๘ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ ๘ เดือนกันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ ศาสนาพุทธ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ศาสนาคริสต์ ฮิจเลาะห์ศักราช ๑๔๔๖ ศาสนาอิสลาม
วันจันทร์อังคารพุธพฤหัสศุกร์เป็นวันทำงานของส่วนราชการ
การประพฤติการปฏิบัติธรรมนั้นเป็นทางสายกลางระหว่างใจกับวัตถุ เราจะเอาความรู้สึกของเรานั้นไม่ได้ เพราะความรู้สึกนั้นมันเป็นธาตุทั้ง ๔ เป็นขั้นทั้ง ๕ เป็นอายตนะทั้ง ๖ การประพฤติปฏิบัติธรรมนั้นเราถึงไม่เอาความรู้สึกที่เป็นสัญชาตญาณ ที่เป็นนิติบุคคลตัวตน ที่เป็นวัฏฏสงสารที่เวียนว่ายตายเกิด
เราต้องรู้ต้องเข้าใจ ไม่เอาความชอบใจของเรา ไม่เอาความไม่ชอบใจของเรา เพราะความชอบใจไม่ชอบใจนั้นเป็นสัญชาตญาณ เป็นวัฏฏสงสารเป็นนิติบุคคลตัวตน
เราทั้งหลายให้รู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติธรรม ว่าต้องไม่เอาความชอบใจความไม่ชอบใจ อดีตก็มารวมอยู่ที่ปัจจุบัน อนาคตก็ไปจากปัจจุบัน ปัจจุบันเป็นวาระแห่งการประพฤติการปฏิบัติ เป็นมรรคเป็นอริยมรรค เราต้องไม่ให้อดีตมาปรุงแต่งจิตใจของเราได้ เราไม่ต้องให้อนาคตที่ยังไปไม่ถึงปรุงแต่งจิตใจของเราได้ ปัจจุบันให้เราหยุดทั้งสิ่งที่ผ่านมา สิ่งที่ยังมาไม่ถึง ปัจจุบันให้เราฟอร์มสด เราต้องหยุดกรรมเก่า ไม่สร้างกรรมใหม่ด้วยความรู้ความเข้าใจ ในอริยสัจสี่ เรื่องรู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์
เราทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ ให้เรารู้ให้เราเข้าใจ ว่าปัจจุบันนี้คือการประพฤติการปฏิบัติของเรา เพื่อให้ความสงบและปัญญาก้าวไปพร้อมกัน ให้สมถะให้วิปัสสนาก้าวไปพร้อม ๆ กัน เพื่อเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ
เราทั้งหลายการปฏิบัติของเราติดต่อต่อเนื่อง ถึงจะหยุดเรื่องกรรม กฎแห่งกรรม การยืนนั่งนอนกิริยามารยาทอาชีพคือกรรม คือกฎแห่งกรรม ถ้าสติสัมปชัญญะไม่เป็นหนึ่ง เราจะหยุดวัฏฏสงสารนั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะสติสัมปชัญญะเท่านั้นที่จะหยุดสัญชาตญาณ หยุดวัฏฏสงสารได้
เราทั้งหลายจะเดินทางไปพระนิพพาน เราต้องรู้เรื่องพระนิพพาน พระนิพพานคือกระบวนการของเหตุของปัจจัย ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา ความดี ความถูกต้อง ที่เป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ
เราทั้งหลายเกิดมาในวัฏฏสงสาร เราทั้งหลายต้องไม่ให้ความปรุงแต่งมันหมกมุ่นอยู่ในจิตในใจของเรา ไม่หมกมุ่นในกาม ในเรื่องของกาม ไม่หมกมุ่นในเรื่องพยาบาท ถ้าเราหมกมุ่นในเรื่องของกามในเรื่องของพยาบาทนั้น อย่างนี้ไม่ได้นะ
เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายต้องไม่หมกมุ่นในเรื่องของกาม ไม่หมกมุ่นในเรื่องพยาบาท หลักการของการปฏิบัติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เรามีความเห็นให้ถูกต้อง เพื่อหยุดเรื่องของกาม หยุดในเรื่องของพยาบาท เป็นการดำริชอบ เพื่อเราจะได้เข้าถึงธรรมเข้าถึงปัจจุบันธรรม เรามีหลักการอุดมการณ์ของเราชัดเจน
การประพฤติการปฏิบัติ อย่างเราพากันกราบพระรัตนตรัย ต้องกราบทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพด้วยความตั้งใจตั้งเจตนา อย่างเราพากันพร้อมเพรียงกันจากนั่งลุกยืนขึ้นเพื่อฟังเพลงสรรเสริญพระบารมี พร้อมทั้งร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีไปพร้อม ๆ กัน ความคิดที่ไม่ตรึกในกามไม่ตรึกในพยาบาทนี้เป็นหลักการ กายวาจากิริยามารยาทอาชีพนี้คือหลักการ สัมมาอาชีวะ
เราทั้งหลายต้องรู้อริยสัจสี่ เพื่อเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เพื่อเข้าสู่ภาคบำบัด ไม่เอาความสุขจากความหลง เราพากันตั้งใจตั้งเจตนา มีความสุขมีปิติมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ
เราเกิดมาเพื่อมาสร้างความดี มาสร้างบารมีเบื้องต้น ท่ามกลาง สูงสุด ให้เรารู้เข้าใจ ชีวิตนี้เป็นของชั่วครู่ชั่วยาม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านไม่ให้เราเพลิดเพลิน ไม่ให้เราประมาท ตั้งอกตั้งใจในการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน อินทรีย์สังวร สำรวมระวังทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ เพื่อให้ดับลงหยุดลงได้เพียงผัสสะ อย่าให้เกิดเวทนา ดีใจ เสียใจ
การประพฤติการปฏิบัติต้องให้หยุดลงได้ที่ผัสสะ ปัจจุบันเราต้องมีความสงบมีปัญญา พระธรรมพระวินัยเป็นทั้งคำสั่ง สั่งให้หยุด เป็นทั้งคำสอน สอนให้ทำ นี้เป็นอุปกรณ์ อุปกรณ์กับกรรมกรก็คือสิ่งเดียวกัน เราต้องยกเลิกกิจการธุรกิจหน้าที่การงานที่มันเป็นวัฏฏสงสาร ในการเวียนว่ายตายเกิด
ศีลสังวร อินทรีย์สังวร อาชีวะปาริสุทธิศีล ด้วยตั้งใจตั้งเจตนา การประพฤติปฏิบัติธรรมอยู่ที่เราตั้งใจตั้งเจตนานะ การประพฤติการปฏิบัติถึงไม่มีต่อหน้าและลับหลัง อินทรีย์สังวร สังวรตาหูจมูกลิ้นกายใจ ปาฏิโมกข์สังวร พระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ อาชีวะปาริสุทธิสังวร หิริโอตตัปปะ การละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป เห็นภัยในความไม่ถูกต้อง เห็นภัยในวัฏฏสงสาร สติสัมปชัญญะ เป็นธรรมะที่คุ้มครองเรา ความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เป็นธรรมะที่มีอุปการะมาก คุ้มครองเรา ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นธรรมะที่มีอุปการะมาก คุ้มครองเรา
การประพฤติการปฏิบัติถึงไม่มีต่อหน้าและลับหลัง ถ้ามีต่อหน้าและลับหลังนั้นคือความไม่ถูกต้อง
มีคำถามว่าทำไมมนุษย์เราถึงสวมใส่เสื้อผ้าอาภรณ์ต่าง ๆ อย่างนี้ไม่ใช่ต่อหน้าและลับหลังเหรอ?
เราต้องรู้เราต้องเข้าใจ ถ้าเรามีความสงบเราก็ต้องมีปัญญา เรามีปัญญาเราก็ต้องมีความสงบ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจเรื่องทางวัตถุ ไม่รู้เรื่องทางวิทยาศาสตร์ เราก็ไม่รู้เรื่องทุกข์ ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ ไม่รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ ถ้าเราไม่รู้เรื่องจิตเรื่องใจก็ย่อมไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ ไม่รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์
ให้เรารู้ให้เข้าใจ ความยึดมั่นถือมั่นเป็นศีลเป็นสมาธิ มนุษย์เราต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการพัฒนาวัตถุในการพัฒนาวิทยาศาสตร์ เรามีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติอย่างนี้ เป็นความยึดมั่นถือมั่น มีปิติมีความสุขเพื่อสร้างเหตุสร้างปัจจัยด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิ เพื่อทำหน้าที่ เพราะธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ การพัฒนาทางวัตถุทางวิทยาศาสตร์ต้องไปพร้อม ๆ กันระหว่างวัตถุที่เป็นวิทยาศาสตร์ พร้อมทั้งเรื่องจิตเรื่องใจ เมื่อมันผ่านไปแล้วเราก็ปล่อยก็วาง ไม่ยึดมั่นถือมั่น เพื่อจะเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เป็นความสงบและปัญญา เป็นปัญญาและความสงบ ความสงบและปัญญาเป็นความพอดี เป็นความพอเพียงเพียงพอ ความปรุงแต่งทั้งหลายถึงไม่ใช่ความสงบไม่ใช่ปัญญา ไม่ใช่ธรรมไม่ใช่ปัจจุบันธรรม
เราต้องมีความยึดมั่นถือมั่นในปัจจุบันด้วยปิติด้วยสุขเอกัคคตา ถ้าเราไม่มีปิติไม่มีความสุขในการทำธุรกิจหน้าที่การงาน เราทั้งหลายก็จะมีความทุกข์ ความทุกข์กับโรคซึมเศร้านั้นมันคืออันเดียวกัน เพราะเหตุผลนี้ เราถึงมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการเรียนการศึกษาในการทำงานข้าราชการ ทำงานนักการเมือง ทำงานของนักบวช
เราต้องรู้เข้าใจการสวมใส่เสื้อผ้าอาภรณ์นี้เพื่ออินทรีย์สังวร ปาฏิโมกข์สังวร ปาริสุทธิสังวร เราต้องรู้จักความยึดมั่นถือมั่น เราต้องรู้เข้าใจ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ เราก็จะเอาความหลงนำชีวิต เอาตัวตนนำชีวิต เอาความผิดนำชีวิต ความรู้ความเข้าใจนี้จะเป็นหนึ่ง ความเป็นหนึ่งกับคำว่าโอเคเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่มากเกินไปไม่น้อยเกินไป เป็นความพอดี เป็นความพอเพียงเพียงพอ ธรรมะเป็นของละเอียดอ่อน กายวาจากิริยามารยาทอาชีพรวมลงที่ใจเป็นของละเอียดอ่อน
เราทั้งหลายต้องมารู้เรื่องโลกเรื่องธรรม เรามารู้เรื่องการประพฤติการปฏิบัติธรรม ถ้าเราไม่รู้เข้าใจ ไปเอาแต่เรื่องจิตเรื่องใจ ถ้าไม่เข้าใจไปเอาแต่ทางวิทยาศาสตร์ มันสุดโต่ง ซ้ายจัดขวาจัด มันไม่ใช่ความพอดี ความพอเพียงเพียงพอ ความสงบและปัญญามันไม่สมดุลกัน
ด้วยเหตุผลนี้เราถึงสวมใส่เสื้อผ้าอาภรณ์ มีบ้านมีที่อยู่ที่อาศัย มีวัดมีโรงเรียน มีที่ทำมาหาเลี้ยงชีพ เป็นที่อยู่ของความสงบและปัญญา
เราทั้งหลายต้องมีที่อยู่อาศัยนะ พระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่คือที่อยู่ที่อาศัย การสำรวมตาหูจมูกลิ้นกายใจเพื่อที่อยู่ที่อาศัย อาชีวะปาริสุทธิคือที่อยู่ที่อาศัย คำว่าที่อยู่ที่อาศัยคือเหตุคือปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปถึงมี เพราะเหตุผลว่าเน้นที่ปัจจุบัน อดีตผ่านมาแล้วก็ปฏิบัติไม่ได้ อนาคตที่ยังมาไม่ถึงก็ปฏิบัติไม่ได้ ปัจจุบันนี้เราต้องรู้อริยสัจสี่ รู้การประพฤติการปฏิบัติ
เราคิดดูดี ๆ นะ ว่าทำไมเราถึงมีบ้าน ทำไมถึงมีที่ดิน มีโฉนดที่ดิน อันนี้เป็นหลักการเพื่อให้ทุกคนเอาหลักการนี้ไปประพฤติปฏิบัติ อินทรีย์สังวร ปาฏิโมกข์สังวร ปาริสุทธิสังวร นี้เป็นหลักการอุดมการณ์ เพื่อจะได้เป็นอุดมธรรม อุดมสมบูรณ์ด้วยปิติด้วยสุขเอกัคคตา สว่างไสวก้าวไปเหมือนรถนำขบวนข้างหน้าข้างหลังเปิดไซเรน ว้าว ว้าว ว้าว อย่างนี้ ก้าวไปทั้งทางวัตถุทางวิทยาศาสตร์ ก้าวไปทั้งทางจิตใจไปพร้อม ๆ กัน
ถ้าเราไม่เข้าใจก็เหมือนนักบวชชีเปลือยน่ะ ปล่อยวางหมด เสื้อผ้าอาภรณ์ก็ไม่สวมใส่ เน้นแต่เรื่องจิตเรื่องใจ ไม่เอาทางวัตถุไปพร้อม ๆ กัน
ประวัตินางวิสาขา ความเป็นมาของนางวิสาขา ได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันตั้งแต่อายุ ๗ ขวบ นางวิสาขาได้บำเพ็ญบารมีมาเป็นเวลาหลายล้านชาติหลายร้อยปี ในชาติเป็นนางวิสาขา อายุเพียง ๗ ขวบก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน คำว่าโสดาเป็นความรู้เรื่องอริยสัจสี่ เอาทั้งทางวิทยาศาสตร์ เอาทั้งทางใจไปพร้อม ๆ กัน เพราะทุกอย่างนั้นคือเหตุคือปัจจัยจากปัจจุบัน เป็นลูกสาวของธนันชัยเศรษฐี
มิคารเศรษฐีต้องการให้บุตรชายของตนแต่งงาน จึงได้นางวิสาขาผู้พร้อมด้วยความงาม ๕ อย่าง และเป็นผู้มีความเลื่อมใสอันแน่วแน่ในพระพุทธศาสนาเข้ามาสู่สกุลของตน เพราะเหตุแห่งนางวิสาขา มิคารเศรษฐีและภรรยาได้บรรลุโสดาปัตติผล ประกาศตนเป็นอุบาสก ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ
บุตรของมิคารเศรษฐี กรุงสาวัตถี ชื่อว่าปุณณวัฒนกุมาร เจริญวัยแล้ว มารดาบิดาต้องการให้แต่งงาน แต่เขายังไม่อยากแต่งงานจึงกล่าวว่า ถ้าได้หญิงสาวที่พร้อมด้วยความงาม ๕ อย่าง จึงจะแต่งงาน
