๑๐ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
วันนี้เป็นวันพุธที่ ๑๐ เดือนกันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
เราพากันมาประพฤติมาปฏิบัติธรรม พากันมาบรรพชาอุปสมบท ถือเพศพรหมจรรย์ เป็นนักบวช ประพฤติปฏิบัติพรหมจรรย์ อาศัยหลักพระธรรมคือคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อเป็นหลักการในการประพฤติการปฏิบัติของเรา การประพฤติการปฏิบัติธรรมเราต้องไม่ตามใจของตัวเอง ไม่ตามอารมณ์ของตัวเอง ไม่เอาความชอบไม่ชอบ
ให้เรารู้ให้เข้าใจ ความชอบไม่ชอบนั้นมันเป็นนิติบุคคลตัวตน ให้เราเอาพระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ เพื่อเป็นอุปกรณ์ในการประพฤติการปฏิบัติธรม ความหมายของคำว่าประพฤติปฏิบัติธรรม หมายถึงความรู้ที่เรารู้เข้าใจ เมื่อรู้เมื่อเข้าใจแล้วเราก็เอาความรู้ความเข้าใจนั้นมาประพฤติมาปฏิบัติ เพื่อให้สมบูรณ์ทั้งอรรถะทั้งพยัญชนะ ไม่ขาดตกบกพร่อง เรารู้เราเข้าใจ แต่เราไม่ได้ประพฤติไม่ได้ปฏิบัตินี้คือผู้ที่ไม่ได้ประพฤติไม่ได้ปฏิบัติธรรม ความรู้ต้องคู่กับการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน
การประพฤติการปฏิบัติเป็นสิ่งที่ทวนกระแส ไม่ได้ไปตามกระแส ความรู้ความเข้าใจนี้มันจะดับลงที่ผัสสะ เพื่อไม่ให้เวทนาเกิดความปรุงแต่ง เรารู้เราเข้าใจในเรื่องผัสสะ เรื่องผัสสะเป็นอาคันตุกะที่สัญจรไปมาชั่วคราว ผัสสะนั้นเกิดจากเหตุเกิดจากปัจจัย เราทั้งหลายจะได้พากันรู้ผัสสะ เราจะได้รู้การประพฤติการปฏิบัติของเรา เราทั้งหลายจะได้จบลงเพียงผัสสะ ธรรมะเป็นของละเอียดอ่อน เป็นสิ่งที่ว่างจากนิวรณ์ทั้ง ๕ ว่างจากอคติทั้ง ๔ เป็นสิ่งที่ทวนกระแส ไม่ไปตามกระแส ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม
เราต้องรู้หลักการในการประพฤติการปฏิบัติ ผู้ที่มาบรรพชาอุปสมบท มาปฏิบัติธรรมทั้งหลายต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ต้องตั้งใจตั้งเจตนา เพื่อจะได้หยุดการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสาร ให้มันจบลงเพียงผัสสะ อย่าให้เวทนาได้ปรุงแต่งจิตใจของเรา
เราต้องขอบใจผัสสะทั้งหลายที่ให้เรามีโอกาสได้ประพฤติได้ปฏิบัติธรรม ถ้าเราไม่มีผัสสะเราก็จะไม่ได้มีโอกาสได้ประพฤติได้ปฏิบัติธรรม เราทั้งหลายจะได้อาศัยพระธรรมพระวินัยด้วยความตั้งใจตั้งเจตนา มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ปัจจุบันนี้เป็นความยึดมั่นถือมั่น มีปิติมีความสุขในข้อวัตรกิจวัตร เพราะเราทั้งหลายจะได้หยุดสัญชาตญาณที่เป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นปัญญาที่ประกอบด้วยความดี เป็นทั้งความสงบเป็นทั้งปัญญา เป็นปฏิปทาที่เราพึงประพฤติพึงปฏิบัติ เราจะไปถึงจุดหมายปลายทางได้อย่างสวัสดิภาพ
เราต้องมีหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม ความยึดมั่นถือมั่นในพระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตร ประพฤติปฏิบัติในปัจจุบันเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะอดีตก็มารวมกันอยู่ที่ปัจจุบันแล้ว อนาคตจะไปข้างหน้าก็มารวมอยู่ที่ปัจจุบันแล้ว ปัจจุบันถึงเป็นวาระสำคัญ เป็นวาระแห่งชาติของการประพฤติการปฏิบัติ เราทุกคนได้ใช้งบประมาณของแผ่นดิน จากภาษีอากรหยาดเหงื่อแรงงานของประชาชนของมหาชนที่เสียภาษีอากร เราได้งบประมาณมาจากศรัทธาประชาชนมหาชนที่เค้าพากันทำความดีสร้างบารมีสร้างคุณธรรม
การมาบรรพชาอุปสมบทมาปฏิบัติธรรมนี้เราได้รับสิทธิพิเศษ บ้านไม่ได้เช่าเป็นที่อยู่ที่อาศัย ข้าวอาหารต่าง ๆ ไม่ได้ซื้อ ฟรีหมดทุกอย่าง เรามาประพฤติมาปฏิบัติธรรมมาบรรพชาอุปสมบท เราอย่าให้ตัวของเราเองผิดหวัง อย่าให้ประชาชนมหาชนเค้าผิดหวัง เพราะเหตุผลว่าเราใช้งบประมาณของแผ่นดิน เราใช้งบประมาณของศรัทธามหาชน เป็นความดีเป็นบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราต้องพากันมาสืบทอดต่อยอดพระธรรมพระวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เราทั้งหลายต้องเป็นผู้กตัญญูกตเวที กตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องหมายของคนดี เป็นเครื่องหมายของผู้ดี พระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่เป็นเครื่องหมายของคนดี เป็นเครื่องหมายของผู้ดี เราทั้งหลายถึงต้องเป็นผู้มีกตัญญูกตเวที เพราะปัจจัย ๔ นั้นมาจากบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านไม่ว่าอะไร เราจะเป็นใครมาจากไหน ให้มาเอาพระธรรมพระวินัย ให้ตั้งอกตั้งใจตั้งเจตนา เพื่อสืบทอดต่อยอดพระพุทธศาสนา พระศาสนาคือทางสายกลางระหว่างจิตใจกับวัตถุ ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป เป็นความพอดี เป็นความพอเพียง เหมือนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลยเดชรัชกาลที่ ๙ ท่านตรัสว่าเราทั้งหลายต้องเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี เราจะได้มีปัญญาสัมมาทิฏฐิ เราจะได้มีความสงบมีปัญญา เราจะได้มากมันก็ไม่มากเพราะของมันเท่านั้น เราอยากได้น้อยมันก็ไม่น้อยเพราะของมันเท่านั้น
เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้หยุดลงเพียงผัสสะด้วยความรู้ความเข้าใจ เราทั้งหลาย ร่างกายของเราที่เป็นมนุษย์ที่เกิดมา มนุษย์เราทั้งหลายต้องพากันรู้อริยสัจสี่ เพื่อจะได้หยุดลงเพียงผัสสะ ด้วยเห็นภัยในวัฏฏสงสาร มนุษย์เราต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสาร เราเป็นเทวดาต้องรู้เข้าใจ เพราะอันนี้มันคือกรรมคือกฎแห่งกรรมคือผลของกรรม เทวดาก็ต้องรู้อริยสัจสี่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเป็นเพียงอาคันตุกะสัญจรไปมาเท่านั้น เทวดาก็ต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสาร พระพรหมคือพรหมวิหาร ก็ต้องมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ จะได้เกิดปัญญาญาณวิปัสสนา ความเป็นหนึ่งมีความสงบ ความสงบ
ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ เราทั้งหลายก็ไม่อยากเสียสละ ผู้มีความสงบถึงต้องเสียสละ เหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือผู้ที่เสียสละ ถ้าไม่เสียสละก็ไม่มีศีลไม่มีสมาธิไม่มีปัญญา การเป็นผู้เสียสละถึงเป็นผู้ที่มีศีลมีสมาธิมีปัญญา มนุษย์เทวดาพรหมต้องเสียสละ ถือว่าการเสียสละนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงพักผ่อนทรงบรรทมเพื่อสรีระร่างกาย ภายใน ๒๔ ชั่วโมงท่านบรรทมพักผ่อน ๔ ชั่วโมง ท่านทำงานเพื่อประชาชน เพื่อมหาชน เพื่อสรรพสัตว์ทั้งหลายวันละ ๒๐ ชั่วโมง ๒๔ ชั่วโมง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีแต่เสียสละ
เรามาประพฤติปฏิบัติธรรม มาบรรพชาอุปสมบทเราทั้งหลายต้องพากันมาเสียสละ ให้เราทั้งหลายพากันเข้าใจอย่างนี้ เราจะถือความหมายในการประพฤติการปฏิบัติธรรมในการบรรพชาอุปสมบท ว่าเราบวชมาทำไม ทำไมเราถึงมาบวช เราต้องรู้ความหมายในการบวช ผู้ที่มาบวชคือผู้ที่เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เห็นภัยในเรื่องทุกข์ เรื่องเหตุเกิดทุกข์ ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์
เราไม่ได้มาบวชเพราะฐานะเรายากจน เราไม่ได้มาบวชเพราะไม่มีความสามารถในการทำงานหาเลี้ยงชีพ ที่เป็นฆราวาสฐานะยากจน เลยพากันมาบวช เราไม่ได้มาบวชเพราะสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง เจ็บไข้ไม่สบาย อยู่ทางบ้านฐานะไม่ดี ฐานะยากจน คิดว่ามาบวชแล้วค่ารักษาพยาบาลฟรี
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่าถึงจะยากจนก็ไม่เป็นไร ในการมาบวชของเราน่ะที่ได้รับสิทธิพิเศษ บ้านก็ไม่ได้เช่า ข้าวก็ไม่ได้ซื้อ ออกภิกขาจารบิณฑบาต เค้ายังตามมาถวายอีกที่วัด ประชาชนเค้ายังเอาของมาให้มาถวายมาประเคนที่วัดอีก ยังมีกิจนิมนต์ไปในงานต่าง ๆ ไปรับจ็อบในกิจนิมนต์ในงานต่าง ๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบอกผู้มาบรรพชาอุปสมบทที่รับกิจนิมนต์ไปในงานต่าง ๆ ไม่ให้ไปรับเงินรับปัจจัยของประชาชนของมหาชน ผู้บรรพชาอุปสมบทต้องไม่รับเงินรับทองเป็นของส่วนตัว ถ้าไปรับเงินรับทองก็ไม่ต่างจากฆราวาส ฆราวาสเค้ารับเงินรับทอง รับยศ รับตำแหน่ง
นักบวชของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านไม่ให้เรารับเงินรับสตางค์ จะเก็บไว้เองก็ดี หรือให้ผู้อื่นเก็บไว้ให้ผู้ที่มาบวชก็ดี นี้คือความไม่ถูกต้อง ถ้านักบวชไปรับเงินรับทองรับสตางค์จะเกิดทิฏฐิมานะ เกิดอัตตาตัวตน จะไม่พากันออกบิณฑบาต ผู้มาบรรพชาอุปสมบทต้องออกภิกขาจารบิณฑบาตทุก ๆ วัน ถ้าไม่แก่เฒ่าเกินไป ถ้าไม่ป่วยอาพาธ ต้องออกภิกขาจารบิณฑบาตทุก ๆ วัน ถ้าไปมีเงินมีทองมีสตางค์จะเหินห่างจากการบิณฑบาต จะเอาเงินเอาสตางค์นั้นไปซื้ออาหารสั่งอาหารมาฉันที่วัด หรือจะพากันไปฉันในร้านอาหาร
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านออกบิณฑบาตทุก ๆ วัน พุทธประวัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อเป็นหลักฐานยืนยันว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านออกภิกขาจารบิณฑบาตทุกวัน ไม่มีวันไหนไม่ออกภิกขาจารบิณฑบาต พุทธประวัติที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเสด็จโปรดพุทธบิดามารดา พ่อค้าประชาชนมหาชนที่กรุงกบิลพัสดุ์ ตอนเช้าท่านออกภิกขาจารบิณฑบาตเหมือนขอทานทั่ว ๆ ไป เพื่อลดมานะละทิฏฐิ เพื่อทวนกระแส เพื่อหยุดกระแส พระเจ้าสุทโธทนะ ไม่รู้ไม่เข้าใจ ตกพระทัยว่าพระราชกุมารได้ตรัสรู้ทำไมถึงเป็นผู้ขอทาน
ในระยะเริ่มประกาศพระศาสนานั้น ส่วนใหญ่พระบรมศาสดา ประทับประจำอยู่ในแคว้นมคธ เนื่องจากมีเวฬุวันเป็นที่ประทับ จะเสด็จไปยังแคว้นใดก็ตาม เมื่อเสร็จพุทธกิจโปรดเวไนยสัตว์แล้ว จะเสด็จกลับแคว้นมคธ เสมอ แม้แต่เหล่าสาวกที่ออกไปประกาศพระศาสนา เสร็จแล้วก็จะพากันกลับมา กรุงราชคฤห์ของแคว้นมคธ นี้ทำนองเดียวกัน
เมื่อมีการประกาศพระศาสนาไปแพร่หลาย ข่าวคราวกระจายไปถึงนครกบิลพัสดุ์ พระเจ้าสุทโธทนะทรงรอคอยพระราชโอรสมาถึง ๖ ปี ทรงทราบว่าตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ก็ทรงดีพระทัย รีบส่งคณะอำมาตย์ไปทูลเชิญเสด็จกลับมาเยี่ยมพระนคร ปรากฏว่าส่งไปคณะใด อำมาตย์เหล่านั้นได้ฟังพระธรรมเทศนา ปฏิบัติตามคำสอนพากันบรรลุเป็นพระอรหันต์หมด เมื่อเป็นพระอรหันต์แล้ว ภิกษุเหล่านั้นย่อมหมดความยินดี ยินร้ายในอารมณ์ทางโลกทั้งปวง ไม่มีความกังวลด้วยภาระอันใดของชาวโลก จึงไม่มีใครสนใจทูลให้ พระบรมศาสดาทรงทราบเรื่อง ที่พระบิดาทูลเชิญ หรือมิฉะนั้นก็เห็นว่าเป็นเรื่อง ที่พระบรมศาสดาทรงพิจารณา เองว่าเวลาใดสมควรเสด็จ ไม่ควรรบกวนพระทัย จนถึงทูตคณะที่ ๑๐ มีอำมาตย์ชื่อกาฬุทายี อันเป็นสหชาติกับพระบรมศาสดาเป็นหัวหน้าคณะ อำมาตย์ผู้นี้ทราบล่วงหน้าจึงทูลลาบวชต่อพระเจ้าสุทโธทนะก่อนออกเดินทาง เมื่อเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าและได้ฟังธรรมแล้ว ก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ทั้งคณะทำนองเดียวกัน
แต่ภิกษุกาฬุทายีไม่ลืม เรื่องพระราชาสุทโธทนะรับสั่งไว้ จึงทูลอาราธนาพระบรมศาสดา พระองค์ทรงรับนิมนต์ และเสด็จด้วยพระบาทพร้อมเหล่าภิกษุ สิ้นเวลาเดินทางสองเดือน จึงถึงพระนครกบิลพัสดุ์ ประทับในอุทยานของพระญาติผู้หนึ่งพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ ๒ หมื่นรูป เรียกที่นั้นว่า นิโครธาราม
.....เหล่าพระญาติทั้งหลายได้พากันมาเฝ้า โดยให้พระญาติผู้เยาว์อยู่ด้านหน้าๆ เพื่อถวายบังคม ส่วนพระญาติผู้ใหญ่อยู่ทางท้ายๆ เพราะยังมีทิฏฐิมานะว่าเป็นผู้เกิดก่อน ไม่ยอมถวายบังคม พระบรมศาสดาทรงทราบอัธยาศัย จึงทรงกระทำพุทธปาฏิหาริย์ เสมือนพระองค์ทรงลอยอยู่ในอากาศ โปรยละอองพระบาทเหนือ เศียรเหล่าพระญาติเหล่านั้น ทำให้สิ้นมานะพากันถวายบังคม
.....ขณะนั้นมี ฝนสีแดง เรียกว่า ฝนโบกขรพรรษ ตกมาจากอากาศ เป็นที่ชุ่มชื่นใจ ใครต้องการให้เปียกจึงจะเปียก ใครไม่ต้องการก็ไม่เปียก กลิ้งจากตัวไปเหมือนน้ำบนใบบัว ฝนนี้ทำให้พระองค์ตรัสเล่าความเดิมในพระชาติที่ ทรงเกิดเป็นพระเวสสันดร เพราะมีฝนชนิดเดียวกันตก ในวันประชุมพระญาติทำนองเดียวกัน
เมื่อครั้งพระพุทธเจ้าเสด็จกลับกรุงกบิลพัสดุ์ อันเป็นบ้านเกิดของพระองค์ เพื่อโปรดเหล่าพระญาติ ในวันที่สองพระพุทธองค์ได้เสด็จเข้าไปบิณฑบาตในพระนคร ครั้นพระเจ้าสุทโธทนะ พุทธบิดาได้ยินชาวบ้านพากันโพนทะนาว่าสิทธัตถะ ราชโอรส เที่ยวจากเรือนไปสู่เรือนเพื่อก้อนข้าว พระองค์ก็เกิดความอับอาย จึงเสด็จไปตรัสกับพระพุทธเจ้าว่าวงศ์ของกษัตริย์เช่นเราไม่เที่ยวไปเพื่อก้อนข้าวเช่นนี้
พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่าวงศ์กษัตริย์เป็นวงศ์ของพระเจ้าสุทโธทนะ แต่วงศ์ของพระพุทธองค์คือพุทธวงศ์ ที่มีการเลี้ยงพระชนมชีพด้วยการเที่ยวภิกขาจารเป็นประเพณี ครั้นแล้วจึงตรัสธรรมเทศนาจนพระเจ้าสุทโธทนะบรรลุเป็นพระโสดาบัน
พุทธวงศ์คือลำดับวงศ์ของพระพุทธเจ้าที่มีการสืบต่อกันมาเป็นเวลาช้านาน โดยจะเริ่มนับจากพระพุทธเจ้าพระองค์แรกที่ได้ให้คำพยากรณ์แก่พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ไล่มาจนถึงพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนและพุทธวงศ์ของพระโคตมพุทธเจ้าของเรานี้ ก็เริ่มขึ้นในสมัยพระพุทธเจ้าทีปังกร ที่ได้มีพุทธพยากรณ์เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าของเราเกิดเป็นดาบสนามว่าสุเมธ ได้นอนทอดตัวลงเป็นสะพาน ตั้งเจตนาให้พระทีปังกรพุทธเจ้าเสด็จเหยียบตัวท่านเพื่อผ่านทางอันกันดาร เป็นการถวายร่างกายและชีวิตเป็นพุทธบูชา พร้อมตั้งความปรารถนาว่าจักเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งในอนาคต พระทีปังกรพุทธเจ้าเสด็จมาถึงก็ตรัสพยากรณ์ว่าท่านจะได้เป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งในอนาคต นามว่าโคดม อย่างแน่นอน
การเที่ยวภิกขาจารเป็นกิจวัตรของสมณะ สมณะไม่ควรประมาท ในการบิณฑบาต สมณะควรประพฤติธรรมโดยสุจริต ผู้ประพฤติธรรมย่อมอยู่เป็นสุขทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ปัจจุบันก็เป็นความดับทุกข์ อนาคตก็เป็นความดับทุกข์ การภิกขาจารบิณฑบาตถึงเป็นอริยประเพณีของพระอริยเจ้า ของพระอรหันต์ขีณาสพทั้งหลาย
พระราชบิดาทรงสดับพระธรรมเทศนาสั้นๆ เพียงเท่านี้ สามารถบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันในขณะนั้นเอง จึงไม่ทรงห้ามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมทั้งพระอรหันต์ขีณาสพออกบิณฑบาตภิกขาจาร เพราะอันนี้เป็นความดีเป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นการยกเลิกทิฏฐิมานะอัตตาตัวตน ถ้าเราไปรับเงินรับสตางค์เก็บสังฆทาน มันเป็นทิฏฐิมานะอัตตาตัวตน
ผู้มาบวชทั้งหลาย ให้รู้ให้เข้าใจว่าเราบวชมาเพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนา ไม่ใช่ลิดรอนสิทธิ ทำลายพระพุทธศาสนา เราบวชมาถ้าเรามารับเงินรับทองรับปัจจัย ก็เท่ากับเราบวชมารับจ้างเอาแรงงานในการบวชรับจ้าง ก็ไม่ต่างอะไรกับฆราวาสเค้าที่เค้าทำการทำงาน เค้าไปรับจ้าง ไม่ต่างอะไรกับคอนเสิร์ต คอนเสิร์ตที่เค้าบันเทิง เมื่อเลิกคอนเสิร์ตแล้วเค้าก็รับจ็อบรับเงินไป เราเป็นนักบวช ถ้าเราไปรับเงินรับสตางค์ก็อันเดียวกันกับเค้ารับจ้างทั่วไปเค้ารับจ้างเล่นคอนเสิร์ต จะแตกต่างกันเพียงท่าทีลีลา พวกคอนเสิร์ตเค้ารำเค้าเต้น ผู้ที่มาบรรพชาอุปสมบทสงบเรียบร้อย เคร่งขรึม แต่ผลลัพธ์ก็คืออย่างเดียวกัน ไปลงที่เงินที่ทองเช่นเดียวกัน
เราอย่าไปคิดอย่างสามัญชนนะ ต้องคิดเหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องคิดเหมือนพระอรหันต์ขีณาสพทั้งหลาย เราต้องคิดอย่างนั้น
เราต้องกตัญญูกตเวทีต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราอย่าไปคิดว่าถ้าบวชเหมือนพระพุทธเจ้า ทำเหมือนพระพุทธเจ้าใครเขาจะทำได้ ผู้ที่มีปัญญาสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องก็ต้องปฏิบัติได้ให้เข้าใจอย่างนี้ เราอย่าไปคิดว่าทำอย่างนั้นจะมีใครเค้ามาบวช ตามความเป็นจริงแล้ว ถ้าไม่มีพระก็อย่าให้มันมีโจร มันจะได้เจ๊ากันไป จะได้ไม่เสียงบประมาณของแผ่นดินที่ได้มาจากภาษีอากร จะได้ไม่เสียงบประมาณของศรัทธามหาชน
ชาติ ศาสน์ กษัตริย์เป็นสถาบันหลักของมนุษย์ ชาติหมายถึงความเกิด ความเกิดนั้นคือเหตุคือปัจจัย ให้เรารู้เข้าใจ เหตุปัจจัยนี้คือความเกิด เราจะได้เข้าใจเรื่องของความเกิด เราจะได้เอาทางวัตถุที่เป็นวิทยาศาสตร์ ได้เอาเรื่องจิตเรื่องใจไปพร้อม ๆ กัน เราถึงจะได้ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ เป็นสุปฏิปันโนผู้ปฏิบัติดี อุชุปฏิปันโน ผู้ปฏิบัติตรง ญาณะปฏิปันโน เป็นผู้เป็นเพื่อออกจากทุกข์ สามีจิปฏิปันโน เป็นผู้ปฏิบัติสมควร
เรามาบวชเพื่อมาทำหน้าที่เพื่อประพฤติพรหมจรรย์ ในงานของพระพุทธศาสนา ให้เรารู้เข้าใจในหลักการอุดมการณ์อุดมธรรมของพระพุทธศาสนา
ให้รู้ในสิ่งที่ไม่ใช่เรื่องของพระพุทธศาสนา เป็นธุรกิจที่เป็นอัตตาตัวตน นั้นไม่ใช่พระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างเราพากันมาเก็บเงินเก็บสตางค์ ผู้ที่มาบวชต้องรู้เข้าใจ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ เราทั้งหลายจะแก้ปัญหาไม่ได้ มีแต่จะสร้างปัญหา จะพากันเป็นสมีกันทั้งบ้านทั้งเมือง
คำว่าสมีให้รู้เข้าใจ สมีก็คือสามีที่ไม่ได้จดทะเบียนที่ถูกต้องตามกฎหมายนั่นแหละ ถ้าใครไม่เอาพระธรรมพระวินัยตามหลักพระพุทธศาสนา ล้วนแต่เป็นสมีกันทั้งนั้น เพราะการที่เราทิ้งพระธรรมพระวินัย ยกเลิกสิกขาบทน้อยใหญ่ ไม่ประพฤติปฏิบัติพวกนี้จะเป็นพวกสมีกันทั้งหมดเลย ไม่มีใครยกเว้นในกรณีพิเศษ
ปัจจุบันนี้สถาบันหลัก ชาติ ศาสน์ กษัตริย์นี้ กำลังมีความเสียหาย เพราะเราไม่ได้เอาทางปัญญากับความสงบไปใช้ให้พร้อม ๆ กัน เราไม่มีหลักการไม่มีอุดมการณ์อุดมธรรม พากันมีแต่อุดมหลงกัน ในความรู้สึกของเราก็ดีของผู้อื่นก็ดี มีความรู้สึกว่า เห็นหน้าใครแล้วไม่ไว้วางใจ มองเห็นหน้าใครมีแต่หน้าโจร มีแต่หน้ามหาโจร
โดยเฉพาะสถาบันหลัก เรามองเห็นหน้าข้าราชการนักการเมือง เห็นหน้านักบวช หน้ายักษ์ หน้ามาร หน้าสัตว์เดรัจฉาน มันลอยขึ้นมาโดยอัตโนมัติที่เป็นสัญชาตญาณที่มีความรู้สึกที่รู้ร่วมกัน เพราะเหตุผลว่า เราเอานิติบุคคลตัวตน หัวใจของเราเป็นนิติบุคคลตัวตน หัวใจของเรามันเป็นสมีกัน หัวใจมันมีลูกมีเมียมีผัว จริงอยู่ร่างกายมันไม่มี แต่หัวใจมันมี
เราต้องรู้เข้าใจ ว่าทำไมตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยถึงพังทลาย ตึก ๓๐ กว่าชั้น แผ่นดินไหวอยู่เมืองมัณฑะเลย์อยู่ที่ประเทศพม่าโน้น อยู่ห่างไกลจากตึก สตง.ร่วมพันกว่ากิโล เราคิดดูดี ๆ ตึกอื่นมีมากมายทั้งในเมืองกรุงปริมณฑลต่างจังหวัดไม่มีตึกไหนพังทลาย พังทลายตึกเดียวคือตึกสตง. เราเอาความไม่ถูกต้องนำชีวิตเอาความผิดนำชีวิตมันก็ต้องพังทลายเหมือนตึก สตง. เพราะการประพฤติการปฏิบัตินั้นมันคือกรรมคือกฎแห่งกรรมคือผลของกรรม
เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เราจะเอาความหลงนำชีวิตเอาความผิดนำชีวิตไม่ได้ การประพฤติการปฏิบัติเราก็เน้นที่ตัวเรา มีความตั้งใจตั้งเจตนา ให้มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติจับหลักจับประเด็นให้ได้ ให้ทุกสิ่งทุกอย่างมันดับลงเพียงผัสสะ ด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา ชีวิตของเรามันจะไม่ได้ตกอยู่ในอบายมุขอบายภูมิ จะไม่ได้พังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกันกับตึก สตง. ตัวตนคืออบายมุขอบายภูมิ คือภูมิแห่งความตกต่ำ ตัวตนคืออบายมุขคืออบายภูมิ คือภูมิแห่งความตกต่ำ
เรามาบวชมาปฏิบัติเพื่อพรหมจรรย์ เพราะความดับทุกข์ ความไม่มีทุกข์มันอยู่ที่ความสงบและปัญญา ได้ทั้งโลกนี้ได้ทั้งโลกหน้าไม่ต้องไปถามว่าตายแล้วเกิดหรือว่าตายแล้วสูญ ปัจจุบันเราเอาความถูกต้อง เอาความสงบและปัญญา อนาคตมันก็ยิ่งพัฒนาไปเรื่อย เพราะการปฏิบัติมันเป็จิ๊กซอว์ เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปถึงมีมันเป็นกระแสของปฏิจจสมุปบาท ให้เรารู้เข้าใจ
เราพากันนอนพากันพักผ่อนให้เพียงพอนะ วัดเรานี้พากันนอนพากันพักผ่อนเวลา ๓ ทุ่ม พากันไปตื่นเวลาตี ๒ ครึ่ง หรือว่า ตี ๒ ๔๕ นาที ตีเป็นความดีเป็นความพอเพียงเพียงพอ การประพฤติการปฏิบัติเราต้องตั้งใจตั้งเจตนา ปักหมุดไว้เลยว่า พระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่นี้มีแต่คุณมีแต่ประโยชน์หาโทษมิได้เลย ถึงเรียกว่าพุทธคุณ ธัมมคุณ สังฆคุณมีแต่คุณมีแต่ประโยชน์ ประโยชน์ทั้งตัวเองประโยชน์ทั้งส่วนรวมมีแต่คุณ
การประพฤติการปฏิบัติเราต้องไปก่อนเวลานะ จะทำอะไรก็ต้องไปก่อนเวลา อย่าไปเสมอเวลา ต้องไปก่อนเวลา ถ้าไปหลังเวลานี้คือบาปคือกรรมคือเวรคือภัยนะ ที่ผ่าน ๆ มา ส่วนใหญ่ประเทศไทยของเราจะไม่ได้ตั้งอยู่ในความสงบไม่ได้ตั้งอยู่กับปัญญา จะพากันไปหลังเวลา ไปหลังเวลามันก็ไม่ทันเวลา การประพฤติการปฏิบัติมันก็ย่อมเสียหายมันก็ย่อมพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกันกับตึก สตง.
พระธรรมพระวินัยข้อวัตรปฏิบัติเป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม ที่วัดหนองป่าพง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อท่านพระอาจารย์ชา สุภัทโทยังไม่อาพาธ พระภิกษุสามเณรทำอะไรต้องไปก่อนเวลา อย่างน้อยต้องไปก่อนเวลาสัก ๑๕ นาที ถ้าไปเสมอเวลานี้เค้าจะมองหน้ากันว่าทำไม่ถูกต้อง ต้องไปก่อนเวลา
อย่างไปบิณฑบาตกลับมาอย่างนี้ เวลาเข้าโรงฉันก็ไปนั่งสมาธิอยู่ที่โรงฉันนั่นแหละ นั่งสมาธิไม่มองใคร ใครจะไปจะมาไม่มอง อยู่ที่โรงฉัน โรงฉันก็อยู่ติดกับศาลา ที่วัดหนองป่าพง ถ้าหน้าเข้าพรรษา ถ้ากลางพรรษาปลาย ๆ พรรษาแล้วจะมีพระภิกษุสามเณรอ่านหนังสือนักธรรมเพื่อวัดความรู้ความเข้าใจ เพื่อไปสอบนักธรรม คนที่ไม่นั่งสมาธิก็อ่านหนังสือพระวินัย พุทธประวัติ ธรรมวิภาค หรือพระองค์ไหนท่องปาฏิโมกข์ท่านก็จะมีหนังสือปาฏิโมกข์ของท่าน ท่านก็จะท่องปาฏิโมกข์อยู่ในใจ พระส่วนใหญ่ก็ท่องปาฏิโมกข์กันได้เกือบทุกองค์ เพื่อจะฝึกความสงบ ฝึกปัญญา
ต่อไปนี้แหละ ให้เราเอาความบกพร่องที่ขาดตกบกพร่องนะ สิ่งที่ผ่านมาแล้วมันแก้ไขไม่ได้ ต้องมาแก้ไขที่ปัจจุบัน ให้ทำอะไรให้ก่อนเวลา เพื่อปฏิปทาของเราจะได้ติดต่อต่อเนื่อง ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ใช่ศีลไม่ใช่สมาธิไม่ใช่ปัญญา มันก็เป็นอัตตาตัวตนไปทำอะไรตามใจตามอัธยาศัยเค้าเรียกทำตามกระแสไม่ทวนกระแสไม่ใช่ความสงบไม่ใช่ปัญญา ไม่ใช่ศีลไม่ใช่สมาธิไม่ใช่ปัญญานะ
การปฏิบัติธรรมต้องไม่กลัว ไม่ต้องกลัวเหนื่อย ไม่ต้องกลัวเรื่องเจ็บไข้ไม่สบาย ไม่ต้องกลัวผอม ไม่ต้องกลัวตาย ความกลัวนี้คือความไม่ถูกต้อง ถ้าเรามีตัวมีตนเราก็กลัวเราก็ท้อใจ เราต้องผ่านความกลัวไป ผ่านความท้อใจไปด้วยความรู้ความเข้าใจ เราจะเอาความกลัวนำชีวิตไม่ได้ เราจะเอาความฟุ้งซ่านนำชีวิตไม่ได้ เพราะความฟุ้งซ่านนั้นคือความไม่สงบ ความไม่สงบกับความไม่เคารพความไม่ซื่อสัตย์มันคืออันหนึ่งอันเดียวกัน
ให้เรารู้เข้าใจนะ ธรรมะถึงเป็นของละเอียดอ่อยเป็นความสงบ เป็นความเคารพ เป็นความซื่อสัตย์ เป็นความพอดีเป็นความพอเพียงเพียงพอ ให้เข้าใจ เราจะเอาความฟุ้งซ่านนำชีวิตไม่ได้ เอาความผิดนำชีวิตไม่ได้ ถ้าเรามีสติรู้ตัวทั่วพร้อม มีความสุขในการทำหน้าที่ เพราะธรรมะนั้นคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ ให้เรารู้ให้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติอย่างนี้แหละ
เราอย่าไปกลัว อย่าไปท้อแท้ ให้ถือว่าเป็นข้อสอบตอบด้วยการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อใจของเราจะได้รู้เข้าใจ เราจะเอาความกลัวความท้อแท้นำชีวิตไม่ได้ เราอย่าไปคิดว่าทำไม่ได้ปฏิบัติไม่ได้ มาบวชก็ทำไม่ได้สึกดีกว่า เราอย่าไปคิดอย่างนั้น บวชก็ปฏิบัติไม่ได้สึกไปก็ยิ่งหนักกว่าเก่า ปัจจุบันเป็นวาระแห่งการประพฤติการปฏิบัติของเรา
ในชีวิตประจำวันให้เราเอาหลักการในอานาปานสติ เอาลมหายใจเป็นหลักไว้ เช่นหายใจเข้าก็ให้หายใจเข้าสบาย หายใจออกก็ให้หายใจออกให้สบาย หายใจเข้าหายใจออกให้มีความสุข เราทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้แหละทุกอิริยาบถเลย ไม่ใช่เราจะไปใช้เฉพาะเวลานั่งสมาธินะ เราต้องใช้ทุกอิริยาบถ เพราะสิ่งผัสสะที่เกิดกับเราทั้งหลายมันเกิดจากมากมายทั้งอายตนะภายนอกภายใน
เราต้องมีหลักการมีอุดมการณ์ในการประพฤติการปฏิบัติ ถ้าเราจะให้เกิดปัญญาวิปัสสนา เราก็ระลึกในใจว่าหายใจเข้านี้มันก็ไม่เที่ยงนะ หายใจเข้าเพื่อเอาออกซิเจนอากาศดี ๆ เข้าไปสู่ร่างกาย แล้วก็หายใจออกเอาคาร์บอนไดออกไซด์เอาของเสียออกไปทุกอย่างก็ล้วนแต่ไม่แน่ไม่เที่ยงเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป เป็นเพียงเหตุปัจจัย
ถ้าเราทำอย่างนี้เราก็จะได้ทั้งความสงบและปัญญา เราจะได้เข้าถึงความดับทุกข์ทั้งในเดี๋ยวนี้และในวาระต่อไป อานาปานสติถึงเป็นหลักในการประพฤติการปฏิบัติ งานของนักบวชคืองานทำใจให้มีความสงบ ทำใจให้มีปัญญา เพราะความสงบกับปัญญานี้ต้องเป็นฐานเป็นพื้นฐาน
การประพฤติการปฏิบัติของเราองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงให้เราภาวนาพิจารณาให้รู้เห็นตามความเป็นจริง มนุษย์เรานี้มีอาการอยู่ ๓๒ อย่าง ท่านให้สาธยายแยกออกเป็นชิ้นเป็นส่วนแล้วเอาประกอบกันเข้า เริ่มต้นจากเอาผมออก เอาหนังออก จนไม่เหลืออะไร ให้มองเห็นทุกอย่างเป็นเพียงเหตุเพียงปัจจัย ไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน เราต้องอาศัยหลักการในการประพฤติการปฏิบัติอย่างนี้ ถึงจะละสักกายทิฏฐิได้
ส่วนใหญ่เราทุกคนจะเอาแต่ความสงบ ความสงบเราก็ต้องเอา เพราะความสงบนั้นเป็นพื้นฐานของการประพฤติการปฏิบัติ สมถะคือความสงบเป็นพื้นฐาน เมื่อเราสงบแล้วเราก็ต้องเสียสละ เราจะเกียจคร้านไม่ได้เราต้องเสียสละ เพราะความสงบนี้ทุกคนมันติดให้รู้เข้าใจ เราต้องเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เมื่อเรามีความสงบเราก็ต้องพิจารณาสรีระร่างกายพร้อมทั้งทำข้อวัตรกิจวัตรเราต้องเสียสละอย่างนี้เพราะธรรมะเป็นอริยมรรคมีองค์แปด
อย่างเช่นต้นไม้ที่เค้าได้อาหารมาจากทุกทิศทุกทางของต้นไม้ ไม่ใช่มาจากทางรากอย่างเดียว ต้องได้มาจากทั้งทางกิ่งทางก้านทางใบทางยอดตลอดปริมณฑลแสงแดดอากาศ เค้าต้องได้มากจากทุกทิศทุกทาง
ธรรมะคือเป็นอริยมรรคที่มีอยู่แปดอย่างแปดประการเพื่อให้ปฏิปทาของเราสมบูรณ์ เพราะธรรมะเป็นความละเอียดอ่อน ไม่ใช่สำหรับคนฟุ้งซ่าน เป็นธรรมะเพื่อความสงบมีปัญญา เราทั้งหลายจะดับลงที่ผัสสะ เพื่อความสมบูรณ์ทั้งอรรถะทั้งพยัญชนะ ไม่ขาดตกบกพร่อง การดำรงธาตุดำรงขันธ์ดำรงอายตนะของมนุษย์ถึงต้องเอาทั้งเรื่องจิตเรื่องใจเอาทั้งทางวิทยาศาสตร์ทางวัตถุไปพร้อม ๆ กัน เพื่อเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เพราะทุกคนนั้นคือกรรมคือกฎแห่งกรรมคือผลของกรรม
เราทั้งหลายจะไม่มีใครอยู่เหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรม เพื่อเป็นทั้งความสงบและปัญญาเพื่อให้มนุษย์ผู้มีหลักการมีอุดมการณ์อุดมธรรม ให้เป็นเทวดาผู้มีหลักการมีอุดมการณ์อุดมธรรม ให้เป็นพระพรหมผู้มีหลักการมีอุดมการณ์อุดมธรรม เป็นผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร
เรามาระลึกถึงพระปัจฉิมโอวาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนที่ท่านจะเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพานท่านได้ตรัสโอวาทครั้งสุดท้ายไว้ว่า
“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”
โอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ
ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ
ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู
ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบัน ไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร
ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละ คือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะว่าสิ่งเดิมนั้นคือความว่างเปล่า สิ่งที่สัญจรไปมาเป็นเพียงอาคันตุกะ เราจะได้เอาหลักการอุดการณ์ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นมรรคเป็นอริยมรรคที่ตรงกันข้ามกับโลกธรรม
ให้รู้เข้าใจ เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรม พระนิพพานความรู้ความเข้าใจในเรื่องปฏิจจสมุปบาทจะเป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นพระนิพพานบ้านของเรา ไม่ใช่อวิชชาความหลงเป็นบ้านของเรานะ พระนิพพานคือบ้านของเรา ความสงบและปัญญาถึงเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราจะหยุดวัฏฏสงสารได้ด้วยความสงบและปัญญา ธรรมะนั้นถึงหยุดความปรุงแต่งได้ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิคู่กับการประพฤติการปฏิบัติ
-----------------------------------
โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
เมตตาให้ไว้ในเช้าวันพุธที่ ๑๐ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา