๓๑ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
วันนี้เป็นวันที่ ๓๑ ของเดือนสิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ เป็นวันสุดท้ายของเดือน วันเสาร์วันอาทิตย์เป็นวันหยุดทำงานของข้าราชการ เพื่อมาเน้นเรื่องจิตเรื่องใจ
วันจันทร์อังคารพุธพฤหัสศุกร์เป็นวันทำงานของข้าราชการ ชีวิตของมนุษย์เราต้องเดินทางสายกลาง เอาวัตถุกับจิตใจเพื่อจะได้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ
การประพฤติการปฏิบัติต้องเอาทั้งทางวัตถุเอาทั้งทางใจไปพร้อม ๆ กันเพื่อทำหน้าที่ประพฤติปฏิบัติเป็นอริยมรรคทั้งกายวาจากิริยามารยาทรวมมาที่ใจ ผู้ประพฤติปฏิบัติธรรมต้องรู้เข้าใจ เพราะทุกอย่างนั้นคือกรรมคือกฎแห่งกรรมและผลของกรรม การประพฤติปฏิบัติถึงเอาทั้งใจเอาทั้งวัตถุไปพร้อม ๆ กัน เพื่อให้เป็นทางสายกลาง เราจะได้ทั้งเรื่องจิตเรื่องใจได้ทั้งวัตถุไปพร้อม ๆ กัน เป็นทั้งความรู้คู่การประพฤติการปฏิบัติ เพื่อให้เป็นทางสายกลางระหว่างทางวิทยาศาสตร์กับทางเรื่องจิตเรื่องใจไปพร้อม ๆ กัน
วันเสาร์วันอาทิตย์เป็นวันหยุดทำงานของข้าราชการเพื่อสร้างเนกขัมมะบารมี มายกเลิกธุรกิจหน้าที่การงาน มาเจริญสติปัฏฐาน มาเจริญสติคือความสงบ มาเจริญสัมปชัญญะคือปัญญา มีทั้งความสงบมีทั้งปัญญา เราทุกคนจะได้พากันเป็นพระกันทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งอาชีพ รวมกันเป็นหนึ่ง เป็นเอกัคคตารมณ์
พระศาสนาทุก ๆ ศาสนามีความหมายอย่างเดียวกัน เป็นทางสายกลางระหว่างนักวิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาวัตถุเป็นการพัฒนาเรื่องจิตเรื่องใจไปพร้อม ๆ กัน
การประพฤติการปฏิบัติของเราถึงจะเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม ยกเลิกสัญชาตญาณที่เป็นนิติบุคคลตัวตน ปัจจุบันเราเจริญสติปัฏฐาน เพื่อให้เกิดความสงบเกิดปัญญา เพราะอดีตที่ผ่านมาก็มารวมกันอยู่ที่ปัจจุบันแล้ว อนาคตที่อยู่ข้างหน้าที่ยังไปไม่ถึง เราต้องรู้เข้าใจมันอยู่ที่ปัจจุบันนี้เอง ปัจจุบันเป็นอย่างไรอนาคตก็ย่อมเป็นอย่างนั้น เราทั้งหลายถึงพากันเข้าใจในเรื่องอริยสัจสี่ เรื่องเหตุเรื่องปัจจัย ตามความเป็นจริง ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ เราก็ประพฤติปฏิบัติไม่ได้ ชีวิตที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์เป็นชีวิตที่ประเสริฐ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจก็ย่อมพังทลายเสียหายเช่นเดียวกับตึก สตง. ของประเทศไทย สำนักงานตรวจเงินของแผ่นดิน เราจะไปแก้ไขตั้งแต่สิ่งภายนอก สิ่งภายนอกเราก็ต้องแก้ไข สิ่งภายในเรื่องจิตเรื่องใจเราก็ต้องแก้ไขเพื่อให้เป็นทางสายกลาง เราจะไปเอาแต่เรื่องธุรกิจหน้าที่การงานนั้นไม่ได้ เราต้องเอาเรื่องจิตเรื่องใจไปพร้อม ๆ กัน เราต้องรู้ต้องเข้าใจ เพื่อเราจะได้เดินทางสายกลาง เพื่อให้พัฒนาทั้งทางวิทยาศาสตร์ที่พัฒนาวัตถุธุรกิจหน้าที่การงานกับเรื่องจิตเรื่องใจใจต้องไปพร้อม ๆ กัน ไม่ให้ขาดตกบกพร่อง เพื่อเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม ใจกับวิทยาศาสตร์ก็ต้องไปพร้อม ๆ กัน เพื่อเป็นธรรมนูญเป็นรัฐธรรมนูญ
