเอาปัญญา การปกครองถึงมีการปรับไหม มีการขังคุกติดคุกติดตาราง มีการประหารชีวิต เพื่อให้ความสงบและปัญญาไปพร้อม ๆ กันเป็นทางสายกลาง
ทั้งประชาชนทั้งนักบวช นักบวชนี้เป็นสถาบันเรื่องจิตเรื่องใจเรื่องสติเรื่องปัญญาเรื่องสัมมาทิฏฐิ ความรู้ต้องคู่กับการประพฤติการปฏิบัติ ถึงจะเป็นความสงบเป็นปัญญาให้เข้าใจอย่างนี้นะ ถ้ามีความรู้ไม่ได้ปฏิบัติไม่ใช่คนมีสติมีปัญญานะ
ถ้าพุทธบริษัทไม่รู้ไม่เข้าใจ พุทธบริษัทก็ย่อมจะพังทลายอย่างเดียวกันเช่นเดียวกันกับตึก สตง.นะ เราต้องมีสตินะ มีสติสัมปชัญญะ เราอย่าไปอยากมีแต่จะสตางค์ อยากมีสตรี อันนั้นเป็นสีดำสีกานะ สีสกปรก ท่านหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ท่านตรัสว่าเราต้องเอาพระธรรมพระวินัย เอาความสงบและปัญญานำ เพื่อเป็นทางสายกลาง ถ้าไม่อย่างนั้นดีแต่ภายนอก เจตนามันสกปรก ใจมันสกปรก สกปรกมากเหม็นมาก เหม็นมากทีเดียว เหม็น ๓ แดนโลกธาตุเลยทีเดียว
พุทธบริษัททั้งหลายพากันมาคิดดูดี ๆ นะ เราจะได้เน้นที่ตัวของเรานี้แหละ เพราะเราเกิดมาเพื่อมารู้เรื่องโลกเรื่องธรรม เราจะได้สังคายนาตัวเอง ประพฤติปฏิบัติให้ติดต่อต่อเนื่องเป็นความสงบและปัญญา ชีวิตของเราจะได้เข้าถึงทั้งความสงบและปัญญา ให้เรารู้เข้าใจนะ สิ่งที่สัญจรไปมา ธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ มันเป็นเพียงอาคันตุกะที่สัญจรไปมาเท่านั้นนะ สิ่งที่เป็นฐานเป็นพื้นฐานนั้นคือความว่างเปล่าจากตัวตนนะ เราทั้งหลายรู้เข้าใจจะไม่ได้ลิดรอนสิทธิเสรีภาพของคนอื่นสัตว์อื่น เราจะไม่ได้ลิดรอนอะไร อย่างเช่นเราไม่อยากแก่ไม่อยากเจ็บไม่อยากตายนี้ถือว่าเป็นการลิดรอนสิทธิ ไม่รู้จักอริยสัจสี่นะ
เราต้องรู้เข้าใจว่าพระธรรมพระวินัย พระธรรมคำสั่งสอนที่เป็นเบรกเป็นเซฟตี้ ความสงบสมถะนี้เค้าเรียกว่าเบรก สัมปชัญญะตัวปัญญาเรียกว่าก้าวไป กิจที่ควรทำไม่ควรทำคือความสงบและปัญญาจะได้เข้าถึงความว่างความเป็นประภัสสร ให้เรารู้เข้าใจ เราทั้งหลายเกิดมาอายุขัยของเรามันน้อยมากนะ ๑ ศตวรรษคือร้อยปีถือว่าน้อยมาก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราประมาท เพราะความประมาทนี้เป็นความเสียหายเป็นการพังทลายเช่นเดียวกับตึก สตง.นะ
เราทั้งหลายโดยเฉพาะนักบวชทั้งหลายให้รู้เข้าใจ ถ้าปฏิบัติไม่ได้ก็อย่าพากันมาบวช ถ้าบวชปฏิบัติไม่ได้ก็ให้พากันลาสิกขา อย่าพากันเอาพระศาสนาหาอยู่หาหลง ให้เข้าใจว่า ถ้าไม่มีพระก็อย่าให้มันมีโจรก็แล้วกัน เพื่อจะได้พัฒนาสถาบันหลักคือชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ชาติ ศาสน์กษัตริยเป็นหนึ่งเดียวกันเป็นศีลสมาธิปัญญา เป็นการเดินไปด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิ หลักการให้เราเอาอานาปนสตินี้ หายใจเข้าก็ให้เราหายใจเข้าสบาย หายใจออกก็ให้หายใจออกสบาย หายใจเข้าก็เอาออกซิเจนเข้าไป หายใจออกก็เอาของเสียออกไป เพราะสิ่งภายนอกนั้นมีมากมาย ธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ เราจะได้มีหลักการมีความสงบเราจะได้มีปัญญา จะไม่ได้ไปตามผัสสะ ไม่ได้ไปตามสิ่งแวดล้อม ให้มันหยุดลงเพียงผัสสะเท่านั้นนะ เราต้องมีปัญญาสัมมาทิฏฐิอย่างนี้ เราจะได้เข้าถึงธรรมถึงปัจจุบันธรรมเข้าถึงพระนิพพาน ไม่ใช่ปัจจุบันมันเป็นตัวเป็นตน ให้เข้าใจว่าพระนิพพานคือทางเดินของเรา พระนิพพานคือบ้านของเรา ไม่ใช่ความหลงเป็นบ้านของเรานะ
ให้เราระลึกถึงโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนที่ท่านจะเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพานท่านได้ตรัสโอวาทที่สำคัญไว้ว่า
“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”
โอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ
ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ
ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู
ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละคือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะ
-----------------------------
โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
เมตตาให้ไว้ในเช้าวันเสาร์ที่ ๓๐ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา