๑๔ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๑๔ เดือนกันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

 

วันเสาร์วันอาทิตย์เป็นวันหยุดทำงานของข้าราชการ เพื่อเป็นหลักการในการดำเนินชีวิตของมนุษย์ มนุษย์เราต้องเดินทางสายกลางระหว่างวัตถุกับจิตใจไปพร้อม ๆ กัน

 

มนุษย์เราต้องรู้เรื่องเหตุเรื่องปัจจัย รู้เรื่องกรรมรู้เรื่องกฎแห่งกรรมรู้เรื่องผลของกรรม เพื่อตัวของมนุษย์เองจะได้ทำที่สุดแห่งความดับทุกข์ ให้ถือเอาปัจจุบันเป็นวาระสำคัญในการประพฤติการปฏิบัติ อดีตที่ผ่านมาก็มารวมอยู่ที่ปัจจุบัน อนาคตจะไปข้างหน้าก็มารวมอยู่ที่ปัจจุบัน ปัจจุบันจึงเป็นวาระสำคัญแห่งชาติ กายวาจากิริยามารยาทอาชีพเป็นสิ่งที่สำคัญ

 

มนุษย์เราต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเข้าถึงความดับทุกข์ตั้งแต่ในปัจจุบัน เป็นพื้นเป็นฐานของอนาคต ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมีได้

 

การประพฤติการปฏิบัติของเราต้องปฏิบัติให้ติดต่อต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา เพื่อให้เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เพื่อทำที่สุดแห่งความดับทุกข์ทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพรวมลงที่ใจ ลงที่เจตนา มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ความสงบและปัญญาก้าวไปพร้อมกัน ความรู้กับการประพฤติการปฏิบัติก้าวไปพร้อมกัน ถ้ามีความสงบก็ต้องมีปัญญา ถ้ามีศีลก็ต้องมีปัญญา ถ้ามีสมาธิก็ต้องมีปัญญา มันจะเป็นความสงบ เป็นความพอเพียงเพียงพอ เป็นความพอดี ไม่มากเกินไปไม่น้อยเกินไป

 

เรารู้เราเข้าใจที่เป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ เราทั้งหลายจะหยุดความปรุงแต่งได้เพียงผัสสะ ความรู้ความเข้าใจนี้จะหยุดความปรุงแต่ง จะไม่ไปตามผัสสะ ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม จะเป็นความสงบเป็นปัญญา ความสงบและปัญญาจะรวมกันเป็นหนึ่ง

 

การประพฤติการปฏิบัติเราถึงปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องด้วยสติเป็นพื้นฐาน ปัญญาเป็นพื้นฐาน ฐานชีวิตของเราเป็นความสงบและปัญญา ไม่ใช่ไปตามผัสสะ ไม่ใช่ไปตามสิ่งแวดล้อม ปัญญาเป็นความรู้ความเข้าใจ เราจะหยุดตัวเองได้เพียงผัสสะ

 

การประพฤติการปฏิบัติของเราถึงต้องปฏิบัติติดต่อต่อเนื่อง เราทั้งหลายพากันรู้พากันเข้าใจ การปฏิบัติธรรมนั้นอยู่ที่เรารู้เข้าใจ การปฏิบัติธรรมคือการทำงาน การทำงานคือการปฏิบัติธรรม เราทั้งหลายต้องมีความสุขในการทำงาน เราทั้งหลายต้องมีปิติมีความสุขในการทำงาน

 

การทำงานให้เข้าใจนะ การทำงานคือการปฏิบัติธรรม ไม่หวังอะไรตอบแทน ทำความดีเพื่อความดี เสียสละเพื่อเสียสละ รักษาศีลเพื่อศีล ทำสมาธิเพื่อสมาธิ เจริญปัญญาเพื่อปัญญา ไม่หวังอะไรตอบแทน นี้ถึงจะเป็นความสงบ นี้ถึงจะเป็นปัญญา

 

เราทั้งหลายต้องพากันรู้หลักการในการประพฤติการปฏิบัติอย่างนี้

 

เราอยู่ที่ไหนมีธาตุทั้ง ๔ มีขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะภายใน ๖ ภายนอก ๖ คือการปฏิบัติของเราอยู่ที่ผัสสะ ให้เอาผัสสะนั้นมาบำเพ็ญความดี บำเพ็ญปัญญา เพื่อเราทั้งหลายจะได้จบลงเพียงผัสสะ เพื่อให้ปฏิปทาของเราติดต่อต่อเนื่อง ให้ความดีที่ประกอบด้วยปัญญาติดต่อต่อเนื่อง ที่เป็นบารมีเบื้องต้นท่ามกลางสูงสุด เราต้องตั้งใจตั้งเจตนาเพื่อให้ปฏิปทามันติดต่อต่อเนื่อง กุ

 

ลบุตรลูกหลานครั้งพุทธกาล พวกหนุ่ม ๆ สาว ๆ ถึงพากันออกบวชเพื่อปฏิปทาทั้งกายวาจากิริยามารยาทจิตใจจะได้ติดต่อต่อเนื่องไม่ขาดสาย

 

ด้วยเหตุผลนี้แหละ หนุ่มสาวครั้งพุทธกาล เมื่อสมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีพระชนอยู่ พากันออกบวช เพื่อการประพฤติการปฏิบัติจะได้ติดต่อต่อเนื่อง ถ้าเป็นฆราวาสต้องทำธุรกิจหน้าที่การงาน ทั้งเป็นข้าราชการเป็นนักการเมืองเป็นพ่อค้าพาณิชย์เป็นเกษตรกรเกษตรกรรม จะต้องเสียภาษีอากร เลี้ยงดูพ่อแม่ญาติพี่น้องวงศ์ตระกูล จะมีหน้าที่การงานมากมาย เมื่อออกบรรพชาอุปสมบทแล้วงานเหล่านี้ไม่มี มีแต่งานเจริญสติสัมปชัญญะ เพื่อให้สติสัมปชัญญะนั้นติดต่อต่อเนื่อง

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสบอกหลักการในการดำเนินชีวิตที่ประเสริฐ มนุษย์เราต้องรู้เรื่องอริยสัจสี่ พัฒนาทั้งทางวิทยาศาสตร์ พัฒนาทั้งใจไปพร้อม ๆ กันเพื่อให้เป็นทางสายกลางระหว่างจิตใจกับวัตถุ เพื่อวัตถุกับจิตใจจะได้ไปพร้อม ๆ กัน ได้เข้าใจว่า การทำงานนั้นคือการปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมนั้นคือการทำงาน การทำงานกับการปฏิบัติธรรมนั้นจะแยกกันไม่ได้ ความรู้ต้องคู่กับการประพฤติการปฏิบัติถึงจะสมบูรณ์ทั้งอรรถะทั้งพยัญชนะ

 

มนุษย์ต้องรู้ต้องเข้าใจในความเป็นมนุษย์ เพื่อจะได้เอาความถูกต้องนำชีวิต จะไม่ได้เอาความผิดนำชีวิต

 

มนุษย์เราต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสาร มีหิริโอตตัปปะ มีความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป ตั้งอยู่ในความไม่ประมาทในเรื่องความตรึกนึกคิด ในเรื่องของกามในเรื่องของพยาบาท คำพูดต่าง ๆ  กิริยามารยาทต่าง ๆ อาชีพที่ทำมาหาเลี้ยงชีพต่าง ๆ ต้องตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ฆราวาสผู้ครองบ้านครองเมืองที่เป็นข้าราชการนักการเมือง เป็นพ่อค้าประชาชนก็ต้องรู้ต้องเข้าใจในการประพฤติในการปฏิบัติของตนเอง ไม่เอาความหลงนำชีวิต ไม่เอาความผิดนำชีวิต ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท เอาทำการงานกับการปฏิบัติธรรมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เราจะเป็นมนุษย์ที่ดี เป็นมนุษย์ที่เห็นภัยในวัฏฏสงสาร

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงให้หลักการ วัน ๗ ค่ำ ๘ ค่ำ ให้ไปรักษาศีลอุโบสถที่วัด ไปให้ทานรักษาศีล เจริญเมตตาภาวนา ฟังพระธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เอาวัน ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ ไปให้ทานรักษาศีลอุโบสถ เจริญเมตตาภาวนา ฟังพระธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครั้งพุทธกาลก็มีหลักการอุดมการณ์อุดมธรรมอย่างนี้

 

ปัจจุบันนี้แหละ สากล หมายถึงทุก ๆ ประเทศ ได้มีความสมัครสมานสามัคคีเอาวันเสาร์วันอาทิตย์เป็นวันหยุด เพื่อไปบริจาคทาน รักษาศีล เจริญเมตตาภาวนา ฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสนาของปวงชนที่เคารพนับถือศาสนานั้น ๆ เพื่อปฏิบัติให้เป็นทางสายกลาง

 

คำว่าศาสนาให้เราทุกคนรู้เข้าใจ ศาสนาคือธรรมะ ธรรมะคือศาสนา ศาสนานั้นไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน พระศาสนานั้นคือทางสายกลางระหว่างเรื่องจิตเรื่องใจระหว่างทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นวัตถุ ให้ผู้ถือพระศาสนาพากันเข้าใจเราจะไม่ได้ทะเลาะกันเรื่องพระศาสนา พระศาสนานี้จะไม่มีทะเลาะกันเลย พระศาสนานี้จะมีแต่ความสงบมีแต่ปัญญา มีแต่ปัญญามีแต่ความสงบ มันจะเป็นความพอดีเป็นความพอเพียงเพียงพอ ไม่มากเกินไปไม่น้อยเกินไป

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่าเปรียบเสมือนสายพิณสายกีต้าร์นี้แหละ ถ้าตึงเกินไปมันก็จะขาดถ้าหย่อนเกินไปมันก็ไม่ไพเราะมันต้องกลาง ๆ ก็เลยไปลงที่ว่าเอาทั้งทางจิตใจเอาทั้งทางวัตถุไปพร้อม ๆ กันเพื่อเป็นอริยมรรคในการดำเนินชีวิตที่ประเสริฐ พระศาสนาถึงมีแต่คุณ มีแต่ประโยชน์หาโทษมิได้

 

เราทั้งหลายต้องเข้าใจเรื่องพระศาสนาอย่างนี้ ผู้ที่เข้าใจเรื่องพระศาสนาต้องเข้าใจเรื่องอริยสัจสี่นะ เรื่องทุกข์ เรื่องเหตุเกิดทุกข์ เรื่องข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เราจะได้แก้ปัญหาให้ถูกต้อง เราจะไม่ได้สร้างปัญหา เราอย่าไปเอาพระศาสนาเป็นตัวเป็นตน เพราะพระศาสนานั้นเป็นหลักการเป็นวิชาการเป็นอุดมการณ์อุดมธรรม มีความสงบมีปัญญาเป็นทางสายกลาง

 

พระศาสนาทุกศาสนาถึงไม่บอกว่าทำอย่างนี้ได้บุญเยอะมีอานิสงส์มาก พระศาสนานั้นสอนให้เราสียสละ ไม่ให้เราเอาอะไร เพื่อเราจะได้เข้าถึงความสงบเข้าถึงปัญญา เข้าถึงความเป็นประภัสสร ไม่ลิดรอนสิทธิเสรีภาพของความเป็นจริง ยกตัวอย่างให้ฟังว่า เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมให้พุทธบริษัททั้ง ๔ ฟัง

 

พราหมณ์และพราหมณีเป็นคู่สามีภรรยาชาวสาวัตถีที่มีฐานะยากจนข้นแค้น ทั้งสองไม่มีบุตร เพื่อนบ้านจึงเรียกพราหมณ์ผู้เป็นสามีว่า จูเฬกสาฎก เพราะในบ้านของเขามีแต่ผ้านุ่งผืนเล็กผืนเดียวที่ปกปิดกายยามออกไปนอกบ้าน เพื่อทำกิจการงานและพบปะเพื่อน ๆและเพราะความยากจนนี้ ทั้งสองจึงมีผ้าห่มอยู่เพียงผืนเดียวในเรือน ที่ต้องเปลี่ยนกันใช้ห่ม (ผ้าสำหรับห่มออกไปนอกบ้าน เช่น ร่วมงานมงคล) ผลัดกันใช้ผ้าผืนนี้ เช่น ถ้าภรรยาห่มไปร่วมงานมงคล สามีก็ไม่อาจไปงานเดียวกันได้ เพราะไม่มีผ้าห่มสำหรับอีกคน) ชาวบ้านจึงเรียกเขาว่า พราหมณ์ผู้มีผ้าน้อยผืนหรือผู้มีผ้านุ่งผืนเดียวก็ได้

 

สองสามีภรรยาแม้จะยากจน แต่ก็เป็นคนมีศรัทธา วันใดที่ได้ของมามากก็ยังจัดแบ่งและนิมนต์ภิกษุเข้ามานั่งฉันในเรือนเนือง ๆ

 

วันหนึ่ง มีการประกาศเชิญชวนให้ชาวพุทธร่วมฟังธรรมในพระวิหารเชตวัน พราหมณ์ได้ยินแล้วมีจิตยินดี กล่าวกับภรรยาว่า "นี่แน่ะแม่ เค้ามีการประกาศเชิญชวนให้พวกเราไปร่วมฟังธรรมที่พระวิหารในวันพรุ่งนี้ แต่เรามีผ้าห่มอยู่ผืนเดียวก็ไปพร้อมกันไม่ได้ ต้องสลับกันไป แม่จะเลือกไปตอนกลางวันหรือกลางคืนดีล่ะ?" นางพราหมณีตอบว่า "ฉันขอไปตอนกลางวันดีกว่า"

 

วันรุ่งขึ้น นางพราหมณีก็ห่มผ้านั้นออกจากบ้าน เข้าไปฟังธรรมในพระวิหาร ครั้น พระแสดงธรรมจบแล้ว นางก็กลับบ้านและเปลี่ยนให้พราหมณ์สามีใช้ผ้าห่มกายไปฟังธรรม ในเวลาค่ำ เมื่อเขาไปถึงก็ได้นั่งฟังธรรมอยู่ไกลจากพระพุทธเจ้า

พอสมควร  พระพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรมท่ามกลางหมู่พุทธบริษัท ซึ่งมีพระเจ้าปเสนทิโกศลร่วมสดับพระธรรมอยู่ด้วยพราหมณ์ได้ฟังธรรมแล้ว เกิดความรู้ความเข้าใจ กำหนดรู้ตามเป็นระยะ ๆ เปรียบเหมือนคนที่มีครูแนะนำขั้นตอนของการเอาลิ่มสลักออกจากประตูได้  ภายในจิตบังเกิดความปีติ (อิ่มเอมใจปลื้มใจ) ซึมซาบและศรัทธามีกำลังทวีคูณ ความสุขที่เกิดจากจิตปีติได้แผ่ซ่านไป ทั่วกายและจิตใจ เขาเลยคิดจะนำผ้าห่มที่มีอยู่ผืนเดียวนั้น น้อมถวายบูชาแต่พระบรม ศาสดา แต่แล้วก็ต้องชะงักความคิดนั้นเสีย เมื่อคิดว่า "หากเรานำผ้าผืนนี้ถวายไป เรากับ ภรรยาก็จะไม่มีผ้าห่มเลย นางคงจะไม่เห็นด้วยกับเราแน่ ๆ เราคงต้องเดือดร้อนใจ รวบรวมเงินหาซื้อผ้าผืนใหม่อีก" ความตระหนี่ (มัจฉริยะ) เกิดขึ้นในจิตใจ ขัดขวางศรัทธา ปรากฏเป็นความคิดที่ค้านกันอยู่ตลอดสลับไปมา ระหว่าง "จะถวายกับไม่ถวาย ดีไหม หนอ?" ตลอดปฐมยามที่พิจารณาธรรม จนเวลาแห่งปฐมยามผ่านไป

 

ล่วงเข้าสู่มัชฌิมยามแล้ว พรหมณ์ก็ยังคงนั่งฟังธรรมอยู่ และความคิดนั้นก็ยังเกิด สลับกันระหว่างความปรารถนาที่จะถวายผ้าห่มผืนเดียว กับ การเก็บผ้านี้ไว้ จะได้ไม่เดือดร้อน พราหมณ์ก็ยังคงถูกความตระหนี่เล่นงานตลอดมัชฌิมยาม ศรัทธายังมีกำลังน้อยกว่า

 

ฟังธรรมแล้วเกิดศรัทธา เอาชนะความตระหนี่ ถวายผ้าห่มที่มีอยู่ผืนเดียว เปล่งเสียงประกาศชัยชนะเหนือกิเลส

 

ครั้นถึงปัจฉิมยาม พราหมณ์คิดว่า "ตั้งแต่เราเริ่มฟังธรรม เราเกิดศรัทธาจะถวาย ผ้า แต่ก็ถูกมัจฉริยะรบกวนรัดตรึงจิตไว้ไม่ให้เราถวายผ้าได้ บัดนี้ ปฐมยามกับมัชฌิมยามผ่านไปแล้ว ความตระหนี่เล็ก ๆ ที่มีอยู่ในใจเราขณะนี้ หากปล่อยให้มันชนะเราบ่อย ๆ มันก็จะครอบงำเราได้หมด ทำให้เราจมอยู่ในอบาย ๔ (นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน)

 

เราต้องชนะมันให้ได้ ไม่ต้องฟังมัน เราควรถวายผ้าตอนนี้แหละ"

 

พราหมณ์สำรวมจิตข่มมิให้มัจฉริยะเกิดขึ้นได้อีก รักษาศรัทธาให้คงมั่น ค่อย ๆ ใช้ มือดึงผ้าออกจากกายช้า ๆ...ประหนึ่งดังดึงมีดตัดตัวมัจฉริยะ (ตระหนี่) ให้ขาดผึงจากกาย แล้วค่อย ๆ บรรจงพับผ้าอย่างเรียบร้อย เมื่อพระพุทธเจ้าแสดงธรรมจบลง เขาก็ประคอง ผืนผ้าเข้าไปกระทำอัญชุลีประณตน้อมแล้ววางผ้าไว้ที่พระบาทพระบรมศาสดา แล้วเปล่งคำพูดดัง ๆ ว่า "เราชนะแล้ว เราชนะแล้ว"

 

กาลนั้นพระพุทธเจ้ายังคงประทับนั่งอยู่ หมู่มหาชนถวายบังคมแล้วเริ่มทยอยออก จากพระวิหาร พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงเห็นพราหมณ์มีเพียงผ้านุ่งผืนเดียว นำผ้าที่ห่มมา นั้นไปวางแทบพระบาท แล้วพูดว่า "เราชนะแล้ว ๆ" ทรงสงสัยว่าพราหมณ์ผู้นี้ชนะอะไร จึงประทับนั่งต่อ และตรัสให้คนไปเชิญพราหมณ์มาเข้าเฝ้า และทรงสอบถามเหตุ? พราหมณ์ จูเฬกสาฎกจึงกราบทูลความคิดที่เกิดขึ้นระหว่างความศรัทธาและความตระหนี่...

 

พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงทึ่งชัยชนะที่แสนยาก ทรงพระราชทานผ้าและสิงของอย่างละ ๔

 

พระราชาทรงดำริว่า "พราหมณ์ทำสิ่งที่คนอื่น ๆ ทำได้ยาก ทั้งบ้านมีผ้าห่มอยู่ เพียงผืนเดียวยังถวายได้ เราจะช่วยสงเคราะห์เขา" แล้วตรัสให้เจ้าหน้าที่นำผ้าสาฎกมา ให้เขา ๑ คู่ พราหมณ์รับไว้แล้ว ได้น้อมถวายผ้าคู่นั้นแต่พระพุทธเจ้า

 

พระราชาจึงพระราชทานผ้าสาฎกให้เขาเพิ่มอีกเป็น ๒ คู่ เขารับแล้วคิดว่า"พระราชา ให้ผ้าแก่เรา เหตุเพราะเราฟังธรรมและถวายผ้าแด่พระพุทธเจ้า ถ้าเราไม่ได้ถวายแด่พระ พุทธเจ้า พระราชาก็คงจะไม่ให้ผ้าแก่เราหรอก ดังนั้น ผ้าเหล่านี้ควรน้อมถวายแด่พระพุทธเจ้า" จึงถวายผ้า ๒ คู่นี้อีก พระราชาตรัสให้พระราชทานผ้าเพิ่มอีกเป็น ๔ คู่... .๘ คู่.. ๑๖ คู่ พราหมณ์ก็ยังถวายแด่พระศาสดาทั้งหมด

 

พระราชายิ่งพระราชทานเพิ่มให้อีกเป็น ๓๒ คู่ คราวนี้พราหมณ์คิดว่า "ถ้าเรายัง คงไม่รับไว้เองบ้าง ก็จะเป็นการไม่ให้เกียรติพระราชา ทั้งไม่รู้ประมาณตน เราควรรับไว้ ใช้สอยบ้าง" เขาจึงรับผ้าสาฎกไว้ ๒ คู่ (=๔ผืน) สำหรับตนเองและภรรยา แล้วถวายผ้า ๓๐ คู่ แด่พระศาสดา

 

พระราชาทรงพอพระทัยในตัวพราหมณ์ผู้นี้มาก ตรัสสั่งให้เจ้าหน้าที่ รีบไปนำผ้า กัมพล (ผ้าทอด้วยขนสัตว์) ในวังมาเพิ่มอีก ๒ ผืน มีมูลค่าถึง ๑ แสนกหาปณะ เจ้าหน้าที่นำ มาแล้ว จึงได้พระราชทานให้แก่เขา แล้วเสด็จกลับไป

 

พราหมณ์รับผ้ามาแล้วคิดว่า ผ้ากัมพลเป็นผ้าที่ทำด้วยความประณีต บรรจง ดีเลิศ มีราคาแพงมาก ไม่คู่ควรกับเราและภรรยา เราควรตั้งใจน้อมถวายไว้ในพระศาสนาจะดีกว่า เขาจึงนำผ้ากัมพลขึงถวายเป็นผ้าเพดานไว้ภายในพระคันธกุฎีของพระบรมศาสดา ส่วนอีกผืน หนึ่ง เขานำไปขึงเป็นเพดานไว้ที่เรือน บริเวณที่ภิกษุจะเข้ามานั่งฉัน

 

ครั้นถึงเวลาเย็น พระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จเข้ามาเฝ้าพระพุทธเจ้า ทรงเห็นผ้ากัมพล ที่ขึงอยู่นั้น ทรงจำผ้าได้ จึงกราบทูลถามว่า "ใครเป็นผู้นำผ้าผืนนี้มาถวายพระพุทธองค์? พระเจ้าข้า" พระศาสดาตรัสตอบว่า "ก็พราหมณ์ที่ชื่อว่า เอกสาฎก (ผู้มีผ้าผืนเดียว) มหาบพิตร" พระราชาทรงมีดำริว่า "พราหมณ์ผู้นี้เลื่อมใสในฐานะที่ควรเลื่อมใส เขามี ศรัทธาปสาทะในพระศาสดาเหมือนกันกับเรา"

 

ครั้นเสด็จเข้าสู่พระราชวังแล้ว ตรัสให้เจ้าพนักงานไปเชิญพราหมณ์มาเข้าเฝ้าแล้ว พระราชทานสิ่งของแก่พราหมณ์อย่างละ ๔ จำนวน ๑๐๐ ชนิด คือ ช้าง ๔ ม้า ๔ กหาปณะ ๔,๐๐๐ สตรี ๔ ทาสี ๔ บุรุษ ๔ บ้านส่วย ๔ ตำบล...

 

พระศาสดาตรัสสอน ทำกุศลช้า ผลที่น่าปรารถนาก็มาถึงช้า ทำกุศลช้า ใจจะยินดีในบาป

 

ต่อมา ภิกษุทั้งหลายสนทนากันอยู่ในโรงธรรม ต่างก็พากันชื่นชมว่าพราหมณ์ จูเฬกสาฎก ทำกุศลกรรมงามเพียงครู่เดียวในเขตบุญที่ดีเยี่ยม ผลบุญยังให้เขาได้รับวัตถุ อย่างละ ๔ ในวันเดียวกันเลย น่าอัศจรรย์นัก

 

เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จมายังโรงธรรม ทรงทราบการสนทนาของเหล่าภิกษุแล้ว ตรัส ว่า "ภิกษุทั้งหลาย ถ้าพราหมณ์ผู้นี้ถวายผ้าให้เราในตอนปฐมยาม เขาจะได้รับวัตถุสิ่งของ ต่าง ๆ อย่างละ ๑๖ แต่ถ้าเขาถวายตอนมัชฌิมยาม เขาจะได้วัตถุสิ่งของต่างๆ อย่างละ ๘, แต่นี่เขาถวายตอนใกล้รุ่ง เขาจึงได้วัตถุสิ่งของอย่างละ ๔ ที่จริง เมื่อบุคคลทำกรรมดีงาม ไม่ให้จิตมีอุปสรรคขัดขวางก็ควรทำในขณะนั้น เพราะกุศลที่บุคคลทำช้า ผลอันน่าปรารถนา ก็ย่อมมีผลช้าเหมือนกัน จึงควรทำกรรมดีในขณะเกิดความคิดนั้นที่เดียว"

 

แล้วตรัสพระคาถาว่า "บุคคลพึงรีบขวนขวายบุญ พึงห้ามจิตเสียจากบาป เพราะว่า เมื่อทำบุญช้าไปใจจะยินดีในบาป"

 

       ชี้ให้เห็นให้เข้าใจด้วยปัญญาว่าพระศาสนาเป็นความสงบเป็นปัญญา ไม่ใช่เป็นอัตตาตัวตน ผู้ที่ทำอะไรหวังผลตอบแทนนั้นต้องมีทุกข์ทุก ๆ คน ไม่มีใครยกเว้น อย่างการให้ทาน การถวายมหาสังฆทานถึงมีบุญใหญ่ มีอานิสงส์มาก เพราะเป็นการให้ทานด้วยความไม่ยึดมั่นถือมั่น ยกตัวอย่างเพื่อให้ผู้ฟังได้เกิดปัญญาสัมมาทิฏฐิ เพราะเหตุนี้ เหตุการณ์ที่ผ่านมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธานพร้อมด้วยหมู่สงฆ์สาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

 

พระนางมหาปชาบดีโคตมีประสงค์จะถวายจีวรผืนใหม่แก่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคทรงปฏิเสธ พระอานนท์ทูลขอพระผู้มีพระภาคให้ทรงรับไว้ พระผู้มีพระภาคจึงทรงแสดงธรรมแก่พระอานนท์เรื่องการจำแนกทานและผลแห่งทาน

 

พระนางมหาปชาบดีโคตมีทูลขอให้พระผู้มีพระภาคทรงอาศัยความอนุเคราะห์ รับผ้าใหม่ทั้งคู่หนึ่งที่นางได้กรอด้ายและทอเอง ๓ ครั้ง พระผู้มีพระภาคปฏิเสธทั้งสามครั้งและทรงบอกพระนางให้ถวายแก่สงฆ์ เพราะเมื่อพระนางถวายสงฆ์แล้ว พระนางจักได้บูชาทั้งพระผู้มีพระภาคและสงฆ์

 

พระอานนท์จึงได้ทูลพระผู้มีพระภาคว่า พระนางมหาปชาบดีเป็นผู้มีอุปการะแก่พระผู้มีพระภาคเพราะเป็นผู้ให้ดื่มน้ำนม ส่วนพระผู้มีพระภาคก็เป็นผู้มีอุปการะแก่พระนางเพราะได้ให้พระนางถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ เป็นผู้มีศีล และเป็นผู้หมดความสงสัยในอริยสัจ ๔

 

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า จริงอยู่ การตอบแทนต่อบุคคลที่ทำให้ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ ทำให้เป็นผู้มีศีล และเป็นผู้หมดความสงสัยในอริยสัจ ๔ ด้วยการกราบไหว้ ลุกรับ ทำอัญชลี ทำสามีจิกรรม ด้วยให้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจยเภสัชบริขาร ไม่กล่าวว่าเป็นการตอบแทนด้วยดี แล้วทรงกล่าวต่อไปว่า


ปาฏิปุคคลิกมี ๑๔ อย่าง (ทานเจาะจงผู้รับ) คือ
ให้ทานในตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธ ๑
ให้ทานในพระปัจเจกสัมพุทธ ๒ 
ให้ทานในสาวกของตถาคตผู้เป็นพระอรหันต์ ๓ 
ให้ทานในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำอรหัตผลให้แจ้ง ๔
ให้ทานแก่พระอนาคามี ๔ 
ให้ทานในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำอนาคามิผลให้แจ้ง ๖
ให้ทานแก่พระสกทาคามี ๗
ให้ทานในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำสกทาคามิผลให้แจ้ง ๘
ให้ทานในพระโสดาบัน ๙
ให้ทานในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำโสดาปัตติผลให้แจ้ง ๑๐
ให้ทานในบุคคลภายนอกพุทธศาสนาผู้ปราศจากความกำหนัดในกาม ๑๑
ให้ทานในบุคคลผู้มีศีล ๑๒
ให้ทานในปุถุชนผู้ทุศีล ๑๓
ให้ทานในสัตว์เดียรัจฉาน ๑๔
 ใน ๑๔ ประการนั้น
บุคคลให้ทานในสัตว์เดียรัจฉาน
พึงหวังผลทักษิณาได้ร้อยเท่า ให้ทานในปุถุชนผู้ทุศีลพึงหวังผลทักษิณาได้พันเท่า
ให้ทานในปุถุชนผู้มีศีล พึงหวังผลทักษิณาได้แสนเท่า ให้ทานในบุคคลภายนอกพุทธศาสนาผู้ปราศจากความกำหนัดในกาม   พึงหวังผลทักษิณาได้แสนโกฏิเท่า
ให้ทานในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำโสดาปัตติผลให้แจ้ง   พึงหวังผลทักษิณาจนนับไม่ได้จนประมาณไม่ได้

 

จะป่วยกล่าวไปไยในพระโสดาบัน ในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำสกทาคามิผลให้แจ้ง ในพระสกทาคามี ในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำอนาคามิผลให้แจ้ง ในพระอนาคามี ในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำอรหัตผลให้แจ้ง ในสาวกของตถาคตผู้เป็นพระอรหันต์ ในพระปัจเจกสัมพุทธ และในตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธ


ทักษิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์มี ๗ อย่าง (สังฆทาน) คือ
ให้ทานในสงฆ์ ๒ ฝ่าย มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ๑
ให้ทานในสงฆ์ ๒ ฝ่ายในเมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว ๒
ให้ทานในภิกษุสงฆ์ ๓
ให้ทานในภิกษุณีสงฆ์ ๔
เผดียงสงฆ์ว่า ขอได้โปรดจัดภิกษุและภิกษุณีจำนวนเท่านี้ ขึ้นเป็นสงฆ์แก่ข้าพเจ้า แล้วให้ทาน ๕
เผดียงสงฆ์ว่า ขอได้โปรดจัดภิกษุจำนวนเท่านี้ขึ้นเป็นสงฆ์แก่ข้าพเจ้า แล้วให้ทาน ๖
เผดียงสงฆ์ว่า ขอได้โปรดจัดภิกษุณีจำนวนเท่านี้ขึ้นเป็นสงฆ์แก่ข้าพเจ้า แล้วให้ทาน ๗


ความบริสุทธิ์แห่งทักษิณา ๔ อย่าง คือ
ทักษิณาบริสุทธิ์ฝ่ายทายก (ผู้ให้) ไม่บริสุทธิ์ฝ่ายปฏิคาหก (ผู้รับ) คือ ทายกมีศีล มีธรรมงาม ปฏิคาหกเป็นผู้ทุศีล มีธรรมลามก
ทักษิณาบริสุทธิ์ฝ่ายปฏิคาหก (ผู้รับ) ไม่บริสุทธิ์ฝ่ายทายก (ผู้ให้) คือ ทายกเป็นผู้ทุศีล มีธรรมลามก ปฏิคาหกเป็นผู้มีศีล มีธรรมงาม
ทักษิณาไม่บริสุทธิ์ฝ่ายทายก (ผู้ให้) และฝ่ายปฏิคาหก (ผู้รับ) คือ ทายกก็เป็นผู้ทุศีล มีธรรมลามก ปฏิคาหกก็เป็นผู้ทุศีล มีธรรมลามก
ทักษิณาบริสุทธิ์ทั้งฝ่ายทายก (ผู้ให้) และฝ่ายปฏิคาหก (ผู้รับ) คือ ทายกก็เป็นผู้มีศีล มีธรรมงาม ปฏิคาหกก็เป็นผู้มีศีล มีธรรมงาม
แล้วทรงตรัสคาถาประพันธ์ว่า
ผู้ใดมีศีล ได้ของมาโดยธรรม มีจิตเลื่อมใสดี เชื่อกรรมและผลแห่งกรรมอย่างยิ่ง ให้ทานในคนทุศีล ทักษิณาของผู้นั้น ชื่อว่าบริสุทธิ์ฝ่ายทายก ๑
ผู้ใดทุศีล ได้ของมาโดยไม่เป็นธรรม มีจิตไม่เลื่อมใส ไม่เชื่อกรรมและผลของกรรมอย่างยิ่ง ให้ทานในคนมีศีล ทักษิณาของผู้นั้นชื่อว่า บริสุทธิ์ฝ่ายปฏิคาหก ๒

ผู้ใดทุศีล ได้ของมาโดยไม่เป็นธรรม มีจิตไม่เลื่อมใส ไม่เชื่อกรรมและผลของกรรมอย่างยิ่ง ให้ทานในคนทุศีล ทานนั้นไม่มีผลไพบูลย์ ๓
ผู้ใดมีศีล ได้ของมาโดยธรรม มีจิตเลื่อมใสดี เชื่อกรรมและผลของกรรมอย่างยิ่ง ให้ทานในคนมีศีล ทานนั้นมีผลไพบูลย์ ๔
ผู้ใดปราศจากราคะแล้ว ได้ของมาโดยธรรม มีจิตเลื่อมใสดี เชื่อกรรมและผลของกรรมอย่างยิ่ง ให้ทานในผู้ปราศจากราคะ ทานของผู้นั้นเลิศกว่าอามิสทานทั้งหลาย ๕

 

การทำงานก็ให้มีความสุขในการทำงาน การพูดจาก็ต้องมีความสุขในการพูดจา กิริยามารยาทก็ต้องมีความสุขในกิริยามารยาท อาชีพก็ต้องมีความสุขในอาชีพ ไม่หวังอะไรตอบแทน ถ้าเราหวังอะไรตอบแทนให้เรารู้เข้าใจ มันมีทั้งคุณและโทษ อย่างเราถวายทานแก่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเราเห็นว่าพระพุทธเจ้าเป็นผู้บำเพ็ญพุทธบารมีมาหลายล้านชาติ

 

เราลงใจให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยไม่หวังอะไรตอบแทนอย่างนี้ถึงจะถูกต้อง ถึงจะเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา อย่างเราถวายทานแก่พระอรหันต์ขีณาสพทั้งหลายเพราะท่านเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติเป็นทั้งผู้มีความสงบมีปัญญามีความพอเพียงเพียงพอ เราไม่หวังอะไรตอบแทน เราทำความดีเพื่อความดีไม่หวังอะไรตอบแทน อย่างเราให้บริจาคทานเพื่อเอาหน้าเอาตาเอายศเอาตำแหน่ง หรือว่าเพื่อเอาสวรรค์เอาวิมานว่าอย่างนี้ก็แล้วกัน อันนี้แหละเราต้องเข้าใจนะ ว่าเราจับงูอย่าลืมว่างูนั้นมันเป็นงูพิษนะ ถ้าเราไปจับที่หางมัน เดี๋ยวหัวมันก็ต้องมากัดเรามาฉกเรา

 

เราต้องรู้เข้าใจ ถ้าไม่รู้เข้าใจ มันจะเป็นนิติบุคคลตัวตน ทำความดีก็เพื่อตัวเพื่อตน ปกติเราทุกคนมันก็มีทุกข์อยู่แล้ว เพราะเราเอาความหลงนำชีวิต เอาความผิดนำชีวิตเราก็มีทุกข์อยู่แล้ว เราต้องรู้เข้าใจว่าเราทั้งหลายต้องจะสักกายทิฏฐิ ละสัญชาตญาณที่มันเป็นนิติบุคคลตัวตน ละด้วยความรู้ความเข้าใจตามหลักการตามหลักวิชาการเพื่อให้เป็นอุดมการณ์อุดมธรรม เพื่อให้เกิดความพอดีเกิดความสงบและปัญญา มีความรู้ความเข้าใจ ไม่หวังอะไรเป็นสิ่งที่ตอบแทน เพื่อเข้าถึงความพอดีความพอเพียงเพียงพอ

 

เราทั้งหลายต้องพากันรู้เข้าใจนะ อย่าเราไปเรียนหนังสือก็เพื่อจะไปเอาไปมีไปเป็น เราจะไปทำงานก็เพื่อจะเอาเพื่อจะมีเพื่อจะเป็น เราเป็นข้าราชการเพื่อไปเอาไปมีไปเป็น เราเป็นนักการเมืองเพื่อไปเอาไปมีไปเป็น เราไปเป็นนักบวชก็เพื่อไปเอาไปมีไปเป็น ให้เรารู้เข้าใจว่าเราไปเป็นหนังสือไปทำงานเป็นข้าราชการนักการเมืองเป็นนักบวชเพื่อเสียสละ เราทำทุกอย่างเพื่อเสียสละไม่หวังผลอะไรตอบแทน แม้แต่คำว่าขอบคุณก็อย่าไปหวัง เราต้องเป็นผู้ให้ผู้เสียสละ

 

 เราจะได้มีแต่ปิติมีแต่ความสุขมีแต่เอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพราะธรรมะเป็นเรื่องปัญญาสัมมาทิฏฐิมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติเพื่อทำหน้าที่ทั้งความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อให้ความสงบและปัญญามันเดินไปพร้อม ๆ กัน

 

เราต้องรู้เข้าใจว่าธรรมะนั้นคือความสงบและปัญญา ธรรมะนั้นจะอยู่นอกเหตุเหนือผล อยู่เหนือความปรุงแต่ง ให้เรารู้เข้าใจ ความปรุงแต่งนั้นไม่ใช่ธรรมะ เป็นนิติบุคคลตัวตนให้เรารู้เข้าใจ เราจะสงบระงับสังขารด้วยความรู้ความเข้าใจ

 

 ถ้ามีความปรุงแต่งมันก็เป็นขั้วบวกขั้วลบ ให้รู้เรื่องอริยสัจสี่ รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เราทั้งหลายจะเข้าถึงความดับทุกข์ด้วยการทำที่สุดแห่งความดับทุกข์ เพื่อเป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา เป็นความสงบและปัญญา เพื่อจะได้หยุดความปรุงแต่งด้วยความรู้ความเข้าใจ เราต้องรู้เข้าใจ ผู้มีปัญญาก็ต้องเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ ผู้มีความสงบก็ต้องเสียสละถึงมีปัญญา เราต้องรู้เรื่องการให้ทานเรื่องรักษาศีลเรื่องการทำสมาธิ เรื่องการเจริญปัญญา เรื่องพระศาสนา เพื่อความมั่นคงของชาติของพระศาสนาของพระมหากษัตริย์

 

ชาติศาสนาพระมหากษัตริย์นี้ ความหมายในนามธรรมก็ได้แก่ศีลสมาธิปัญญา เป็นความสงบและปัญญา เราต้องรู้เข้าใจ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ การดำเนินชีวิตของเราก็ย่อมพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกันกับตึก สตง.สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทย ตึกใหญ่ ๆ สูง ๆ อยู่หลายร้อยตึกทั้งในเมืองกรุง ปริมณฑล ต่างจังหวัดคิดเป็นสัดส่วนแล้วมีอยู่นับเป็นร้อย ๆ ตึกเหล่านั้นก็ไม่พังทลาย มันพังทลายตึกเดียวคือตึกสตง. ทำไมมันถึงพังล่ะ เพราะการก่อสร้างไม่ได้มาตรฐาน ความสงบและปัญญาไม่ลงตัวไม่เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ มันโกงกินคอร์รัปชั่น ตัวตนน่ะคือการโกงกินคอร์รัปชั่น ตัวมันเองทำลายตัวของมันเอง ความไม่รู้ไม่เข้าใจ ตัวไม่รู้ไม่เข้าใจมันจะเป็นรัฐประหาร ประหารหายนะ ประหารตัวของมันเอง เหมือนเทียนไขที่มีไส้จุดไฟ มันละลายเทียนไขเอง ความรู้ไม่เข้าใจนี้จะทำลายตัวเอง

 

การปกครองตัวเอง ปกครองคนอื่นเค้าต้องคืนอำนาจอธิปไตยให้กับปวงชน คืนอำนาจ คืนเสรีภาพ ถ้าไม่เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติของเราเองไม่ได้นะ ให้เรารู้เข้าใจ เพราะเราต้องรู้เข้าใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเป็นประภัสสร สิ่งที่สัญจรไปมาชั่วคราวทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ สิ่งที่สัญจรไปมาธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะ ๑๒ มันเป็นเพียงอาคันตุกะที่สัญจรไปมาเท่านั้น

 

เราต้องรู้เข้าใจ เราจะไม่ได้วุ่นวายกับผัสสะกับอารมณ์กับสิ่งภายนอก เราทั้งหลายจะได้จบลงเพียงผัสสะ เราจะได้คืนสภาวธรรมให้กับธรรมชาติ ว่าทุกอย่างเป็นประภัสสร ความแก่เจ็บตายพลัดพรากจากไปก็เป็นประภัสสร

 

เราต้องรู้เข้าใจ เราจะไม่ได้ลิดรอนสิทธิเสรีภาพของความเกิดแก่เจ็บตายพลัดพราก ความรู้ความเข้าใจนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเรียกว่ารู้อริยสัจสี่ รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ ถ้าเราไม่รู้เข้าใจ ชีวิตของเราก็จะเป็นอบายมุขอบายภูมิ ชีวิตของเราก็จะไม่ได้เป็นมนุษย์ จะเป็นไปได้แต่เพียงคน ทำทั้งดีทั้งชั่วทั้งผิดทั้งถูก เดินไปข้างหน้าถอยกลับมาก็อยู่ที่เก่าเค้าถึงใช้ศัพท์นี้ว่าคน เราทั้งหลายผู้เป็นมนุษย์ต้องเห็นภัยในความไม่ถูกต้องเห็นภัยในความผิด เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เราต้องเข้าถึงความเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา เป็นพระพรหม เป็นพระอริยเจ้าตั้งแต่ในปัจจุบัน ปัจจุบันถือเป็นวาระแห่งชาติในการประพฤติการปฏิบัติ

 

เราทั้งหลายมาระลึกถึงปัจฉิมโอวาท พระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพานท่านได้ตรัสโอวาทสำคัญครั้งสุดท้ายไว้ว่า

 

“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”

 

โอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ

ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ

ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู

ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละคือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน

 

ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะว่าสิ่งเดิมนั้นคือความว่างเปล่า สิ่งที่สัญจรไปมาเป็นเพียงอาคันตุกะ เราจะได้เอาหลักการอุดการณ์ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นมรรคเป็นอริยมรรคที่ตรงกันข้ามกับโลกธรรม ให้รู้เข้าใจ เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรม พระนิพพานความรู้ความเข้าใจในเรื่องปฏิจจสมุปบาทจะเป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นพระนิพพานบ้านของเรา ไม่ใช่อวิชชาความหลงเป็นบ้านของเรานะ พระนิพพานคือบ้านของเรา ความสงบและปัญญาถึงเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราจะหยุดวัฏฏสงสารได้ด้วยความสงบและปัญญา ธรรมะนั้นถึงหยุดความปรุงแต่งได้ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิคู่กับการประพฤติการปฏิบัติ

 

 

------------------------------------

โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม

เมตตาให้ไว้ในเช้าวันอาทิตย์ที่ ๑๔ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

Visitors: 101,695