เราต้องเข้าใจในเรื่องของหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม ความรู้ต้องคู่กับการประพฤติการปฏิบัติ ถ้าเราเอาแต่การเรียนการศึกษาเอาแต่ความรู้ไม่ปฏิบัติไปพร้อม ๆ กัน เราทั้งหลายจะมีแต่ปัญญา เป็นเพียงนักปรัชญา ไปแก้ไขตั้งแต่สิ่งภายนอก แก้ปัญหาตั้งแต่เรื่องปัจจัย ๔ เรื่องที่อยู่ที่อาศัยเรื่องปากเรื่องท้อง เรื่องลาภยศ เรื่องสรรเสริญ ไปในทางวัตถุไปในทางวิทยาศาสตร์นั้นไม่ได้ เราเป็นนักวิทยาศาสตร์ เราฉลาด เราต้องเรื่องจิตเรื่องใจไปพร้อม ๆ กัน
เราต้องพากันรู้เข้าใจ พากันตั้งใจตั้งเจตนา ให้รู้ให้เข้าใจ เพราะกายวาจากิริยามารยาทอาชีพเป็นเพียงอุปกรณ์ในการประพฤติการปฏิบัติ ต้องให้ทางวิทยาศาสตร์และทางใจไปพร้อม ๆ กันเป็นหนึ่งเป็นเอกัคคตาเข้าถึงความสงบและปัญญา เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เราต้องรู้เข้าใจ ทุกชาติทุกศาสนาก็ต้องพากันปฏิบัติอย่างนี้ เรามีความรู้ความเข้าใจในหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม เราจะได้เน้นมาที่ตัวเรา
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านส่งพระอรหันต์ขีณาสพออกไปเผยแผ่ เพื่อไปบอกสัจจะ ไปบอกความจริงในทางวิทยาศาสตร์ ในเรื่องปัจจัย ๔ ไปบอกเรื่องจิตเรื่องใจให้ปฏิบัติไปพร้อม ๆ กันเป็นอริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐ เป็นผู้ปฏิบัติดีมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง ความสงบและปัญญาจะได้ไปพร้อม ๆ กัน รวมลงที่ปัจจุบัน เพราะทุกอย่างนั้น ให้เรารู้เข้าใจมันเป็นเรื่องของกรรมเรื่องกฎแห่งกรรม เรื่องผลของกรรม มีกรรมเป็นพื้นฐาน กรรมนี้เป็นพื้นฐานที่เค้าชอบคุยกันเค้าว่าเป็นกรรมกร กรรมกรก็ได้แก่กายวาจากิริยามารยาท
เราทั้งหลายต้องเข้าสู่หลักการอุดมการณ์อุดมธรรม มีสมบัติของผู้ดีมีสมบัติคนดี สมบัติของผู้ดี ถ้าเราเอาสัญชาตญาณที่เป็นนิติบุคคลตัวตน เราจะเป็นคนที่ไม่มีคุณสมบัติของผู้ดี เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจนะ การคิดผิด พูดผิด กิริยามารยาทอาชีพผิด บุคคลผู้นี้คือไม่มีคุณสมบัติของผู้ดี เป็นคุณสมบัติของผู้ชั่ว ผู้ที่ไม่รู้ไม่เข้าใจในเรื่องจิตเรื่องใจ เรื่องกรรมเรื่องกฎแห่งกรรมเรื่องผลของกรรม
มนุษย์เราถึงต้องรู้เข้าใจในเรื่องเหตุเรื่องปัจจัย ความรู้ความเข้าใจนี้จะเป็นทุนเรียกว่านายทุน นายทุนทั้งหลายถึงต้องเป็นทั้งคนดี มีสมบัติของผู้ดี มีทั้งความฉลาดให้เป็นหนึ่ง เป็นเอกัคคตา ความสงบและปัญญาจะได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างใจกับทางวิทยาศาสตร์
เราจะได้เป็นกรรมกรที่มีคุณสมบัติของผู้ดี ถ้าเราเอาแต่ทางวิทยาศาสตร์ นายทุนต้องมีปัญญานะ จะได้พัฒนาทั้งวิทยาศาสตร์ทั้งใจไปพร้อม ๆ กัน สัมมาทิฏฐิ ตัวปัญญานี้ ถ้าเราเอาปัญญากับการปฏิบัติไปพร้อม ๆ กัน ถึงจะเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เป็นธรรมนูญรัฐธรรมนูญ ถ้าเราไม่รู้เข้าใจ เราทั้งหลายก็จะเสียเอกราช เสียความเป็นประภัสสร ให้เรารู้ให้เราเข้าใจ ว่าธรรมชาตินั้นย่อมเป็นประภัสสร สิ่งที่สัญจรไปมาคืออาคันตุกะ ธาตุทั้ง ๔ ดินน้ำลมไฟคืออาคันตุกะ ขันธ์ทั้ง ๕ รูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณคืออาคันตุกะ ตาหูจมูกลิ้นกายใจคืออาคันตุกะ เป็นสิ่งภายในให้เราเข้าใจ อาคันตุกะภายนอกก็ได้แก่ รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะธรรมารมณ์ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ มีดีใจเสียใจ ให้เรารู้เข้าใจนี้เป็นเพียงอาคันตุกะ อาคันตุกะภายนอก อาคันตุกะภายนอก
ให้เรารู้ให้เราเข้าใจเรื่องของอาคันตุกะ เราทั้งหลายจะได้พากันรู้อริยสัจ ๔ คือความจริง ทุก ๆ ศาสนาก็พากันรู้พากันเข้าใจ เราทั้งหลายจะไม่ได้เสียเอกราช คำว่าเสียเอกราชก็คือเสียความเป็นประภัสสร เราเอาธาตุทั้ง ๔ เอาขันธ์ทั้ง ๕ เอาอายตนะทั้ง ๖ เอาอายตนะภายนอกอย่างนี้เค้าเรียกว่าเสียเอกราช เราต้องมารู้จักเอกราชด้วยรู้อริยสัจสี่รู้ความจริง เราทั้งหลายจะไม่เอาความหลงนำชีวิต ไม่เอาความผิดนำชีวิต
ถ้าใจของเรามีสติมีปัญญามีสัมมาทิฏฐิ รู้เรื่องอริยสัจสี่ เราถึงจะเข้าใจในเรื่องของชาติศาสน์กษัตริย์ ชาติศาสน์กษัตริย์นี้คือสิ่งเดียวกัน เป็นทั้งวิทยาศาสตร์ที่พัฒนาเรื่องปัจจัย ๔ ที่อยู่ที่อาศัย เพื่อให้การประพฤติการปฏิบัตินั้นดียิ่ง ๆ ขึ้นไป พร้อมทั้งพัฒนาเรื่องจิตเรื่องใจไปพร้อม ๆ กันให้เป็นทางสายกลาง เราทั้งหลายพากันไปเอาแต่ทางภายนอกไม่ได้นะ ต้องเอาเรื่องจิตเรื่องใจไปพร้อม ๆ กัน เราทั้งหลายจะได้มีทั้งความรู้มีปัญญา รู้เรื่องความอนิจจังความไม่แน่ไม่เที่ยง รู้เรื่องอนัตตาไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนเป็นเพียงอาคันตุกะที่สัญจรไปมาทั้งภายนอกภายใน เราทั้งหลายจะได้มีคุณสมบัติของผู้ดีของคนดี ผู้มีปัญญาสัมมาทิฏฐิเราจะได้รู้จักคำว่าชาติศาสน์กษัตริย์ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจชาติศาสน์กษัตริย์ก็ย่อมพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกันกับตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทยนี้
คำว่าชาติก็หมายถึงความเกิด ความเกิดก็มาจากความไม่รู้ไม่เข้าใจในเรื่องอริยสัจสี่ ที่เราไม่รู้เรื่องพระไตรลักษณ์ ไม่รู้จักเรื่องอนิจจัง ความไม่แน่ไม่เที่ยง ไม่รู้เรื่องอนัตตา ว่าสิ่งทุกอย่างนั้นคือเหตุคือปัจจัย ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนนะ ความดีกับปัญญาถึงมารวมกันอยู่ที่ปัจจุบัน ความเกิดนี้ก็มาเนื่องมาจากเรื่องจิตเรื่องใจที่ไม่รู้ไม่เข้าใจ ใจของเราถึงมารู้เรื่องเหตุเรื่องปัจจัยเราจะเอาความหลงนำชีวิตนั้นไม่ได้ มันเป็นวัฏฏสงสาร มันเป็นการเวียนว่ายตายเกิด มันเป็น cycle of life ที่หมุนรอบตัวเอง เช่นเดียวกันกับดวงอาทิตย์หมุนรอบตัวเอง โลกหมุนรอบตัวเอง
ปัญญากับความสงบของเราจะได้เข้าถึงทางสายกลาง มันจะเป็นความพอเพียงเพียงพอ เป็นความพอดี ไม่ตึงเกินไปไม่หย่อนเกินไป เป็นทางสายกลาง ความสงบกับปัญญานี้จะเป็นความพอเพียงเพียงพอ ความรู้ความเข้าใจนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ เราเข้าใจแล้วก็ต้องมีการประพฤติการปฏิบัติควบคู่กันไป เอาความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ ด้วยปิติด้วยสุขด้วยเอกัคคตาเพื่อเป็นหนึ่งเดียว เราทั้งหลายถึงจะดับทุกข์ได้ในปัจจุบัน เราคิดดูดี ๆ นะ เมื่อปัจจุบันเราไม่มีปัญญาสัมมาทิฏฐิ เอาสัญชาตญาณนำชีวิต เอาความผิดนำชีวิต
ความสงบนี้แหละคือสมถะ ปัญญานั้นวิปัสสนา สมถะกับวิปัสสนาต้องเป็นหนึ่งเดียว เราถึงจะหยุดอวิชชาหยุดความหลงได้ เราทั้งหลายจะเป็นมนุษย์ทั้งกายทั้งใจ ไม่ขาดตกบกพร่องทั้งอย่างต้นอย่างกลางอย่างละเอียด
