๒๐ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๒๐ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
วันเสาร์วันอาทิตย์เป็นวันหยุดทำงานของข้าราชการ เราทุกคนที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ต้องประพฤติปฏิบัติให้เป็นทางสายกลางระหว่างจิตใจกับวัตถุ
ให้เรารู้เข้าใจเพราะทุกอย่างนั้นคือเหตุคือปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปถึงมี เราพากันมามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นทางสายกลาง เป็นความพอดีความพอเพียงความเพียงพอ เราทั้งหลายนั้นจะไปทำตามอัธยาศัยทำตามความชอบไม่ชอบนั้นไม่ได้
เราต้องพากันทำให้ถูกต้อง ระหว่างเรื่องจิตเรื่องใจกับทางวัตถุที่เราต้องพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ เอาความผิดพลาดมาแก้ไข ให้เป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรง เป็นทางสายกลางระหว่างจิตใจกับวัตถุ เพื่อให้เป็นมรรคเป็นอริยมรรค
เราทุกคนมาเน้นที่ตัวเรา สิ่งภายนอกเราจะช่วยเหลือ เช่น ญาติพี่น้องปู่ย่าตายาย ลูกน้องพ้องบริวาร เราจะช่วยเค้าได้เป็นเพียงบอกเพียงสอน เราประพฤติปฏิบัติแทนเขาไม่ได้ เรื่องการประพฤติการปฏิบัติเป็นหน้าที่ของเราทุก ๆ คน
อริยมรรคมีองค์แปดที่เป็นกายวาจากิริยามารยาทอาชีพมารวมลงที่ใจที่เจตนา เราต้องให้ปฏิปทาของเราให้สมบูรณ์ อย่าไปประมาท ขาดตกบกพร่อง เพราะนี้มันคือเรื่องกรรม กฎแห่งกรรมผลของกรรม กรรมนี้เป็นเงาตามตัว ความคิดคำพูดการกระทำกิริยามารยาทนี้เป็นกรรม ทุกคนนั้นจะเหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรมนั้นไปไม่ได้ สิ่งไหนเราช่วยเหลือคนอื่นไม่ได้ เราต้องทำใจในการรู้เรื่องกรรมเรื่องกฎแห่งกรรมเรื่องผลของกรรม ใจของเราต้องมีอุเบกขาวางเฉย สิ่งที่ช่วยเหลือไม่ได้ก็ได้แก่การเวียนว่ายตายเกิด เรื่องการเวียนว่ายตายเกิดเราช่วยเหลือใครไม่ได้
การประพฤติการปฏิบัติให้เราปฏิบัติที่ปัจจุบัน เพราะเหตุผลว่า อดีตก็มารวมที่ปัจจุบันแล้ว อนาคตที่ยังไปไม่ถึงก็ไปจากปัจจุบันนี้เอง มันเป็นขบวนการ เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปถึงมี
ปัจจุบันเราคิดพูดกระทำกิริยามารยาทตลอดถึงอาชีพเราทำได้ทีละอย่าง เราต้องรู้จักการประพฤติการปฏิบัติอย่างนี้ การประพฤติการปฏิบัติของเราจะได้ติดต่อต่อเนื่องเป็นขบวนการของกรรมกฎแห่งกรรม ที่เราทุกคนมีเรื่องมีปัญหา เพราะสาเหตุว่าเราไปเอากายวาจากิริยามารยาทเอาใจไปประพฤติไปปฏิบัติ เพราะเราไม่รู้เหตุไม่รู้ปัจจัย
โภชนีมัตตัญญุตาเป็นทางสายกลางระหว่างจิตใจกับวัตถุที่เป็นความพอดี ความพอเพียงเพียงพอ ที่เป็นอริยมรรคมีองค์แปด
ธรรมะนั้นคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ เราจะไปทำอะไรเพราะความอยากความไม่อยากนั้นไม่ได้ ธรรมะระหว่างเรื่องจิตเรื่องใจกับวัตถุนั้นเป็นทางสายกลาง ธรรมะต้องเป็นทางสายกลางอยู่เหนือความชอบ อยู่เหนือความไม่ชอบ เพื่อจะหยุดความปรุงแต่ง หยุดสัญชาตญาณ ที่เป็นตัวเป็นตนที่เวียนว่ายตายเกิดอย่างไม่จบไม่สิ้น เป็นวงกลม เป็น cycle of life ที่หมุนรอบตัวเอง หมุนรอบสิ่งภายนอก
เราต้องรู้เข้าใจในธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ นี้เป็นเพียงอาคันตุกะที่สัญจรไปมา เป็นของชั่วครู่ชั่วยาม เราต้องรู้เข้าใจสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงอาคันตุกะ ความว่างเปล่าที่เป็นความสงบเป็นปัญญาที่เป็นพื้นเป็นฐาน สิ่งที่สัญจรไปมานั้นเป็นเพียงอาคันตุกะเท่านั้น ให้เรารู้เข้าใจ เราจะไม่ได้ตามสิ่งภายนอกไป เราจะไม่ได้ตามสิ่งภายในไป
ธรรมะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบำเพ็ญพุทธบารมีเป็นความดีและปัญญา ใช้เวลายาวนานหลายล้านชาติ หลายล้านปี เป็นบารมีเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด ให้หมู่มวลมนุษย์เทพเทวา อินทร์พรหมยมยักษ์ สรรพสัตว์ทั้งหลาย ที่เป็นยานในการประพฤติการปฏิบัติ
เราจะเดินทางไกลเราก็ต้องอาศัยยาน ยานคือกายวาจากิริยามารยาทอาชีพรวมลงที่ใจ รวมลงที่เจตนา การประพฤติการปฏิบัติธรรมนั้น ถึงไม่มีต่อหน้าและลับหลัง ถ้ามีต่อหน้าและลับหลังไม่ใช่ทางสายกลาง มันยังเป็นการหลอกลวงไปในตัว
เราต้องตั้งใจตั้งเจตนา มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ ใจของเราคนอื่นส่วนใหญ่เค้าไม่รู้นะ ที่คนอื่นเค้ารู้คือผู้ที่อยู่ที่สูงมากกว่าเรา มีคุณธรรมอยู่เบื้องสูงกว่าเรา ให้เรารู้เข้าใจ คนอื่นเค้าไม่รู้แต่เราเป็นคนรู้
ปัจจุบันนี้แหละ เราเอาตั้งแต่วิทยาศาสตร์ เอาแต่ตัวแต่ตน เอาตั้งแต่วัตถุ เราทั้งหลายก็พากันเป็นได้แต่เพียงคน คำว่าคนนี้ก็หมายเอานิติบุคคลตัวตนนำชีวิต เอาความผิดนำชีวิต ทำทั้งดีทั้งชั่วทั้งบาปทั้งบุญวกไปวนมาเดินข้างหน้าแล้วก็ถอยกลับมาอยู่ที่เก่า ที่เรามีศัพท์ใช้กันว่าคนโน้นคนนี้
การประพฤติการปฏิบัติถึงมาเน้นที่จิตที่ใจที่เจตนา ให้ทุกคนเข้าใจว่า กายวาจากิริยามารยาทอาชีพเป็นเพียงอุปกรณ์ของจิตของใจเท่านั้น เราเข้าใจ นี้เป็นเพียงอุปกรณ์ของจิตของใจ เราทั้งหลายต้องตั้งอกตั้งใจ การประพฤติการปฏิบัติเป็นอริยมรรคมีองค์แปด เพื่อให้เข้าสู่ทางสายกลาง เพื่อเป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา เราต้องทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ทุกแง่ทุกมุม ไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ทั้งอรรถะทั้งพยัญชนะ
“สุคโต” อยู่ก็เป็นสุข ไปก็เป็นสุข เราก็เป็นสุข คนอื่นก็เป็นสุข เพราะรู้แจ้งโลกรู้แจ้งธรรม รู้ทั้งธรรมรู้ทั้งโลก ปฏิบัติทั้งใจทั้งวิทยาศาสตร์ไปพร้อม ๆ กัน เป็นผู้อยู่ก็มีแต่ความสุข จากไปก็มีความสุข กุลบุตรลูกหลานผู้สืบตระกูลก็มีความสุข ด้วยเอาธรรมนำชีวิต
ให้พวกเราพากันรู้พากันเข้าใจ ให้เอาพระธรรมพระวินัยเป็นเครื่องอยู่เป็นเครื่องดำเนินชีวิต พระธรรมพระวินัยทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพทั้งใจ ให้เราทั้งหลายพากันตั้งใจพากันตั้งมั่น ให้มีหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม ให้เรารู้จักอาวาสของตัวเอง อาวาสคือที่อยู่ที่อาศัย ที่อยู่ที่อาศัยคือพระธรรมคือพระวินัย คำว่าพระนี้คือเป็นผู้เสียสละ ถ้าเราไม่เสียสละมันก็เป็นพระไม่ได้ เป็นพระธรรมเป็นพระวินัยไม่ได้ มันก็จะเป็นตัวเป็นตน
การประพฤติการปฏิบัติของเรา ให้เน้นที่ปัจจุบัน ให้ปฏิบัติที่ปัจจุบัน ปัจจุบันต้องเข้าถึงบริสุทธิคุณทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งใจต้องเข้าถึงบริสุทธิคุณ บริสุทธิคุณหมายถึงมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ ไม่หวังอะไรตอบแทน มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ ไม่หวังอะไรตอบแทน การเรียนหนังสือก็ไม่หวังอะไรตอบแทน การทำงานก็ไม่หวังอะไรตอบแทน การเป็นข้าราชการนักการเมืองนักบวชหรือเป็นพ่อค้าประชาชนนั้นไม่หวังอะไรตอบแทน การทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้คือบริสุทธิคุณ การทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้มันจะเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม มันเป็นการพัฒนาระหว่างใจกับวัตถุไปพร้อม ๆ กัน การปฏิบัติของเรามันจะเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรมไปเรื่อย ๆ ชีวิตของเรามันจะทันโลก ทันธรรม ทันสมัย ชีวิตของเราจะไม่ได้ย่ำต๊อกอยู่กับของเก่าหรือว่าย่ำต๊อกกับความหลง
เราต้องยกเลิกเราและยกเลิกผู้อื่น เราก็ไม่มี ผู้อื่นก็ไม่มี ชีวิตนี้ถึงจะเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม การประพฤติการปฏิบัติอย่างนี้เรียกว่า “สุคโต” อยู่ก็มีความสุข ไปก็มีความสุข กุลบุตรลูกหลานที่จะมารับผลัดจากเราเค้าก็มีหลักการ มีอุดมการณ์อุดมธรรม เค้าก็มีความสุข เพราะมีปัญญาสัมมาทิฐิ นี้คือการพัฒนาวิทยาศาสตร์ที่ถูกต้อง พัฒนาใจที่ถูกต้อง มันจะสมดุลกัน มันจะเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ
เราคิดดูดี ๆ นะ เราทั้งหลายต้องเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ อยากได้มากมันก็ไม่มากมันก็เท่าเก่า เราจะไปทุกข์ทำไม อยากได้น้อยมันก็ไม่น้อยมันก็เท่าเก่า เราจะไปทุกข์ทำไม ชีวิตของเรามันจะได้เป็น “สุคโต” อยู่ก็เป็นสุขไปก็เป็นสุข จากไปก็เป็นสุข ลูกหลานเค้าก็ได้รับดีเอ็นเอทั้งกายทั้งวาจากิริยามารยาทอาชีพ ที่เป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม การพัฒนาใจมันถึงดีอย่างนี้ การพัฒนาวิทยาศาสตร์มันถึงดีอย่างนี้ สิ่งต่าง ๆ ก็จะมีแต่คุณไม่มีโทษ ที่ตรัสว่าความสุขที่เป็นคุณหรือว่ากามคุณ ถ้าเราเอาตัวเอาตนนำชีวิตเอาความรู้สึกนำชีวิต มันมีโทษน่ะ
เราต้องรู้ต้องเข้าใจ อะไรจะเกิดขึ้น อะไรจะตั้งอยู่ อะไรจะดับไป
เราก็คิดเหมือนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช รัชกาลที่ ๙ ท่านตรัสว่า ช่างหัวเผือกช่างหัวมัน เพราะสิ่งเหล่านี้แหละมันเพียงสัญจรไปมา เรามีตามันก็มีรูป มีหูมันก็มีเสียง เรามีจมูกมันก็มีกลิ่น เรามีลิ้นก็มีรส เรามีตาก็มีสัมผัส เรามีใจก็มีเรื่องจิตเรื่องใจมันเพียงสัญจรไปมา เรารู้เข้าใจ เราจะได้ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม
เราทั้งหลายน่ะอย่าไปใจอ่อน ต้องมีปัญญา สัมมาทิฐิความเห็นถูกต้องความเข้าใจถูกต้อง รู้ความจริงของโลก รู้ความจริงของธรรมชาติ รู้ความเป็นจริงของความเป็นประภัสสรของทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกอย่างเราต้องรู้เข้าใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างเค้าก็ทำหน้าที่ของเค้า ความเกิดก็ทำหน้าที่ของเค้า ความแก่ก็ทำหน้าที่ของเค้า ความเจ็บก็ทำหน้าที่ของเค้า ความตายก็ทำหน้าที่ของเค้า ความพลัดพรากก็ทำหน้าที่ของเค้า ทุกอย่างเป็นใหญ่เพราะสิ่งนั้น ๆ เป็นประภัสสรในสิ่งนั้น ๆ เราทั้งหลายรู้เข้าใจ อย่าไปลิดรอนสิทธิในสิ่งต่าง ๆ ให้รู้เข้าใจว่าสิ่งต่าง ๆ นั้นมันสัญจรไปมา ความว่างเปล่าจากตัวตนที่เรารู้เราเข้าใจ เราจะได้เห็นธรรมเห็นสภาวธรรมตามความเป็นจริง ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมันเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ดับไปไม่มีอะไรมากกว่านี้หรอก เกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ดับไป
เราต้องถือเอาพระธรรมพระวินัยเป็นเครื่องอยู่เป็นหนทางที่ประเสริฐ เป็นอริยมรรคมีองค์แปด ได้แก่ กายวาจากิริยามารยาทอาชีพใจที่มีปัญญาสัมมาทิฐิ เราทั้งหลายต้องรู้ว่าที่อยู่ของเราคือพระธรรมคือพระวินัย คืออาวาส คือที่อยู่ที่อาศัย
มนุษย์ทั้งหลายต้องรู้ที่อยู่ที่อาศัยของตัวเองนะ
พระธรรมพระวินัยเป็นเครื่องอยู่เป็นเครื่องไป เราทั้งหลายจะไม่ได้วิตกกังวลในเรื่องที่อยู่ที่อาศัย ที่อยู่ที่อาศัยคือพระธรรมคือพระวินัยคือข้อวัตรปฏิบัติ ให้เข้าใจเพื่อจะให้ปฏิปทามันติดต่อต่อเนื่อง เรื่องอยู่ให้เข้าใจ เรื่องไปให้เข้าใจ ความอยู่ความไปได้แก่พระธรรมพระวินัยนี้เป็นเครื่องอยู่เครื่องไป เราทั้งหลายพากันเข้าใจเรื่องที่อยู่ที่อาศัยนะ
ถ้าที่ไหนไม่มีพระธรรมไม่มีพระวินัย นั่นแหละคือผู้ที่ไม่มีเครื่องอยู่นะ
คำว่าพระ ความหมายก็คือพระธรรมพระวินัย ถ้าเราไม่มีพระธรรมพระวินัยเราจะเป็นพระได้อย่างไร คำว่ามีหมายถึงความรู้ต้องคู่กับการประพฤติการปฏิบัติ ความรู้นี้คือปัญญาบริสุทธิคุณ การปฏิบัติเป็นสมถะน่ะ เป็นสิ่งที่รู้แล้วเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติที่เป็นศีล เป็นสมาธิ ประกอบด้วยปัญญาสัมมาทิฐิ
นี้คือความเป็นพระธรรมเป็นพระวินัย เราต้องเข้าใจเรื่องของพระธรรมพระวินัย เพราะว่าพระธรรมพระวินัยจะทำให้เราเป็นพระ ถ้าเราไม่มีพระธรรมพระวินัยเราจะเป็นพระได้อย่างไร
เราทั้งหลายต้องรู้วัฏฏสงสารในการเวียนว่ายตายเกิด ปัจจุบันถึงเป็นวาระสำคัญแห่งชาติ เพื่อเรารู้เราเข้าใจ ความรู้ความเข้าใจคู่กับการประพฤติการปฏิบัติ มีปิติมีสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายก็จะไม่มีความทุกข์หรือไม่เป็นโรคซึมเศร้า อยู่ก็สบายไปก็สบาย
เราทั้งหลายอย่าพากันสร้างวัฏฏสงสาร พากันเกิดมา พากันมาสร้างวัฏฏสงสารมาหาเรื่องให้กับตนเอง มันไม่มีเรื่องเรามาหาเรื่อง ถ้าเรารู้เข้าใจ ไม่ไปตามผัสสะไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาไม่ไปตามผัสสะ ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม มันก็ไม่มีเรื่องอยู่แล้ว ศัพท์ที่ว่าตัณหา หาเรื่อง เป็นศัพท์ที่ลึกซึ้งกินใจมาก เราไม่รู้ไม่เข้าใจก็หาเรื่องให้กับตัวเองหาเรื่องให้กับคนอื่นสัตว์อื่น เรื่องมันไม่มาก มันไม่มีเรื่องมาก ให้พวกเรามารู้มาเข้าใจ เราเป็นนักบวชก็ให้รู้เข้าใจ ข้าราชการนักการเมืองก็ให้รู้เข้าใจ ประชากรของชาวโลกชาวโลกก็รู้เข้าใจ เราทั้งหลยน่ะ จะได้หยุดแรงงานของกรรมกร หยุดเวรหยุดภัยหยุดอันตราย เข้าถึง “สุคโต” อยู่ก็มีความสุขไปก็มีความสุข ลูกหลานที่มารับมรดกตกทอดก็มีความสุขน่ะ
เราพากันคิดดูดี ๆ นะ พระพุทธเจ้าน่ะตั้งแต่เสด็จออกบรรพชาอุปสมบทน่ะไม่สร้างอะไรเลย ไม่บอกให้ประชาชนสร้างที่อยู่ที่อาศัยของพระพุธเจ้าเลย พระพุทธเจ้าไม่สร้างโบสถ์ไม่สร้างวิหารไม่สร้างเจดีย์ไม่สร้างอะไรเลย เน้นมาที่ตัวขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพเน้นมาที่ใจ กายวาจากิริยามารยาทอาชีพใจที่บริสุทธิคุณเป็นเครื่องอยู่ มันเป็นความสุขมีความสงบเป็นความสง่างามด้วยศิลปะของชีวิต ด้วยสง่างามทั้งกายวากิริยามารยาทมันเป็นความสง่างาม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จไปที่ไหนมีฉัพพรรณรังสีอยู่ทุกทิศทุกทางเลยทั้งกายาวาจากิริยามารยาททั้งใจมีฉัพพรรณรังสีสว่างไสวไปหมด นี้คือ “สุคโต” นะ เราทั้งหลายพากันมารู้หลักการดำเนินชีวิตที่ประเสริฐ เราทั้งหลายต้องมาทำหน้าที่ที่ประเสริฐ ทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพที่ประเสริฐ ด้วยการประพฤติการปฏิบัติที่มีแต่ปิติสุขเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ชีวิตของเรามันจะเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดีเอง
เราทั้งหลายอย่าพากันไปคิดเรื่องสร้างวัดสร้างวาสร้างศรัทธา ให้เรารู้เข้าใจ เราจะได้เอาพระธรรมพระวินัยเป็นเครื่องอยู่ เราอย่าไปคิดว่า เราแก่เฒ่าน่ะ เราจะพึ่งอะไร พึ่งพ่อพึ่งแม่ พ่อแม่ก็แก่เฒ่าชรา พึ่งครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ก็แก่เจ็บตาย พึ่งอะไรก็พึ่งไม่ได้ เราต้องรู้ที่พึ่ง ที่พึ่งของเราคือพระธรรมคือพระวินัยนะ เราทั้งหลายจะได้อยู่เป็นหลักเป็นแหล่ง หลักแหล่งก็คือพระธรรมพระวินัยนี้แหละ ไม่ทำอะไรตามใจตามอัธยาศัย เอาพระธรรมเอาพระวินัยเป็นหลักแหล่ง อย่าเป็นคนซัดเซพเนมจรไม่มีหลักมีแหล่ง พระธรรมพระวินัยเป็นหลักเป็นแหล่งนะ เราจะไปพึ่งภายนอกมันไม่ได้นะ เราต้องพึ่งพระธรรมพึ่งพระวินัย
การคิดดี ๆ พูดดี ๆ กิริยามารยาทดี ๆ ยกเลิกสิ่งไม่ถูตก้อง เอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิต เราต้องมีที่พึ่งอย่างนี้ เราอยู่ที่ไหนก็จะมีแต่ความสบาย เราอยู่ที่ไหนก็มีความสุขมีความอบอุ่น อยู่ที่ไหนก็มีความพอเพียงเพียงพอมีความพอดีด้วยความรู้ความเข้าใจ พระธรรมพระวินัยถึงเป็นความสุขสงบอบอุ่นเย็นเป็นพระนิพพานน่ะ เราต้องนิพพานด้วยศีล ศีลนั้นยกเลิกสิ่งไม่ถูกต้อง ศีลถึงเป็นพระนิพพาน สมาธิยกเลิกสิ่งไม่ถูกต้องมันจะเป็นพระนิพพาน ปัญญายกเลิกสิ่งไม่ถูกต้องเป็นพระนิพพาน พระนิพพานคือบ้านของเรานะ คือที่อยู่ของเรานะ
เราพากันเน้นที่บริสุทธิคุณนี้แหละ บริสุทธิคุณทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพเน้นที่ใจของเรา เรามาหยุดมายกเลิกการเดินทางในวัฏฏสงสาร ช่างหัวมันช่างหัวเผือกถึงจะสวยสดงดงามหรือไม่สวยสดงดงามก็ช่างหัวมันเราต้องรู้เข้าใจในวัฏฏสงสาร คำว่าบริสุทธินี้แหละไม่หวังอะไรตอบแทน มันเป็นบริสุทธิถ้าหวังอะไรตอบแทนไม่บริสุทธินะ ไม่ใช่ความสงบนะ มันยังมีความปรุงแต่งอยู่นะ ความปรุงแต่งทั้งหลายมันเป็นความทุกข์อย่างยิ่งนะ เราทั้งหลายน่ะต้องเข้าถึงความว่างด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญาที่บริสุทธิคุณ
เราคิดดูดี ๆ นะ เราไม่รู้ไม่เข้าใจก็จะวิ่งตามความหลงอยู่ตลอดกาลตลอดเวลา ความหลงก็คือความหลงนั่นแหละ ความหลงคือความไม่ถูกต้อง พระนิพพานคือที่อยู่ของเรานะ พระธรรมพระวินัย กายวาจากิริยามารยาทอาชีพ ใจที่เอาธรรมนำชีวิต เข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายไปแล้ว ตายไปแล้วมันไม่มีประโยชน์อะไรน่ะ ผู้ที่เข้าถึงพระนิพพานมันต้องเข้าถึงตั้งแต่ปัจจุบัน เพราะปัจจุบันรู้มั๊ยมันเป็นฐานของอนาคต ถ้าปัจจุบันมันไม่ดีไม่มีปัญญา อนาตมันจะดีมีปัญญาได้อย่างไร บุญคือความดีกับปัญญามันต้องไปพร้อม ๆ กัน ความดีนั้นถึงจะไม่เป็นตัวเป็นตน การพัฒนาวิทยาศาสตร์ต้องพัฒนาให้เป็นบริสุทธิคุณไมใช่เป็นตัวเป็นตน เดี๋ยวดีมันจะเป็นตัวเป็นตน เหมือนเราไปจับงูพิษ งูเห่างูจงอางหรืองูอะไรที่มีพิษมากที่สุดในโลก เราไปจับหางมัน เดี๋ยวหัวมันต้องวกมากัดเราแน่นอน ฉันใดก็ฉันนั้น การพัฒนาวิทยาศาสตร์ก็ต้องพัฒนาใจไปพร้อม ๆ กัน
เราดูสิคิดดูสินักวิทยาศาสตร์นั้นแก้ปัญหาได้มั๊ย นักวิทยาศาสตร์ก็แก้ปัญหาไม่ได้มีแต่หาเรื่องหาราวให้กับตนเองมีแต่หาเรื่องหาราวให้กับคนอื่น นักวิทยาศาสตร์ที่จะแก้ปัญหาได้ก็ต้องมีปัญญาสัมมาทิฐิ พัฒนาวิทยาศาสตร์พัฒนาใจไปพร้อม ๆ กันมันถึงแก้ปัญหาได้ ความรู้ความเข้าใจนี้เราทั้งหลายต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เราจะไม่ได้รอชาติหน้า เราจะไม่ได้รออนาคตน่ะ
ท่านพุทธทาสภิกขุ ได้ตรัสโอวาทไว้ว่า “อย่าให้ อนิจจัง เป็นเพียงข้อปลอบใจหลักอนิจจังท่านสอนเน้นในแง่ว่า ไม่ให้นิ่งนอนใจ คือให้ “ไม่ประมาท”
ดังนั้น เราจึงต้องมาระลึกถึงปัจฉิมโอวาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนที่ท่านจะเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพาน ท่านได้ตรัสโอวาทสำคัญครั้งสุดท้ายไว้ว่า
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราขอเตือนเธอทั้งหลายว่า สังขารทั้งหลายเป็นของไม่เที่ยงแท้แน่นอน มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา เธอทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด"
เรามาระลึกถึงโอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ที่เมตตาตรัสให้คติเตือนใจแก่พวกเราทั้งหลายว่า
ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ
ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ
ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู
ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละคือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน
ให้เข้าใจนะว่าสิ่งเดิมนั้นคือความว่างเปล่า สิ่งที่สัญจรไปมาเป็นเพียงอาคันตุกะ เราจะได้เอาหลักการอุดการณ์ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นมรรคเป็นอริยมรรคที่ตรงกันข้ามกับโลกธรรมเป็นทางในการดำเนินชีวิต
ให้รู้เข้าใจ เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรม พระนิพพาน ความรู้ความเข้าใจในเรื่องปฏิจจสมุปบาทจะเป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นพระนิพพานบ้านของเรา ไม่ใช่อวิชชาความหลงเป็นบ้านของเรานะ พระนิพพานคือบ้านของเรา ความสงบและปัญญาถึงเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราจะหยุดวัฏฏสงสารได้ด้วยความสงบและปัญญา ธรรมะนั้นถึงหยุดความปรุงแต่งได้ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิคู่กับการประพฤติการปฏิบัติ
ถ้าเรารู้เรื่องปฏิจจสมุปบาททุกอย่างมันจะดับลงได้เพียงผัสสะ ถ้าเข้าใจเรื่องปฏิจจสมุปบาทจะทำให้ไม่เกิดเวทนาทางใจ มันจะมีเพียงเวทนาทางกาย ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจมันจะเป็นทุกข์ทั้งใจทั้งกายเพราะโลกธรรมมันมาทำร้ายความถูกต้อง เพราะผู้ปฏิบัติธรรมตกกระแสพระนิพพานเค้าจะเข้าใจในเรื่องนี้ ให้มีแต่เพียงเวทนาทางกายเพราะว่ามันเป็นวิบากกรรม ถ้าอย่างนั้นเราจะไปลิดรอนสิทธิเสรีภาพความเป็นประภัสสร
เราคิดดูดี ๆ นะ ชีวิตนี้น้อยนักเป็นของชั่วครู่ชั่วคราว การมาสงบระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจด้วยหลักการอุดมการณ์เข้าถึงพระนิพพานในปัจจุบัน ตั้งแต่ปัจจุบันนี้ ปัจจุบันเรามีศีลเป็นพื้นฐาน มีสมาธิเป็นพื้นฐาน มีปัญญาเป็นพื้นฐาน นี้แหละคือเหตุปัจจัยคือทางสายกลาง คือพระนิพพานบ้านที่แท้จริง
การบรรยายพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เป็นบริสุทธิคุณทุกแง่ทุกมุมในวันนี้ก็เห็นสมควรแก่เวลา
ขออำนวยอวยชัยให้ท่านทั้งหลาย จงได้เข้าถึงความเป็นสุคโต อยู่ก็เป็นสุข ไปก็เป็นสุข เราก็เป็นสุข คนอื่นก็เป็นสุข เพราะรู้แจ้งโลกรู้แจ้งธรรม รู้ทั้งธรรมรู้ทั้งโลก เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานบ้านที่แท้จริงในปัจจุบัน ด้วยกันทุกท่านทุกคนเทอญ
--------------------------------------------
โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
เมตตาให้ไว้ในเช้าวันเสาร์ที่ ๒๐ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา
