๑๘ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

วันนี้เป็นวันพฤหัสบดีที่ ๑๘ เดือนกันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ 

 

การประพฤติการปฏิบัติธรรมให้พวกเราทั้งหลายพากันรู้พากันเข้าใจ

 

 เราต้องพากันประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้อง เน้นการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน อดีตก็มารวมกันแล้วอยู่ที่ปัจจุบัน อนาคตที่จะอยู่ข้างหน้าเราก็ปฏิบัติอยู่ที่ปัจจุบัน ปัจจุบันเราประพฤติปฏิบัติอย่างไร อนาคตก็ย่อมได้เช่นนั้นเป็นอย่างนั้น ปัจจุบันถึงเป็นวาระสำคัญในการประพฤติในการปฏิบัติ เรามาเน้นการประพฤติการปฏิบัติตั้งใจตั้งเจตนา มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ

 

ต้องเน้นมาที่ใจของเรา เพราะว่ากายวาจากิริยามารยาทอาชีพนั้นเป็นเพียงอุปกรณ์ของจิตของใจในการประพฤติการปฏิบัติ เราจะเอาความชอบความไม่ชอบนั้นไม่ได้ เพราะความชอบไม่ชอบนั้นมันคือความปรุงแต่ง ความปรุงแต่งนั้นเป็นวัฏฏสงสาร ไม่ใช่ความสงบไม่ใช่ปัญญา มันเป็นอัตตาตัวตน ความสงบและปัญญาที่เป็นสัมมาทิฏฐินั้นมันอยู่นอกเหนือความปรุงแต่ง มันเป็นธรรมะที่อยู่นอกเหตุเหนือผล เหนือความปรุงแต่ง ไม่มีความปรุงแต่ง ถ้าเรามีปัญญาเรารู้เข้าใจ มีปัญญาสัมมาทิฏฐิ เข้าสู่การประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายถึงจะมีศีลมีสมาธิมีปัญญา เข้าถึงอนัตตา มีแต่ความสงบมีแต่ปัญญา ไม่มีตัวไม่มีตน

 

เราทั้งหลายต้องตั้งอกตั้งใจ ความตั้งใจมั่นชอบนั้นเป็นสัมมาสมาธิ คือปัญญาสัมมาทิฏฐิ ไม่ไปตามผัสสะ ไม่ไปตามอารมณ์ ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม ไม่ให้ธาตุไม่ให้ขันธ์ไม่ให้อายตนะไม่ให้สิ่งแวดล้อมมามีอิทธิพลครอบงำสติ ครอบงำปัญญาของเรา

 

เราต้องรับผิดชอบในการประพฤติการปฏิบัติ การประพฤติปฏิบัติธรรมต้องเน้นปัจจุบันให้เต็มที่ ปัจจุบันต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ การประพฤติการปฏิบัติต้องไม่มีต่อหน้าและลับหลัง ถ้ามีต่อหน้าและลับหลังนั้นถือว่ายังมีความปรุงแต่ง ไม่ใช่บริสุทธิคุณ ไม่ใช่ความสงบไม่ใช่ปัญญา  

 

วันหนึ่งคืนหนึ่งเราปฏิบัติธรรม เราต้องนอนพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายให้เพียงพอ สุขภาพร่างกายของเราต้องดี ท้องไม่ผูก นักบวชและผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย ต้องพากันเข้าใจนะ เราต้องนอนพักผ่อนอย่างน้อยวันละ ๕ ชั่วโมง ๖ ชั่วโมง

 

เรามาบวชมาปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัด เรานอนเราพักผ่อน เราจำวัดเวลา ๓ ทุ่ม ตื่นตี ๓ ทุก ๆ วัน การประพฤติการปฏิบัติของผู้ประพฤติผู้ปฏิบัติก็ต้องดีด้วยการพักผ่อน ด้วยการออกกำลังกาย ท้องไม่ผูก ให้นอนเป็นเวลา พักผ่อนให้เป็นเวลา ถ่ายเป็นเวลา ในชีวิตประจำวันของเรา

 

เราเน้นในการประพฤติการปฏิบัติ เพราะการประพฤติการปฏิบัตินั้นไม่มีใครประพฤติปฏิบัติให้เรา ถึงเราจะอยู่กันเป็นกลุ่มเป็นก้อนเป็นหมู่เป็นคณะ ก็ไม่มีใครประพฤติปฏิบัติให้เรา สิ่งที่เป็นอดีตนั้นย่อมมีอยู่ในใจของเราทุก ๆ คนนะ สิ่งที่เป็นอนาคตก็ย่อมมีอยู่ในใจของเราทุก ๆ คนนะ เราทั้งหลายพากันพยายามมีความสงบมีปัญญา อย่าให้อดีตอนาคตมันปรุงแต่งเรา ปรุงแต่งจิตใจเรา

 