ใจของมนุษย์ต้องเอาทางสายกลางนำชีวิต เอาความสงบและปัญญา ใจของสัตว์เอาความหลงนำชีวิต เอาความผิดนำชีวิต ให้เรารู้เข้าใจในเรื่องปัจจุบัน มนุษย์เราความคิดคำพูดกิริยามารยาทอาชีพทำได้ทีละอย่าง มันเป็นวาระ ๆ ไป ถ้าเรารู้หลักการประพฤติการปฏิบัติ เอาสมถะกับวิปัสสนาควบคู่กันไป เราทั้งหลายจะไม่ได้ไปตามผัสสะ ทั้งภายนอกภายใน เป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ ต้องปฏิบัติที่ปัจจุบัน เพื่อไม่เอาความผิดไม่เอาความหลงนำชีวิต
ความรู้ถึงเป็นคู่กับการประพฤติการปฏิบัติ ปริยัตินี้มีความหมายเพื่อให้รู้อริยสัจสี่ มีปัญญารู้เรื่องเหตุเรื่องปัจจัย เป็นผู้รู้แจ้งในเรื่องทางวิทยาศาสตร์ เป็นผู้ที่รู้แจ้งในเรื่องโลกุตรธรรม เป็นธรรมะที่หยุดวัฏฏสงสารที่เป็นสมถะเป็นวิปัสสนา เป็นความสงบและเป็นปัญญา การประพฤติการปฏิบัติต้องเน้นที่ปฏิปทา ทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพเน้นที่ใจ ตั้งอยู่ในความไม่เพลิดเพลินตั้งอยู่ในความไม่ประมาท เพราะความประมาทความเพลิดเพลินนั้นเป็นสิ่งที่เสียหาย จะทำให้พังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกันกับตึก สตง.สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทย
รู้เข้าใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมันเป็นของชั่วครู่ชั่วยาม มันเป็นการสัญจรของธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ เป็นความสัญจรทางอายตนะภายนอก มันสัญจรไปมา มันเป็นอาคันตุกะเท่านั้นนะ ทั้งความรู้ความเข้าใจที่เป็นทั้งสมถะเป็นทั้งวิปัสนาถึงเป็นสิ่งที่มีคุณมีอุปการคุณ สิ่งที่เป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา ความรู้ความเข้าใจนี้เราถึงเห็นคุณเห็นประโยชน์ของสติสัมปชัญญะ สติสัมปชัญญะนี้ถึงเป็นธรรมะที่เป็นอุปการมากแก่เราทุก ๆ คนนะ
ถ้าเราไม่มีสติไม่มีสัมปชัญญะ เราก็ย่อมไปตามผัสสะ ผัสสะนั้นให้เรารู้เข้าใจนะ ผัสสะนั้นมีทั้งภายนอกภายใน ไม่ใช่ผัสสะภายนอกอย่างเดียว เราทั้งหลายมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ เพื่อเราจะไม่ได้ไปตามผัสสะภายนอกภายใน ไปตามสิ่งภายนอกภายใน ที่เป็นสิ่งแวดล้อมทั้งภายนอกภายใน ความรู้ความเข้าใจนี้มันจะดับลงเพียงผัสสะ เพื่อไม่ให้ความปรุงแต่งที่เป็นเวทนาได้ทำงาน จะได้เป็นสมถะคือความสงบ จะได้เป็นสัมปชัญญะตัววิปัสสนา เป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นปัญญาที่ประกอบด้วยความดี เป็นความพอดี เป็นความพอเพียงเพียงพอ ไม่ตึงเกินไปไม่หย่อนเกินไป เปรียบเสมือนสายพิณสายกีต้าร์ถ้าตึงเกินไปก็ขาด ถ้าหย่อนเกินไปเสียงพิณเสียงกีต้าร์มันก็ไม่เพราะ
เราทั้งหลายต้องพากันมารู้ความจริงในชาติคือความเกิด เราจะได้หยุด เรื่องความรู้ความเข้าใจจะได้จบลงเพียงผัสสะ ถ้าเราไม่มีความสงบและปัญญา เราก็ปล่อยให้เกิดเวทนา ความชอบความไม่ชอบ ความชอบความไม่ชอบคือสิ่งเดียวกัน ที่เป็นเวทนา เราทั้งหลายต้องให้หยุดลงได้ด้วยปัญญาและการประพฤติการปฏิบัติ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงให้เรารู้เข้าใจ เราจะไม่ได้เอาความหลงนำชีวิตเอาความผิดนำชีวิต ต้องเอาความสงบและปัญญา เราจะได้เป็นมนุษย์ได้ทั้งกายวาจากิริยามารยาท เป็นมนุษย์ได้ทั้งใจ เราจะได้เดินทางสายกลาง ไม่เอาเวทนา คือความชอบและความชังนำชีวิต เราทั้งหลายจะไม่ได้ตรึกนึกคิดในกามตรึกในพยาบาท การตรึกในกามในพยาบาทนี้