ลักษณะเบญจกัลยาณีหรือความงาม ๕ อย่างนั้น คือ
๑. ผมงาม คือ ผมเหมือนกำหางนกยูง เมื่อแก้ปล่อยระชายผ้านุ่งแล้ว ก็กลับมีปลายงอนขึ้นตั้งอยู่
๒. เนื้องาม คือ ริมผีปากเช่นกับผลตำลึงสุก ถึงพร้อมด้วยสีเรียบชิดสนิทดี
๓. กระดูกงาม คือ ฟันขาวเรียบไม่ห่างกัน งดงามดุจระเบียบแห่งเพชร ที่เขายกขึ้นตั้งไว้ และดุจระเบียบแห่งสังข์ที่เขาขัดสีแล้ว
๔. ผิวงาม คือ ผิวพรรณของหญิงดำ ไม่ลูบไล้ด้วยเครื่องประเทืองผิวเลย ก็ดำสนิท ประหนึ่งพวงอุบลเขียว, ถ้าผิวพรรณของหญิงขาว ก็ประหนึ่งพวงดอกกรรณิการ์
๕. วัยงาม หญิงแม้ว่าคลอดแล้วตั้ง ๑๐ ครั้ง ก็เหมือนคลอดครั้งเดียว ยังสาวพริ้งอยู่
เศรษฐีจึงส่งพราหมณ์ไปแสวงหาหญิงเบญจกัลยาณี พราหมณ์เดินทางมาถึงเมืองสาเกตและได้พบนางวิสาขา อายุย่างเข้า ๑๕ - ๑๖ ปี ประดับประดาด้วยเครื่องอาภรณ์ครบทุกอย่าง แวดล้อมด้วยหมู่เด็กหญิง ๕๐๐ คน ขณะนั้นได้เกิดฝนตก เด็กหญิง ๕๐๐ รีบเดินเข้าไปในศาลา แต่นางวิสาขาเดินตามปกติเข้าไปในศาลา ผ้าและอาภรณ์เปียกโชก เมื่อถามว่าทำไมนางจึงไม่วิ่งหนีฝน นางตอบว่า
ชน ๔ จำพวกเมื่อวิ่ง ย่อมไม่งาม
- พระราชาประดับประดาด้วยเครื่องอาภรณ์
- ช้างมงคลของพระราชาที่ประดับแล้ว
- บรรพชิต
- และสตรี
และสตรีนั้น พ่อแม่เลี้ยงอย่างทะนุถนอมมาเพื่อส่งไปตระกูลอื่น ถ้าวิ่งแล้วหกล้ม มือหรือเท้าหัก ก็จะเป็นภาระของตระกูล ส่วนเสื้อผ้าและเครื่องประดับ เปียกแล้วแห้ง นางจึงไม่วิ่ง
เมื่อพราหมณ์ได้เห็นนางวิสาขามีลักษณะของหญิงเบญจกัลยาณีครบถวนจึงสวมมาลัยทองให้ พราหมณ์ได้กลับไปแจ้งข่าวแก่มิคารเศรษฐี ท่านเศรษฐีได้เข้าเฝ้ากราบทูลพระเจ้าปเสนทิโกศล พระองค์ได้ไปร่วมงานด้วยตนเองเพื่อให้เกียรติที่นางยอมมาอยู่แคว้นสาวัตถี นางวิสาขาเป็นคนฉลาด มีปัญญาเฉียบแหลม สามารถจัดการเตรียมการต้อนรับและดูแลทุกคน
ธนันชัยเศรษฐีได้ทำเครื่องประดับ ชื่อมหาลดาปสาธน์ ใช้เวลาทำ ๔ เดือน มีมูลค่า ๙ โกฎิ และค่าจ้างทำ ๑ แสน ให้นางวิสาขา ซึ่งเป็นผลจากที่ในสมัยพระพุทธเจ้ากัสสปะ นางได้ถวายผ้าสาฎก ด้าย เข็ม เครื่องย้อมของตนเอง แก่ภิกษุสองหมื่นรูปเพื่อทำจีวร หญิงที่ถวายจีวรทานย่อมได้เครื่องประดับชื่อมหาลดาปสาธน์ ส่วนชายผู้ถวายจีวรทานย่อมได้บาตรและจีวรด้วยฤทธิ์ในยามกราบทูลขอบวชกับพระพุทธเจ้า
ธนันชัยเศรษฐีได้จัดไทยธรรมและให้ทรัพย์สินแก่นางวิสาขา จำนวนมาก และได้ให้โอวาทในการไปอยู่ในสกุลพ่อสามีแม่สามี ๑๐ ข้อ คือ ไม่ควรนำไฟภายในออกไปภายนอก, ไม่ควรนำไฟภายนอกเข้าไปภายใน, พึงให้แก่คนที่ให้เท่านั้น, ไม่พึงให้แก่คนที่ไม่ให้, พึงให้แก่คนทั้งที่ให้ทั้งที่ไม่ให้, พึงนั่งให้เป็นสุข, พึงบริโภคให้เป็นสุข, พึงนอนให้เป็นสุข, พึงบำเรอไฟ, พึงนอบน้อมเทวดาภายใน
มิคารเศรษฐี เลื่อมใสต่อพวกชีเปลือยและไม่ได้คำนึงพระพุทธเจ้าและภิกษุสงฆ์ วันหนึ่ง เศรษฐีได้เชิญพวกชีเปลือย ๕๐๐ คน มาบริโภคข้าวปายาส และอาหารอื่นๆในเรือน แล้วให้คนไปตามนางวิสาขามาไหว้ ซึ่งนางไม่ไหว้และกลับเรือน ชีเปลือยจึงตำหนิเศรษฐีและให้ไล่นางไปแต่เศรษฐีไม่อาจทำได้
วันหนึ่ง มีพระภิกษุมาบิณฑบาตที่ประตูเรือนแต่พ่อสามีทำเป็นไม่เห็น ก้มหน้ากินอาหารต่อไป นางจึงนิมนต์ภิกษุไปข้างหน้าแล้วกล่าวว่า พ่อสามีของดิฉันกำลังกินของเก่า เศรษฐีได้ฟังแล้วโกรธมาก ได้ขับไล่นางออกจากเรือน นางปฏิเสธที่จะไปเพราะตนมาเป็นสะใภ้มิใช่เพื่อมาเป็นนางทาสี แล้วได้เชิญกุฎุมพีที่ติดตามมาจากเมืองสาเกตให้วินิจฉัยความผิด
เศรษฐีกล่าวว่า นางวิสาขาว่าตนเป็นผู้กินของไม่สะอาด นางได้ชี้แจงว่า พ่อสามีกินข้าว ไม่ใส่ใจพระภิกษุที่มาบิณฑบาต ไม่ทำบุญในอัตภาพนี้ บริโภคแต่บุญเก่าเท่านั้น จึงได้พูดว่า นิมนต์ไปข้างหน้า พ่อสามีกำลังบริโภคของเก่า
และคืนหนึ่ง นางวิสาขาและคนใช้ชายหญิงติดตามไปหลังเรือนตอนเที่ยงคืน นางได้ชี้แจงว่าแม่ม้าตกลูก นางเห็นว่าไม่สมควรนั่งเฉยไม่เป็นธุระ จึงให้พวกคนใช้ไปทำการดูแลแม่ม้า นางจึงไม่มีโทษ
บิดานางวิสาขาได้ให้โอวาท ๑๐ ข้อ ซึ่งลี้ลับ มิคารเศรษฐีไม่เข้าใจ จึงต้องให้นางวิสาขาอธิบาย
- ไฟในไม่พึงนำออกไปภายนอก คือ เห็นโทษของพ่อแม่สามีและสามีแล้ว อย่านำไปพูดภายนอกเรือน
- ไฟแต่ภายนอก ไม่พึงให้เข้าไปภายใน คือ ถ้าคนทั้งหลายพูดถึงโทษของพ่อแม่สามีและสามี อย่านำเอาคำพูดนั้น มาพูดภายในเรือน
เศรษฐีได้ฟังคำอธิบายโอวาท ๑๐ ข้อ แล้ว ไม่โต้แย้ง
เมื่อจบการวินิจฉัย นางวิสาขาไม่มีความผิดจึงไม่ต้องออกจากเรือนตามคำของพ่อสามี แต่นางจะไป เนื่องจากนางเป็นธิดาของตระกูลผู้มีความเลื่อมใสอันไม่ง่อนแง่นในพระพุทธศาสนา หากไม่ได้บำรุงภิกษุสงฆ์แล้ว จะเป็นอยู่ไม่ได้ หากนางได้บำรุงภิกษุสงฆ์ นางจึงจะอยู่ ซึ่งท่านเศรษฐียินยอม
นางวิสาขาได้ทูลนิมนต์พระพุทธเจ้าเสด็จมาที่บ้านเพื่อถวายภัตรและแสดงธรรม การแสดงธรรมของพระองค์นั้น ไม่ว่าชนผู้นั้นจะอยู่ตรงไหน ผู้รับฟังจะกล่าวว่า "พระศาสดา ย่อมทอดพระเนตรดูเราคนเดียว ทรงแสดงธรรมโปรดเราคนเดียว" นี้เป็นผลแห่งทานที่พระพุทธเจ้าทรงตัดพระเศียร ทรงควักพระเนตร ทรงชำแหล่ะเนื้อหทัย ทรงบริจาคโอรสเช่นพระชาลี พระกัณหา และพระนางมัทรี เพื่อเป็นทาสของผู้อื่น
เมื่อมิคารเศรษฐีฟังธรรมเทศนา ได้บรรลุโสดาปัตติผล มีศรัทธามั่นคง หมดความสงสัยในพระรัตนตรัย ได้ขอให้นางวิสาขาเป็นมารดา ตั้งแต่วันนั้น นางวิสาขาได้ชื่อว่ามิคารมารดา ภายหลังได้บุตรชาย จึงได้ตั้งชื่อบุตรนั้นว่า "มิคาระ" ในวันรุ่งขึ้น แม่สามีก็ได้บรรลุโสดาปัตติผล ตั้งแต่นั้นมา เรือนหลังนั้นได้เปิดประตูเพื่อต้อนรับพระภิกษุในพระพุทธศาสนา
เราทั้งหลายต้องเข้าใจในเรื่องความยึดมั่นถือมั่น พระธรรมพระวินัยคือความยึดมั่นถือมั่น เพราะอันนี้เป็นหลักการอุดมการณ์เพื่อให้เข้าสู่อุดมธรรม เพื่อจะได้พัฒนาทางวัตถุธุรกิจหน้าที่การงาน คนรุ่นใหม่สมัยใหม่ต้องพากันเข้าใจนะ เค้าต้องเอาทางวิทยาศาสตร์ เอาทั้งทางวัตถุ เอาทั้งทางใจไปพร้อม ๆ กัน เค้าจะเดินทางไกลเค้าต้องใช้เท้าซ้ายเท้าขวาก้าวไปเพื่อเดินทางไกล เราทั้งหลายต้องก้าวไปทั้งทางวัตถุทางวิทยาศาสตร์ทั้งทางใจไปพร้อม ๆ กัน
มนุษย์สมัยใหม่พากันพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ ดีมาก ถูกต้อง การพัฒนาวัตถุทางวิทยาศาสตร์เราต้องรู้เข้าใจ ไม่ใช่พัฒนาเพื่อให้เป็นนิติบุคคลตัวตน พัฒนาเพื่อมาเสียสละ
การเดินทางไกลสมัยใหม่ให้คิดให้เข้าใจ การเดินทางสมัยใหม่เค้าต้องอาศัยรถอาศัยเครื่องบินทางบนบกทางอากาศอาศัยรถอาศัยเครื่องบิน ทางทะเลมหาสมุทรก็อาศัยเรือ เรือก็ไม่ใช่เรือเล็ก ต้องเป็นเรือใหญ่ เพราะในโลกนี้มีน้ำ ๓ ส่วน มีดิน ๑ ส่วน
การที่เราไปเรียนไปศึกษานั้นคือเป็นการวางแผนเพื่อเอาปัญญากับความสงบนำชีวิต ทำไมเราไปเรียนหนังสือที่โรงเรียน อนุบาล ประถม มัธยม อุดมศึกษา ความรู้ปริญญาเอก มีความดีกับปัญญาได้เป็นศาสตราจารย์ ไปเรียนทั้งในประเทศ ต่างประเทศ นี้มันเป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรมที่แสวงหาอาหารที่อยู่ที่อาศัยที่ทำมาหาเลี้ยงชีพเพื่อความดับทุกข์ ไม่ให้มีความทุกข์ทั้งทางกายทางใจ
เราทั้งหลายต้องมาทำหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ เพื่อมาทำที่สุดแห่งความดับทุกข์ ทั้งกายทั้งวาจาทั้งกิริยามารยาททั้งอาชีพ
คนรุ่นใหม่สมัยใหม่ต้องเอาทั้งวิทยาศาสตร์ทั้งวัตถุทั้งจิตใจไปพร้อม ๆ กัน เดี๋ยวนี้ภาพรวมของโลกของประเทศไม่รู้ไม่เข้าใจว่าเราเกิดมาทำไม เราเรียนหนังสือทำไม ทำการทำงานทำไม เป็นข้าราชการเป็นนักการเมืองเป็นนักบวชทำไม ความไม่รู้ไม่เข้าใจนี้คือไม่รู้เหตุไม่รู้ปัจจัย ไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ ไม่รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เราเลยเอาความหลงนำชีวิตเอาความผิดนำชีวิตเราเลยมองหามนุษย์ไม่เจอ มีแต่คน ไม่มีมนุษย์
คำว่าคนนี้ก็หมายถึงตัวตนที่เป็นสัญชาตญาณที่เป็นตัวเป็นตนถึงมีศัพท์ว่าคน ทำทั้งดีทั้งชั่วทั้งผิดทั้งถูกเดินไปข้างหน้าก็ถอยกลับที่เก่า นี้เป็นได้แต่เพียงคน
เราทั้งหลายต้องพากันเห็นภัยในวัฏฏสงสาร เพื่อทำธุรกิจหน้าที่การงานทางวิทยาศาตร์อย่างมีความสุข พัฒนาเรื่องจิตเรื่องใจให้มีความสุข
หลักการ วันจันทร์อังคารพุธพฤหัสศุกร์เป็นวันทำงานพร้อมกับการปฏิบัติธรรมไปพร้อม ๆ กัน ต้องมีปิติมีความสุขในการทำหน้าที่ วันเสาร์วันอาทิตย์เป็นวันหยุดทำธุรกิจหน้าที่การงาน เพื่อพัฒนาจิตใจ เพื่อเอาใจใส่ในเรื่องจิตเรื่องใจ มาพิจารณาพระไตรลักษณ์ พระไตรลักษณ์ก็ได้แก่เรื่องเหตุเรื่องปัจจัย ไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน เป็นเรื่องเหตุเรื่องปัจจัย ถึงได้เป็นกรรมเป็นกฎแห่งกรรมเป็นผลของกรรม
ที่เรามีความเกิดความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพราก นี้มาจากเหตุมาจากปัจจัย เพื่อเราทั้งหลายจะได้หยุดสัญชาตญาณ หลักการในการประพฤติการปฏิบัตินี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงให้ผู้ที่บรรพชาอุปสมบท ให้มีธุรกิจหน้าที่การงานด้วยการภาวนาสมถะวิปัสสนา เราสำรวมในปาฏิโมกข์ยังไม่เพียงพอ สำรวมในอินทรีย์สังวรยังไม่เพียงพอ สำรวมในอาชีวะปาริสุทธิยังไม่เพียงพอ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงให้เรามาพิจารณาร่างกายส่วนประกอบของร่างกาย ให้แยกออกเป็นชิ้นเป็นส่วนแล้วเอามาประกอบเข้ากันใหม่ ถ้าการปฏิบัติของเราติดต่อต่อเนื่อง ความสงบและปัญญามันจะก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ เราจะมองเห็นด้วยปัญญาว่า สิ่งต่าง ๆ นั้นเรามีตารูปถึงมี เรามีหูเสียงถึงมี เรามีจมูกกลิ่นถึงมี เรามีลิ้นรสถึงมี เรามีกายถึงมีสัมผัส เราต้องรู้เข้าใจสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นจะได้ดับลงเพียงผัสสะ ไม่ต้องให้เกิดเวทนาดีใจเสียใจ เพราะอันนี้มันคือพระไตรลักษณ์ คือเหตุคือปัจจัย เพราะทุกอย่างนั้นมันต้องผ่านไป ทุกอย่างมันต้องเกษียณ ทุกอย่างนั้นเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป
เราต้องเข้าใจ การพิจารณาร่างกายให้ออกเป็นชิ้นเป็นส่วน ผู้ที่มาบวชท่านถึงให้ปลงผม ผู้ที่บวชเอาผมออกก็เห็นอย่างนี้แหละ ผู้ที่ไม่เอาผมออกเรามองไปก็เห็นอย่างนี้แหละ เอาออกหรือไม่เอาออกมันเป็นเพียงเหตุปัจจัย ถ้าเราเอาผมออกความสวยความหล่อมันก็ลดลงไป ถ้าเราเอาหนังออกอย่างนี้แหละ ความสวยความหล่อหมดไปเลย
ถ้าเราอยู่ในที่สงบที่วิเวกอยู่ในป่าคนเดียว ถ้าไปเห็นบุคคลที่ถลกหนังออกลอกหนังออกคงจะพากันวิ่งหนีไปคนละทิศละทาง
ท่านให้เราพิจารณาว่าผมหนังนี้ห่อหุ้มสิ่งไม่สะอาด สิ่งที่ปฏิกูล อย่างน้ำมูกน้ำลายน้ำเลือดน้ำหนอง ทุกคนบริโภคไม่ได้ เอามาดมมาจูบไม่ได้ ทำไมไม่ได้ เพราะสิ่งเหล่านี้มันเป็นของปฏิกูล มันไม่ใช่ของสะอาด
เราทั้งหลายให้รู้เข้าใจ เรามีภาระต้องรักษาความสะอาดของตัวเอง อาบน้ำแปรงฟันด้วยยาสีฟันด้วยสบู่ ต้องซักเสื้อผ้าอาภรณ์
การพัฒนาของเราเมื่อร้อยปีก่อนจะไม่มีสุขาทันสมัย ปัจจุบันรู้ว่าสรีระร่างกายมูตรคูถนั้นเป็นของสกปรกถึงมีห้องสุขา
เราต้องรู้เข้าใจว่าสรีระร่างกายของเราเป็นของชั่วคราว เป็นสิ่งที่ไม่สวยสดงดงามอะไร มีแต่ของปฏิกูลทั้งนั้นเลย เราคิดดูดี ๆ ทุกคนก็บริโภคน้ำมูกน้ำเหลืองน้ำลายของตัวเองไม่ได้ ของคนอื่นไม่ได้
หลักการที่มองให้เกิดปัญญา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้ผู้ที่มาบรรพชาอุปสมบททั้งหลายท่านให้ทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ เราทั้งหลายก็ไม่อยากพากันประพฤติพากันปฏิบัติ ไม่อยากคิดถึงเรื่องความแก่ความเจ็บความตายไม่อยากแยกร่างกายออกมาเป็นส่วน ๆ ไม่อยากพิจารณาให้เห็นเป็นของปฏิกูล จะไปเอาแต่สมาธิเอาแต่ความสงบ สมาธิคือความสงบคือสมถะ สมาธิถึงต้องเอาปัญญามาเกี่ยวข้อง เอาความสงบและปัญญาเพื่อปัญญากับความสงบจะได้ไปพร้อม ๆ กัน
เราพากันมาบรรพชาอุปสมบท พากันมาปฏิบัต เราต้องรู้เรื่องการประพฤติการปฏิบัติ เรานอนพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายให้เพียงพอ อย่าให้ท้องผูก เพราะตัวตนคือความยึดมั่นถือมั่น มันไม่ทิ้งอดีต นี้เรียกว่าไม่ใช่กายผูก นี้ใจมันผูก มันไม่เป็นธรรม ไม่เป็นปัจจุบันธรรม ไม่เป็นพระธรรมพระวินัย ไม่เป็นปาฏิโมกข์สังวร อินทรีย์สังวร ปาริสุทธิสังวร
การประพฤติการปฏิบัติของเราให้เรารู้เข้าใจนะ มันต้องปฏิบัติติดต่อต่อเนื่อง ถ้าไม่ปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องมันไม่ได้ผล มันล้มละลายพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกันกับตึกสตง.ของเมืองไทยประเทศไทยอย่างเดียวกันไม่มีผิด
การปฏิบัติมันต้องติดต่อต่อเนื่อง ด้วยความรู้ความเข้าใจนี้ต้องทำหน้าที่ของตัวเองในปัจจุบันเพื่อให้ศีลสมาธิปัญญาสมบูรณ์ ในการติดต่อต่อเนื่อง เราต้องรู้เรื่องการประพฤติการปฏิบัติ ถ้ามิเช่นนั้นเราจะไม่เป็นผู้มีศีลมีสมาธิมีปัญญา เพราะปฏิปทา การประพฤติการปฏิบัติของเรานั้นไม่ติดต่อต่อเนื่อง
ไก่ฟักไข่ใช้เวลา ๓ อาทิตย์ขึ้นไป จะฟักด้วยแม่ของไข่หรือฟักด้วยไฟฟ้าก็ใช้เวลา ๓ อาทิตย์
เราปักหมุดไว้วางหลักการไว้เลยอย่างนี้ไม่คิดอย่างนี้ไม่คิดอย่างนี้ไม่ทำ ต้องเอาอุปกรณ์คือศีลสมาธิปัญญา เอาอุปกรณ์คือการสำรวมตาหูจมูกลิ้นกายใจ เอาหลักการในสัมมาอาชีวะเพื่อเป็นอาชีวะปาริสุทธิ เราจะได้รู้แจ้งทั้งทางวิทยาศาสตร์ทั้งทางจิตใจไปพร้อม ๆ กันเพื่อความสงบและปัญญา
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เราเข้าใจอย่างนี้ เพราะเราต้องรู้ต้องเข้าใจ ความไม่รู้ไม่เข้าใจเราทั้งหลายถึงไม่ได้เป็นมนุษย์ผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เราไม่ได้เป็นเทวดาผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เราไม่ได้เป็นพระพรหมผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร
เราคิดดูดี ๆ เรามองไปข้างนอก เห็นหน้าประชาชนทั้งหลายที่ไม่เข้าใจเรื่องอริยสัจสี่ มองเห็นหน้าข้าราชการนักการเมือง เห็นหน้านักบวช ความรู้สึกที่ประกอบด้วยปัญญามันจะเป็นหน้าโจร หน้าทุกข์ ลำบากยากจน ลอยอยู่ในใจของเรานะ อันนั้นมันสิ่งภายนอก
เราต้องรู้เข้าใจว่าสิ่งภายนอกนั้นเราแก้ไขไม่ได้ เราต้องแก้ไขตัวของเราเอง
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชถึงตรัสกับพวกเราทั้งหลายว่าเราต้องปล่อยเราต้องวางเรื่องคนอื่น หรือว่าปล่อยวางเรื่องธาตุเรื่องขันธ์เรื่องอายตนะให้เป็นปาฏิโมกข์สังวร อินทรีย์สังวร ปาริสุทธิสังวร ช่างหัวเผือกช่างหัวมัน เรามาเน้นตัวเราในปัจจุบันเราจะได้เข้าถึงความดับทุกข์ความไม่มีทุกข์ นี้คือความถูกต้องนี้คือปัญญาคือความสงบ
เรามาบวชมาปฏิบัติ เป็นข้าราชการเป็นนักการเมือง เราต้องทำประโยชน์ตนและประโยชน์คนอื่น ประโยชน์ของมหาชนด้วยความไม่ประมาท ให้มีแต่ปิติมีความสุขเอกัคคตา เพราะความดับทุกข์มันอยู่ที่ความสงบและปัญญา มันจะเป็นความพอดีความพอเพียง
เรามาระลึกถึงโอวาทครั้งสุดท้ายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนที่ท่านจะละธาตุวางขันธ์เสด็บดับขันธ์ในส่วนร่างกายเข้าสู่พระนิพพาน ดับไม่มีส่วนเหลือทั้งใจทั้งกายท่านได้ตรัสปัจฉิมโอวาทสุดท้ายไว้ว่า
“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”
โอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ
ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ
ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู
ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบัน ไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร
ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละคือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะว่าสิ่งเดิมนั้นคือความว่างเปล่า สิ่งที่สัญจรไปมาเป็นเพียงอาคันตุกะ เราจะได้เอาหลักการอุดการณ์ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นมรรคเป็นอริยมรรคที่ตรงกันข้ามกับโลกธรรม
ให้รู้เข้าใจ เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรม พระนิพพานความรู้ความเข้าใจในเรื่องปฏิจจสมุปบาทจะเป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นพระนิพพานบ้านของเรา ไม่ใช่อวิชชาความหลงเป็นบ้านของเรานะ พระนิพพานคือบ้านของเรา ความสงบและปัญญาถึงเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราจะหยุดวัฏฏสงสารได้ด้วยความสงบและปัญญา ธรรมะนั้นถึงหยุดความปรุงแต่งได้ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิคู่กับการประพฤติการปฏิบัติ
ขออนุโมทนากับท่านทั้งหลายที่ได้รับสิทธิพิเศษตามกรรมตามกฎแห่งกรรมตามอายุขัย ความไม่ประมาทเป็นปัจฉิมโอวาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราทั้งหลายต้องพากันมารู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์เราจะได้มาทำที่สุดแห่งความดับทุกข์เพื่อหยุดสัญชาตญาณ ตามโอวาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านตรัสว่า
เมื่อเรายังไม่พบญาณ, ได้แล่นท่องเที่ยวไปในสงสารเป็นอเนกชาติ แสวงหาอยู่ซึ่งนายช่างปลูกเรือน, คือตัณหาผู้สร้างภพ, การเกิดทุกคราวเป็นทุกข์ร่ำไป นี่แน่ะนายช่างปลูกเรือน, เรารู้จักเจ้าเสียแล้ว, เจ้าจะทำเรือนให้เราไม่ได้อีกต่อไป โครงเรือนทั้งหมดของเจ้าเราหักเสียแล้ว, ยอดเรือนเราก็รื้อเสียแล้ว จิตของเราถึงแล้วซึ่งสภาพที่อะไรปรุงแต่งไม่ได้อีกต่อไป, มันได้ถึงแล้วซึ่งความสิ้นไปแห่งตัณหา, คือถึงนิพพาน
ให้เราทุกคนให้เอาหลักการอุดมการณ์อุดมธรรมนำการประพฤตินำการปฏิบัติ เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปถึงมี เราจะได้เข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ปัจจุบัน ให้ถือคติว่าพระนิพพานคือบ้านของเรา ศีลสมาธิปัญญา สำรวมในปาฏิโมกข์ สำรวมในอินทรีย์ สำรวมในอาชีวะปาริสุทธิ เพื่อเป็นอริยมรรคในการประพฤติการปฏิบัติ
การบรรยายพระธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เป็นธรรมที่เป็นบริสุทธิคุณก็เห็นสมควรแก่เวลา ขอสมมติยุติไว้เพียงเท่านี้
-------------------------------------
โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
เมตตาให้ไว้ในเช้าวันจันทร์ที่ ๘ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา
เข้าใจอย่างนี้ เราจะได้เข้าใจในเรื่องนิพพาน ปัญญากับความสงบถึงจะหยุดความปรุงแต่งได้