ให้พวกเราทั้งหลายให้รู้เรื่องธาตุเรื่องขันธ์เรื่องอายตนะ ทุกอย่างนั้นเค้าก็ทำหน้าที่ของเค้า เป็นใหญ่ของตัวของเค้าเอง เราทั้งหลายต้องมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ เพื่อเราทั้งหลายจะได้รู้ธรรมรู้สภาวธรรมที่สิ่งเหล่านั้นทำหน้าที่

 

เรามาเน้นเรื่องของความบริสุทธิ เราจะบริสุทธิได้เราก็ต้องมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ รู้ธรรมรู้สภาวธรรม รู้อริยสัจสี่ รู้ทั้งกายวาจากิริยามารยาทรู้ทั้งอาชีพ เพื่อเข้าถึงธรรมะเข้าถึงสภาวธรรม เราจะได้เข้าถึงความว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ว่างจากตัวเราว่างจากคนอื่น เราทั้งหลายจะได้เข้าถึงพระนิพพานในปัจจุบัน ตั้งแต่ยังไม่ตาย ไม่ต้องรอให้ตายเสียก่อนถึงได้พระนิพพาน พระนิพพานนั้นให้ถือว่าเป็นเรื่องธรรมเรื่องปัจจุบันธรรม

 

เราทั้งหลายต้องมีความสงบและปัญญาไปพร้อม ๆ กัน มีปิติมีความสุขเป็นเอกัคคตาเป็นหนึ่งเดียวคือความไม่ปรุงแต่ง เป็นอาหารของใจที่บริสุทธิคุณเกิดจากปัญญาสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง แล้วการประพฤติการปฏิบัติก็ถูกต้อง เป็นทางสายกลางระหว่างวัตถุกับจิตใจ

 

 เราทั้งหลายอย่าให้เรื่องอดีตมาปรุงแต่งจิตใจของเราได้ เราทั้งหลายต้องเบรกตัวเอง เซฟตี้ตัวเองด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิ ด้วยการประพฤติการปฏิบัติหยุดด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา อย่าให้เรื่องอนาคตมาปรุงแต่งจิตใจของเรา ให้เราทั้งหลายเข้าใจว่าอนาคตนี้ก็ไปจากปัจจุบันนี้แหละ ถ้าปัจจุบันมันเป็นอย่างไรอนาคตก็ย่อมเป็นเช่นนั้น เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปก็ย่อมมี เพราะปัจจุบันนี้เป็นเรื่องรีบด่วน ความรู้ต้องคู่กับการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เพื่อจะเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดีไม่มากเกินไม่น้อยเกิน

 

 เราทั้งหลายจะได้หยุดวิ่งตามผัสสะ ไม่วิ่งตามอวิชชา ไม่วิ่งตามความหลง ไม่วิ่งตามธาตุตามขันธ์ตามอายตนะ ธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ นั้นเป็นสิ่งที่มีอยู่ ให้เรารู้ให้เข้าใจ เราจะไม่ได้วิ่งตามธาตุตามขันธ์ตามอายตนะ เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจเพื่อจะได้ยกเลิกเรื่องธาตุเรื่องขันธ์เรื่องอายตนะ เราไม่ต้องเป็นทาสของอวิชชา ไม่ต้องเป็นทาสของความหลงนะ

 

เราทุกคนพากันมารู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เราทั้งหลายจะได้เอาตัวรอดในทางที่รอด ถ้าเราไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ ไม่รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เราจะแก้ปัญหาไม่ได้ เราทั้งหลายจะได้ประพฤติปฏิบัติเพื่อให้การดำรงธาตุดำรงขันธ์ดำรงอายตนะเป็นทางสายกลางระหว่างวัตถุกับจิตใจไปพร้อม ๆ กัน เราทั้งหลายถึงมารู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ ให้เรารู้ให้เข้าใจ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นคือเหตุคือปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปถึงมี นี้คือกรรมคือกฎแห่งกรรมและก็เป็นผลของกรรม ถ้าเรารู้เข้าใจการประพฤติการปฏิบัติก็เป็นของง่าย ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจเราก็ปฏิบัติไม่ได้

 

ให้เราทุกคนนั้นได้รับอิสรภาพ ใจของเราจะได้สบาย สิ่งภายนอกก็ให้เป็นสิ่งภายนอก สิ่งภายในก็ให้เป็นสิ่งภายใน ไม่ลิดรอนสิทธิซึ่งกันและกัน

 

สิ่งภายนอกนั้นเราจะแก้ไขไม่ได้ เพราะความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพรากจะมีใครไปแก้ไขได้ สิ่งภายใน รูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณใครจะแก้ไขได้ เราต้องรู้ต้องเข้าใจ เราจะไม่ได้ไปเพิ่มไปตัด เราจะได้มีความสงบมีปัญญา เราจะได้ก้าวไปด้วยปฏิปทาที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา

 

เราต้องมาแก้ที่ใจของเราด้วยการมีสติมีสัมปชัญญะ หลักการในการประพฤติการปฏิบัติต้องแก้ทั้งใจของเรา แก้ทั้งสิ่งภายนอก เพื่อให้ใจกับวัตถุไปพร้อม ๆ กัน เป็นการพัฒนาวิทยาศาสตร์พัฒนาใจไปพร้อม ๆ กัน การประพฤติการปฏิบัติถึงเป็นเรื่องความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน ปริยัติกับปฏิบัติจะแยกออกจากกันนั้นไม่ได้เลย

 

สิ่งภายนอกภายในเป็นสิ่งที่มีอยู่ เราต้องรู้เข้าใจว่าสิ่งภายนอกภายในนั้นเป็นสิ่งที่มีอยู่ สิ่งภายในสิ่งภายนอกเป็นขั้วบวกขั้วลบ สิ่งภายนอกภายในมันเป็นโจทย์ การประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบันเป็นข้อตอบ ให้เรารู้เข้าใจว่าถ้าธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ มันเป็นเพียงอาคันตุกะที่จรไปจรมาเพียงชั่วครั้งชั่วคราว ธรรมชาติเดิมแท้นั้นคือความว่างเปล่า ไม่มีอะไร มีแต่ความว่างเปล่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบรรยายธรรมให้พระโมฆราชว่าเธอจงพิจารณาสิ่งภายนอกภายในนั้นเป็นเพียงความว่างเปล่า สิ่งที่สัญจรไปมาเป็นเพียงอาคันตุกะชั่วคราวชั่วคราวเท่านั้นนะ มัจจจุราชคือความทุกข์ก็จะไม่สามารถที่จะเข้ามาปรุงแต่งจิตใจของเราได้

 

เรามีความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพรากเพื่อเป็นข้อสอบ เราต้องตอบด้วยความรู้ความเข้าใจ รู้จักอาคันตุกะสัญจรไปมา เยี่ยมเยียนเราชั่วครั้งชั่วคราว

 

การประพฤติการปฏิบัตินั้นให้เราเข้าใจ ถ้าเราไม่มีความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพราก เราก็จะไม่มีอะไรมาประพฤติมาปฏิบัติ เราถึงมาแก้ทั้งภายนอกแก้ทั้งภายในคือจิตใจไปพร้อม ๆ กัน เพื่อเราจะได้มีความสงบ เราถึงจะมีปัญญาที่เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม ความสงบและปัญญานี้เป็นสิ่งที่พอดี ไม่ตึงเกินไปไม่หย่อนเกินไป เหมือนสายพิณ สายกีต้าร์ที่เล่นดนตรี ถ้าตึงเกินไปสายพิณนั้นก็จะขาด ถ้าหย่อนเกินไปนั้นก็จะเสียงไม่เพราะ

 

 เรามีปัญญามากเราก็ต้องปรับใจให้สงบ เรามีความสงบมากก็ต้องเสียสละ เพื่อให้เกิดปัญญา เพื่อเอาว่างจากตัวตนนำชีวิต เอาอนัตตาที่ไม่มีตัวมีตนนำชีวิต ถึงจะมีความสงบมีปัญญา  ไม่เอาความสงบมาเป็นตัวเป็นตน ไม่เอาปัญญามาเป็นตัวเป็นตน ไม่เอาตัวตนนำชีวิต เราจะเข้าถึงความพอดีความพอเพียงเพียงพอ ที่เราพากันเวียนว่ายตายเกิด เกิดแล้วเกิดอีกตายแล้วตายอีกนี้ก็เพราะเราไม่รู้ไม่เข้าใจ

 

การประพฤติการปฏิบัติเราต้องรู้ต้องเข้าใจ เราต้องพากันตั้งใจตั้งเจตนา มีความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เรื่องของความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาปนี้เป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ เป็นเรื่องรู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ ถึงเป็นเรื่องรู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ การปฏิบัติธรรมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงบอกพวกเราทั้งหลายว่า อย่าไปเพลิดเพลิน อย่าไปประมาท ต้องพากันเห็นภัยในวัฏฏสงสาร พระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ ธุดงควัตร ข้อวัตรปฏิบัติต่าง ๆ เราต้องตั้งอกตั้งใจตั้งเจตนา เพื่อเราจะไม่ได้มองข้ามสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ จนไปถึงเรื่องกลางเรื่องใหญ่

 

 เน้นในการประพฤติการปฏิบัติให้เต็มที่อย่าตั้งอยู่ในความประมาท ความประมาทคือความผิดพลาดแน่นอน เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกรรมอยู่เหนือกฎแห่งกรรม อยู่เหนือผลของกรรม ให้การประพฤติการปฏิบัตินั้นเป็นไปด้วยดี เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบปฏิบัติตรง ปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์ เพราะเห็นภัยในวัฏฏสงสาร  เพื่อให้การประพฤติการปฏิบัติมันติดต่อต่อเนื่อง เป็นกระบวนการเป็นกระแสที่ติดต่อต่อเนื่อง เป็นมรรคเป็นผลเป็นพระนิพพานในปัจจุบัน เดี๋ยวนี้เวลานี้ ความประมาทนั้นให้ถือว่าเป็นความไม่ถูกต้อง เป็นตัวเป็นตน

 

เราจะเอาตัวเอาตนเป็นที่ตั้งนั้นเราก็จะไม่สงบ เพราะความสงบนั้นต้องไม่มีตัวไม่มีตน เพราะตัวตนนั้นคือความไม่สงบ ตัวตนนั้นคือไม่เคารพในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราไม่เคารพในพระธรรมพระวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราไม่เคารพในพระอริยสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบปฏิบัติตรงเพื่อออกจากทุกข์ปฏิบัติที่สมควร

 

ความสงบ ความเคารพ ความซื่อสัตย์ ความกตัญญูกตเวที เราต้องรู้ต้องเข้าใจให้ใจของเรามีธรรมมีสภาวธรรมตั้งอยู่ในความไม่ประมาท

 

เราทั้งหลายต้องมาแก้ที่ใจของเรา เพราะใจของเราเป็นนายสิ่งภายนอกนั้นเป็นเพียงอุปกรณ์เท่านั้นเอง เราต้องแก้ที่ใจให้ในของเรามีความเคารพถึงจะเกิดความสงบเกิดปัญญา ใจนั้นเป็นนามธรรม เป็นสิ่งที่แก้ไขได้ยาก เบื้องต้นต้องแก้ที่กายวาจากิริยามารยาทอาชีพ ถ้าเรามีความเพลิดเพลินมีความประมาทเราทุกคนก็ไม่สามารถที่จะแก้ไขได้ ไม่สามารถที่จะปฏิบัติได้

 

เราต้องเอาพระธรรมเอาพระวินัยธุดงควัตร ข้อวัตรกิจวัตร แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์มาใช้เป็นการประพฤติการปฏิบัติ ใจมันยังแก้ไขไม่ได้ก็ให้กายวาจากิริยามารยาทอาชีพเข้าสู่มาตรฐาน เข้าสู่ มอก. ในการประพฤติการปฏิบัติ

 

ใจของเราน่ะให้เรารู้เข้าใจ ใจของเรามันคิดได้ทีละอย่าง ถ้าใจของเราเอาพระธรรมเอาพระวินัยเอาความไม่ประมาท ใจของเราก็จะได้ก้าวไปด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา ด้วยปฏิปทาที่ติดต่อต่อเนื่อง เข้าสู่ความวิเวกด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา ในชีวิตประจำวันของเราปัจจุบันเราต้องรู้เข้าใจในเรื่องผัสสะที่เกิดขึ้นจากตาหูจมูกลิ้นกายใจ เราทั้งหลายจะไม่ได้ไปตามผัสสะ ให้มันจบลงเพียงผัสสะ อย่าให้มันเกิดเวทนา เกิดเป็นนิติบุคคลตัวตน เราทั้งหลายถึงจะไปประมาทไม่ได้ ไปขี้เกียจขี้คร้านไม่ได้ ปัจจุบันของเราถึงเป็นฟอร์มสด มีความสงบและปัญญาเพื่อเข้าถึงฟอร์มสดในปัจจุบัน

 

ปัจจุบันเราทั้งแก้ทั้งภายนอกแก้ทั้งภายในไปพร้อม ๆ กัน เพื่อความสงบและปัญญาจะได้ทำงาน เพื่อเป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นปฏิปทา เพราะใจของเราเป็นวาระ ๆ ใจไป เมื่อเรารู้เข้าใจเรื่องอาคันตุกะที่จรไปจรไป เราทั้งหลายจะได้รู้เรื่องอนัตตาว่าสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากธาตุจากขันธ์จากอายตนนั้นมันเป็นเพียงอาคันตุกะที่จรไปจรมา

 

 ไม่ใช่เราจะไปแก้ตั้งแต่ภายนอกนะ ถ้าเราแก้ตั้งแต่ภายนอกมันก็เป็นไปทางวิทยาศาสตร์ไปทางตัวตน แต่มันเป็นการเอาตัวรอดด้วยความไม่รอด เราต้องแก้ทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพพร้อมทั้งเรื่องจิตเรื่องใจไปพร้อม ๆ กัน

 

ให้พวกเราทั้งหลายพากันมาปรับปรุงแก้ไขในการประพฤติการปฏิบัติของเรา เราบวช เรามาบวชเรามาประพฤติปฏิบัติธรรม ต้องให้สมบูรณ์แบบทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งใจ  เราทั้งหลายจะบวชทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งกิริยามารยาท บวชทั้งใจ คำว่าบวชนี้ถึงจะเป็นอบรมบ่มอินทรีย์ รู้เข้าใจ ไม่ไปตามผัสสะ ไม่ไปตามอารมณ์ ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม หยุดตัวเองด้วยพระธรรมพระวินัย ด้วยข้อวัตรกิจวัตร ธุดงควัตรด้วยสติด้วยสัมปชัญญะ ด้วยพระธรรมด้วยพระวินัย ธุดงควัตร ข้อวัตรกิจวัตรต่าง ๆ

 

เราทุกคนน่ะต้องพากันรู้จักการประพฤติการปฏิบัติ ที่เป็นข้อวัตรข้อปฏิบัติของเรา ในปัจจุบันเราต้องให้การประพฤติการปฏิบัติของเรานี้ฟอร์มสด เอาความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ การปฏิบัติของเราในปัจจุบันต้องให้เป็นฟอร์มสด ปัจจุบันให้เป็นไฟต์ เป็นการชิงแชมป์ระหว่างหยุดเวียนว่ายตายเกิดและการเวียนว่ายตายเกิด

 

เราทั้งหลายต้องมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์อย่าให้ธาตุให้ขันธ์ให้อายตนะมันครอบงำสติปัญญาเรา อย่าให้ธาตุให้ขันธ์มันครอบงำใจของเรา เดี๋ยวฟอร์มของเราจะตกฟอร์มของเราจะไม่สดนะ

 

ร่างกายของเราทุก ๆ คนต้องแข็งแรง กายวาจากิริยามารยาทของเราต้องสมบูรณ์ จะได้เป็นความงามในเบื้องต้น ท่ามกลางและที่สุด อินทรีย์สังวร สังวรทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ สังวรในพระปาฏิโมกข์สิกขาบทน้อยใหญ่ เราต้องไม่ตั้งอยู่ในความประมาท ไม่ตรึกในกาม ไม่ตรึกในพบาบาท พิจารณาทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเรา พิจารณาให้เกิดพระไตรลักษณ์ ให้เกิดปัญญาสัมมาทิฏฐิ เพื่อให้เข้าถึงฟอร์มสดในปัจจุบัน ให้เข้าใจว่าตัวตนนั้นไม่ใช่ฟอร์มสด ตัวตนนั้นคือของบูดของเน่าของเสียหายของปฏิกูล ตัวตนนั้นท่านหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ท่านบอกว่า ตัวตนนั้นมันเน่าในเปียกแฉะ ตัวตนนั้นมันเหม็นเหลือกเกิน เหม็นสามแดนโลกธาตุ ไม่ใช่เหม็นธรรมดานะ

 

การประพฤติการปฏิบัติให้พวกเราเข้าใจ เราไม่รู้ไม่เข้าใจเราก็ปฏิบัติไม่ได้เพราะไม่มีปัญญาสัมมาทิฏฐิ ไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ ไม่รู้ข้อปฏิบัติถึงความทุกข์มันจะปฏิบัติได้อย่างไร เราก็อยากให้มันสงบ มันจะสงบได้อย่างไรเพราะไม่มีเหตุไม่มีปัจจัย ความสงบนั้นจะสงบได้มันต้องมีเหตุมีปัจจัยนะ ความอยากความไม่อยากไม่ใช่ความสงบนะ

 

ให้เรารู้เข้าใจ ความอยากความไม่อยากนั้นมันคือความไม่สงบคือความวุ่นวายนะ ปกติเราทุกคนพื้นฐานพากันเอาอวิชชาเอาความหลงนำชีวิต เอาตัวเอาตนนำชีวิต ตัวตนนั้นมันก็ไม่สงบอยู่แล้ว เพราะมีตัวมีตนมันไม่สงบ อยากให้มันสงบมันก็ยิ่งวุ่นวาย เราอยากให้มันสงบมันก็ยิ่งไม่สงบ เราเป็นโรควุ่นวายโรคไม่สงบอยู่แล้ว เราต้องรู้ต้องเข้าใจ เราจะไม่ได้เพิ่มโรคจิตโรคประสาทเพิ่มทวีคูณมากขึ้นไปอีก ปกติเราก็มีโรคซึมเศร้าเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว เรายิ่งจะมาเอามามีมาเป็นมันก็ยิ่งมากทวีคูณ

 

 

การทำอะไรเพื่อหวังผลประโยชน์ตอบแทนมันเป็นการเอาตัวรอดในทางที่ไม่รอดนะ ให้เรารู้เข้าใจ ทำอะไรทุกอย่างอย่าไปหวังผลอะไรตอบแทน เราต้องทำไปเรารู้เหตุรู้ปัจจัย รู้ธรรมะ เราทำอะไรก็เพื่อเสียสละ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติในการเสียสละ

 

เราพากันคิดดูดี ๆ นะธรรมชาติมันลงตัวอยู่พอดีแล้ว มันพอเพียงเพียงพอ เราอยากให้มากมันก็ไม่ได้มาก มันก็เท่าเก่า ให้เราเข้าใจ เราทั้งหลายจะไม่ได้ไปตรึกนึกคิดในเรื่องกามในเรื่องพยาบาทให้ตัวเองมีความทุกข์เปล่า ๆ เราทั้งหลายจะไม่ได้เอาความปรุงแต่ง เราต้องหยุดความปรุงแต่งด้วยความรู้ความเขาใจด้วยพระธรรมพระวินัยด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิ เราจะไปปรุงแต่งมันทำไม เราอยากให้น้อยมันก็ไม่น้อย เพราะของมันมีเท่านี้ เราจะไปปรุงแต่งมันทำไม เราอยากให้เราสวยงามมากกว่านี้มันก็ไม่สวยงามมากกว่านี้หรอก เราต้องรู้จักความสวยความงาม ศีลสมาธิปัญญาคือความสวยความงาม ความสงบและปัญญานั้นคือความสงบความงาม  

 

เราจะไปปรุงแต่งให้เราเป็นทุกข์ไปทำไม ทุกอย่างน่ะเราไปคิดเองเออเอง เราทุกคนให้เข้าใจนะ เราไปคิดเองเออเองเหมือนกับคนผีบ้าพูดอยู่คนเดียว ผีบ้าน่ะ อยากไม่ให้แก่ไม่อยากเจ็บไม่ให้ตายไม่ให้พลัดพรากเค้าเรียกคนบ้า คนผีบ้า คนมีเชื้อบ้า ไปตรึกนึกคิดในสิ่งที่เป็นไปม่ได้ เราคิดไม่ถูกต้อง ตรึกไม่ถูกต้อง มันแก้ปัญหาไม่ได้นะ ถึงจะตายแล้วเกิดแล้วหลายภพหลายชาติหลายล้านชาติมันก็แก้ปัญหาไม่ได้ เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจปัญหา เราอย่าไปหาเรื่องหาราวให้กับตัวเอง อย่าไปหาเรื่องหาราวให้กับคนอื่น เราต้องรู้เข้าใจ ถ้าไม่รู้เข้าใจมันจะก้าวไปด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ

 

ให้เรารู้ให้เราเข้าใจ ความปรุงแต่งมีแต่ความเป็นทุกข์ทั้งนั้น นอกจากทุกข์แล้วไม่มีอะไรเลย ทุกข์ฟรี ๆ ทุกข์เปล่า ๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงตรัสว่า การมารู้เข้าใจ การเรามาสงบระงับสังขารด้วยความรู้ความเข้าใจด้วยพระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตรธุดงควัตรถึงเป็นความสุขอย่างยิ่ง ทุกอย่างถึงจะมีแต่คุณ พุทธคุณธัมมคุณสังฆคุณ เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์ปฏิบัติสมควร

 

ด้วยความรู้ความเข้าใจ นี้คือการประพฤติการปฏิบัติที่ติดต่อต่อเนื่องเพื่อให้เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา เป็นอนัตตา เป็นความว่างจากความหลงว่างจากตัวจากตน ไม่ใช่เอานิติบุคคลตัวตนเอาความหลงนำชีวิต เอาพระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตรธุดงควัตรของเราในปัจจุบันให้สมบูรณ์ ด้วยปิติสุขเอกัคคตาเราทั้งหลายจะได้เข้าสู่ความเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา เป็นพรหม เป็นพระอริยเจ้าในปัจจุบัน เราทั้งหลายให้รู้เข้าใจอย่าไปรออนาคต ต้องให้เข้าถึงธรรมถึงปัจจุบันธรรม

 

เราคิดดูดี ๆ นะ ปัจจุบันนี้นะ เราไม่เอาความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ ปัจจุบันก็จะไม่เป็นปัจจุบันธรรม มันเป็นตัวเป็นตน ตัวนนั้นคือไม่ใช่มรรคผลพระนิพพาน ตัวตนนั้นคือตัวตน เราทั้งหลายอย่าไปคิดว่าพระนิพพานอยู่เบื้องหน้าโน้นเทอญ คำว่าเทินนี้มันไกลเหลือเกิน ไม่รู้เมื่อไหร่จะไปถึง

 

ปัจจุบันเราต้องรู้จักการประพฤติการปฏิบัติ อย่าไปผลัดวันประกันพรุ่ง ตั้งอยู่ในความประมาท เพราะเราต้องรู้เข้าใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นถ้าเราประมาทแล้วมันจะไม่จบ ต้องจบด้วยความรู้ความเข้าใจ ต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เพื่อให้เข้าถึงภาคประพฤติภาคปฏิบัติในปัจจุบัน

 

อนาคตนั้นก็ย่อมไปเป็นไม่ได้ถ้าไม่มีการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน เพราะไม่มีเหตุไม่มีปัจจัย

 

เราต้องรู้ต้องเข้าใจ ต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสาร ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจในธรรมในสภาวธรรมในเรื่องกรรมเรื่องกฎแห่งกรรมผลของกรรม เราทั้งหลายก็ย่อมตั้งอยู่ในความเพลิดเพลินในความหลงความประมาท

 

เค้าจะเดินทางไกลเค้าต้องก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจทั้งกายวาจากิริยามารยาทด้วยความรู้ความเข้าใจ เค้าต้องอาศัยยานพาไปด้วยก้าวเท้าซ้ายเท้าขวา มนุษย์สมัยใหม่มีการพัฒนาวิทยาศาสตร์เค้าใช้ยานพาหนะรถใช้เครื่องบิน ใช้เรือในการเดินทางถึงจะรวดเร็วว่องไวทันใจ ความตั้งใจตั้งเจตนามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ

 

เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เราคิดว่าเราจะเอาตัวรอดน่ะ ตัวตนนั้นคือความไม่รอด ต้องเอาตัวรอดในทางที่รอด เราต้องพัฒนาทั้งวิทยาศาสตร์ พัฒนาทั้งใจไปพร้อม ๆ กัน ถึงจะเดินช้าไม่เป็นไรให้มันถูกต้อง เราจะเดินปานกลางก็ยิ่งดีขึ้น เราเดินเร็วก็ยิ่งดี ความดีความถูกต้องมันเป็นการเอาตัวรอดในทางที่รอด เราทั้งหลายต้องมารู้ธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ ของตัวเอง ให้รู้จักว่าอันนี้มันคือกรรม กรรมเก่าของเราทุกคน เราทั้งหลายจะได้หยุดกรรมด้วยความรู้ความเข้าใจ จะไม่ได้สร้างกรรมใหม่ เราจะเอาขั้วบวกขั้วลบมาทำงานให้เป็นวัฏฏสงสารนั้นไม่ได้

 

เราทุกคนต้องพากันทวนกระแสน่ะ เราต้องระมัดระวังเหมือนช่างไฟฟ้าปฏิบัติต่อสายไฟฟ้าแรงสูง ต้องระมัดระวัง ต้องระมัดระวังเหมือนผู้ที่ใช้เครื่องจักรทำงาน เพราะสิ่งเหล่านี้มันอันตราย

 

 เราทั้งหลายต้องตั้งอยู่ในความไม่ประมาท เราทั้งหลายต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสาร ถ้าไม่เห็นภัยในวัฏฏสงสารก็ย่อมประมาท ในการเกี่ยวข้องกับไฟฟ้ากระแสไฟฟ้า เราย่อมประมาทในการใช้เครื่องจักรกลในการทำงาน อย่างเรามาบวชมาประพฤติมาปฏิบัติธรรม ต้องเข้าสู่ความวิเวก ความวิเวกทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งใจ เราทั้งหลายต้องเข้าสู่ความวิเวก พระธรรมพระวินัยธุดงควัตร ข้อวัตรกิจวัตรต่าง ๆ นั้นจะให้เราเข้าสู่ความวิเวก ใจมันไม่สงบก็ให้กายวาจากิริยามารยาทอาชีพมันสงบเสียก่อน ต้องเข้าสู่ความเป็นมาตรฐาน เข้าสู่ มอก. มาถือนิสัย ๔ ยกเลิกอกรณียกิจ ๔ ด้วยความรู้ความเข้าใจ เพื่อเข้าสู่ความวิเวกทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งใจ อย่าให้กายวาจากิริยามารยาทอาชีพมันผิดพลาด เพราะสิ่งภายนอก กายวาจากิริยามารยาทอาชีพนี้มันเป็นของมองเห็นด้วยตา ได้ฟังเสียง

 

เราทุกคนต้องทำให้ได้ปฏิบัติให้ได้ เราทั้งหลายต้องมีความเคารพในธรรมในคารวธรรม เพื่อเข้าสู่หลักการอุดมการณ์เข้าสู่ความวิเวก เราต้องเอาแบบอย่างตัวอย่างขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เราสู่คาวมวิเวกทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพ

 

ให้พวกเราทั้งหลายรู้เข้าใจในเรื่องการประพฤติการปฏิบัติพรหมจรรย์ เราทั้งหลายถึงต้องละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป เพราะอันนี้มันคือกรรมคือกฎแห่งกรรมและจะเป็นผลของกรรมเป็นวัฏฏสงสาร เรามาบวชมาปฏิบัติธรรม เราต้องเข้าสู่หลักการอุดมการณ์อุดมธรรม มีความสงบมีปัญญา

 

ชีวิตของเราต้องเอาอริยมรรคมีองค์ ๘ ดำเนินชีวิต ด้วยความรู้ความเข้าใจเหมือนต้นไม้ต้นหนึ่งนี้แหละ ต้นไม้ต้นนั้นที่ได้อาหารมาไม่ใช่มาจากรากอย่างเดียวนะ ต้องได้มาจากทางรากทางใบทางกิ่งก้านสาขาทางยอดตลอดปริมณฑลแสงแดดอากาศออกซิเจนเขาถึงได้วิตามินเกลือแร่ที่สมบูรณ์

 

ศาสนาคือธรรมะไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน ทุกศาสนาก็ถือว่าเป็นความดับทุกข์เหมือน ๆ กันทุกศาสนานะ ให้เรารู้เข้าใจ เราจะมีความยั่งยืนเป็นอมตะคือพระศาสนา พระศาสนานี้ยกเลิกความไม่ถูกต้อง เป็นดีเอ็นเอและความสงบควบคู่กันไปนี้เรียกว่าพระศาสนา ชื่อต่าง ๆ ของพระศาสนาเป็นสมมติสัจจะเท่านั้นเองนะ

 

ให้รู้เข้าใจ พระศาสนาเป็นหลักการในการประพฤติการปฏิบัติ พระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ของศาสนาพุทธแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์เป็นหลักการเป็นอุดมการณ์เป็นเบรกเป็นเซฟตี้ เบรกและเซฟตี้เป็นความหมายที่ไม่ให้เราเกิดผิดพลาดหรือเกิดอุบัติเหตุ ตัวตนนั้นมันคือไม่มีเบรกไม่มีเซฟตี้ ตัวตนนั้นคืออุบัติเหตุ ตัวตนนั้นมันหาเรื่องหาราวให้กับตัวเอง หาเรื่องหาราวให้กับคนอื่น ตัวตนนั้นถึงมีแต่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ทุกข์ดับไป นอกจากทุกข์ไม่มี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสไว้อย่างนี้ ให้เราทั้งหลายพากันเข้าใจนะ

 

เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งก็ชื่อว่าเราเอาแต่ทางวิทยาศาสตร์เอาแต่วัตถุนะ เราคิดดูดี ๆ สิ พวกเอาแต่วิทยาศาสตร์เอาแต่วัตถุนั้นมันไปไม่ได้มันไปไม่ได้ พวกเอาแต่วิทยาศาสตร์เอาแต่วัตถุไม่เอาจิตใจไปพร้อมกัน มันไปได้ไหม มันไปไม่ได้ เพราะมันเป็นตัวเป็นตนไม่ใช่ทางสายกลาง ธรรมนูญรัฐธรรมนูญเป็นสิ่งที่ให้เราปรับเข้าหาทางสายกลางนะ เราทั้งหลายต้องรู้พระศาสนาด้วยความรู้ความเข้าใจ เราจะไม่ได้เอาพระศาสนาเป็นนิติบุคคลตัวตน เราจะได้รู้ว่าเราเกิดมาทำไม เราเกิดมาเพื่อทำที่สุดแห่งความดับทุกข์เพื่อหยุดสัญชาตญาณที่เป็นการเวียนว่ายตายเกิด เราเรียนหนังสือทำไม เราเรียนหนังสือเพื่อหยุดสัญชาตญาณที่เป็นตัวเป็นตนเพื่อหยุดวัฏฏสงสาร เราทำงานทำไมเพื่อหยุดสัญชาตญาณ เพราะเราทุกคนต้องเอามรรคเอาอริยมรรคนำชีวิตเพื่อจะได้มีความสงบและปัญญา เพราะความเป็นพระนั้นอยู่ที่รู้เข้าใจ

 

เราทั้งหลายเป็นผู้ที่ประเสริฐนะ เราต้องพากันตั้งอกตั้งใจ เพราะไม่มีใครช่วยเหลือเราได้ เราเป็นมนุษย์สมัยใหม่เราต้องเข้าใจในเรื่องการทำที่สุดแห่งความดับทุกข์ ด้วยความดีและปัญญา ชีวิตของเราจะได้ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ

 

ขออนุโมทนากับท่านทั้งหลายนะ ท่านทั้งหลายเป็นผู้ที่ประเสริฐมีโอกาสมีเวลามีบุญมีวาสนา ต้องตั้งใจประพฤติปฏิบัติ เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบปฏิบัติตรงปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์เป็นผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสารเป็นผู้ปฏิบัติสมควร สมควรเป็นอย่างยิ่ง เป็นเนื้อนาบุญของโลก เป็นคำว่าโอเคด้วยความสงบ เข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ยังไม่ตาย ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร พระนิพพานคือบ้านของเรานะ ความสงบและปัญญา ศีลสมาธิปัญญาที่เป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิให้เรารู้เข้าใจในเรื่องอริยสัจ ๔ ให้เราทั้งหลายระลึกถึงโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพานท่านได้ตรัสโอวาทสำคัญครั้งสุดท้ายไว้ว่า

 

“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”

 

เรามาระลึกถึงโอวาทท่านหลวงปู่มั่น ภูริทัตโร ท่านตรัสคติธรรมประจำใจไว้ว่า

 

ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ

ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ

ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู

ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร

 

ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละคือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะว่าสิ่งเดิมนั้นคือความว่างเปล่า สิ่งที่สัญจรไปมาเป็นเพียงอาคันตุกะ เราจะได้เอาหลักการอุดการณ์ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นมรรคเป็นอริยมรรคที่ตรงกันข้ามกับโลกธรรม

 

ให้รู้เข้าใจ เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรม พระนิพพานความรู้ความเข้าใจในเรื่องปฏิจจสมุปบาทจะเป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นพระนิพพานบ้านของเรา ไม่ใช่อวิชชาความหลงเป็นบ้านของเรานะ พระนิพพานคือบ้านของเรา ความสงบและปัญญาถึงเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราจะหยุดวัฏฏสงสารได้ด้วยความสงบและปัญญา ธรรมะนั้นถึงหยุดความปรุงแต่งได้ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิคู่กับการประพฤติการปฏิบัติ

----------------------------------------

โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม

เมตตาให้ไว้ในเช้าวันพฤหัสบดีที่ ๑๘ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

 

รายการล่าสุดที่คุณดู
Visitors: 101,695