๑๓ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๑๓ เดือนกันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

วันเสาร์วันอาทิตย์ เป็นวันหยุดทำงานของข้าราชการ หลักการของมนุษย์ วันจันทร์อังคารพุธพฤหัสศุกร์เป็นวันทำงานปกติกับการปฏิบัติธรรมไปพร้อม ๆ กัน ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างจิตใจกับวัตถุต้องให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จะไม่ให้แยกกัน วันเสาร์วันอาทิตย์เป็นวันหยุดทำงานภายนอก หยุดทำธุรกิจหน้าที่การงาน  ไปปฏิบัติธรรม ไปให้ทาน เสียสละ ถือศีล เจริญสมาธิภาวนา ถ้าเราไม่มีเวลาไปที่วัดก็ปฏิบัติอยู่ที่บ้าน เพื่อจะได้ประพฤติปฏิบัติในทางจิตใจให้เต็มที่ เราเอาธรรมะไปใช้ไปประพฤติไปปฏิบัติในปัจจุบัน ในชีวิตประจำวัน

 

เราทุกคนที่เกิดมาต้องรู้เข้าใจจะได้เอาธรรมะมาประพฤติมาปฏิบัติ ทุก ๆ คนก็ต้องเน้นที่ตัวของเราเอง เพื่อเราจะได้ทำหน้าที่ให้ถูกต้อง ความถูกต้องได้แก่ปัญญาสัมมาทิฏฐิ เรามีปัญญาสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง เราทั้งหลายถึงจะมีการประพฤติการปฏิบัติที่ถูกต้อง เป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา ชีวิตของเราถึงจะมีความสงบมีปัญญา

 

มนุษย์เราต้องเอาธรรมนำชีวิต พัฒนาใจพัฒนาวัตถุไปพร้อม ๆ กันให้เป็นทางสายกลาง ไม่ตึงเกินไปไม่หย่อนเกินไป ให้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ ให้เข้าถึงความสงบและปัญญา เพื่อให้ความสงบและปัญญาไปพร้อม ๆ กัน เหมือนกับสายพิณ ถ้าตึงเกินไปมันก็จะขาด ถ้าหย่อนเกินไปเสียงนั้นก็ไม่ไพเราะ

 

มนุษย์เราต้องมีหลักการมีอุดมการณ์อุดมธรรมเป็นธรรมนูญของชีวิต เพื่อเป็นทางสายกลางระหว่างวัตถุกับจิตใจไปพร้อม ๆ กัน

 

มนุษย์เราคือผู้ประพฤติผู้ปฏิบัติพรหมจรรย์ พรหมจรรย์เบื้องต้น ท่ามกลาง ที่สุด เป็นความสงบและปัญญาไปพร้อม ๆ กัน ถ้าเราไม่เอาธรรมนำชีวิต เราก็ไม่ได้เป็นมนุษย์ เราทั้งหลายก็เป็นได้แต่เพียงคน คำว่าคนนี้หมายถึงเดินไปก้าวหนึ่งและถอยกลับมาก้าวหนึ่งมันไปไหนไม่ได้ มันย่ำต๊อกอยู่ที่เก่า ศัพท์นี้ถึงเรียกว่าคน คนนั้นคนโน้นคนนี้ มนุษย์เราต้องเอาธรรมนำชีวิตเอาธรรมนูญนำชีวิตเพื่อให้วัตถุกับจิตใจไปพร้อม ๆ กัน

 

มนุษย์ทุกคนต้องเอาธรรมนำชีวิต ข้าราชการนักการเมือง เกษตรกรรมอุตสาหกรรม พ่อค้าประชาชนทั้งหลาย ต้องเอาธรรมนำชีวิตเอาธรรมนูญนำชีวิต ไม่มีใครยกเว้นพิเศษ เพราะทุกอย่างมันคือกรรมคือกฎแห่งกรรมคือผลของกรรม

 

ให้พวกเรารู้เข้าใจว่าธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ มันเป็นเรื่องของกรรมเป็นเรื่องกฎแห่งกรรมเรื่องผลของกรรม มนุษย์เราทั้งหลายถึงได้มีการเรียนการศึกษาทั้งหมด ๑๘ ศาสตร์รวมลงที่ใจ ใจที่มีปัญญาสัมมาทิฏฐิ เราจะได้เอาตัวรอดในทางที่รอด ถ้าเราไม่เข้าใจเราจะไปเอาตัวรอดในทางที่ไม่รอดนะ

 

เราเป็นคนเก่งเป็นคนฉลาดเราก็ต้องเป็นคนดี เราเป็นคนดีเราก็ต้องเป็นคนเก่งเป็นคนฉลาด คนเก่งกับคนดีถึงมีอยู่ในตัวของเราเอง เราต้องรู้เข้าใจว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นมันเกิดจากเหตุเกิดจากปัจจัยเพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี มนุษย์นั้นเมื่อเรารู้เข้าใจมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ ถึงจะเข้าถึงบริสุทธิคุณทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งอาชีพทั้งใจ มนุษย์เราน่ะการประพฤติการปฏิบัติต้องออกมาจากความรู้ความเข้าใจด้วยความตั้งใจตั้งเจตนาไม่มีต่อหน้าและลับหลังเพื่อให้สมบูรณ์ทั้งเบื้องต้นท่ามกลางและที่สุด ไม่มีต่อหน้าและลับหลัง การที่ทำอะไรมีต่อหน้าและลับหลังคือการหมกเม็ด คือการหลอกลวง

 

 การเรียนการศึกษา ๑๘ ศาสตร์ถ้าเราเรียนเพื่อตัวเพื่อตนมันก็เป็นตัวเป็นตนมันก็เป็นการหลอกลวงที่เค้าพากันพูดกันว่า ๑๘ มงกุฏ มันเป็นความหลอกลวงมันไม่ซื่อสัตย์ ระบบความรู้ความเข้าใจ เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะไม่ได้ตรึกในกามไม่ได้ตรึกในพยาบาท ถึงใครเค้าจะไม่รู้ไม่เห็นไม่เข้าใจ แต่ตัวเราของเราเองเป็นผู้รู้ผู้เห็นผู้เข้าใจ

 

เราต้องสมบูรณ์ทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งใจเพื่อความสงบและปัญญา เพื่อปัญญาและความสงบ เราจะได้แก้ที่ต้นเหตุ เราจะไม่ได้แก้ที่ปลายเหตุ ถ้าเราไปแก้ที่ปลายเหตุมันไม่ได้ ผลเสียหายมันย่อมพังทลายเหมือนตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ตึกที่ไหนที่ไหนของเมืองไทยทั้งต่างจังหวัดทั้งกรุงเทพฯปริมณฑลเค้าก็ไม่พัง มันไปพังทลายตั้งแต่ตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน เพราะเราไม่รู้ไม่เข้าใจ เราทั้งหลายไปเอาความหลงนำชีวิต เอาทุจริตนำชีวิต เอาตัวเอาตนนำชีวิต ชีวิตนี้ก็ย่อมพังทลายเช่นเดียวกันกับตึก สตง.ที่เป็นประจักษ์เป็นพยาน

 

หลักการของมนุษย์ ต้องเอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิต เดือนหนึ่งคิดรวม ๆ ภาพรวมออกมาก็มี ๓๐ วัน วันหยุดของข้าราชการจากการทำงาน ๘ วัน ถ้ามีวันหยุดนักขัตฤกษ์อีกก็มากกว่า ๘ วัน วันจันทร์อังคารพุธพฤหัสศุกร์ให้พวกหมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายพากันรู้เข้าใจมันเป็นวันทำงานกับการปฏิบัติธรรมไปพร้อม ๆ กันถ้าอย่างนั้นมันก็ไม่ได้เป็นมนุษย์ย่ำต๊อกอยู่ในความหลง เราต้องเอาความสุขความดับทุกข์กับการประพฤติการปฏิบัติของเรา

 

การทำงานกับการปฏิบัติธรรมให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เราต้องได้ทั้งงานได้ทั้งจิตใจไปพร้อม ๆ กันไม่แยกงานออกจากจิตใจ ไม่แยกจิตใจออกจากงาน ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพื่อจะไม่ได้เสียโอกาสเสียเวลา เพราะการประพฤติการปฏิบัตินั้นอยู่ที่เรารู้เข้าใจ เราต้องปฏิบัติอยู่ทุกหนทุกแห่งไม่เลือกาลเลือกเวลา เรามีธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ นั่นแหละคือการประพฤติการปฏิบัติของเรา ปัจจุบันนี้แหละเป็นไฟต์ในการประพฤติการปฏิบัติ ให้เรารู้เข้าใจไฟต์ในการประพฤติการปฏิบัติ เราต้องรู้จักการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเราะจะได้เกิดความสงบเกิดปัญญา เพื่อเราจะได้มีศีลมีสมาธิมีปัญญา ก้าวไปด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา มีปฏิปทาติดต่อต่อเนื่องไม่ขาดตกบกพร่องไม่ด่างไม่พร้อยไม่ทะลุไม่เศร้าหมองด้วยความรู้ความเข้าใจ

 

ทุก ๆ ศาสนาก็ต้องใช้หลักการเดียวกันนี้ ไม่แตกแยก เป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นสันติภาพเป็นพระนิพพาน ความรู้ความเข้าใจนี้เป็นความว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ไม่ใช่ว่างจากความไม่มี ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นสิ่งที่มีอยู่ ความรู้ความเข้าใจนี้จะทำให้เราว่างจากนิติบุคคลตัวตน สิ่งภายนอกก็เป็นสิ่งภายนอก สิ่งภายในที่เป็นธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ ก็เป็นสิ่งภายในให้เรารู้เข้าใจ