ให้เรารู้เข้าใจ ใจของเรามันเป็นนามธรรม ไม่มีใครรู้กับเรา แต่เราเป็นผู้นะ เราจะปกปิดใครนั้นถ้ากรรมยังไมสุกงอมนั้นจะปกปิดคนอื่นได้ด้วยวิธีการต่าง ๆ แต่ปกปิดตัวเองไม่ได้นะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงไม่ให้เราตรึกนึกคิดในกาม ไม่ให้ตรึกนึกคิดในพยาบาท เพราะกามและพยาบาทนั้นมันเป็นกระบวนการของวัฏฏสงสารมันเป็นการเวียนว่ายตายเกิด
มันเป็นครอบครัว คำว่าครอบก็หมายถึง หยุดครอบงำสติปัญญาของเรา ปัญญาของเราถูกธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะภายในภายนอกถูกครอบงำถึงมีศัพท์ครอบครัว กายนี้ไม่มีครอบครัวแต่หัวใจมันก็มีครอบครัว ที่ตึกในกามในพยาบาทคือหัวใจมันมีครอบครัว หัวใจมันมีลูกมีเมีย หัวใจมันมีลูกมีผัว
เราทั้งหลายถึงจะไปตรึกในกามในพยาบาทนั้นไม่ได้ เพื่อเราจะได้หยุดกามหยุดพบาบาท ความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาปถึงเป็นเบรกเป็นความหยุด หยุด้วยความรู้ความเข้าใจเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เราจะไม่ได้เสียความเป็นประภัสสร สติปัญญาของเราจะไม่ได้ถูกครอบงำ
เราทั้งหลายพากันมารู้เหตุรู้ปัจจัย เข้าใจในเรื่องโจทย์ โจทย์นั้นหมายถึงเหตุถึงปัจจัย เรามาเข้าใจในข้อตอบ พระธรรมพระวินัยนี้ถึงเป็นเบรก ถึงเป็นเซฟตี้ รถก็ต้องมีเบรก เครื่องบินก็ต้องมีเบรก เรือก็ต้องมีเบรก ถ้าไม่มีเบรกก็ย่อมอุบัติเหตุ เพราะเหตุปัจจัยไมมีเบรก ความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินี้จะเป็นเบรก เป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นคุณสมบัติของผู้ดี ให้ข้าใจน ถ้าเราตรึกนึกคิดในเรื่องกรรมเรื่องพยาบาทนี้ไม่ใช่คุณสมบัติของผู้ดี ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบปฏิบัติตรงปฏิบัติเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม
เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสาร ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ เราทั้งหลายก็จะเห็นภัยในวัฏฏสงสาร เราทั้งหลายจะเป็นพระไม่ได้ ความหมายของคำว่าพระคือผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เมื่อเห็นภัยในวัฏฏสงสารแล้วก็ต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ กาประพฤติการปฏิบัติให้เราเข้าใจนะถ้าเรามีธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ ภายนอกภายในรวมกันเป็น ๑๒ นั่นแหละคือการประพฤติการปฏิบัติของเรา
เริ่มต้นสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้องรู้ เหตุรู้ปัจจัยรู้อริยสัจสี่ ไม่ตรึกในกามในพยาบาท ทุกคนก็จะเป็นผู้มีเบรก คือมีสมถะคือความสงบ มีปัญญาที่ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ เป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นปัญญาที่ประกอบด้วยความดี เป็นผู้มีคุณธรรม มีสมบัติของผู้ดี
เราทั้งหลายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเตือนเราทั้งหลายว่าอย่าได้ประมาท ปัจจุบันนี้เป็นวาระสำคัญเป็นวาระแห่งชาติ เราทั้งหลายอย่าพากันประมาท เพราะชีวิตของเราเป็นของชั่วคราว อายุขัยปัจจุบันนี้ก็อยู่ได้ร่วม ๆ ร้อยปี คือ ๑ ศตวรรษ ถ้าเรารู้เข้าใจ มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เอาความสงบและปัญญานำชีวิต ชีวิตของเราก็ย่อมอยู่ได้มากกว่า ๑ ร้อยปี
ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ เราก็เป็นมนุษย์ผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสารไม่ได้ เป็นเทวดาผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสารไม่ได้ เป็นพระพรหมผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสารไม่ได้นะ ความไม่ประมาทความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาปจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ
เราทั้งหลายต้องเห็นความสำคัญในเรื่องปัจจุบัน อย่าไปประมาท ต้องทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ด้วยปิติด้วยความสุขด้วยเอกัคคตา ที่ไม่ตั้งอยู่ในความประมาท เพราะความประมาทคือความผิดพลาดให้เข้าใจ เราต้องหยุดสัญชาตญาณด้วยความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ ความไม่รู้ไม่เข้าใจนี้คือยานในการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสาร ความรู้ความเข้าใจนี้จะหยุดสัญชาตญาณ จะเป็นพุทธคุณ ธัมมคุณ สังฆคุณ มีแต่คุณมีแต่ประโยชน์หาโทษไม่ได้ ไม่มีโทษเลย มีแต่คุณ เค้าถึงใช้ศัพท์ว่าคุณ คุณพ่อคุณแม่คุณปู่คุณตาคุณย่าคุณยาย ผู้ที่มาบรรพชาอุปสมบท เค้าถึงเรียกศัพท์ว่าคุณ ไม่มีโทษ มีแต่คุณ เพราะพระธรรมพระวินัยมีแต่คุณมีแต่ประโยชน์
เราไม่รู้เข้าใจในเรื่องคุณเรื่องประโยชน์เราถึงเอาสัญชาตญาณนำชีวิต เอาความผิดนำชีวิต เราต้องรู้เข้าใจว่าทุกอย่างนั้นมีทั้งคุณทั้งโทษ ผู้ที่ทำอะไรช้าก็ต้องมีความสงบและปัญญา ผู้ที่ทำอะไรรวดเร็วว่องไวก็ต้องมีความสงบและปัญญา ปฏิปทาในการประพฤติการปฏิบัติที่รู้เรื่องอริยสัจสี่
เราถึงพากันมาเน้นที่ปัจจุบัน เพื่อเอาความบกพร่องมาแก้ไข เพื่อเอาปัจจุบัน เพื่อเราจะได้เอาปัจจุบันให้ดีขึ้น รู้เรื่องอริยสัจสี่ จะได้เอาความสงบและปัญญา จะได้ยกเลิกนิวรณ์ทั้ง ๕ อคติทั้ง ๔
นิวรณ์ทั้ง ๕ ก็ได้แก่
๑. กามฉันทะ คือหมกมุ่นครุ่นคิดในเรื่องกาม นี้คือวัฏฏสงสารคือหัวใจมีครอบครัวร่างกายไม่มีแต่จิตใจมันมี จิตใจมีลูกมีผัวมีเมีย มีลูกมีผัวมีเมียเต็มบ้านเต็มเมืองเต็มโลกเลย นี้คือผู้ที่ตึกในกาม ให้เข้าใจนะ เราต้องรู้อริยสัจสี่ เราทั้งหลายจะไม่ได้ตรึกในกาม อย่างพระอรหันต์ขีณาสพท่านจะไม่ตรึกในกาม ผู้ที่เป็นพระอรหันต์ถึงยกเลิกการมีน้ำอสุจิ พระอรหันต์ที่เป็นสุภาพบุรุษจะไม่มีน้ำอสุจิ พระอรหันต์ที่เป็นสุภาพสตรีเป็นผู้หญิงถึงยกเลิกไม่มีประจำเดือน เพราะได้หยุดสัญชาตญาณ ไม่ตรึกไม่กาม รู้เข้าใจ เห็นภัยในวัฏฏสงสาร จะไม่ตรึกในกาม เมื่อเราหยุดตรึกในกามแล้ว สิ่งเหล่านี้ก็ไม่มี เราทั้งหลายต้องรู้จักอริยสัจสี่นะ ถ้าเรารู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์เราทั้งหลายจะได้ตรึกในกามไม่หมกมุ่นในกาม เราจะได้หยุดวัฏฏสงสาร เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เราจะได้ข้ามสัญชาตญาณ ยานที่มันเป็นวัฏฏสงสาร ยานที่มันเป็นนิติบุคคลตัวตน ยานที่หัวใจมีลูกมีผัวมีเมีย มีเรามีคนอื่น เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสารอย่างไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ
พอใจยินดีลุ่มหลงในกาม กามนี้หมายถึงอวิชชาความหลงมันเป็นตัวเป็นตน ถึงได้มีการเวียนว่ายตายเกิด มีความลุ่มหลงในธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ อายตนะภายนอก ๖ รวมกันเป็น ๑๒
กามนี้ให้เราเข้าใจนะ มันเป็นขั้วบวกขั้วลบเหมือนกระแสไฟฟ้า กระแสไฟฟ้านี้มันมีขั้วบวกขั้วลบ เราต้องรู้จักขั้วบวกขั้วลบนะ เราจะได้หยุดกรรมเก่าไม่สร้างกรรมใหม่ด้วยความรู้ความเข้าใจ ที่เราไม่ตรึกนึกคิดในกามไม่หมกมุ่นในกาม ที่เป็นขั้วบวกขั้วลบ ขั้วบวกขั้วลบมันเป็นกระบวนการของวัฏฏสงสาร เราอย่าให้กรรมเก่ากรรมใหม่เปรียบเสมือนกระแสไฟฟ้า ที่เป็นขั้วบวกขั้วลบ ขั้วบวกขั้วลบนี้ที่เป็นของคู่ เช่นสุภาพตรีก็เป็นคู่กับสุภาพบุรุษ เช่นเรามีความดีใจ ถ้าเรามีความดีใจก็ต้องมีความเสียใจ เพราะอันนี้มันเป็นกรรมเป็นกฎแห่งกรรมเป็นผลของกรรม กรรมนี้คือขั้วบวกขั้วลบ เราทั้งหลายต้องจบลงที่ผัสสะ รู้เรื่องอริยสัจสี่ มีความสงบและปัญญา เราต้องหยุดด้วยพระธรรมพระวินัย
เราไม่รู้ไม่เข้าใจในเรื่องขั้วบวกขั้วลบในสิ่งที่ตรงกันข้าม ต้องรู้เรื่องขั้วบวกขั้วลบนะ อย่างเช่นเพศหญิงเพศชายนี้มันเป็นขั้วบวกขั้วลบ มันเป็นกาม เป็นสัญชาตญาณเป็นนิติบุคคลตัวตนเป็นวัฏฏสงสาร กามนี้เป็นเรื่องไม่อิ่มไม่พอไม่เต็มนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่าเปรียบเสมือนทะเลมหาสมุทรไม่อิ่มด้วยน้ำ เปรียบเสมือนไฟไม่อิ่มด้วยเชื้อ มันจะมีความบกพร่องอยู่ตลอดกาลตลอดเวลา มีแต่ทุกข์เกิดขึ้นทุกตั้งอยู่ทุกข์ดับไปนะ เพราะกามนั้นคือความทุกข์ กามนั้นไม่ใช่ความสุขนะ กามนั้นคือความหลง ด้วยเหตุผลนี้การปฏิบัติของเราการทำความเพียรของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราทั้งหลายตรึกในกาม กามนี้ไม่ใช่ในเรื่องทางเพศอย่างเดียว
ถ้าเรามีความอยากความต้องการ ถือว่าเป็นเรื่องของกาม เช่นเราอยากร่ำอยากรวย อยากได้อยากมีอยากเป็น อยากเด่นอยากดัง อยากจะได้ลาภได้ยศได้ตำแหน่ง อย่างนี้เค้าเรียกว่ากาม เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้พัฒนาทางวิทยาศาสตร์เพื่อไม่ให้หลงในกาม เพราะทุกอย่างนั้นเราจะไปหลงไม่ได้เพราะทุกอย่างนั้นเป็นกรรมเป็นกฎแห่งกรรมเป็นผลของกรรมเดี๋ยวเราจะเอาตัวรอดในทางที่ไม่รอดนะ ไม่เห็นใครรอดซักคนเลย มีความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพรากทั้งนั้น ไม่มีใครรอดสักคนนะ เราเกิดมา เราต้องรู้เข้าใจนะว่าเราเกิดมาทำไม เราต้องรู้เข้าใจ เพื่อจะได้ทำที่สุดแห่งความไม่มีทุกข์ทั้งกายทั้งใจ สิ่งที่เป็นกามนั้นจะได้มีคุณ ด้วยเห็นภัยในวัฏฏสงสาร เราต้องรู้เข้าใจเรื่องอริยสัจสี่อย่างนี้ ให้มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เมื่อผ่านไปแล้วก็ให้เราปล่อยให้เราวาง ไม่ให้ยึดมั่นถือมั่น เราต้องก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจที่เป็นมรรคเป็นอริยมรรค เป็นผู้รู้เข้าใจ เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เราไม่ต้องหลงอยู่หยุดอยู่จมอยู่ตรึกในกาม นักวิทยาศาสตร์ต้องไม่ตรึกในกามนะ ไม่หมกมุ่นในกาม มนุษย์เราคือผู้ที่ประเสริฐ ต้องรู้ทั้งสิ่งภายนอกภายใน จะได้มีแต่คุณมีแต่ประโยชน์ ทางวิทยาศาสตร์ก็พัฒนาให้มีความสุข ทางใจก็พัฒนาให้มีความสุขให้เป็นทางสายกลางอย่างนี้ เมื่อมันผ่านไปแล้วให้เราปล่อยเราวาง ไม่ให้อดีตมามีอิทธิพลต่อเรา เราต้องปล่อยเราต้องวาง เพราะว่ามันเกษียณไปแล้วสิ้นไปแล้ว
๒. ปฏิฆะพยาบาท มนุษย์เราเอาความหลงนำชีวิต เอาความผิดนำชีวิต ไม่เอาความดีและปัญญาไปพร้อม ๆ กันให้เรารู้เข้าใจ ถ้าเราไม่รู้เข้าใจมันก็จะเป็นขั้วบวกขั้วลบ เราต้องรู้เรื่องพระไตรลักษณ์ เพราะทุกอย่างนั้นเราต้องรู้เรื่องว่าทุกอย่างนั้นมันเป็นกรรมเป็นกฎแห่งกรรมเป็นผลของกรรม ถ้าเรามีความหลงเอาตัวตนนำชีวิตทุกอย่างนั้นย่อมไม่ได้ไปตามปรารถนา เพราะอนิจจังทุกขังอนัตตามันจะได้ตามปรารถนานั้นได้อย่างไร เราต้องรู้เรื่องเหตุเรื่องปัจจัยนะ ปัญญาสัมมาทิฏฐิเราต้องรู้เรื่องกามรู้เรื่องพยาบาท สองอย่างนี้ก็คืออันเดียวกันนี้แหละที่เป็นนิติบุคคลเป็นตัวเป็นตนมันเป็นขั้วบวกขั้วลบให้รู้เข้าใจ เราทั้งหลายต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสาร จะได้หยุดปฏิฆะ หยุดพยาบาท ต้องมีเมตตาต่อตนเอง มีเมตตาต่อคนอื่นด้วยการรู้อริยสัจรู้ทุกข์รู้เหตุเกิดทุกข์รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์เราทั้งหลายจะไม่ได้ตรึกในกามตรึกในพยาบาท
เมื่อเรามีกามเราก็ต้องมีพยาบาทให้เรารู้เข้าใจนะ เราไปเอาความสุขจากความหลง มันเป็นขั้วบวกขั้วลบ ความปรุงแต่งคือขั้วบวกขั้วลบให้เราเข้าใจ ถ้าเราไม่เข้าใจมันก็จะมีปฏิฆะมีพยาบาท มันเป็นสงครามอยู่ในตัวนะ สงคราคือความไม่สงบ ให้รู้เข้าใจ สงครามทางภายนอกนี้เราต้องรู้จักสงครามภายใน ความไม่สงบเรียกว่าสงคราม มันรบกันตลอดเลย เราคิดดูดี ๆ สิ ประเทศไหนมีสงครามประเทศนั้นก็ไม่เจริญ เราเอาความหลงนำชีวิต ก็ย่อมมีสงครามก็ย่อมไม่สงบ ความไม่สงบคือความไม่เพียงพอพอเพียงนะ ให้เรารู้เข้าใจ ให้เราเข้าใจง่าย ๆ อย่างนี้ให้เราเข้าสู่หลักการในการประพฤติการปฏิบัติเราจะไม่ได้ตรึกนึกคิดในเรื่องกามในเรื่องพยาบาท เราต้องรู้อริยสัจสี่อย่างนี้เราจะได้หยุดด้วยความรู้ความเข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ
ให้เรารู้เรื่องสงครามนะ ความอยากและความไม่อยากนั้นแหละคือสงคราม เราจะหยุดสงครามเราต้องรู้เข้าใจ สงคราที่เอาความอยากนำชีวิต อยากให้ได้ตามใจตามปรารถนานั่นแหละคือสงคราม เมื่อมันไม่ได้ตามใจตามปรารถนามันก็เกิดปฏิฆะ เกิดพยาบาทนะ มันเป็นสงครามน่ะ สงครามระหว่างคนสองคน หรือว่าหลายคน หรือระหว่างประเทศ หรือสงครามโลก ตัวตนนี้แหละมันเป็นสงคราม มันรบกันอยู่ตลอดเวลา ตัวตนนี้แหละให้รู้เข้าใจ ตัวตนนี้เป็นรัฐประหาร มันประหารตัวเองมันระเบิดตัวเอง สงครามนี้เป็นความไม่สงบ ความไม่สงบเปรียบเสมือนสีดำเทา ตัวตนนั้นคือสีดำสีเทา ตัวตนคือความมืด ตัวตนเปรียบเสมือนคนตาบอด มีแต่ตาเนื้อตาหนังไม่มีตาปัญญา ตัวตนมันจะไปแก้ไขแต่สิ่งภายนอก ไม่ได้แก้ไขใจไปพร้อม ๆ กัน ชีวิตย่อมพังทลายเช่นเดียวกันอย่างเดียวกันกับตึก สตง.
ให้เราทั้งหลายระลึกถึงโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพานท่านได้ตรัสโอวาทสำคัญครั้งสุดท้ายไว้ว่า
“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”
โอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ
ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ
ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู
ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละคือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะ
----------------------------------------
โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
เมตตาให้ไว้ในเช้าวันอาทิตย์ที่ ๓๑ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา