๑๒ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๑๒ เดือนกันยายน หน้าฝน พุทธศักราช ๒๕๖๘

 

เทศบาลตำบลขามทะเลสอได้พากันมาประพฤติพากันมาปฏิบัติธรรม ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา เป็นเวลา ๓ วัน ๒ คืน พากันมาบำเพ็ญเนกขัมมะบารมีถือศีล ๘ ศีลอุโบสถ ผู้มีสุขภาพร่างกายแก่เฒ่าชรา ครูบาอาจารย์ท่านให้รักษาศีล ๕ เน้นเรื่องจิตเรื่องใจ เพราะเรื่องจิตเรื่องใจนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะถือนั้นเป็นต้นของพรหมจรรย์ เป็นความสงบและปัญญา จะเป็นทางสายกลาง ระหว่างใจกับวัตถุ ระหว่างใจกับกายก็ต้องไปพร้อม ๆ กัน ความสงบกับปัญญาต้องไปพร้อม ๆ กัน

 

เราต้องมีหลักการในการประพฤติการปฏิบัติของเรา เพื่อเอาความสงบและปัญญา เป็นอุดมการณ์อุดมธรรมในการประพฤติการปฏิบัติของเรา เราทั้งหลายจะไม่ไปตามผัสสะ ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม เราต้องรู้ผัสสะ รู้สิ่งแวดล้อมด้วยความรู้ความเข้าใจ ความปรุงแต่งนั้นจะได้จบลงเพียงผัสสะ

 

ถ้าเรารู้เข้าใจ เราเอาความรู้ความเข้าใจมาประพฤติมาปฏิบัติ กงกรรมกงเกวียนก็จะดับลงได้เพียงผัสสะ หยุดเรื่องอดีต หยุดเรื่องอนาคต รู้แจ้งสิ่งภายนอกภายใน รู้เรื่องทั้งใจ รู้เรื่องทั้งวัตถุ ธรรมชาติเราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้ดับความปรุงแต่งได้เพียงผัสสะ ความเข้าใจนี้จะได้เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา จะได้เป็นอนัตตา ไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน

 

มนุษย์เราต้องรู้เข้าใจในเรื่องอริยสัจสี่ คือรู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ มนุษย์เราทั้งหลายจะไม่ได้ไปตามผัสสะ ถ้าเรารู้ผัสสะว่านี้เป็นเพียงเหตุเพียงปัจจัย เพราะเรามีตามันถึงมีรูป มีหูถึงมีเสียง มีจมูกถึงมีกลิ่น มีลิ้นถึงมีรส มีกายถึงมีสัมผัส มีใจถึงมีความปรุงแต่ง ถ้าเรารู้เข้าใจว่า เพราะมันมีเหตุ ปัจจัยมันถึงมี สิ่งเหล่านี้มันเป็นเพียงอาคันตุกะที่สัญจรไปมาจากเหตุจากปัจจัย

 

เราทั้งหลายต้องรู้เรื่องเหตุปัจจัย รู้อริยสัจสี่อย่างนี้ ความรู้กับการปฏิบัติถึงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ผู้ปฏิบัติธรรมถึงปฏิบัติที่ปัจจุบัน อดีตก็มารวมกันอยู่ที่ปัจจุบันนี้แล้ว อนาคตที่จะไปข้างหน้าก็อยู่ที่ปัจจุบันนี้เอง ปัจจุบันเป็นการประพฤติการปฏิบัติของเราทุก ๆ คน ปัจจุบันเราต้องรู้เข้าใจ ต้องเห็นภัยในความไม่ถูกต้อง เห็นภัยในความผิด เห็นภัยในวัฏฏสงสาร

 

เราทั้งหลายต้องให้เรื่องราวทั้งหลายจบลงเพียงผัสสะ ยกผัสสะที่กระทบนั้นเข้าสู่พระไตรลักษณ์ ทุกสิ่งทุกอย่างที่มากระทบกับเรา ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป ไม่มีอะไรมากไปกว่าเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เราเอาวิถีชีวิตประจำวันไปใช้ไปประพฤติไปปฏิบัติ เพื่อวิถีชีวิตในปัจจุบันของเราจะได้สมบูรณ์ ทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ด้วยความไม่ประมาท ธรรมะเป็นของประณีตเป็นของละเอียดอ่อน ปัจจุบันความสงบเราต้องเพียงพอ ปัญญาของเราต้องเพียงพอ

 

มนุษย์เรานี้จะเอาความชอบใจไม่ชอบใจนำชีวิตนั้นไม่ได้ เพราะความชอบใจไม่ชอบใจนั้นคือตัวคือตน ตัวตนนั้นเป็นนิติบุคคลตัวตน ตัวตนนั้นมันคือความยึดมั่นถือมั่น ความยึดมั่นถือมั่นทำให้เกิดความปรุงแต่ง ความปรุงแต่งนั้นเป็นนิติบุคคลตัวตน ทำให้มีภพมีชาติ ทำให้เกิดภพเกิดชาติ เกิดกระบวนการของกระแสของปฏิจจสมุปบาท

 

ปฏิจจสมุปบาท จึงแปลว่า อาศัยกันและกันเกิดขึ้นร่วมกัน หมายถึง ไม่มีสิ่งใดที่เกิดขึ้นโดยปราศจากสิ่งอื่น ทุกสิ่งต่างอิงอาศัยกันและกันเกิดขึ้นหรือปรากฎลักษณะขึ้น เช่น ฝน ย่อมเกิดขึ้นหรือแสดงลักษณะ จากเหตุปัจจัยหลายอย่างรวมกัน ทั้งการระเหยของน้ำ การแปรสภาพเมฆ การกระทบความเย็น จนควบแน่นจนตกลงมาเป็นฝน เป็นต้น จะเห็นได้ว่าฝนไม่ได้เกิดขึ้นเองลอย ๆ, ปฏิจจสมุปบาทเป็นชื่อพระธรรมหัวข้อหนึ่งในศาสนาพุทธ เรียกอีกอย่างว่า อิทัปปัจจยตา หรือ ปัจจยาการ เป็นหลักธรรมที่อธิบายถึงการเกิดขึ้นพร้อมแห่งธรรมทั้งหลายเพราะอาศัยกัน, การที่สิ่งทั้งหลายอาศัยกันจึงเกิดมีขึ้น เช่น ทุกข์เกิดขึ้นเพราะมีปัจจัย 12 เรื่องเกิดขึ้นสืบ ๆ เนื่องกันมาตามลำดับดังนี้ คือ

 

การเทศนาปฏิจจสมุปบาท ดังแสดงไปแล้วข้างต้น เรียกว่า อนุโลมเทศนา หรือเรียกว่าปฏิจสมุปบาทสายเกิด ซึ่งจะแสดงถึงกระบวนการเกิดทุกข์

 

หากแสดงย้อนกลับจากปลายมาหาต้น จากผลไปหาเหตุปัจจัย เช่น ชรามรณะเป็นต้น มีเพราะชาติเป็นปัจจัย ชาติมีเพราะภพเป็นปัจจัย ฯลฯ สังขารมีเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย ดังนี้ เรียกว่า ปฏิโลมเทศนา หรือเรียกว่า ปฏิจจสมุปบาทสายดับ (นิโรธก็เรียก) ซึ่งจะแสดงถึงกระบวนการดับทุกข์

 

 องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้พิจารณาเรื่องปฏิจจสมุปบาท

 

ปฏิจจสมุปบาท แปลว่า อาศัยกันและกันเกิดขึ้นร่วมกัน หมายถึง ไม่มีสิ่งใดที่เกิดขึ้นโดยปราศจากสิ่งอื่น ทุกสิ่งต่างอิงอาศัยกันและกันเกิดขึ้นหรือปรากฎลักษณะขึ้น เช่น ฝน ย่อมเกิดขึ้นหรือแสดงลักษณะ จากเหตุปัจจัยหลายอย่างรวมกัน ทั้งการระเหยของน้ำ การแปรสภาพเมฆ การกระทบความเย็น จนควบแน่นจนตกลงมาเป็นฝน เป็นต้น จะเห็นได้ว่าฝนไม่ได้เกิดขึ้นเองลอย ๆ ปฏิจจสมุปบาทเป็นชื่อพระธรรมหัวข้อหนึ่งในศาสนาพุทธ เรียกอีกอย่างว่า อิทัปปัจจยตา หรือ ปัจจยาการ เป็นหลักธรรมที่อธิบายถึงการเกิดขึ้นพร้อมแห่งธรรมทั้งหลายเพราะอาศัยกัน การที่สิ่งทั้งหลายอาศัยกันจึงเกิดมีขึ้น เช่น ทุกข์เกิดขึ้นเพราะมีปัจจัย ๑๒ เรื่องเกิดขึ้นสืบ ๆ เนื่องกันมาตามลำดับดังนี้ คือ

 

 

การบรรยายพระธรรมเทศนาเรื่องปฏิจจสมุปบาท ดังแสดงไปแล้วข้างต้น เรียกว่า การบรรยายเรื่องเหตุเรื่องปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปถึงมี ให้มองเห็นกระบวนการของวัฏฏสงสารในการเวียนว่ายตายเกิด ผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายมีความจำเป็นที่จะต้องประพฤติปฏิบัติ มีความตั้งใจตั้งเจตนา เพราะเรื่องของการประพฤติการปฏิบัติมันเรื่องธรรมเรื่องปัจจุบันธรรม

 

อนุโลมเทศนา ได้แก่เราพิจารณาให้รู้เข้าใจ เราจะได้เข้าสู่กระบวนการในการประพฤติการปฏิบัติ พระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์จึงเป็นหลักเหตุหลักผล เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เราก้าวไปด้วยอริยมรรคมีองค์ ๘ เราต้องรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาทรู้กระบวนการของปฏิจจสมุปบาท แสดงถึงเหตุแสดงถึงปัจจัยที่เป็นภาษาบาลีเรียกว่าปฏิจจสมุปบาท ซึ่งจะแสดงถึงกระบวนการเกิดทุกข์ หากแสดงเริ่มมาจากยอดปลายมากิ่งสาขาลงมาหาต้นมาถึงรากถึงโคน เพื่อเราจะได้รู้เข้าใจในกระบวนการของเหตุของปัจจัยที่กระบวนการของปฏิจจสมุปบาท

 

อย่างเราจะละสักกายทิฏฐิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็ให้หลักการเพื่อละสักกายทิฏฐิด้วยการรู้กระบวนการของปฏิจจสมุปบาทเพื่อเอาธรรมนำชีวิต เป็นกระบวนการของปฏิจจสมุปบาท เป็นคุณธรรมของผู้ดี ศีลสมาธิปัญญา กายวาจากิริยามารยาทอาชีพนี้ที่เป็นทางสายกลาง เป็นความสงบและปัญญานี้ ที่เป็นธรรมที่มีอุปการะมาก เราทุกคนก็ต้องมีความสงบเป็นพื้นฐาน มีปัญญาเป็นพื้นฐาน เพราะความสงบมันจะมาลงที่ความพอเพียงเพียงพอ มันจะพอดี ไม่มากเกินไปไม่น้อยเกินไป รู้เรื่องหลักการในกระบวนการของปฏิจจสมุปบาท ปริยัติกับปฏิบัติถึงไปพร้อม ๆ กัน

 

ให้เราทุกคนเข้าใจอย่างนี้นะ ถ้าเราไม่เข้าใจ เรามีปัญญาไม่มีการประพฤติการปฏิบัติมันดับทุกข์ไม่ได้นะ ความรู้กับการประพฤติการปฏิบัตินั้นถึงจะเป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา เป็นอนัตตาไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน เราต้องรู้กระบวนการของปฏิจจสมุปบาท องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เข้าใจในหลักการอุดมการณ์อุดมธรรมนะ

 

มนุษย์เราทุกคนต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสาร ต้องรู้เข้าใจในเรื่องเวียนว่ายตายเกิด ในเรื่องหยุดเวียนว่ายตายเกิด ความชอบใจไม่ชอบใจที่มันเป็นความปรุงแต่งนี้แหละคือการเวียนว่ายตายเกิด มันปรุงมันแต่งของมันไปเรื่อย เราต้องรู้ต้องเข้าใจ คนที่มีสรีระยังมีลมปราณก็ต้องมีความรู้สึก ด้วยวิบากกรรมที่มันเป็นกฎของกรรมที่เป็นกระบวนการของปฏิจจสมุปบาท

 

ความรู้ความเข้าใจด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิ จะได้หยุดความปรุงแต่ง พระธรรมพระวินัยนั้นอยู่นอกเหตุเหนือผล ให้ทุกคนรู้เข้าใจ พระธรรมพระวินัยเป็นหลักการ หลักวิชาการเพื่อจะให้เราอยู่นอกเหตุเหนือผล ความสงบและปัญญาที่เป็นเอกัคคตาเป็นหนึ่ง ที่เป็นศิลปะชีวิต ที่เราทุกคนต้องมาเสียสละ เสียสละสัญชาตญาณที่มันเป็นนิติบุคคลตัวตน ที่สำคัญมั่นหมายว่าธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะภายนอกภายใน ๑๒ นี้ว่าเป็นเราเป็นของเรา เป็นคนหนุ่มคนสาวคนแก่คนเฒ่าคนชรา เป็นคนตายคนพลัดพราก ว่าตัวเองดีกว่าเค้า เก่งกว่าเค้า ฉลาดกว่าเค้า รวยกว่าเค้า มียศมีตำแหน่งสูง หรือว่าสู้เขาไม่ได้ เสมอเขา

 

เราต้องมารู้มาเข้าใจ เพราะธรรมะนั้นเราต้องมารู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้หยุดความปรุงแต่ง ที่พระท่านเอามาสวดงานคนละสังขารวายชนม์ที่ท่านสวดว่า

อนิจจาวาตะสังขารา สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ อุปาทะวะธัมมิโน มีความเกิดขึ้นแล้วมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา อุปัชฌิตตะวา นิรุชฌันติ ครั้นเกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป เตสังวูปะสะโมสุโข ความเข้าไปสงบระงับสังขารทั้งหลาย เป็นสุขอย่างยิ่ง เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจว่าความปรุงแต่งทั้งหลายมันเป็นความทุกข์อย่างยิ่ง

 

เราทำอย่างไรถึงจะหยุดความปรุงแต่งได้ ความปรุงแต่งนี้มันเกิดจากผัสสะ เป็นขั้วบวกขั้วลบ ให้ผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้ให้หยุดความปรุงแต่งลงได้ที่ผัสสะ ด้วยความรู้ความเข้าใจ เราทั้งหลายต้องพากันเข้าใจใส่พิเศษนะ ใจของเรานี้มันตรึกนึกคิดได้ทีละอย่าง สิ่งไหนไม่ดีเราก็อย่าไปตรึกนึกคิด จะทำให้เราเกิดภพเกิดชาติ เกิดกระบวนการของกระแสของปฏิจจสมุปบาท

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราตรึกในเรื่องของกาม กามก็ได้แก่ระลึกถึงรูปสวย ๆ ลาภยศสรรเสริญ สิ่งที่อำนวยความสะดวกในการดำเนินชีวิต ความคิดอย่างนี้แหละเราต้องรู้เข้าใจ ความคิดอย่างนี้มันจะไม่อิ่มไม่เต็ม มันจะไม่พอเพียงเพียงพอ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่าควาคิดอย่างนี้เปรียบเสมือนทะเลมหาสมุทรไม่อิ่มด้วยน้ำมันจะมีความบกพร่องอยู่เป็นนิจ เปรียบเสมือนไฟไม่อิ่มด้วยเชื้อของเพลิง ความคิดอย่างนี้มันจะหาเรื่องหาราวให้กับตวเอง หาเรื่องหาราวให้กับคนอื่น ถึงมีศํพท์ว่าตัณหา หาเรื่องหาราว เราหาเรื่องมันก็ต้องได้เรื่อง

 

เราทั้งหลายต้องพากันรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้หยุดลงได้ด้วยปัญญาให้มันจบลงได้ที่ผัสสะ ให้เอาหลักธรรมมาภาวนาว่า อันนี้มันเป็นอาคันตุกะที่สัญจรไปมา เพื่อให้เราสร้างความดี สร้างบารมี สร้างคุณธรรม ถ้าเราไม่มีสิ่งเหล่านี้เราก็ไม่มีการประพฤติการปฏิบัติ ให้เราเข้าใจอย่างนี้ ใจของเรามันคิดได้ทีละอย่าง ไม่ใช่คิดได้หลายอย่างนะ กายวาจากิริยามารยาททุกอย่างมันทำได้ทีละอย่าง ปัจจุบันถึงเป็นวาระสำคัญแห่งชาติในการประพฤติการปฏิบัติ

 

เราทุกคนให้เข้าใจ เราจะได้พากันปฏิบัติให้ถูกต้อง เราทุกคนพากันมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เอาพระรัตนตรัยนำชีวิต อย่าเอาความผิดนำชีวิต เอาปัญญากับความสงบนำชีวิต องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เราเข้าใจอย่างนี้

 

เราต้องพากันรู้เข้าใจ ไม่มีใครปฏิบัติให้เราได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็ปฏิบัติของท่าน พระอรหันต์ขีณาสพผู้ฟังพระธรรมเทศนาของพระบรมศาสดา ท่านก็ปฏิบัติของท่าน ให้เราเข้าใจ ด้วยเหตุผลนี้ด้วยความรู้ความเข้าใจ เราทั้งหลายถึงพากันมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เพราะเราจะไปแก้ภายนอกนั้นมันปลายเหตุนะ เราต้องรู้เข้าใจ แก้ทั้งภายนอกภายในเพื่อให้เป็นทั้งความสงบเป็นปัญญา เป็นปัญญาเป็นความสงบ เราต้องรู้เข้าใจ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ มันก็ย่อมพังทลายเหมือนตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินค่าใช้จ่ายของการบริหารประเทศบริหารแผ่นดิน  จะไปแก้ไขแต่ภายนอกจะไปแก้ไขแต่คนอื่น อันนั้นมันปลายเหตุ เราต้องรู้เข้าใจ เราต้องแก้ทั้งภายในภายนอกไปพร้อม ๆ กันถึงเป็นความสงบเป็นความเพียงพอเป็นความพอดี ไม่ตึงเกินไปไม่หย่อนเกินไป

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็อุปมาอุปไมยให้ฟังว่า ให้ทำเหมือนสายกีต้าสายพิณนี้ ถ้ามันหย่อนเกินไปเสียงมันก็ไม่ไพเราะ ถ้ามันตึงเกินไป สายพิณนั้นก็จะขาด มันต้องอยูในความพอดีความพอเพียงเพียงพอ เหมือนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ ของเมืองไทยประเทศไทย ท่านตรัสกับพสกนิกรชาวไทยและชาวโลกว่า เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจในสิ่งภายนอกภายใน เราจะได้เอาทั้งใจเอาทั้งวัตถุเป็นทางสายกลาง เป็นความพอเพียงเพียงพอ เราอยากได้มากมันก็ไม่มากมันก็เท่าเก่านั้นแหละ เราอยากได้น้อยมันก็ไม่น้อยมันก็เท่าเก่า เราจะไปทุกข์ทำไม

 

เราต้องรู้เข้าใจ เราจะได้เข้าถึงความสงบ เข้าถึงปัญญา เราทั้งหลายจะได้พัฒนาให้ทุกข์ทั้งหลายดับลงได้เพียงผัสสะ เพราะวาระจิตวาระใจของเรามันคิดได้ทีละอย่าง อะไรทุกอย่างมันทีละอย่าง ถ้าปัจจุบันเราเอาปัญญากับความสงบมาใช้มาปฏิบัติให้ทันท่วงที ผู้ปฏิบัติธรรมให้ถึงปฏิบัติอยู่ที่ปัจจุบัน ปัจจุบันนี้ต้องให้เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา เป็นอนัตตาไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน ธรรมะนั้นมันถึงอยู่นอกเหตุเหนือผล อยู่เหนือความชอบไม่ชอบ เราต้องเดินผ่านไปความชอบไม่ชอบนี้ ดีใจเสียใจเราต้องผ่านมันไป อายตนะภายนอกภายในต้องผ่านไปด้วยความรู้ความเข้าใจ นี้คือความดีนี้คือปัญญา

 

ให้เรารู้เข้าใจนะ ปัจจุบันเราต้องฉลาด เราต้องเป็นคนดี ถ้าเรารู้เข้าใจเรื่องอริยสัจสี่ รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ นี้ชื่อว่าเราเป็นคนฉลาด เป็นบุคคลที่พัฒนาตัวเองเพื่อเอาศีลเอาสมาธิเอาปัญญามาเป็นหลักการในการประพฤติการปฏิบัติ ปัจจุบันนี้เราต้องทำให้ได้ปฏิบัติให้ได้ การเสียสละเป็นการก้าวไปด้วยการให้ทานวัตถุสิ่งของ ให้ทานความชอบใจไม่ชอบใจให้ทานไปให้หมด ให้ทานทั้งภายนอกภายใน เบื้องต้น

 

 องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้รู้เข้าใจในเรื่องอริยสัจสี่ เรื่องทุกข์ เรื่องเหตุเกิดทุกข์ เรื่องข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ท่านสอนพวกเราให้เป็นผู้ที่เสียสละ เราต้องมาเป็นผู้เสียสละ มาเป็นผู้ให้มาเป็นผู้เสียสละ ถ้าเราไม่เสียสละให้เรารู้เข้าใจว่านี้มันเป็นนิติบุคคลตัวตน เราทุกคนต้องพากันเสียสละ เราต้องมาเอาหลักการเอาพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยนั้นเพื่อเราทั้งหลายจะได้พากันเสียสละ พระธรรมพระวินัยทั้งหลายแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์เป็นทั้งคำสั่งเป็นทั้งคำสอน

 

ให้พวกเราทั้งหลายพากันมาเสียสละ ถ้าเราไม่เสียสละเราก็ไปไม่ได้ เราก็ไม่มีศีลไม่มีสมาธิไม่มีปัญญา เราต้องจับหลักจับประเด็นให้ได้ คำว่ายึดมั่นถือมั่นหมายถึงเอาความถูกต้องนำชีวิต ไม่เอาความผิดนำชีวิต ยึดมั่นถือมั่นในความถูกต้อง ยึดมั่นในพระรัตนตรัย ในศีลในสมาธิในปัญญาที่เป็นพรหมจรรย์เบื้องต้นท่ามกลางที่สุด เราทั้งหลายต้องมีความยึดมั่นถือมั่น มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติที่ปัจจุบัน เมื่อมันผ่านไปแล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็ให้เราปล่อยวาง เพราะมันผ่านไปแล้วมันผ่านมาแล้ว ให้เราปล่อยวาง อย่าให้อดีตที่ผ่านมาปรุงแต่งจิตใจของเราได้ ต้องปล่อยต้องวาง

 

ปัจจุบันนี้ต้องให้ใจของเรามันสด สดชื่นเบิกบาน เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม ให้มันว้าว ว้าว ว้าว ให้เป็นฟอร์มสดในการประพฤติการปฏิบัติ ตัวตนที่เป็นเราของเรา อันนี้ไม่ใช่ฟอร์มสดนะ ตัวตนมันคือของเน่าของเสีย อันนั้นมันเป็นขยะ เป็นนิติบุคคลตัวตน เป็นขยะ ให้เรารู้สิ่งไหนเป็นขยะ สิ่งไหนไม่เป็นขยะนะ ตัวตนนั้นคือขยะ ตัวตนนั้นมันเป็นของปฏิกูล ตัวตนมันเน่ามันเหม็น ตัวตนคือความเสียหาย ตัวตนนั้นแหละมันเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ชีวิตนี้ต้องพังทลาย เช่นเดียวกันอย่างเดียวกันกับตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ไม่มีใครเถียงได้ อันนี้คือไม่ความถูกต้อง มันพังทลายอย่างเดียวกันเช่นเดียวกันนี้แหละ

 

ทุกวันนี้เราพากันเข้าใจนะ ตัวตนนั้นมันคือความยากจนนะ มันจนทั้งทรัพย์สมบัติ จนข้าวของเงินทอง จนทั้งใจ เรามองไปทางไหนเอาตัวตนเป็นที่ตั้งเห็นแต่หน้าคนทุกข์คนจน หน้าคนไม่เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ ไม่เข้าถึงความพอดี ไม่เข้าถึงความสงบไม่เข้าถึงปัญญานะ เรามองไปที่ไหน มองเห็นหน้าข้าราชการนักการเมือง มองดูหน้านักบวช หน้าคนจนหรือว่าหน้าโจรมันลอยขึ้นเลยในความรู้สึก ที่พูดมาเป็นภาษาให้รู้เข้าใจ ตัวตนนั้นคือโจรคือความยากจน

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงให้เรารู้อริยสัจสี่ รู้ทุกข์รู้เหตุเกิดทุกข์รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เราจะได้หยุดความทุกข์ เพราะตัวตนมันมีแต่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป นอกจากทุกข์ไม่มีเลย เราทั้งหลายต้องพากันรู้เข้าใจนะ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจเอาตัวตนนำชีวิตเอาความผิดนำชีวิต ลูกหลานมันก็เถียงเรา มันก็ย้อนศรเรา ใครเค้าอยากจะเถียงพ่อเถียงแม่เถียงบรรบุรุษผู้มีพระคุณ เพราะเอาตัวเอาตนลูกหลานเค้าเลยเถียงเรา ให้รู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้แก้ทั้งภายนอกทั้งภายใน

 

เรามีความฉลาดเราต้องรอบคอบ เราต้องรู้เข้าใจ เราต้องรู้นะ ว่างูนี้เป็นงูพิษ เราไปจับหางงูเดี๋ยวหัวงูมันต้องมากัดเรา เราต้องรู้เข้าใจ ใครอยากจะพากันเดินขบวน เพราะการเดินขบวนมันไม่มีงบประมาณในการเดินขบวน ไม่มีความสะดวกสบายด้วยประการทั้งหลายทั้งปวง ห้องน้ำสุขา ตากแดดตากฝน แถมยังถูกแก๊สน้ำตา เพราะเราไม่ได้เอาปัญญานำชีวิต เอาตัวตนนำชีวิตเอาความผิดนำชีวิต ความไม่ถูกต้องนำชีวิต ความผิดนำชีวิต มันเป็นอบายมุขอบายภูมิ ตัวตนนั้นมันเป็นอบายมุขอบายภูมินะ ภูมิต่ำภูมิตกต่ำ ต่ำกว่าภูมิของมนุษย์ เราต้องรู้เข้าใจ เราจะได้เข้าถึงภพภูมิของความเป็นมนุษย์ มนุษย์คือผู้ที่เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เราจะได้เข้าถึงภพภูมิของเทวดาผู้รู้เข้าใจในเรื่องเหตุเรื่องปัจจัย เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เราจะได้เข้าถึงภพภูมิของพระพรหมผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เราจะเข้าถึงภพภูมิของพระอริยเจ้า ผู้เอาพระธรรมเอาพระวินัยนำชีวิต เอาความสงบและปัญญา ผู้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี เป็นความสงบและปัญญา เป็นหนึ่งเป็นเอกัคคตา เป็นสภาวธรรมอยู่ที่นอกเหตุเหนือผลหรือว่าอยู่เหนือความปรุงแต่ง เราจะดับทุกสิ่งทุกอย่างได้ด้วยความสงบและปัญญา

 

เรามาระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านจะเสด็จดับขันธ์สู่มหาปริพพาน ท่านจะแสดงพระนิพพานให้ทุกท่านทุกคนเข้าใจ ท่านได้ตรัสปัจฉิมโอวาทครั้งสุดท้ายไว้ว่า ณ โอกาสนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะได้จากไป ขอฝากโอวาทครั้งสุดท้ายไว้ว่า

 

“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”

 

หลังจากนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านจะไม่ตรัสอะไรอีกเลย

 

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค
ทรงเข้าปฐมฌาน ออกจากปฐมฌานแล้ว
ทรงเข้าทุติยฌาน ออกจากทุติยฌานแล้ว
ทรงเข้าตติยฌาน ออกจาก ตติยฌานแล้ว
ทรงเข้าจตุตถฌาน ออกจากจตุตถฌานแล้ว
ทรงเข้าอากาสนัญจายตนะ ออกจากอากาสนัญจายตนสมาบัติแล้ว
ทรงเข้าวิญญาณัญจายตนะ ออกจาก วิญญาณัญจายตนสมาบัติแล้ว
ทรงเข้าอากิญจัญญายตนะ ออกจากอากิญจัญญายตน สมาบัติแล้ว
ทรงเข้าเนวสัญญานาสัญญายตนะ ออกจากเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติแล้ว ทรงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ

 

ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์ ได้กล่าวถามท่านพระอนุรุทธะ ว่าพระผู้มีพระภาคเสด็จ ปรินิพพานแล้วหรือ ท่านพระอนุรุทธะตอบว่า อานนท์ผู้มีอายุ พระผู้มีพระภาคยังไม่ เสด็จปรินิพพาน ทรงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ

 

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค
ออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติแล้ว ทรงเข้าเนวสัญญานาสัญญายตนะ ออกจากเนวสัญญา นาสัญญายตนสมาบัติแล้ว ทรงเข้าอากิญจัญญายตนะ
ออกจากอากิญจัญญายตนสมาบัติแล้ว ทรงเข้าวิญญาณัญจายตนะ ออกจากวิญญานัญจายตนสมาบัติแล้วทรงเข้าอากาสานัญจายตนะ ออกจากอากาสนัญจายตนสมาบัติแล้ว ทรงเข้าจตุตถฌาน
ออกจากจตุตถฌานแล้ว ทรงเข้าตติยฌาน
ออกจากตติยฌานแล้ว ทรงเข้าทุติยฌาน
ออกจากทุติยฌานแล้ว ทรงเข้าปฐมฌาน
ออกจากปฐมฌานแล้ว ทรงเข้าทุติยฌาน
ออกจาก ทุติยฌานแล้ว ทรงเข้าตติยฌาน
ออกจากตติยฌานแล้ว ทรงเข้าจตุตถฌาน
พระผู้มีพระภาค ออกจากจตุตถฌาน แล้วเสด็จปรินิพพานในลำดับ
(แห่งการพิจารณาองค์จตุตถฌานนั้น)

 

คำว่านิพพานมีความหมายที่เป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ เอาปัญญาสัมมาทิฏฐิมาประพฤติมาปฏิบัติ มาใช้มาปฏิบัติควบคู่กันไป ระหว่างความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้พวกเราเข้าใจอย่างนี้นะ พระอานนท์ได้กราบทูลถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานแล้วจะเอาใคร

 

พระพุทธเจ้าจึงตรัสตอบว่า "ธรรมและวินัยใดที่เราได้แสดงและบัญญัติไว้แล้ว ธรรมและวินัยนั้นจักเป็นศาสดาของพวกเธอทั้งหลายเมื่อเราล่วงลับไปแล้ว" 

พระรัตนตรัยเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม ให้พวกเรารู้เข้าใจในหลักการอุดมการณ์อุดมธรรมในการประพฤติการปฏิบัติ เราทุกคนต้องจับหลักให้ได้ จะได้เข้าถึงความสงบและปัญญา เราจะได้เข้าใจเรื่องพระศาสนาอย่างนี้ เราจะไม่ได้เข้าใจพระศาสนาเป็นนิติบุคคลตัวตน เป็นสภาวธรรม เป็นความรู้ความเข้าใจ ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป คือความพอดี คือความพอเพียงเพียงพอ ให้เราทั้งหลายรู้เรื่องเหตุเรื่องปัจจัย เราจะได้เป็นผู้มีศีลมีสมาธิมีปัญญา ไม่ไปตามผัสสะ ไม่ไปตามอารมณ์ ความดีก็จะเป็นบารมีเบื้องต้นท่ามกลางที่สุดด้วยความรู้ความเข้าใจ

 

ขออนุโมทนากับท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายมีโอกาสพิเศษที่เกิดมาเป็นมนุษย์ เราต้องรู้เข้าใจ ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ ธรรมะเป็นประภัสสรคือความสงบและปัญญา สิ่งทั้งสัญจรไปมาเป็นเพียงอาคันตุกะ เราต้องรู้เรื่องพระศาสนาด้วยปัญญาอย่างนี้นะ อย่าให้เอาพระศาสนาเป็นนิติบุคคลตัวตน นั้นไม่ใช่พระศาสนา มันเป็นอวิชชาเป็นความหลง ปกติเราก็เอาอวิชชาความหลงนำชีวิต เราต้องหยุดด้วยความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ ให้ทุกท่านทุกคนเข้าใจว่า จุดมุ่งหมายของเรา คือมาทำที่สุดแห่งความดับทุกข์ทั้งกายวาจากิริยามารยาทรวมลงที่ใจ นี้คือพระนิพพานบ้านของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นคือพระธรรมพระวินัยให้เข้าใจในเรื่องกรรมเรื่องกฎแห่งกรรมและผลของกรรม เราทั้งหลายจะได้หยุดกรรมลงได้เพียงผัสสะ เพื่อเราจะไม่ได้เอาความปรุงแต่งนำชีวิต เราจะไม่ได้เอาความผิดนำชีวิต

 

--------------------------------------

โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม

เมตตาให้ไว้ในเช้าวันศุกร์ที่ ๑๒ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

 

 

 

Visitors: 99,436