 

เราทุกคนน่ะต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติต้องเข้าถึงความว่างจากสิ่งที่มีอยู่ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิ วันเสาร์วันอาทิตย์เป็นวันหยุดทำงานของข้าราชการเพื่อพัฒนาเรื่องจิตเรื่องใจโดยเฉพาะ ผู้ที่ถือศาสนาพุทธก็พากันไปที่วัด ถือศาสนาคริสต์ก็พากันไปที่โบสถ์ ผู้ที่ถือศาสนาอิสลามก็ไปที่มัสยิด ผู้ที่ถือศาสนาพราหมณ์ฮินดูก็ไปที่วิหารเทวสถาน เพราะว่าพระศาสนาน่ะคืออันหนึ่งอันเดียวกัน พระศาสนานั้นไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน ถ้าเรามีตัวมีตนคือบุคคลไม่มีพระศาสนา เป็นทิฏฐิมานะอัตตาตัวตนนั้นคือเป็นภพเป็นชาติ เป็นชรา มรณะ มันเป็นนิติบุคคลตัวตน ให้เข้าใจอย่างนี้

 

เราทั้งหลายให้เรารู้เข้าใจ เราจะได้คืนอธิปไตยเราคืนออำนาจให้แก่ปวงชน ถ้าเราไม่รู้เข้าใจ ความไม่รู้เข้าใจนั่นแหละมันจะระเบิดตัวของเราเอง ความไม่รู้เข้าใจนั้นมันจะปฏิวัติรัฐประหารตัวของเราเอง เราทั้งหลายถึงมารู้เข้าใจ เราจะได้คืนอธิปไตยให้กับปวงชน ให้กับความเป็นประภัสสร

 

เราทั้งหลายพากันมาเน้นที่ตัวเราปฏิบัติที่ตัวเรา ทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพทั้งใจ มาเน้นที่ตัวเรา เราคิดดูดี ๆ นะพระพุทธเจ้าท่านก็เน้นที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระเยซูท่านก็เน้นที่พระเยซู พระอัลเลาะห์ท่านก็เน้นที่พระอัลเลาะห์ พระพรหมก็เน้นที่พระพรหม เราเป็นใครก็เน้นมาที่ตัวเรา เพราะตัวเราคือต้นเหตุ เราไปแก้ที่ปลายเหตุนั้นไม่ได้ เรามามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ถ้าเราไม่มีปิติไม่มีความสุขไม่มีเอกัคตตาในการประพฤติการปฏิบัติ เราก็เป็นโรคซึมเศร้า โรคซึมเศร้ามันเป็นศัพท์ทางแพทย์ทางหมอ ถ้าศัพท์ทางพระศาสนาเค้าเรียกว่าความทุกข์ เอาตัวตนป็นที่ตั้งเค้าเรีกยว่ามีแต้ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป นอกจากทุกข์ไม่มี เปรียบเสมือนทะเลไม่อิ่มด้วยน้ำ ไฟที่ไม่อิ่มด้วยเชื้อเพลิง มีความบกพร่องอยู่ตลอดกาลอวเลา มันจะหาเรื่องหาราวให้กับตัวเองหาเรื่องหาราวให้กับคนอื่น

 

เราทั้งหลายต้องมามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพราะเรื่องการประพฤติการปฏิบัตินี้ไม่มีใครประพฤติปฏิบัติให้เราได้ เราต้องรู้หลักการอุดมการณ์อุดมธรรมเพื่อเอาธรรมนำชีวิตเอาธรรมนูญนำชีวิตเข้าสู่ระบบของศาล ศาลก็เหมือนสานตะกร้าสานกระบุงให้มันติดต่อต่อกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ถึงเป็นกระบวนการขึ้นสู่ศาล เข้าสู่กระบวนเพราะทุกอย่างคือกรรมกฎแห่งกรรมคือผลของกรรม

 

เราต้องรู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ เราจะได้เกิดมาเพื่อรู้แจ้งโลกรู้แจ้งธรรมหมายถึงรู้เรื่องทางจิตทางใจทางวัตถุ มนุษย์เราต้องพัฒนาใจพัฒนาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีไปพร้อม ๆ กันมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ชีวิตของเรามันจะก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจสว่างไสวด้วยความรู้ความเข้าใจ เหมือนรถนำขบวนเสด็จ รถนำขบวนเสด็จเค้าต้องเปิดไซเรนว้าว ว้าว ว้าวไปทั้งข้างหน้าข้างหลังด้วยความรู้ความเข้าใจ

 

เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจว่าปัจจุบันนี้เป็นวาระแห่งชาติในการประพฤติการปฏิบัติ เพราะอดีตมันก็รวมที่ปัจจุบันแล้ว อนาคตที่ยังมาไม่ถึงก็ไปจากปัจจุบันนี้ เราทั้งหลายต้องเข้าถึงความเป็นมนุษญ์เป็นเทวดาเป็นพรหมเป็นพระอริยเจ้าตั้งแต่ปัจจุบันนี้ไม่รอถึงชาติหน้าโน้น เหมือนพระคุณเจ้าทั้งหลายที่เทศน์ว่าให้ถึงมรรคผลนิพพานในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญ คำว่าเทินนี้มันไกลเหลือเกินมันแบกความหลงพาไป มันแบกตัวแบกตน แบกความยึดมั่นถือมั่น มันไม่เป็นธรรมไม่เป็นปัจจุบันธรรม ไม่เป็นมรรคเป็นผลเป็นพระนิพพาน

 

เราทุกคนต้องเข้าถึงความเป็นมุนษย์เทวดาพรหมเข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ปัจจุบัน เป็นทางสายกลาง

 

การบริหารเราบริหารประเทศเค้าต้องเอาธรรมนูญนำชีวิตเพื่อความสงบเพื่อปัญญา การบริหารเราเค้าก็บริหารด้วยธรรมนูญ การบริหารประเทศชาติบ้านเมืองเค้าต้องมีระบบข้าราชการนักการเมืองและนักบวช ชาติศาสน์กษัตริย์ถึงเป็นโครงสร้างหมู่มวลมนุษย์ ชาติก็ได้แก่ปัญญาสัมมาทิฏฐิเราเอาธรรมนำชีวิตเอาธรรมนูญนำชีวิต เราจะได้เอาความสงบและปัญญาไม่สร้างปัญหาให้กับตัวเอง ไม่เอาตัวรอดในทางที่ไม่รอด ต้องเอาตัวรอดในทางที่รอดด้วยความรู้ความเข้าใจ เราจะได้เข้าถึงความดีที่ประกอบด้วยปัญญา ปัญญาที่ประกอบด้วยความดี

 

ศาสน์หมายถึงพระศาสนา พระศาสนาน่ะเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นปัญญาประกอบด้วยความดี เราต้องรู้เข้าใจเราถึงจะเป็นคนมีพระศาสนาเป็นคนดีเป็นคนมีปัญญา เป็นคนมีความสงบมีปัญญา เราต้องรู้เข้าใจ

 

พระมหากษัตริย์หมายถึงนามธรรมหมายถึงปัญญา มนุษย์เราต้องเอาความบริสุทธิคุณนำชีวิต ไม่เอาปัญญาเป็นตัวเป็นตน พระมหากษัตริย์เป็นเรื่องจิตเรื่องใจเป็นเรื่องปัญญา พระมหากษัตริย์ทุก ๆ พระองค์ถึงทรงทศพิธราชธรรมก่อนทรงขึ้นครองราชย์ต้องประกาศต่อมหาชน ปฏิณญาณตนต่อมหาชนว่าข้าพเจ้าจะทรงทศพิธราชธรรมเอาธรรมนำชีวิตเอาธรรมนูญนำชีวิตยกเลิกตัวตนมีแต่ความสงบมีแต่ปัญญา ประธานาธิบดี ข้าราชการนักการเมืองนักบวชก็ต้องใช้หลักการเดียวกันนี้เพื่อเป็นธรรมเป็นธรรมนูญ

 

การที่เราเอาธรรมนำชีวิตเอาความสงบและปัญญานำชีวิตถึงมีแต่คุณถึงเรียกว่าพุทธคุณ ธัมมคุณ สังฆคุณ รวมกันเป็นพระรันตรัย ให้เข้ารู้เข้าใจ

 

ความเป็นพระนั้นมันเป็นอยู่กับทุก ๆ ชาติทุกศาสนาให้เรารู้เข้าใจไม่ใช่มีพระนิพพานเฉพาะศาสนาพุทธ ไม่ใช่มีพระนิพพานเฉพาะศานาคริสต์อิสลามพราหมณ์ฮินดู มันมีได้ทุกศาสนา ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ถ้ารู้เข้าใจเอาธรรมนำชีวิต ทุกคนก็เป็นพระได้เป็นพระอริยเจ้าได้ทุก ๆ คน ทุก ๆ ศาสนา

 

ทุกคนอย่าได้มีอัตตามีตัวตนว่าเราดีกว่าเค้าเก่งกว่าเค้าหรือเสมอเขาหรือสู้เขาไม่ได้ เราต้องรู้เข้าใจในธรรมในภาวธรรม ทุกคนก็เป็นพระได้ พระนี้เค้านับเอาตั้งแต่พระโสดาบันจนถึงพระอรหันต์นะ พวกที่บวชทั้งหลายที่เห็นปลงผมนุ่งห่มผ้าจีวรทุกศาสนาน่ะ เป็นพระแต่งตั้งเป็นสมมติสัจจะที่ได้รับสิทธิพิเศษจากหมู่มวลมนุษย์เป็นลายลักษณ์อักษรหรือลายเซ็นต์เป็นเพียงพระแต่งตั้ง เราต้องเข้าถึงพระทั้งกายวาจากิรยามารยาทเข้าถึงทั้งใจไม่มีต่อหน้าและลับหลัง

 

 ให้รู้เข้าใจเรื่องความเป็นพระ เราไม่ต้องไปหาพระภายนอก พระภายนอกเราเพียงอุปถัมภ์อุปัฏฐากย์

 

การปกครองมนุษย์นี้ต้องได้มาจากภาษีอากรของประชาชน คนที่เกิดมาในโลกนื้อยู่ในประเทศไหนเค้าก็หักภาษีอากรเรื่องอยู่เรื่องกินเรื่องอาชีพอะไรทุกอย่างเค้าหักมาเป็นภาษีอากรหมดไม่มีอะไรเลยที่มี่หักภาษีอากร ให้รู้เข้าใจว่าเค้าปกครองประเทศอย่างไรก็ได้มาจากภาษีอากร ข้าราชการนักการเมืองนักบวชทั้งหลายให้พากันเข้าใจนะอย่าพากันโกงกินคอร์รัปชั่นเพราะนี้เป็นภาษีอากรเป็นหยาดเหงื่อแรงงานของประชากรของประเทศ หรือผู้ที่มาเที่ยวต่างประเทศต้องเสียภาษีอากร อีกส่วนหนึ่งก็ได้มาจากบริจาคทาน

 

มนุษย์เราถ้ารู้เข้าใจมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการทำงานจะไม่มีคำว่ายากจน ถ้ามีตัวมีตนเมื่อไหร่มันก็มีทุกข์ คนรวยก็ทุกข์เพราะไม่รู้จักพอ คนจนก็มีทุกข์เพราะมีตัวมีตนเอาตัวตนนำชีวิตมันขี้เกียจขี้คร้านไม่เสียสละไม่มีความสุขในการเสียสละมันก็ต้องยากจน เพราะตัวตนคืออบายมุขอบายภูมิ เราทั้งหลายจะไม่ได้เอาตัวตนนำชีวิตต้องเอาความสงบเอาปัญญานำชีวิตเราต้องรู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติของเรา

 

มนุษย์เราต้องมีหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม เราต้องมีความสงบเป็นพื้นฐานมีปัญญาเป็นพื้นฐานเป็นสติปัฏฐาน มีสติความสงบเป็นพื้นฐานมีปัญญาเป็นพื้นฐานรวมลงที่ใจเพราะกายวาจากิริยามารยาทอาชีพนั้นให้เรารู้เข้าใจมันเป็นเพียงอุปกรณ์ของใจ ถ้าเราตั้งใจตั้งเจตนาไม่มีต่อหน้าและลับหลัง มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ ชีวิตของเราก็จะก้าวไปด้วยความสงบด้วยปัญญา ชีวิตของเราก็จะมีศีลมีสมาธิมีปัญญา หลักการในการประพฤติการปฏิบัติน่ะ เพื่อเราจะไม่ได้ไปตามผัสสะไม่ไปตามสิ่งแวดล้อมให้ใช้หลักอานาปานสตินั้นดีมาก

 

อานาปานสติคือลมหายใจเข้าหายใจออก เพราะสิ่งต่าง ๆ มันมีมากมายทั้งตาหูจมูกลิ้นกายใจเราต้องมีหลักการอุดมการณ์อุดมธรรมให้เราอยู่กับลมหายใจ เราหายใจเข้าก็ให้มีสติรู้ตัวทั่วพร้อมให้ชัดเจน เราหายใจออกก็ให้มีสติรู้ตัวทั่วพร้อมให้ชัดเจน หลักการนี้เราต้องเอาไปใช้ทุกอิริยาบถไม่ใช่เฉพาะตอนนั่งสมาธิ ต้องใช้ทุกอิริยาบถจะได้เพียงพอพอเพียง เราทั้งหลายจะไม่ได้ไปตามสิ่งแวดล้อมไปตามผัสสะ เวลาทำงานเราก็ต้องมีความสุขในการทำงาน ความสุขหรือว่าปิติสุขเอกัคคตามันจะเป็นธรรมะที่มีความพอเพียงเพียงพอ จะเป็นธรรมะที่สดชื่นเบิกบานเมื่อมันผ่านไปแล้วมันเกษียณแล้วเราก็ปล่อยก็วาง เราจะได้เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม สมองเรากับลมหายใจของเราถ้าเราเอาธรรมนำชีวิตมันจะเป็นความสงบเป็นปัญญามันจะเป็นความพอเพียงเพียงพอเป็นความพอดีให้เรารู้เข้าใจ

 

เราทั้งหลายเป็นมนุษย์เป็นผู้ที่ประเสริฐถ้าเราอยุ่ในเมืองกรุงเมืองหลวงหรืออยู่ในต่างจังหวัดชนบทเราก็เอาธรรมนำชีวิตเหมือน ๆ กันไม่มีใครมีอภิสิทธิพิเศษนะ เราต้องเอาธรรมนำชีวิตเราถึงมีความสงบมีปัญญา เราถึงเอาตัวรอดในทางที่รอด เราต้องรู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ เราจะพากันมาเอาความหลงนำชีวิตไม่ได้ มันเสียหายทั้งส่วนตัวและส่วนรวม เราทั้งหลายจะได้เป็นข้าราชการนักการเมืองเป็นนักบวชเป็นพ่อค้าปราะชนชนที่มีความสงบมีปัญญา ก้าวไปด้วยศีลสมาธิปัญญา

 

เราทั้งหลายต้องมาคืนความหลงความอธิปไตยให้กับธรรมชาติให้กับคามเป็นประภัสสรเราไม่มีสิทธิที่จะไปลิดรอนสิ่งภายนอกว่าเราทั้งหลายมีความแก่เป็นธรรมดา มีความเจ็บเป็นธรรมดา มีความตายเป็นธรรมดา มีความพลัดพรากเป็นธรรมดา มันจะเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจก็ไม่อยากแก่ไม่อยากเจ็บไม่อยากตายไม่อยากพลัดพรากมันก็เป็นไปไม่ได้นี้คือการลิดรอนสิทธินะ ให้เรารู้เข้าใจ

 

เราทั้งหลายอย่าไปตามผัสสะอย่าไปตามอารมณ์อย่าไปตามสิ่งแวดล้อม ให้เราจบลงด้วยความรู้ความเข้าใจ เราจะได้หยุดวัฏฏสงสารด้วยความรู้ความเข้าใจ ชีวิตของเราจะได้มีแต่ปิติมีความสุขมีเอกัคคตาก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจชีวิตนี้ก็ย่อมพังทลายอย่างเดียวกับตึก สตง. ตึกสตง.เป็นประจักษ์เป็นพยานของการพังทลาย ก็เพราะเอาความประมาทนำชีวิต เอาตัวตนนำชีวิต เอาอีโก้นำชีวิต เราต้องเข้าใจในเรื่องของความประมาทนะ เข้าใจในเรื่องความไม่ประมาทนะ ความไม่ประมาทมีแต่คุณมีแต่ประโยชน์ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้มีเมตตาบอกมหาชนทั้งหลาย ในกาลเวลาที่ท่านจะเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพานว่า ความประมาทนี้เป็นอันตรายที่ยิ่งใหญ่ใหญ่ยิ่ง

 

การประพฤติการปฏิบัติเน้นที่ปัจจุบัน กงเกวียนกงกรรม ปัจจุบันเป็นสิ่งที่สำคัญ ปัจจุบันเป็นวาระแห่งชาติ เราอย่าได้ไปประมาท ประมาทเล็กน้อยก็ผิดพลาดเล็กน้อย ประมาทปานกลางก็ผิดพลาดปานกลาง ประมาทอย่างใหญ่ก็ผิดพลาดอย่างใหญ่ ให้รู้เข้าใจเรื่องความประมาท

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนที่ท่านจะเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพานท่านได้ตรัสแก่พระภิกษุทั้งหลายว่า การประพฤติการปฏิบัติ ปัจจุบันเป็นวาระสำคัญ เป็นวาระแห่งชาติในการประพฤติการปฏิบัติเธอทั้งหลายจงทำความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด อย่าคิดว่าเรามีปัญญา เราจะแก้ปัญหาได้ เมื่อเรามีปัญญาเราก็ต้องมีพระธรรมพระวินัย เพราะพระธรรมพระวินัยเป็นสิ่งที่มีแต่คุณมีแต่ประโยชน์ เมื่อเรามีปัญญาเราก็ต้องมีความสงบ เมื่อเรามีความสงบเราก็ต้องมีปัญญา เราทั้งหลายต้องพากันรู้เข้าใจ เราต้องเคารพคารวะในธรรมในสภาวธรรม เพราะทุกอย่างคือกรรมคือกฎแห่งกรรมคือผลของกรรม ที่เรามีธาตุทั้งสี่ขันธ์ทั้งห้าอายตนะหกมันเป็นผลของกรรมในการเวียนว่ายตายเกิดที่เราทุกคนไม่รู้ไม่เข้าใจ

 

ธรรมะคือความสงบคือปัญญา ธรรมะนั้นลดทิฏฐิมานะอัตตาตัวตนธรรมะจะมีแต่ความสงบมีแต่ปัญญา เราเป็นนักปฏิบัติอยู่ในป่าในเขา เป็นผู้เรียนผู้ศึกษาอยู่ในเมืองกรุงทั้งหลายอย่าไปทะเลาะกัน

 

เราทั้งหลายต้องมีความสงบมีความเคารพ เพราะตัวตนมันปรุงมันแต่งมันไม่สงบไม่เคารพมีแต่อัตตาตัวตน ผู้ที่อยู่ในเมืองกรุง อยู่ชนบทอยู่ป่าอยู่เขา เราทั้งหลายก็ต้องมีความสงบมีปัญญามีพระธรรมพระวินัยเป็นเครื่องอยู่ก้าวไปด้วยความสงบด้วยปัญญา ไม่ใช่ก้าวไปด้วยอัตตาตัวตนไม่ใช่ก้าวไปด้วยอีโก้ยกหูชูงวงให้รู้เข้าใจ

 

หลวงปู่ชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ท่านมีความสงบมีความเคารพ การแสดงธรรมบนธรรมาสน์ของท่านจึงเป็นการแสดงความเคารพต่อพระธรรม โดยหลวงปู่ชามักจะกล่าวคําเป็นภาษาบาลีก่อนกัณฑ์เทศน์ว่า “อิโต ปรํ สกฺกจฺจํ ธมฺโม โสตพฺโพติ” ซึ่งมีความหมายว่า เบื้องหน้าแต่นี้ ขอเชิญท่านทั้งหลาย พึงตั้งใจสดับพระธรรมเทศนาโดยเคารพเถิด

 

พระธรรมเป็นแก่นของศาสนาพุทธ เปรียบเสมือนแสงสว่างนำทางให้ผู้คนเข้าใจความจริงของชีวิตและดำเนินชีวิตไปสู่ความสงบสุข การที่หลวงปู่ชาได้แสดงธรรมจึงเป็นการแสดงความเคารพต่อพระธรรมและเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของพระศาสนา หลวงปู่ชาได้อุทิศชีวิตของท่านเพื่อการปฏิบัติธรรมและเผยแผ่พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เพื่อให้พระธรรมเป็นเครื่องนำทางสู่ความสงบสุขและการหลุดพ้นจากความทุกข์ 

 

หลวงปู่ชา ท่านได้เมตตาตรัสโอวาทเรื่องการไม่รู้จักเหตุก็ดับทุกข์ไม่ได้ไว้ว่า
เกิดขึ้นมาแล้วไม่อยากให้มันทุกข์มันก็ไม่เห็นทุกข์ ไม่เห็นทุกข์ มันก็ไม่รู้จักทุกข์ ไม่รู้จักทุกข์ มันก็เอาทุกข์ออกไม่ได้ อย่างนี้

 

แล้วคนเราไม่อยากเห็นทุกข์ ไม่อยากได้ทุกข์ ทุกข์ตรงนี้ก็หนีไปนั้น นั่นแหละยิ่งเอาทุกข์ไว้ ไม่ได้ฆ่ามัน ไม่ได้คิดไม่ได้พิจารณาดูมัน ทุกข์ตรงนี้ หนีไปตรงนั้น ทุกข์ตรงนั้นหนีไปตรงนี้ หนีแต่ทางกายเรา

 

ครั้นมันหลงอยู่เมื่อใด จะไปตรงไหนมันก็ทุกข์ จะขึ้นเครื่องบินหนีไปมันก็ขึ้นไปด้วย แม้จะมุดลงไปในน้ำ มันก็มุดไปด้วย เพราะทุกข์มันอยู่กับเรา แต่เรามันหลง มันอยู่กับเรา จะไปหนี จะไปละมันที่ไหนได้

 

คนเรานะทุกข์ที่นี้หนีไปที่นั้น ทุกข์ที่นั้นหนีมาทางนี้ว่าเราหนีทุกข์มันก็ไม่ใช่ ทุกข์มันไปกับเรา เราไปกับทุกข์ ไม่รู้จักทุกข์ ถ้าไม่รู้จักทุกข์ก็ไม่รู้จักเหตุเกิดของทุกข์ ไม่รู้จักเหตุของทุกข์ก็ไม่รู้จักความดับทุกข์" ที่ไหนมันจะดับได้ มันไม่มีหรอก

 

ให้เราเอาตัวอย่างแบบอย่างที่เรามองเห็นปฏิปทาดี ๆ ที่ประกอบด้วยปัญญาของท่านหลวงปู่ชา สุภัทโท เราจะได้บวชจะได้เป็นพุทธบริษัททั้งสี่ผู้ที่มีความมั่นคงต่อพระรัตนตรัย เราจะได้มีพระนิพพานบ้านของเรา รู้หลักการในการประพฤติการปฏิบัติ

 

มนุษย์เราต้องรู้อริยสัจสี่ ถ้าไม่รู้อริยสัจสี่นั้นจะมีทุกข์ทั้งทางกาย มีทุกข์ทั้งทางใจ การพัฒนาวิทยาศาสตร์ที่พัฒนากายเป็นเพียงการเยียวยาเรื่องของความทุกข์ทางกาย ผู้ที่เกิดมาในโลกนี้ต้องเดินทางสายกลางระหว่างวิทยาศาสตร์ระหว่างจิตใจต้องไปพร้อมกัน คนทั้งโลกนี้ต้องทำอย่างนี้ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสากล มันเป็นความมั่นคงของชาติศาสน์กษัตริย์

 

การที่เรารู้อริยสัจสี่จึงเป็นคุณสมบัติของผู้ดี เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบปฏิบัติตรงปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์ ปฏิบัติสมควร เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี เรารู้เข้าใจ

 

 เราคิดดูดี ๆ พระโมคคัลาสารีระพระอัครรสาวกฝ่ายซ้ายฝ่ายขวา ได้ฟังพระธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่กี่ครั้งความรู้ความเข้าใจต้องเอาไปใช้เอาไปปฏิบัติ เพื่อจะได้เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบปฏิบัติตรง เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงบอกให้หมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายไม่ให้ประมาท ไม่ให้หลง ไม่ให้เพลิดเพลิน เราจะไปประมาทไม่ได้ ไปหลงเพลิดเพลินไม่ได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงบอกให้พวกเรารู้ว่า เราอย่าไปหลงตัวหลงตน อย่าลืมตัวลืมตน ความสงบเราก็ต้องเสียสละ เรามีปัญญามากเราก็ต้องสงบถึงจะเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ ความสงบและปัญญานี้มันจะโอเค มันจะไม่มีสงคราม รู้เข้าใจว่าความปรุงแต่งนี้คือสงครามนะ การมาสงบระงับสังขารถึงเป็นความดับทุกข์อย่างยิ่ง

 

ให้เราทั้งหลายระลึกถึงโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพานท่านได้ตรัสโอวาทสำคัญครั้งสุดท้ายไว้ว่า

 

หันทะทานิ ภิกขะเว  อามันตะยามิ โว
วะยะธัมมา สังขารา   อัปปะมาเทนะ สัมปาเทถะ

 

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราขอเตือนเธอทั้งหลาย สังขารทั้งหลายเป็นของไม่เที่ยง มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา เธอทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด

 

ให้เราทั้งหลายระลึกถึงโอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ที่ท่านเมตตาตรัสไว้ว่า

ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ

ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ

ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู

ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละคือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน

 

ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะว่าสิ่งเดิมนั้นคือความว่างเปล่า สิ่งที่สัญจรไปมาเป็นเพียงอาคันตุกะ เราจะได้เอาหลักการอุดการณ์ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นมรรคเป็นอริยมรรคที่ตรงกันข้ามกับโลกธรรม ให้รู้เข้าใจ เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรม พระนิพพานความรู้ความเข้าใจในเรื่องปฏิจจสมุปบาทจะเป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นพระนิพพานบ้านของเรา ไม่ใช่อวิชชาความหลงเป็นบ้านของเรานะ พระนิพพานคือบ้านของเรา ความสงบและปัญญาถึงเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราจะหยุดวัฏฏสงสารได้ด้วยความสงบและปัญญา ธรรมะนั้นถึงหยุดความปรุงแต่งได้ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิคู่กับการประพฤติการปฏิบัติ

 

ขออนุโมทนากับท่านทั้งหลายนะ ท่านทั้งหลายเป็นผู้ประเสริฐได้รับโอกาสพิเศษด้วยอายุขัยที่เกิดมาให้เรารู้ให้เข้าใจ เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติเข้าสู่ภาคบำบัดอย่างนี้ถึงจะไม่เป็นเพียงนักปรัชญา จะได้เป็นพระพุทธศาสนาทั้งกายวาจากิริยามารยาทมารวมที่ใจ เป็นผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร มีความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป ธรรมที่จะคุ้มครองเราก็ได้แก่หิริโอตตัปปะ เป็นผู้ละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาปเป็นผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสารตั้งอยู่ในความไม่ประมาท

 

-----------------------------------

โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม

เมตตาให้ไว้ในเช้าวันเสาร์ที่ ๑๓ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

 

 

Visitors: 101,699