๓ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
วันนี้เป็นวันพุธที่ ๓ เดือนกันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
ในชีวิตประจำวันพุทธบริษัททั้งหลายต้องเอาธรรมนำชีวิต พัฒนาทั้งทางวิทยาศาสตร์ พัฒนาทางเรื่องจิตเรื่องใจไปพร้อม ๆ กันเพื่อให้เป็นทางสายกลางระหว่างวิทยาศาสตร์ที่เป็นวัตถุระหว่างจิตใจให้ไปพร้อม ๆ กัน มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ตั้งใจตั้งเจตนาเพราะเหตุผลว่ากายวาจากิริยามารยาทอาชีพเป็นเพียงอุปกรณ์ของการประพฤติการปฏิบัติ จิตใจของเราต้องเอาธรรมนำชีวิตถึงจะเกิดความสงบเกิดปัญญา ถึงจะเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม ปัจจุบันเป็นวาระแห่งชาติ อดีตก็มารวมอยู่ที่ปัจจุบันแล้ว อนาคตที่ยังไปไม่ถึงก็มาจากปัจจุบันนี้เอง
กายวากิริยามารยาทใจคิดได้ทำได้ทีละอย่างเราต้องตั้งใจตั้งเจตนา สิ่งที่ผ่านมาบกพร่องในส่วนไหนเราต้องหยุด สิ่งไหนมันถูกต้องให้เราตั้งใจประพฤติตั้งใจปฏิบัติ จะไม่ได้เอาความผิดนำชีวิต จะได้เอาทางสายกลางนำชีวิต
ให้รู้ให้เข้าใจ เพราะทุกอย่างนั้นคือเหตุคือปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปถึงมี เราทั้งหลายจะได้พากันเป็นมนุษย์ มนุษย์นี้ความหมายจากต่างความเป็นคนนะ คำว่าคนทำทั้งดีทั้งชั่วทั้งผิดทั้งถูกระคนกันไปหมด เดินไปข้างหน้าแล้วก็ถอยกลับมาอย่างเก่า อย่างนี้เค้าเรียกว่าคน มนุษย์คือผู้ที่เข้าใจเห็นภัยในวัฏฏสงสาร เพื่อหยุดสัญชาตญาณในการเวียนว่ายตายเกิด
เราทั้งหลายจะเอาธาตุเอาขันธ์เอาอายตนะเป็นเรานั้นไม่ได้ เพราะธาตุขันธ์อายตนะนั้นเป็นเพียงอาคันตุกะที่สัญจรไปมาตามวาระกรรมของกฎแห่งกรรมและก็เป็นผลของกรรม ให้เรารู้เรื่องกรรมเรื่องกฎแห่งกรรมเรื่องผลของกรรม เมล็ดพันธุ์ถ้าเราปล่อยให้เจริญเติบโตมันแก่มันย่อมสุกงอมร่วงหล่อนมันย่อมไม่ทัน ถ้าเมล็ดอ่อนก็เอาไปปลูกไม่ได้ ยังไม่ห่ามไม่สุก ไม่สามารถที่จะเอาไปทำพันธุ์เพาะพันธุ์ได้
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้พวกเราเข้าใจในเรื่องเหตุเรื่องผล รู้กระบวนการเพื่อเราจะได้รู้หลักการในการประพฤติการปฏิบัติ เราทุกคนต้องพากันเอาความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ การปฏิบัติของเราต้องเอาหลักการขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านให้บำเพ็ญพุทธบารมีหลายล้านชาติ หลายล้านปี ได้มาบอกมาสอนเรื่องอริยสัจสี่ เรื่องทุกข์ เรื่องเหตุทุกข์ เรื่องข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
เราทุกคนต้องตั้งใจตั้งเจตนาพากันประพฤติปฏิบัติเอาเอง เพราะไม่มีใครประพฤติปฏิบัติแทนกันได้ พระพุทธเจ้าก็เป็นเพียงผู้บอกผู้สอน พระอรหันต์ขีณาสพท่านก็เป็นเพียงผู้บอกผู้สอน เรารู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ เราจะได้ก้าวไปด้วยทางสายกลาง ถึงจะเดินช้าเดินเร็วก็ต้องให้ถูกทาง ถ้าเอาตัวเอาตนเอาสัญชาตญาณนำชีวิตมันไม่ใช่ทาง มันไม่มีทาง มันเป็นทางตันนะ ตัณหาน่ะ หาเรื่องหาราวให้กับตัวเองยังไม่พอ หาเรื่องหาราวให้คนอื่น
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เราต้องเอาความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ เราเข้าใจเรื่องอริยมรรคหนทางที่ประเสริฐ ตั้งใจตั้งเจตนา อันไหนไม่ดีไม่พูดไม่ทำ กิริยามารยาทอาชีพไม่ดีไม่ถูกต้องไม่ทำ พากันเจริญสติสัมปชัญญะ สติคือความสงบ ความสงบนี้เป็นสมถะ สัมปชัญญะคือตัวปัญญา สติกับสัมปชัญญะต้องไปพร้อม ๆ กัน ถ้าเราไม่มีสติไม่มีสัมปชัญญะ เราจะหยุดกรรมไม่ได้ เราทั้งหลายต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสารเพื่อไม่เอาสัญชาตญาณนำชีวิต เอาสติคือความสงบ เอาสัมปชัญญะนำชีวิต
ให้เราทุกคนพากันเข้าใจนะ ทุกคนน่ะทำได้ปฏิบัติได้ ไม่มีใครทำไม่ได้ปฏิบัติไม่ได้ ผู้ที่ทำไม่ได้ปฏิบัติไม่ได้ก็มีแต่คนบ้าคนสมองเสีย ส่วนราชการส่วนทางศาสนาเค้าถึงไม่เอาเรื่องกับคนบ้า คนที่เอาสัญชาตญาณที่เป็นนิติบุคคลตัวตน คือบุคคลที่ทำไม่ได้ปฏิบัติไม่ได้นะ
เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจเรื่องเหตุเรื่องปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงให้พุทธบริษัทพากันรู้อริยสัจสี่ รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ผู้ที่ละบ้านละเรือนไปบรรพชาอุปสมบท ท่านให้หลักการอุดมการณ์อุดมธรรม เอาพระธรรมเอาพระวินัยเพื่อให้เป็นความสงบเป็นปัญญานำชีวิต ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่าเธอทั้งหลายจงพากันประพฤติพรหมจรรย์เถิด พรหมจรรย์คือพระธรรมคือพระวินัย เป็นทั้งคำสั่งเป็นทั้งคำสอน เป็นกรณียกิจ กิจที่ควรทำ เป็นอกรณียกิจ กิจที่ไม่ควรทำ
เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจในกิจที่ควรทำไม่ควรทำ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงให้เราไม่ตรึกในกามไม่ตรึกในพยาบาท เพราะกามและพยาบาทนั้นคือสิ่งเดียวกันคือนิติบุคคลตัวตน ถ้าเราเจริญสติสัมปชัญญะติดต่อต่อเนื่องก็จะเป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา เป็นความดีเป็นบารมี ๑๐ ทัศ ๒๐ ทัศ ๓๐ ทัศ ถ้าเราไม่รู้เข้าใจ เราก็ปล่อยไปตามสัญชาตญาณ เหมือนกับเมล็ดพันธุ์ของต้นไม้ก็ย่อมเจริญเติบโต แก่ สุก ร่วงหล่นลงสู่พื้นดิน ความรู้ความเข้าใจในเรื่องพระธรรมพระวินัยทุกคนต้องคอนโทรลตัวเอง มีปิติมีความสุขในการคอนโทรลในการปฏิบัติของตัวเอง การเจริญสติสัมปชัญญะถึงมีความอดทนในการเดินไปให้ติดต่อต่อเนื่อง
โอวาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านพูดให้ฟังง่าย ๆ สัพพะปาปัสสะอะกะระณัง กายวาจากิริยามารยาทอาชีพอย่าไปทำบาปทั้งหลายทั้งปวง เพื่อให้เป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เพื่อให้เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เป็นพระธรรมเป็นพระวินัย เป็นความสงบและปัญญา คำว่าปัญญานี้หมายถึงกุศล กุศลคือความฉลาด เราทุก ๆ คนต้องเป็นผู้ที่ฉลาดนะ ต้องเอาตัวรอดในทางที่รอดด้วยเหตุด้วยปัจจัย เราต้องรู้เรื่องกรรม เรื่องกฎของกรรม
เราทั้งหลายอย่ามาติดสุขติดสะดวกติดสบายเห็นแก่กินแก่นอน เห็นแก่ปากแก่ท้อง เห็นแก่การนอนการพักผ่อน เราต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสาร ในการเวียนว่ายตายเกิดที่เป็นกรรมเป็นกฎแห่งกรรม เราต้องเห็นภัย เราจะหยุดกรรมหยุดเวรหยุดภัยด้วยความรู้ความเข้าใจ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อความรู้แจ้งเห็นจริง ด้วยการประพฤติการปฏิบัติติดต่อต่อเนื่อง ท่านถึงมีหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม ให้พุทธบริษัทเข้าใจ ท่านให้เราสาธยายร่างกาย ร่างกายของเรานี้มีชิ้นส่วนประกอบกันอยู่ ๓๒ ชิ้นส่วน ให้แยกออกเป็นชิ้นเป็นส่วนของสรีระร่างกาย พิจารณาทุกชิ้นส่วนเพื่อเห็นตามความเป็นจริง ที่กล่าวมาย่อ ๆ ไว้เพื่อเป็นหลักการในการประพฤติการปฏิบัติ ผู้ไปบรรพชาอุปสมบทก่อนที่ครองผ้าจีวร ท่านได้บอกธุรกิจหน้าที่การงานว่า ต้องทำงานอย่างนี้นะ ต้องพิจารณาสาธยายสรีระร่างกาย แยกออกจากกันเป็นชิ้นส่วนให้ครบอาการ ๓๒ แล้วก็เอามาประกอบกันที่ท่านตรัสว่า เกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ ตะโจ ทันตา นะขา โลมา เกสา ถ้าพิจารณามาก ๆ ติดต่อต่อเนื่องใช้เวลาหลายวันหลายเดือนหลายปี ความดีและปัญญา รู้หลักการในการปฏิบัติอย่างนี้ มันจะออกดอกออกผล เจริญงอกงาม ไปทำงานของการประพฤติการปฏิบัติ
การประพฤติการปฏิบัติถึงเป็นปฏิปทา ปฏิบัติให้สม่ำเสมอ เพราะว่าพระธรรมพระวินัยเป็นสิ่งที่ทวนกระแส ไม่ไปตามกระแส รู้จักเรื่องกรรมเรื่องกฎแห่งกรรมเรื่องผลของกรรม ไม่ไปตามกระแส เราเกิดมาเพื่อมารู้แจ้งความจริง รู้แจ้งเรื่องอริยสัจสี่ รู้แจ้งก็ต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ถ้าเราพิจารณาร่างกายมาก ๆ ความดีและปัญญาย่อมเจริญแก่กล้า ที่เรามองเห็นรูป เห็นตั้งแต่ภายนอกที่ประกอบเป็นธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ เราเห็นแต่เพียงภายนอก เรามองเห็นรูปสวย ๆ หัวใจของสุภาพบุรุษก็ร้องโอย ๆ เรามองเห็นรูปหล่อ ๆ สุภาพสตรีก็พากันร้องโอย ๆ ในใจ เพราะสาเหตุเหตุผลว่า เราไม่ได้ประพฤติปฏิบัติ เราไม่ได้เจริญสมถะ เจริญวิปัสสนา เราต้องรู้สาเหตุนี้นะ
เราทั้งหลายไม่รู้ไม่เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัตินั้นไม่ได้นะ หนทางที่ยังไม่เคยไปเราก็จะมองเห็นความรกของป่า เค้าจะทำถนนหนทางเค้าก็ต้องมีอุปกรณ์ในการทำถนนในการทำทางเพื่อไปยังจุดหมายปลายทาง ใช้รถเกรดรถแทรคเตอร์ในการทำถนน การพิจารณาร่างกายที่แยกออกเป็นชิ้นเป็นส่วนก็เปรียบเสมือนการทำถนนหนทาง เมื่อเป็นถนนหนทางแล้วเพื่อความมั่นคงมาก ๆ ยิ่งขึ้นไปของถนนหนทางเค้าถึงลาดยางมะตอย ลาดปูนซิเมนต์ ลาดยางถ้าจะให้ดีก็หนา ๑๐ เซนขึ้นไป ถ้าเทด้วยปูนซิเมนต์อย่างน้อยก็ต้อง ๑๕ เซน ถ้าจะให้ดีก็ต้องให้ได้ ๒๐ เซน ปูนก็ต้องสเตรนท์ได้มาตรฐาน ปูนที่ทำถนนต้องได้สเตรนท์ที่มาตรฐานคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ ๓๐๐ ขึ้นไปสำหรับถนนหลวงของแผ่นดิน ถ้าเราเอาสเตรนท์ ๑๘๐ หรือ ๒๐๐ อย่างนี้เป็นสเตรนท์ที่ไม่ได้มาตรฐานนะ ถนนหลวงชนบท ถนนตามหมู่บ้านพากันทำกันไม่ได้มาตรฐาน ฝนยังไม่ตกก็กระเด็นกระดอน ใช้ไม่กี่วันกี่เดือนก็เป็นหลุมเป็นบ่อกันไปหมด
เราต้องรู้เข้าใจในเรื่องพระธรรมเรื่องพระวินัย เรื่องความเป็นมาตรฐาน เป็น มอก. ได้มาตรฐาน ถ้าเราไม่เข้าใจในเรื่องทุกข์ เรื่องเหตุเกิดทุกข์ ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์มันก็ย่อมขาดตกบกพร่อง จะมีความขาดความด่างความพร้อยอย่างเดียวกันเช่นเดียวกันกับถนนหลวงของแผ่นดิน ถนนหลวงชนบท ถนนอยู่ตามหมู่บ้านต่าง ๆ เราต้องรู้เข้าใจในเรื่องกรรมเรื่องกฎแห่งกรรมและผลของกรรม ปัจจุบันนี้แหละเป็นผลของกรรมในอดีต การที่เราแก้ไขไม่ได้แล้วเพราะว่ามันเป็นอดีตมันเกษียณแล้ว ปัจจุบันถึงเป็นวาระสำคัญเป็นวาระแห่งชาติทั้งกายวาจากิริยามารยาทมารวมลงที่ใจ ทุกอย่างนั้นทำได้ปฏิบัติได้นะ
เราต้องรู้เข้าใจ เราต้องมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติเราจะได้ผ่านการประพฤติการปฏิบัติด้วยความรู้ความเข้าใจ เพราะสิ่งที่ปรากฎในปัจจุบันนั้นมันเป็นข้อสอบ ให้เราคิดอย่างนี้ ถ้าเราไม่มีข้อสอบเราก็ไม่ได้เลื่อนขั้น เราก็ย่ำต๊อกอยู่ที่เก่า หลายปีเกินเราจะถูกรีไทร์นะ ความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพรากนั่นแหละคือการรีไทร์ ปัจจุบันถึงเป็นสิ่งสำคัญ เราต้องหยุดอวิชชา หยุดความหลงด้วยพากันมีปิติมีสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ
เราพากันนอนพากันพักผ่อนให้เพียงพอ ทางพระผู้ที่บรรพชาอุปสมบทเค้าใช้ศัพท์ของผู้ที่มาบรรพชาอุปสมบทเรียกว่าจำวัด เรานอนพักผ่อนภายใน ๒๔ ชั่วโมง ถ้าเรานอนหลับลึก ๖ ชั่วโมงก็เพียงพอสำหรับนักบวช สำหรับฆราวาสนอนพักผ่อน ๖-๘ ชั่วโมงแล้วแต่ละที่ละแห่ง อย่างเช่นกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล ต้องพากันนอนพักผ่อนวันละ ๖-๘ ชั่วโมง เพราะค่าพีเอ็มนั้นไม่ดี เพราะคนไปรวมกันอยู่มาก รถเรือเครื่องบินที่เป็นมลภาวะ ค่าพีเอ็มสูง
เราอยู่ที่ไหนทำอะไรก็ต้องทำหน้าที่ให้ถูกต้องสมบูรณ์ สมบูรณ์ด้วยอรรถะพยัญชนะไม่ให้ขาดตกบกพร่อง มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ การปฏิบัติธรรมถึงไม่เลือกกาลสถานที่
ให้เรารู้จักเข้าใจ รู้อริยสัจสี่ เราจะได้เอาศีลสมาธิปัญญามาประพฤติมาปฏิบัติ ความดีความถูกต้องเป็นหนทางที่ประเสริฐ เป็นคุณสมบัติของผู้ดี ไม่ใช่คุณสมบัติของผู้ชั่ว ศีลสมาธิปัญญาให้รู้เข้าใจ เป็นคุณธรรมของผู้ดีนะ เอานิติบุคคลตัวตนเราจะมีคุณสมบัติของผู้ดีได้อย่างไร ให้เรารู้เข้าใจ อย่างเราฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม เป็นผู้ไม่มีความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป เอาความหลงนำชีวิต เอาอวิชชานำชีวิต เราจะมีคุณสมบัติคุณธรรมของผู้ดีไปได้อย่างไร
ความถูกต้องนั้นคือความถูกต้องนะ ความผิดก็คือความผิด เพราะอันนี้คือเรื่องกรรมเรื่องกฎแห่งกรรมเรื่องผลของกรรม
เราทั้งหลายถึงมาอาศัยหลักการอุดมการณ์ในการประพฤติการปฏิบัติ
เราคิดดูดี ๆ นะ ถ้าเราเป็นคนรวยเป็นมหาเศรษฐีอันดันต้นของโลก ก็ย่อมดับทุกข์ไม่ได้ มีแต่จะสร้างความทุกข์ เป็นคนรวยเป็นมหาเศรษฐียังไม่รู้เข้าใจในเรื่องอริยสัจสี่ ไม่รู้เข้าใจในเรื่องทุกข์ เหตุเกิดทุกข์ ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์นี้ไม่ได้นะ เพราะความไม่ถูกต้องมันจะเป็นบารมีเป็นความเสียหาย เป็นสิ่งที่จะพังทลายอย่างเดียวกันเช่นเดียวกันกับตึก สตง.ของเมืองไทยประเทศไทย สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน เมืองไทยประเทศไทยนี้มีอาคารใหญ่มากมายทั้งกรุงเทพฯปริมณฑลทั้งต่างจังหวัด ใหญ่กว่าสูงกว่า ไม่มีตึกไหนพังทลาย พังทลายเพียงตึกเดียว ตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ชีวิตของเราถ้าเราเอาความไม่ถูกต้องนำชีวิต ชีวิตนี้ก็ย่อมพังทลาย
เราต้องรู้เข้าใจ เราต้องเอาตัวรอดในทางที่รอด มนุษย์เป็นผู้ประเสริฐต้องรู้เข้าใจในเรื่องอริยสัจสี่ เทวดาต้องรู้เข้าใจเรื่องอริยสัจสี่ พระพรหมต้องรู้เข้าใจเรื่องอริยสัจสี่ ถ้าไม่เข้าใจไม่ได้นะ เราเป็นคนรวยก็ต้องรู้เรื่องอริยสัจสี่ เพื่อไม่เป็นไปเพื่อประกอบความทุกข์เพราะสิ่งที่ไม่ดี เป็นกรรมไม่ดี เราเป็นคนจนเป็นคนทุกข์ยากลำบากยากจน เราทั้งหลายต้องพากันรู้อริยสัจสี่ รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เพราะความดับทุกข์ทางวัตถุนั้นก็ต้องมีความสุขในการเรียนหนังสือในการทำงาน มีความสุขในการทำหน้าที่
เราต้องรู้อริยสัจสี่อย่างนี้นะ สิ่งที่ผ่านมาแล้วเรามีความทุกข์ทางเศรษฐกิจ สิ่งที่ผ่านมาแล้วนั้นมันแก้ไขไม่ได้ เรามาเอาปัจจุบันนี้แหละ ถ้าเราเอาความสงบและปัญญาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันจะเป็นคนจนเป็นคนรวยก็ดับทุกข์ได้พอ ๆ กัน ด้วยความสงบด้วยปัญญา เราเป็นข้าราชการนักการเมืองเป็นนักบวช เราพากันใช้ทรัพยากรของแผ่นดิน เงินงบประมาณแผ่นดินได้มาจากภาษีอากรของทุก ๆ คนที่อยู่ในพื้นแผ่นดินของประเทศนั้น ๆ ได้มาจากศรัทธาประชาชนให้การสนับสนุนในการทำงาน
เราเป็นข้าราชการเป็นนักการเมือง เป็นนักบวช เราต้องพากันมาเสียสละ
คำว่าพระธรรมพระวินัย กฎหมายบ้านเมืองนี้เพราะร้อยกลั่นกรองให้เป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงาม งามเบื้องต้นได้แก่ศีล งามท่ามกลางได้แก่สมาธิ งามที่สุดได้แก่ปัญญา นี้เป็นความงามในปฏิปทานะ เราต้องรู้จักความงาม งามทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งอาชีพ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เมื่อมันผ่านไปแล้วเกษียณไปแล้วก็ปล่อยก็วางนี้เป็นความงามความสง่างาม เราพากันรู้จักความงามตั้งแต่ภายนอก ความงามภายนอกก็ต้องให้งาม จะได้งามทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งอาชีพที่เป็นความงามเป็นความสง่างาม
เราทั้งหลายพากันมามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เรานอนให้เพียงพอ พักผ่อนให้เพียงพอ จำวัดให้เพียงพอ การที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์ได้อัตภาพที่ประเสริฐจะไม่ได้พังทลายอย่างเดียวกันเช่นเดียวกันกับตึก สตง. ทุกวันนี้เห็นหน้าข้าราชการนักการเมือง เห็นหน้านักบวชก็เท่ากับเห็นหน้าโจรหน้ายักษ์หน้ามาร เพราะไปจัดการแต่คนอื่น ไปจัดการตั้งแต่ภายนอก เราเอาแต่เงินเดือนก็เพียงพอ เราจะได้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ ให้เรารู้เข้าใจ ถึงจะรวยล้นฟ้ามันก็แก้ปัญหาไม่ได้
เราทั้งหลายต้องมารู้ความจริงรู้อริยสัจสี่ จะได้ทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ เราจะได้พากันเป็นพระ คำว่าพระนี้คือผู้เสียสละ ผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เราพากันมามีปิติมีความสุขในการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์
เราพากันมีปิติมีความสุขในการพัฒนาเรื่องจิตเรื่องใจไปพร้อม ๆ กันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ทั้งธุรกิจหน้าที่การงานได้ทั้งคุณธรรมไปพร้อม ๆ กันเราจะได้เข้าถึงความเป็นพระ จะได้เป็นความสงบเป็นความพอเพียงเพียงพอเป็นความพอดี ไม่มากเกินไปไม่น้อยเกินไป เราอย่ามาอาศัยยศอาศัยตำแหน่งที่ถูกต้องตามกฎหมายลายเซ็นต์เพื่อมาโกงมากินมาคอร์รัปชั่น
เราทั้งหลายพากันมาเป็นพระมาเป็นผู้เสียสละ มาเป็นผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เรารู้เข้าใจในความบกพร่องของตัวเอง ความบกพร่องของคนอื่น เพื่อจะได้เบรกตัวเอง รถก็ต้องมีเบรก เครื่องบินก็ต้องมีเบรก เรือก็ต้องมีเบรก ถ้าไม่มีเบรกก็ย่อมเกิดอุบัติเหตุ
ให้เรารู้เข้าใจ รถก็ต้องมีพวงมาลัย เครื่องบินก็ต้องมีพวงมาลัย เรือก็ต้องมีพวงมาลัย มาลัยคือความสวยงามทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพ อาชีพของเราต้องให้อยู่ในความพอดี ความพอเพียงเพียงพอ
เราทั้งหลายต้องพากันมารู้ขยะ ตัวตนนั้นมันคือขยะนะ อย่าพากันหลงในขยะกัน พากันแย่งขยะกัน อยู่ในสภาก็พากันแย่งขยะกันแย่งความหลงกัน ยิ่งเรียนศึกษามาก็เพื่อมาแย่งขยะกัน ทำการทำงานก็มาแย่งยศแย่งตำแหน่งแบ่งเป็นพรรคเป็นพวกนี้คือการแย่งขยะกันนะ เรามาบวชเป็นพระเพื่อแสวงหาขยะแสวงหาความหลงนะ
เราต้องรู้หลักการอุดมการณ์อุดมธรรม มาพัฒนาทั้งใจทั้งวัตถุไปพร้อม ๆ กัน เราอย่าพากันเอายศเอาตำแหน่งที่เป็นข้าราชที่เป็นนักการเมืองที่เป็นนักบวชทั้งหลายมาหาอยู่หากินหาหลง ต้องพากันเอายศเอาตำแหน่งที่ถูกต้องตามกฎหมายลายเซ็นต์นี้มาเสียสละเพื่อให้เกิดความงามเบื้องต้นท่ามกลางสูงสุด ถ้าเราไม่เสียสละเราก็จะไม่มีสติไม่มีสัมปชัญญะ มีแต่ความไม่สงบ มีแต่ความวุ่นวาย มีแต่ความขัดข้อง
เรามองดูดี ๆ นะ ข้าราชการนักการเมืองนักบวชสถาบันหลักเป็นภัยต่อสังคม เป็นอันตรายต่อสังคมนะ ให้เราทุกคนมีความกตัญญูกตเวทีต่อแผ่นดิน เพื่อที่จะได้หยุดสัญชาตญาณที่เป็นนิติบุคคลตัวตน เอาแต่ตัวเอาแต่ตนนั้นไม่ได้นะ
เราต้องพากันมาเสียสละ เราทุกคนไม่พากันไปแก้ที่คนอื่น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็แก้ที่ท่าน พระอรหันต์ผู้ที่ฟังพระธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็แก้ที่พระอรหันต์ ทุกคนก็พากันแก้ที่ตัวเอง ถ้าเราทำอย่างนี้ติดต่อต่อเนื่องกันจะเป็นความดีเป็นปฏิปทาเป็นทางสายกลางระหว่างเรื่องจิตเรื่องใจกับเรื่องวิทยาศาสตร์ มีปัญญาก็ต้องมีความสงบ มีความสงบก็ต้องเสียสละถึงจะเกิดปัญญา
เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ ต้องเร่งตัวเองในสิ่งที่ถูกต้อง รถเค้าก็ต้องมีคันเร่ง เครื่องบินก็ต้องมีคันเร่ง เรือก็มีคันเร่ง
ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสถามพวกเราทั้งหลายว่ากำลังทำอะไรอยู่ อย่าพากันเพลิดเพลิน อย่าพากันประมาท เราต้องรู้เข้าใจ ว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเราต้องรู้ต้องเข้าใจ เราอย่าไปหลงขยะ ท่านตรัสถามเราว่าเรากำลังทำอะไรอยู่
เราทุกคนให้รู้ว่าพระพุทธเจ้าก็มีอยู่ที่ใจของเรานี้แหละ พระธรรมก็มีอยู่ที่ใจที่แสดงออกมาเป็นกิริยามารยาทอาชีพก็อยู่ที่ใจของเรานี้แหละ เราต้องรู้เข้าใจว่าเราพากันทำอะไรอยู่ เอาความหลงนำชีวิตเอาความผิดนำชีวิตหรือไม่
เราต้องรู้เข้าใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมันไม่จบ รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะธรรมารมณ์เราต้องรู้เข้าใจมันเป็นเรื่องที่ไม่จบนะ เราต้องจบด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา รู้เรื่องธรรมชาติเดิมแท้นั้นมันเป็นความว่างเปล่า ใจของเราที่เป็นพื้นเป็นฐานมันเป็นความว่างเปล่านะ สิ่งที่สัญจรไปมาของธาตุขันธ์อายตนะภายนอกภายในเป็นเพียงอาคันตุกะชั่วครูชั่วยามเท่านั้นเอง
เราทั้งหลายจะได้มีคันเร่ง จะได้พากันทำความเพียรพยายาม มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เมื่อเราพิจารณาร่างกายของเรา สำหรับนักบวชเราต้องพิจารณาสาธยายร่างกายให้มาก ๆ ให้ติดต่อต่อเนื่อง แยกออกเป็นชิ้นเป็นส่วนแล้วเอามาประกอบ ให้พิจารณาเพื่อให้เกิดสติปัฏฐานทั้ง ๔ ด้วยการสาธยายส่วนร่างกายอาการ ๓๒ พิจารณาเวทนาว่าเวทนานี้มันเกิดได้จากผัสสะ ถ้าเราไม่มีผัสสะเราก็ไม่มีเวทนา เราจะได้เข้าถึงอนัตตาที่ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน
เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจในเรื่องผัสสะ ในเรื่องเหตุเรื่องปัจจัย เราจะได้ดับความทุกข์ได้ด้วยเรามีสติมีปัญญา เราจะมีเวทนาเฉพาะเรื่องของกาย ความรู้ความเข้าใจถ้าเรามีสติสัมปชัญญะมันจะจบลงเพียงผัสสะ เราต้องพากันมีสติมีสัมปชัญญะ เพื่อไม่ให้สังขารความปรุงแต่งให้เกิดภพเกิดชาติเกิดชรามรณะพลัดพราก ให้มันดับลงเพียงผัสสะ ถ้าเราปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องด้วยความรู้ความเข้าใจ เราจะได้ทั้งวัตถุได้ทั้งใจไปพร้อม ๆ กัน เราทั้งหลายจะได้เอายศเอาตำแหน่งข้าราชการนักการเมืองตำแหน่งนักบวชมาประพฤติมาปฏิบัติ
ปัจจุบันสถาบันหลักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ กำลังอ่อนแอ ไม่มีความเข้มแข็ง ตัวตนให้เรารู้เข้าใจ ตัวตนนั้นแหละจะทำลายตัวของมันเองที่เป็นรัฐประหาร มันประหารมันหายนะ มันพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกับตึก สตง.
เราทุกคนพยายามจะปกป้องความหลงของตัวเอง ข้าราชการนักการเมืองนักบวชพากันมาปกป้องความหลงของตัวเอง ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เราทำอะไรอยู่ ถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง เราต้องตั้งอกตั้งใจ ภาชนะที่จะเอารองรับอะไรก็ต้องจับให้มันตั้งไว้ก่อน เพื่อเป็นภาชนะรองรับ เราต้องตั้งอกตั้งใจตั้งเจตนา การปฏิบัติธรรมะนี้เป็นความสงบเป็นความพอเพียงเพียงพอ
การประพฤติการปฏิบัติถึงไม่มีต่อหน้าและลับหลัง ถ้ามีต่อหน้าลับหลังเป็นความไม่ถูกต้อง ความไม่ถูกต้องคือความไม่ซื่อสัตย์ เป็นความประมาท เป็นความไม่เคารพ เป็นการปกป้องความเลวความหลง เป็นคนไม่ดี เป็นคนชั่ว ไม่มีคุณธรรม ไม่มีสมบัติของผู้ดี เราทั้งหลายถึงต้องมาเน้นที่ตัวเรา อย่าไปโง่หลงงมงาย ไปแก้ตั้งแต่คนอื่น จะไปเอาตั้งแต่ทางวิทยาศาสตร์ เอาแต่ตัวแต่ตนนั้นไม่ได้ เบื้องต้นต้องแก้ที่ตัวเองก่อน ให้ตัวเองมีสติมีสัมปชัญญะก่อน เราจะไปแจกของไปให้ของผู้อื่น เราต้องมีสิ่งของที่จะให้บุคคลอื่น มีเงินมีสตางค์ที่จะให้บุคคลอื่น เราต้องเป็นผู้ให้เป็นผู้เสียสละ เราถึงจะเป็นข้าราชการเป็นนักการเมืองเป็นนักบวช
เราต้องพากันมาสังคายนาตนเอง มาจัดการตนเอง เราต้องรู้เข้าใจ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้สติเราว่านิติบุคคลตัวตนคือความเสียหาย ว่าไม่ได้เป็นข้าราชการ ไม่ได้เป็นนักการเมือง ไม่ได้เป็นนักบวช เราต้องเป็นข้าราชการไม่ใช่ข้าราชกินนะ เราต้องเป็นนักการเมืองไม่ใช่นักกินเมือง เราจะเป็นนักบวช นักบวชผู้เอาธรรมะนำชีวิต ยกเลิกทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรเหลืออยู่ถึงพากันเรียกว่าพระ ไปบวชเป็นพระไปบวชเป็นเณรไปบวชเป็นแม่ขาวแม่ชีเป็นนักบวช ยกเลิกทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นพระธรรมพระวินัยเป็นผู้เห็นภัยในวฏฏสงสาร ไม่ไปเอายศเอาตำแหน่งมาหาอยู่หาฉันมาหาหลง เราต้องรู้จักขยะ ตัวตนนี้มันคือขยะนะ
เรามาเสียสละเหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาเสียสละเหมือนพระอรหันต์ผู้ปฏิบัติตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงเสียสละตลอด ๒๔ ชั่วโมง เสียสละให้ธาตุให้ขันธ์ให้อายตนะท่านบรรทมพักผ่อนเพื่อร่างกายเพื่อธาตุเพื่อขันธ์เพื่ออายตนะ ๔ ชั่วโมง เสียสละให้มหาชนใน ๓ แดนโลกธาตุนี้ท่านเสียสละให้หมู่มวลมนุษย์เทวดาพรหมณ์สรรพสัตว์ทั้งหลาย ท่านเสียสละวันละ ๒๐ ชั่วโมง เราต้องมาเสียสละเหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงเสวยภัตตาหารวันหนึ่งเพียงครั้งเดียว เวลาเช้าก็ออกภิกขาจารบิณฑบาต ฉันในบาตาไม่ได้ฉันในบาตร ไม่ได้ฉันในถ้วยโถโอจานโต๊ะฝรั่งโต๊ะจีนโต๊ะเกาหลีโต๊ะญี่ปุ่น มีอะไรท่านก็เอาใส่ลงในบาตร ปัจจุบันนี้ดีนะพัฒนาวิทยาศาสตร์เป็นบาตรแสตนเลสไม่ขึ้นสนิมเพียงแต่เราล้างดี ๆ เก็บดี ๆ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านไม่ได้เก็บอะไรไว้ เป็นความดีที่สงบและปัญญา ความสงบและปัญญามันจะเป็นธนาคารแห่งความดีไปในตัว ไม่ต้องไปเก็บเงินเก็บสตางค์เก็บสังฆทานต้องเสียสละหมด ถ้าเราไม่เสียสละเราก็จะไม่เป็นพระธรรมพระวินัย จะไม่เกิดความสงบเกิดปัญญา จะเป็นพระได้แต่เพียงร่างกายที่ปลงผมเหมือนพระพุทธเจ้า นุ่งห่มจีวรเหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นอกจากนั้นไม่ได้เป็นพระธรรมเป็นพระวินัย
เราทั้งหลายนักบวชทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ การดำรงชีพดำรงธาตุขันธ์อายตนะเราอาศัยงบประมาณแผ่นดิน งบประมาณของศรัทธามหาชนเราต้องเข้าใจนะ เราอย่าคิดว่าปฏิบัติเหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปฏิบัติเหมือนพระอรหันต์นี้ใครเค้าจะปฏิบัติได้ ให้รู้เข้าใจถ้าปฏิบัติไม่ได้ก็อย่าพากันมาบวช ผู้ที่บวชแล้วปฏิบัติไม่ได้ก็พากันลาสิกขาไปเสียเราจะไม่ได้เป็นผู้หลอกลวง เราจะไม่ได้เป็น ๑๘ มงกุฏ
ทำไมเค้าเรียกว่า ๑๘ มงกุฏ การเรียนการศึกษาของมนุษย์มันมีอยู่ ๑๘ อย่าง เค้าถึงเอาศัพท์ว่าถ้าเรียนหนังสือเพื่อตัวเพื่อตน ทำงานเพื่อตัวเพื่อตน เป็นข้าราชการเป็นนักการเมืองเป็นนักบวชถ้าไม่เอาหลักการอุดมการณ์อุดมธรรมบุคคลผู้นั้นก็จะกลายเป็นบุคคลที่เป็นผู้หลอกลวง เป็นผู้ที่ต้มเป็น ๑๘ มงกุฏ เดี๋ยวนี้เรามองดูเห็นหน้าข้าราชการนักการเมืองเห็นหน้านักบวช หน้าโจรหน้า ๑๘ มงกุฏ ก็ย่อมล่องลอยขึ้นในใจของประชาชนผู้เสียภาษีอากร ผู้ให้การสนับสนุนด้วยศรัทธาที่เค้าพากันทำความดีเป็นหลักการ เราต้องรู้เข้าใจ เราจะได้เข้าถึงความสงบและปัญญา เราจะยกเลิกความเป็น ๑๘ มงกุฏของข้าราชการนักการเมืองของนักบวชเราต้องยกเลิก เรารู้เข้าใจมันเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ยาก
เราดูน่ะ ผู้ที่บวชมามีเงินมีสตางค์ มามีนารีสีกาสีสกปรก พากันมาขับรถ อยู่สองต่อสองกับผู้หญิง นักบวชทั้งหลาย นักบวชเก่านักบวชใหม่จะอยู่กับสุภาพสตรีสองต่อสองหรือว่าผู้ที่นั่งอยู่ด้วยหลายคนก็ไม่ได้ ต้องมีสุภาพบุรุษอยู่เป็นเพื่อน สุภาพบุรุษก็ต้องเป็นผู้มุ่งมรรคผลพระนิพพาน มีความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป เพื่อมาคุ้มครองป้องกันเป็นหลักฐานพยาน
เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจนะ พระธรรมพระวินัยเป็นสิ่งที่เราต้องเคารพคารวะ เราต้องมีคารวธรรมคือพระธรรมคือพระวินัย อุปกรณ์ที่ทำให้เราเสียหายก็ได้แก่โทรศัพท์มือถือ อินเตอร์เนท เฟซบุ๊ค ยูทูปทั้งหลายทำให้เราเสียหาย สิ่งเหล่านี้มีทั้งคุณมีทั้งโทษนะ เราอย่าไปหลงตัวเองว่าตัวเองเก่งตัวเองแน่นะ
วัดเรานี้ไม่ให้นักบวชทั้งหลายมีมือถือใช้โทรศัพท์มือถือเพราะการมีมือถือใช้โทรศัพท์มือถือมันมีทั้งคุณทั้งโทษ เรามีเชื้อความหลงอยู่แล้ว นี้เราจะมายกเลิกความหลงเข้าสู่ความวิเวก พระธรรมพระวินัยมันจะทำให้ใจของเราวิเวก ให้มันได้ทางกายก่อน กายวาจากิริยามารยาทสิ่งเหล่านี้มันก็มาจากใจนี้แหละ
เราต้องตั้งใจตั้งเจตนาเพราะกายวาจากิริยามารยาทอาชีพมันเป็นเพียงอุปกรณ์ของใจเราทั้งหลายต้องละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาปเห็นภัยในวัฏฏสงสารมีคารวธรรม ต้องกตัญญูกตเวทีต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบำเพ็ญพุทธบารมีหลายล้านชาติ เราได้บริโภคปัจจัย ๔ ก็เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสัญลักษณ์ที่เรามองเห็นก็ได้แก่ปลงผมนุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์นี้เป็นสัญลักษณ์
เราทั้งหลายต้องกตัญญูต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเราไม่เอาพระธรรมพระวินัยคือบุคคลที่ไม่เคารพคารวะต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าขับรถก็ขับรถย้อนศรน่ะ เราต้องเข้าสู่โทลเวย์มีแต่ไปอย่างเดียวไม่มีกลับไม่มีย้อนศร เรื่องโทรศัพท์มือถือ
ท่านหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ท่านพูดไว้ว่า โทรศัพท์มือถือ อินเตอร์เนท เฟซบุ๊คอะไรต่าง ๆ ถ้านักบวชทั้งหลายไม่รู้เข้าใจ สิ่งเหล่านี้แหละจะเป็นภัยสำหรับนักบวช จะเอาความไม่ถูกต้องนำชีวิต จะเอาความผิดนำชีวิต ท่านหลวงตามหาบัว ท่านตรัสว่าตัวตนนี้แหละมันคือความเหม็น เหม็นจริง ๆ เหม็นทั้ง ๓ แดนโลกธาตุเลยทีเดียว ไม่ใช่เหม็นธรรมดา
ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ข้าราชการก็เป็นข้าราชการเหม็นนะ นักการเมืองก็เป็นนักการเมืองเหม็นนะ นักบวชก็เป็นนักบวชเหม็นนะ มันเหม็น ๓ แดนโลกธาตุเลย เอาตัวตนเป็นที่ตั้งเรียกว่าบุคคลไม่มีที่อยู่
คำว่าเจ้าอาวาสเค้าแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสให้ทำหน้าที่เป็นเจ้าอาวาส ผู้ที่ไม่รู้ไม่เข้าใจเอาสัญชาตญาณนำชีวิตเอาตัวตนนำชีวิตก็จะพากันพูดว่าไม่อยากเป็นเจ้าอาวาส ให้เข้าใจนะ คำว่าเจ้าอาวาสคือผู้ที่เอาความสงบและปัญญานำชีวิต ต้องเป็นเจ้าอาวาสทั้งกายวาจากิริยามารยาทเป็นเจ้าอาวาสทางใจที่มีความสงบและปัญญา ต้องรู้จักเจ้าอาวาสอย่างนี้แหละ ทุกคนต้องเอาความสงบและปัญญา เข้าถึงความพอเพียงเพียงพออย่างนี้ถึงเรียกว่าเจ้าอาวาสอยู่ในโอวาทพระธรรมคำสั่งสอน สงฆ์สาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงเป็นเถรวาทผู้เอาธรรมเอาวินัยเอาความสงบนำชีวิตไม่เอาตัวตนนำชีวิตเรียกว่าเถรวาท
เราทั้งหลายต้องรับผิดชอบในข้อวัตรกิจวัตร ให้มารวมลงที่ปัจจุบัน อดีตก็มารวมที่ปัจจุบันแล้ว อนาคตก็รวมอยู่ที่ปัจจุบันแล้ว อย่าให้อดีตมันปรุงแต่งเรา เราต้องรู้จักเรื่องอดีต อย่าให้เรื่องอดีตมันปรุงแต่งเรา อย่าให้อนาคตคือความหลงที่เป็นทะเลไม่อิ่มด้วยน้ำ เป็นไฟไม่อิ่มด้วยเชื้อมันบกพร่องอยู่ตลอดกาล อย่าให้อนาคตมันปรุงแต่งเรา เอาปัจจุบันให้ดี ๆ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายจะได้เข้าถึงพระธรรมถึงพระวินัย เข้าถึงพระนิพพานคือบ้านของเรา
เราทั้งหลายมาระลึกถึงปัจฉิมโอวาทก่อนที่พระองค์จะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน
“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”
โอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ
ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ
ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู
ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร
ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละ คือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะว่าสิ่งเดิมนั้นคือความว่างเปล่า สิ่งที่สัญจรไปมาเป็นเพียงอาคันตุกะ เราจะได้เอาหลักการอุดการณ์ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นมรรคเป็นอริยมรรคที่ตรงกันข้ามกับโลกธรรม
ให้รู้เข้าใจ เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรม พระนิพพานความรู้ความเข้าใจในเรื่องปฏิจจสมุปบาทจะเป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นพระนิพพานบ้านของเรา ไม่ใช่อวิชชาความหลงเป็นบ้านของเรานะ พระนิพพานคือบ้านของเรา ความสงบและปัญญาถึงเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราจะหยุดวัฏฏสงสารได้ด้วยความสงบและปัญญา ธรรมะนั้นถึงหยุดวัฏฏสงสารด้วยความรู้ความเข้าใจ วัฏฏสงสารความปรุงแต่งนี้เป็นความทุกข์ของเราทุกคน ต้องรู้เข้าใจด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิพร้อมทั้งการประพฤติการปฏิบัติ
------------------------------------
โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
เมตตาให้ไว้ในเช้าวันพุธที่ ๓ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา