๒๔ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

วันนี้เป็นวันพุธที่ ๒๔ เดือนกันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

 

การประพฤติการปฏิบัติธรรมให้เรารู้เข้าใจ เราทุกคนมาเน้นการประพฤติการปฏิบัติของเราเอง มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเจริญสติเจริญสัมปชัญญะ ตัดสิ่งภายนอก ละสิ่งภายนอก ทำหน้าที่ของเราเองให้สมบูรณ์ในปัจจุบัน สิ่งภายนอกก็ให้เป็นสิ่งภายนอกไป

 

เราเจริญสติสัมปชัญญะ เราต้องพากันรู้เข้าใจ สติสัมปชัญญะนี้เป็นตัวผู้รู้ เป็นที่อยู่ของเราทุก ๆ คน พระธรรมพระวินัย คือพระนิพพาน นี้คือบ้านของเรา สติคือความสงบเป็นบ้านของเรา ปัญญาบริสุทธิคุณ ปราศจากตัวปราศจากตนเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม รู้เข้าใจว่าพระธรรมพระวินัยนี้เป็นความสงบและปัญญา เป็นสภาวธรรมอยู่นอกเหตุเหนือผล อยู่นอกเหนือจากความปรุงแต่ง

 

เราทั้งหลายมารู้เข้าใจว่าพระธรรมพระวินัยนี้เป็นพระนิพพาน เป็นบ้านของเรา เป็นความสงบและปัญญา สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นจะดับลงได้ด้วยความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ ปัจจุบันเป็นวาระแห่งชาติของการประพฤติของการปฏิบัติ อดีตก็มารวมอยู่ที่ปัจจุบัน อนาคตจะไปข้างหน้าก็อยู่ที่ปัจจุบันนี้เอง เป็นประโยชน์ทั้งปัจจุบันและชาติหน้า ไม่ต้องไปตามหาว่าตายแล้วเกิดหรือว่าตายแล้วสูญ

 

เราทุกคนพากันรู้หลักการในการประพฤติการปฏิบัติ ๒๔ ชั่วโมง กลางวัน ๑๒ ชั่วโมง กลางคืน ๑๒ ชั่วโมง เราคิดดูดี ๆ อันหนึ่งก็เป็นความสงบ อันหนึ่งก็เป็นปัญญา อันหนึ่งก็เป็นสมถะ อันหนึ่งก็เป็นวิปัสสนา มันเป็นความพอดี ความพอเพียงเพียงพอ

 

เราพากันนอนพักผ่อนให้เพียงพอ เรานอนพักผ่อน ๖ ชั่วโมงถึง ๘ ชั่วโมง เวลาเราตื่นอยู่เราก็อยู่เข้าใจ พากันเจริญสติสัมปชัญญะด้วยปิติด้วยความสุขด้วยเอกัคคตา เมื่อมันผ่านไปแล้วเราก็ปล่อยเราก็วาง เพราะสิ่งที่ผ่านไปแล้วถือว่าเกษียณแล้วเอากลับคืนมาไม่ได้ เราต้องปล่อยต้องวางให้อยู่กับปัจจุบันให้เป็นความว่างเปล่าจากอดีต ความรู้สึกอย่างนี้ถึงไม่มีหนี้มีสิน ไม่มีกรรมไม่มีเวรไม่มีภัยด้วยความรู้ความเข้าใจว่าเราทั้งหลายต้องพากันมาปล่อยวางเรื่องอดีต เราเอาปัจจุบันมาประพฤติมาปฏิบัติ สิ่งที่เราบกพร่องในอดีต เราต้องทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ในปัจจุบัน

 

การประพฤติการปฏิบัติถึงเป็นอริยมรรคมีองค์แปด เพราะว่ามันเป็นเรื่องปัจจุบัน เราต้องทำหน้าที่ของเราในปัจจุบัน เพราะธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ เราต้องรู้เรื่องกรรมเรื่องกฎแห่งกรรมเรื่องผลของกรรม ปัจจุบันนี้จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ สำคัญจริง ๆ นะ ปัจจุบันใจของเราต้องไม่มีทุกข์อะไร ใจของเราต้องบริสุทธิ ใจของเราต้องไม่มีหนี้ไม่มีสิน ต้องเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม ต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาเพื่อไม่ให้อดีตมันครอบงำสติปัญญาเรา เราไม่ต้องให้อนาคตสิ่งเหล่านั้นครอบงำสติปัญญาของเรา ปัจจุบันนี้เราต้องรู้ต้องเข้าใจ เพื่อปฏิบัติตัวเองให้สมบูรณ์

 

ความคิดของเราไม่ตรึกนึกคิดในเรื่องกามเรื่องพยาบาท เราต้องรู้เข้าใจว่าเราไม่ตายก็ต้องมีความคิด เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเป็นใหญ่เฉพาะตน รูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณได้ทำความหน้าที่ความเป็นประภัสสร ทำหน้าที่เป็นใหญ่เฉพาะตน เค้าก็ทำหน้าที่ของเค้าไม่ขาดตกบกพร่อง ให้รู้เข้าใจ เพราะธาตุขันธ์อายตนะเขาทำหน้าที่ของเขาจนกว่าหมดอายุขัย

 

ให้เรารู้เข้าใจ ธาตุทั้ง ๔ ดินน้ำลมไฟเค้าก็ทำหน้าที่ของเค้าเพราะเค้าเป็นใหญ่เฉพาะตน ขันธ์ทั้ง ๕ รูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณเขาก็ทำหน้าที่ของเขา เขาก็ทำหน้าที่ไม่มีเวลาหยุดเลย

 

เราต้องรู้เข้าใจในเรื่องหน้าที่ของแต่ละอย่าง เราจะได้รู้เรื่องหน้าที่ เราจะไม่ได้ลิดรอนสิทธิเสรีภาพในธาตุทั้ง ๔ ดินน้ำลมไฟ เราจะไม่ได้ลิดรอนสิทธิเสรีภาพในขันธ์ทั้ง ๕ รูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ เราจะไม่ได้ลิดรอนสิทธิอายตนะ ตาหูจมูกลิ้นกายใจ ความรู้ความเข้าใจในสิ่งต่าง ๆ นี้ เราต้องพากันรู้พากันเข้าใจ

 

เราอาศัยหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม อาศัยพระธรรมพระวินัย สิกขาบทน้อยใหญ่ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้บำเพ็ญพุทธบารมีหลายอสงไขยหลายล้านชาติหลายล้านปีนี้แหละเป็นหลักการอุดมการณ์

 

เราทั้งหลายให้รู้เข้าใจ เราทั้งหลายมีสิทธิเสรีภาพพอ ๆ กันเท่าเทียมกัน เราต้องพากันรู้อริยสัจสี่อย่างนี้ เรามามีปิติในความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อกลั่นกรองคัดกรองเอาความถูกต้อง ถ้าเรารู้เข้าใจ เราพัฒนาสิ่งที่ถูกต้องให้สมบูรณ์ มันเป็นชีวิตที่ก้าวไปข้างหน้า ไม่ถอยกลับไปกลับมา ด้วยความรู้ความเข้าใจว่าพระธรรมพระวินัยนี้เป็นสิ่งที่ให้เราประพฤติปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องด้วยความรู้ความเข้าใจ เราทั้งหลายถึงจะรู้หลักการรู้อุดมการณ์อุดมธรรม เพื่อเอาศีลเอาสมาธิเอาปัญญา มาใช้มาประพฤติมาปฏิบัติ การประพฤติการปฏิบัติของเรามันก็จะชำนิชำนาญ

 

เหมือนกับเราไปเรียนหนังสือใหม่ ๆ เรายังไม่รู้ไม่เข้าใจ เราไปเรียนหลาย ๆ วันมันก็รู้เข้าใจ การทำอะไรติดต่อต่อเนื่องมันก็ชำนิชำนาญจากต้นสู่กลางสู่ละเอียด

ในชีวิตประจำวันเราทุกคน เรียกว่าคนก็แล้วกัน เพราะยังเป็นเสขบุคคล ยังเป็นบุคคลที่ต้องประพฤติปฏิบัติยังถือว่าคน ยังไม่ใช่พระ ถ้าพระจะมีความสงบและปัญญา จะมีปัญญาและความสงบ เป็นความเคารพเป็นความสงบเป็นความซื่อสัตย์

 

คำว่าพระจะรู้จักอริยสัจสี่ ไม่ลิดรอนสิทธิเสรีภาพ เป็นความสงบเป็นความเย็นเป็นพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบันไม่รอตายไม่รอชาติหน้า เข้าถึงพระนิพพานในปัจจุบัน เป็นความสงบและปัญญาเป็นบริสุทธิคุณ นี้เรายังเป็นเสขบุคคลคือบุคคลที่ยังต้องประพฤติปฏิบัติ เรียกว่าคนก็แล้วกัน

 

เราทั้งหลายถึงจะไม่ได้มีมานะ ไม่มีทิฏฐิที่เป็นนิติบุคคลตัวตน มานะทิฏฐิที่เป็นนิติบุคคลตัวตน มันมาหยุดเรา มันเป็นรายการคั่นเวลา ทำให้เราเสียเวลาประพฤติปฏิบัติติดต่อต่อเนื่อง เหมือนกับที่มีรายการดี ๆ น่าติดตามทางโทรทัศน์ แล้วจะมีรายการโฆษณาสรรพสินค้าคั่นรายการ

 

ตัวตนความรู้ไม่เข้าใจมันจะมาคั่นรายการนะ

เราไม่รู้ไม่เข้าใจ เราก็ไปหลงไปเพลิดเพลิน รูปสวย ๆ เสียงเพราะ ๆ กลิ่นหอม ๆ รสอร่อย ๆ โผฏฐัพพะธรรมารมณ์ ลาภยศสรรเสริญมันจะคั่นรายการนะ

 

เราต้องรู้เข้าใจ ถ้าไม่รู้เข้าใจ เราจะร้องโอย ๆ ไปกับผัสสะ ไปกับอารมณ์ไปตามสิ่งแวดล้อม เราอย่าไปหลงรายการนะ เดี๋ยวเราเสียกิจการ เสียการประพฤติการปฏิบัติ

 

เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจเรื่องรายการต่าง ๆ ทีมั่นเกิดกับเราทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ ต้องรู้จักรายการรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะธรรมารมณ์มันจะมาลิดรอนตัดรอน มันจะมาโฆษณาคั่นรายการ

 

เราทั้งหลายต้องมารู้เข้าใจในสิ่งต่าง ๆ ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบอกเราทั้งหลายว่า เราทั้งหลายต้องมาดูโลกนี้ที่น่าบันเทิงรื่นเริงสวยสดงดงามที่มาคั่นรายการ ผู้ไม่รู้ไม่เข้าใจหลงอยู่ แต่ท่านผู้รู้หาข้อหาหลงอยู่ไม่

 

ต้องผ่านไปด้วยความรู้ความเข้าใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเป็นเพียงแต่อาคันตุกะที่สัญจรไปมาของธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะ ๑๒ อันนี้มันเป็นโฆษณาที่มาคั่นรายการ

 

ให้เราทั้งหลายรู้ข้อสอบ เราจะได้ตอบด้วยความเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างนี้มันเพียงปรากฏการณ์ชั่วครู่ชั่วยาม เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ไม่มีอะไร เรามีตาสิ่งเหล่านั้นก็มีรูป เรามีหูสิ่งเหล่านั้นก็มีเสียง เรามีจมูกสิ่งนั้นก็มีกลิ่น เรามีลิ้นสิ่งนั้นก็มีรส เรามีกายสิ่งนั้นถึงมีสัมผัส เรามีใจถึงมีการรู้สึกนึกคิดนี้คืออาคันตุกะสัญจรไปมาชั่วครู่ชั่วยาม เราต้องรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นคืออาคันตุกะสัญจรไปมา มันไม่แน่ไม่เที่ยง ความว่างเปล่าเป็นความประภัสสร สิ่งที่สัญจรไปมาเป็นเพียงอาคันตุกะ เราจะได้ผ่านไปด้วยความรู้ความเข้าใจ

 

ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ เป็นเด็กเป็นคนหนุ่มคนสาวเป็นคนแก่คนเฒ่าคนชราก็จะก้มหน้าก้มตาเล่นแต่โทรศัพท์ ดูแต่โทรศัพท์ เป็นเอกภาพแห่งความหลงไป เราจะได้ผ่านไปด้วยความรู้ความเข้าใจ ผ่านผัสสสะไปด้วยความรู้ความเข้าใจ ยกทุกอย่างเข้าสู่พระไตรลักษณ์ เป็นทุกข์ขัง อนิจจัง อนัตตา ทุกอย่างมันไม่แน่ไม่เที่ยงเป็นเพียงอาคันตุกะสัญจรไปมา

 

เราต้องมารู้วัตถุ รู้ทั้งเรื่องจิตเรื่องใจ เพื่อเอาทางสายกลางนำชีวิต เราจะได้รู้จักปรากฏการณ์หรือว่ารู้จักทางสายกลาง เพื่อรู้จักโฆษณาชวนเชื่อชวนหลงว่าทุกอย่างเป็นเช่นนั้นเอง ไม่มีอะไรมาก

 

เราต้องผ่านไปด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยปิติด้วยความสุขเอกัคคตาในปัจจุบันในชีวิตประจำวันต้องผ่านวาระให้ได้ เพื่อคัดกรอง กลั่นกรอง เอาแต่สิ่งที่ดีที่ประกอบด้วยปัญญา

 

เราทั้งหลายต้องพากันเข้าใจ พากันมาเจริญสติปัฏฐาน ยกเลิกความหลงความเพลิดเพลินความประมาท เพราะความเพลิดเพลินความหลงความประมาทให้เรารู้เข้าใจ มันเป็นความเสียหายมันเป็นการพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกันกับตึก สตง.ไม่มีผิดเลย ตึกสตง.สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ในประเทศไทยของเรามีตึกใหญ่ตึกสูงกว่าตึก สตง.ตั้งหลายสิบตึก ตึกทั้งหลายไม่พัง มันพึงตึกเดียวคือตึก สตง. ทำไมถึงพัง เพราะความผิดความทุจริตนำชีวิต เอาความไม่ถูกต้องนำชีวิตมันถึงพังทลาย

 

เราต้องรู้เข้าใจ เราอย่าเอาความผิดนำชีวิตเอาความหลงนำชีวิต เรามามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบปฏิบัติตรง ไม่งงไม่หลงอยู่ในรายการต่าง ๆ ที่มันเกิดขึ้นจากธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๑๒ เราต้องก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ

 

ธรรมะเป็นของละเอียดอ่อนเป็นความสงบและปัญญา เป็นความตั้งใจตั้งเจตนา เป็นธรรมะที่มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในปัจุนับน เพราะธรรมวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่มันเป็นยานที่จะนำเราออกจากวัฏฏสงสารด้วยความรู้ความเข้าใจ เราจะได้ผ่านรายการต่าง ๆ ที่มันเกิดขึ้นจากธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะ ๑๒ เราจะผ่านรายการต่าง ๆ ไปด้วยความรู้ความเข้าใจ

 

เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ ทุกคนต้องทวนกระแสนะ ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อตัวเพื่อตนเป็นไปเพื่อนิติบุคคล ไปเพื่อความหลงความเพลิดเพลิน ธรรมเหล่านั้นไม่ใช่คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

 

เราทุกคนต้องพากันมามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการทวนกระแส เราจะไม่ได้หลงไปในรายการ ไม่ได้เพลิดเพลินกับรายการต่าง ๆ ที่มันเกิดขึ้นกับเราทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ เกิดขึ้นจากธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะ ๑๒ เราต้องผ่านไป

 

เราต้องพากันมาเสียสละ มาละความยึดมั่นถือมั่น ช่างผัวเผือกช่างผัวมัน เหมือนในหลวงรัชกาลที่ ๙ ของมหาชนชาวไทย ท่านตรัสบอกแก่มหาชนชาวไทยและชาวโลกว่า เราต้องรู่จักอริยสัจสี่ รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เราต้องผ่านไปด้วยความรู้ความเข้าใจ ที่มีคำพูดที่ลึกซึ้งกินใจว่าให้ปล่อยวางไป ช่างหัวเผือกช่างหัวมัน ทุกอย่างเราต้องรู้เข้าใจ ถ้าเราไม่รู้เข้าใจ มันก็จะไปของมันเรื่อยมันไม่จบ เพราะความหลงความเพลิดเพลินความประมาทมันไม่จบ เราต้องปล่อยไป สิ่งทั้งหลายทั้งปวงช่างผัวเผือกช่างหัวมัน เราอยากได้มากมันก็ไม่มากมันก็เท่าเก่า อยากได้น้อยมันก็ไม่น้อยมันก็เท่าเก่า เพราะทุกอย่างนั้นคือความเป็นประภัสสร เราต้องผ่านไปด้วยความรู้ความเข้าใจ

 

เราให้เข้าใจนะ เราไม่ต้องไปอาศัยใครหรอก อาศัยการประพฤติการปฏิบัติของเรา เรารู้หลักการอุดมการณ์อุดมธรรม เรามามีปิติมีความสุขกับการประพฤติการปฏิบัติ เราไม่ต้องอาศัยใคร อาศัยหลักการขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้พวกเราเข้าใจนะ พระพุทธเจ้านั้นไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน พระพุทธเจ้าคือพระธรรมพระวินัย พระพุทธเจ้าคือพระนิพพาน พระนิพพานคือศีลคือสมาธิคือปัญญา เป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหตุเหนือผลเป็นการพัฒนาวิทยาศาสตร์ พัฒนาใจไปพร้อม ๆ กัน เป็นความสงบและปัญญา เป็นพระนิพพานตั้งแต่ปัจจุบันนี้ เป็นประโยชน์ทั้งปัจจุบันนี้เป็นประโยชน์ทั้งอนาคตด้วยความรู้ความเข้าใจ

 

พระธรรมพระวินัยคือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระอานนท์ตรัสทูลถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ข้าแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เจริญ เมื่อพระพุทธองค์ทรงเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว จะเอาใครเป็นตัวแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระเจ้าข้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสกับพระอานนท์ว่า ดูก่อนอานนท์ อานนท์เอย

 

เมื่อเราล่วงลับไปแล้ว เธอทั้งหลายอาจจะคิดว่าบัดนี้พวกเธอไม่มีศาสดาแล้วจะพึงว้าเหว่ไร้ที่พึ่ง อานนท์เอย! จึงประกาศให้ทราบทั่วกันว่า ธรรมวินัยอันใดที่เราได้แสดงแล้วบัญญัติแล้ว ขอให้ธรรมวินัยอันนั้นจงเป็นศาสดาของพวกเธอแทนเราต่อไป เธอทั้งหลายจงมีธรรมวินัยเป็นที่พึ่ง อย่าได้มีอย่างอื่นเป็นที่พึ่งเลย

พระอานนท์ได้ตรัสทูลถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ถ้ามีความลังเลสงสัยว่าอันไหนเป็นคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันไหนไม่ใช่คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะให้ข้าพเจ้าทำอย่างไร

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าให้เอาธรรมตัดสินพระวินัย ๘ ประการมาเทียบเคียงคู่เพราะเป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรมได้ ธรรมตัดสินวินัย ๘ ประการมีอะไรเล่า ธรรมตัดสินพระวินัย ๘ ประการก็ได้แก่

 

ลักษณะตัดสินธรรมวินัยที่เราเอามาพิจารณาเรื่องปฏิจจสมุปบาทที่เป็นธรรมตัดสิน ๘ ประการ

 

ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อ
      ๑. วิราคะ คือ ความคลายกำหนัดยินดี เราต้องรู้จักความกำหนัดยินดี มันเป็นความติดพัน การตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงใช้หญ้าคามาเป็นบัลลังก์ในการตรัสรู้ เราต้องรู้กระบวนการของปฏิจจสมุปบาท เราถึงจะได้ยกเลิกความกำหนัดยินดี ถ้าเรามีความกำหนัดยินดีเราก็ย่อมมีปฏิฆะ มีพยาบาท เราคิดดูดี  ๆ นะ กามและพยาบาทมันคือนิติบุคคลตัวตน มันยึดมั่นถือมั่น มันติดพันเพราะความยึดมั่นถือมั่นมันเป็นสัญชาตญาณ เป็นนิติบุคคลตัวตน ความติดพัน ไม่เป็นอิสระ เราต้องรู้เข้าใจเรื่องกระบวนการของปฏิจจสมุปบาทเราทั้งหลายจะได้คลายความกำหนัด ความยินดี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงไม่ให้เราเอาสัญชาตญาณนำชีวิตที่มันเป็นกระบวนการของปฏิจจสมุปบาทไม่เอาความยินดียินร้ายนำชีวิต เพราะความยินดียินร้ายนี้เป็นนิติบุคคลตัวตน เป็นวัฏฏสงสาร


       ๒. วิสังโยค คือ ความหมดเครื่องผูกรัด ความไม่ประกอบ มิใช่เพื่อผูกรัด หรือประกอบทุกข์ เราจะมาทำที่สุดแห่งความดับทุกข์ไม่มีทุกข์ เราจะได้เอาตัวรอดในทางที่รอดปลอดภัยด้วยอริยมรรคมีองค์ ๘


       ๓. อปจยะ คือ ความไม่พอกพูนไม่เพิ่มพูนกิเลส มิใช่เพื่อความพอกพูนกิเลสอวิชชาความหลง เราต้องรู้เข้าใจในเรื่องเหตุปัจจัยในเรื่องปฏิจจสมุปบาท


       ๔. อัปปิจฉตา คือ ความอยากอันน้อย ความมักน้อย มิใช่เพื่อความอยากอันใหญ่ ความมักใหญ่ เป็นผู้มักมากอยากใหญ่ เราต้องรู้เข้าใจ เพราะทุกอย่างนั้นเป็นธรรมชาติเป็นประภัสสร เช่น ความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพราก นี้เป็นประภัสสรทุกอย่างเป็นธรรมชาติเป็นตัวของธรรมชาติหาใช่นิติบุคคลตัวตนไม่ เราทั้งหลายต้องรู้จักเรื่องปฏิจจสมุปบาท เราจะได้เอาความสงบและปัญญาที่เป็นพื้นฐานเป็นกรรมฐาน เพื่อเข้าถึงความพอดีความพอเพียงเพียงพอ เราต้องรู้เข้าใจเรื่องสิทธิเสรีภาพ เรื่องที่ไม่ลิดรอนสิทธิเสรีภาพ เราคิดดูดี ๆ นะ เราอยากให้มันมากมันก็ไม่มากอยากให้มันน้อยมันก็ไม่น้อย อยากให้มันแก่มันก็แก่อยากให้ไม่เจ็บมันก็เจ็บ อยากให้ไม่ตายมันก็ตาย เพราะธรรมชาติมันเป็นประภัสสร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงให้เรารู้ทุกข์ รู้มาจากปลายจากกิ่งจากลำต้นไปถึงโคนถึงราก รากนั้นคือความไม่รู้ไม่เข้าใจ ความไม่รู้ไม่เข้าใจนี้แหละทำให้เราเวียนว่ายตายเกิด อริยสัจสี่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงพูดเรื่องทุกข์ก่อน ว่าทุกข์มันมาจากไหน ให้มาจากยอดกิ่งก้านสาขามาถึงโคนต้นไม้มาถึงรากใหญ่รากเล็กรากฝอยของต้นไม้ที่เป็นอาหารของต้นไม้


       ๕. สันตุฏฐี คือ ความสันโดษ มิใช่เพื่อความไม่สันโดษ ความสันโดษนี้จะเป็นความพอเพียงเพียงพอ จะเป็นพื้นฐาน มันจะเป็นกรรมเป็นกฎของกรรมด้วยความรู้เรื่องอริยสัจสี่ เราทั้งหลายต้องเข้าถึงความพอดีความพอเพียงเพียงพอ เพื่อเอาอริยมรรคมีองค์ ๘ มาใช้มาปฏิบัติเพื่อเป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม


       ๖. ปวิเวก คือ ความสงัด มิใช่เพื่อความคลุกคลีอยู่ในหมู่ เราต้องรู้เรื่องความวิเวก ความสงัด ความไม่คลุกคลี เราจะเข้าถึงความวิเวกได้เราก็อาศัยเหตุปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี พระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ ให้เราปฏิบัติให้สมบูรณ์ ทั้งกายวาจากิริยามารยาท สมบูรณ์ทั้งใจในการประพฤติการปฏิบัติเพื่อจะเป็นมรรคเป็นอริยมรรต้องสมบูรณ์ ไม่ขาดตกบกพร่อง เพราะว่าพระธรรมพระวินัยเป็นทั้งคำสั่ง เป็นทั้งคำสอน เป็นทั้งสมถะ เป็นทั้งวิปัสสนา ปัจจุบันนี้เราต้องตั้งใจตั้งเจตนา เอาความคารวธรรมนำชีวิต คารวธรรมก็ได้แก่

 

 คารวะ หรือ คารวตา ๖ ความเคารพ การถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะพึงใส่ใจและปฏิบัติด้วยความเอื้อเฟื้อด้วยความตั้งใจตั้งเจตนา หรือโดยความตั้งมั่นหนักแน่นเอาจจริง ๆ จัง ๆ การมองเห็นด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิ เห็นคุณค่า เห็นความสำคัญแล้วปฏิบัติต่อบุคคลอื่นหรือต่อวัตถุนั้น ๆ โดยถูกต้อง ด้วยความจริงใจ เป็นเหตุให้เกิดสติเกิดปัญญา เป็นโอกาสเป็นเวลาที่เราจะได้ละอัตตาตัวตน เราทั้งหลายจะได้มีความสงบมีปัญญา

 

ข้อที่ ๑ ของคารวธรรม ๖ ได้แก่ สัตถุคารวตา ความเคารพในพระรัตนตรัย ในพระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตรต่าง ๆ  เพื่อยกเลิกสัญชาตญาณที่เป็นนิติบุคคลตัวตน ถ้ามีตัวตนมีตนแล้วมันก็ตกอยู่ในสัญชาตญาณมันเป็นการเอาตัวตนครองธาตุครองขันธ์ครองอายตนะ เป็นการที่เราไม่ได้เอาความถูกต้อง ไม่ได้เอาพระรัตนตรัยนำชีวิต ด้วยการเอาตัวเอาตนนำชีวิต เอาอีโก้นำชีวิต ข้อนี้บางแห่งเขียนไว้ในหนังสือ ว่าเราทุกคนต้องเคารพคารวะต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้านั้นคือพระธรรมคือพระวินัย ข้อวัตรกิจวัตร ในการดำเนินชีวิต เราทั้งหลายต้องเคารพในพระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตรต่าง ๆ เพราะพระธรรมพระวินัยเป็นพระรัตนตรัยเป็นพระพุทธพระธรรมพระอริยสงฆ์ พระอานนท์ได้ตรัสทูลถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้วจะให้ตั้งใครแทนองค์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่นตรัสว่า อานนท์เอย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เอาพระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตรต่าง ๆ ให้เราพากันจับหลักจับประเด็นให้ได้ พระธรรมพระวินัยแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ที่อยู่ในพระไตรปิฎก แบ่งเป็น พระวินัยปิฎก ๒๑,๐๐๐ พระสูตร ๒๑,๐๐๐ พระอภิธรรม ๔๒,๐๐๐ รวมกันเป็น ๘๔,๐๐๐ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าให้เอาพระธรรมเอาพระวินัยข้อวัตรกิจวัตรต่าง ๆ แทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราทั้งหลายต้องมาเคารพคารวะในพระรัตนตรัยคือพระธรรมพระวินัยคือข้อวัตรข้อปฏิบัติเป็นธรรมที่จะทำให้เราเจริญไม่มีความเสื่อม

 

 ข้อที่ ๒ ธัมมคารวตา เคารพในพระธรรม ตั้งอยู่ในความไม่เพลิดเพลิน ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท เพราะการประพฤติการปฏิบัติเน้นที่ปัจจุบัน กงเกวียนกงกรรม ปัจจุบันเป็นสิ่งที่สำคัญ ปัจจุบันเป็นวาระแห่งชาติ เราอย่าได้ไปประมาท ประมาทเล็กน้อยก็ผิดพลาดเล็กน้อย ประมาทปานกลางก็ผิดพลาดปานกลาง ประมาทอย่างใหญ่ก็ผิดพลาดอย่างใหญ่ ให้รู้เข้าใจเรื่องความประมาท องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนที่ท่านจะเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพานท่านได้ตรัสแก่พระภิกษุทั้งหลายว่า การประพฤติการปฏิบัติ ปัจจุบันเป็นวาระสำคัญ เป็นวาระแห่งชาติในการประพฤติการปฏิบัติเธอทั้งหลายจงทำความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด อย่าคิด่าเรามีปัญญา เราจะแก้ปัญหาได้ เมื่อเรามีปัญญาเราก็ต้องมีพระธรรมพระวินัย เพราะพระธรรมพระวินัยเป็นสิ่งที่มีแต่คุณมีแต่ประโยชน์ เมื่อเรามีปัญญาเราก็ต้องมีความสงบ เมื่อเรามีความสงบเราก็ต้องมีปัญญา เราทั้งหลายต้องพากันรู้เข้าใจ เราต้องเคารพคารวะในธรรมในสภาวธรรม เพราะทุกอย่างคือกรรมคือกฎแห่งกรรมคือผลของกรรม ที่เรามีธาตุทั้งสี่ขันธ์ทั้งห้าอายตนะหกมันเป็นผลของกรรมในการเวียนว่ายตายเกิดที่เราทุกคนไม่รู้ไม่เข้าใจ

 

ข้อที่ ๓. สังฆคารวตา ความเคารพในสงฆ์สาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สงฆ์สาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้แก่ ผู้ที่มีปัญญาสัมมาทิฏฐิมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบปฏิบัติตรงปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์เป็นผู้ปฏิบัติสมควรปฏิบัติเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ ไม่ตึงเกินไปไม่หย่อนเกินไป มีความสงบมีปัญญาไปพร้อม ๆ กันมีศีลมีสมาธิมีปัญญาไปพร้อม ๆ กันเป้นผู้ที่สมควรแก่พวกเราทั้งหลายต้องเคารพกราบไหว้บำรุงกับท่านผู้นั้น เพราะท่านผู้นั้นก็ได้แก่ความสงบและปัญญา ยกเลิกอัตตายกเลิกตัวตนไม่มีอีโก้อะไร มีแต่ความสงบมีแต่ปัญญา

 

ข้อที่ ๔. สิกขาคารวตา หมายถึงเคารพในการเรียนการศึกษา มนุษย์เราต้องมีการเรียนการศึกษา การเรียนการศึกษาของมนุษย์มีอยู่ทั้งหมด ๑๘ อย่าง ๑๘ อย่างมีอะไรบ้าง ๑๘ อย่างก็ได้แก่

  1. ยุทธศาสตร์ วิชานักรบ
  2. รัฐศาสตร์ วิชาการปกครอง
  3. นิติศาสตร์ วิชากฎหมายและจารีตประเพณีต่างๆ
  4. วาณิชยศาสตร์ วิชาการค้า
  5. อักษรศาสตร์ วิชาหนังสือ
  6. นิรุกติศาสตร์ วิชารู้ภาษาของตนแตกฉานดี และรู้ภาษาของชนชาติที่ติดต่อกัน
  7. คณิตศาสตร์ วิชาคำนวณ
  8. โชติยศาสตร์ วิชาดูดวงดาวต่างๆ คือรู้จักว่าดวงดาวนั้นๆ ตั้งอยู่ทางทิศนั้นๆ และประจำเมืองนั้นๆ และรู้จักสีแสงของดวงดาวต่างๆ อันบอกลางดีและลางร้ายในกาลบางครั้ง
  9. ภูมิศาสตร์ วิชารู้พื้นที่ต่างๆ หรือรู้จักแผนที่ของประเทศต่างๆ
  10. โหราศาสตร์ วิชาโหร คือรู้พยากรณ์เหตุการณ์ต่างๆ ได้ และรู้ทายดวงชะตาราศีของคนได้ด้วย
  11. เวชศาสตร์ วิชาหมอยา
  12. สัตวศาสตร์ วิชารู้ลักษณะของสัตว์และเสียงสัตว์ว่าร้ายหรือดี
  13. เหตุศาสตร์ วิชารู้เหตุเป็นแดนเกิดแห่งผลว่าร้ายหรือดี
  14. โยคศาสตร์ ยันตรศึกษา คือรู้จักความเป็นช่างกล
  15. ศาสนศาสตร์ วิชารู้เรื่องศาสนา คือรู้จักประวัติความเป็นมาแห่งศาสนาทุกๆ ศาสนาที่มหาชนนิยม เพื่อปฏิบัติไม่ขัดแก่สังคมใดๆ และรู้คำสอนในศาสนานั้นๆ ด้วย
  16. มายาศาสตร์ วิชารู้กลอุบาย หรือรู้ตำรับพิชัยสงคราม
  17. คันธรรพศาสตร์ วิชาคนธรรพ์คือวิชาร้องรำ(ละคอน) ที่เรียกชื่อว่า "นาฏยศาสตร์" และวิชาดนตรีปี่พาทย์ ที่เรียกชื่อว่า "ดุริยางคศาสตร์"
  18. ฉันทศาสตร์ วิชาประพันธ์ คือแต่งหนังสือได้ ทั้งที่เป็นร้อยกรอง(บทกลอน) และร้อยแก้ว(ความเรียง)

 

เราทุกคนเกิดมา ต้องรู้ต้องเข้าใจ เราต้องมีทั้งตาเนื้อตาหนังตาปัญญาเพื่อความรู้ความเข้าใจ มนุษย์เราต่างจากสรรพสัตว์ทั้งหลายก็เพราะมาจากการเรียนการศึกษา การเรียนการศึกษานี้เป็นความรู้ความเข้าใจมันไม่ใช่ความจำ การที่เราไม่รู้ไม่เข้าใจความหมาย เราไปเรียนหนังสือ ไปศึกษาค้นคว้า ไปฟังการบรรยายความหมายเพื่อความรู้ความเข้าใจ เพื่อจะเอาความรู้ความเข้าใจไปประพฤติปฏิบัติให้เกิดความสงบเกิดปัญญา ให้เกิดปัญญาเกิดความสงบ ไม่ใช่ไปเรียนไปศึกษาเพื่ออัตตาตัวตนให้รู้เข้าใจ เราทั้งหลายอย่าไปคิดว่าการเรียนการศึกษานั้นเพื่อตัวเพื่อตน ไม่ใช่นะ การเรียนการศึกษาเพื่อเสียสละเพื่อละตัวละตน พระนักปฏิบัติทั้งหลายอยู่ป่าอยู่เขา ที่มุ่งมรรคผลพระนิพพานอย่าไปว่าให้ในบ้านในเมืองในกรุง เค้าเรียนเค้าศึกษา ไปว่าให้เค้าเรียนศึกษาเพื่อตัวเพื่อตนเพื่อยศเพื่อตำแหน่ง การเรียนการศึกษาความรู้ต้องคู่กับการประพฤติการปฏิบัติให้เข้าใจอย่างนี้ เรามีความคิดเห็นผิดเข้าใจผิด เราไม่เรียนไม่ศึกษาเรายังไปว่าให้เค้าอีกเรายังไปตำหนิเค้าอีกนั้นไม่ได้ ผู้ที่เป็นพระธรรมกถึกก็ต้องรู้เข้าใจ ผู้ที่เป็นวินัยธรก็ต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะไม่ได้ทะเลาะกัน จะได้ไม่ยกหูชูงวงในการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายจะรู้การประพฤติการปฏิบัติ เพราะการประพฤติการปฏิบัตินั้นรู้เข้าใจอยู่ที่ไหนก็พากันปฏิบัติที่นั่นอยู่ที่ไหนเรามีธาตุทั้งสี่ขันธ์ทั้งห้าอายตนะทั้งหกเราก็ปฏิบัติที่นั่น ธรรมะคือความสงบคือปัญญา ธรรมะนั้นลดทิฏฐิมานะอัตตาตัวตนธรรมะจะมีแต่ความสงบมีแต่ปัญญา เราเป็นนักปฏิบัติอยู่ในป่าในเขา เป็นผู้เรียนผู้ศึกษาอยู่ในเมืองกรุงทั้งหลายอย่าไปทะเลาะกัน เราทั้งหลายต้องมีความสงบมีความเคารพ เพราะตัวตนมันปรุงมันแต่งมันไม่สงบไม่เคารพมีแต่อัตตาตัวตน ผู้ที่อยู่ในเมืองกรุง อยู่ชนบทอยู่ป่าอยู่เขา เราทั้งหลายก็ต้องมีความสงบมีปัญญามีพระธรรมพระวินัยเป็นเครื่องอยู่ก้าวไปด้วยความสงบด้วยปัญญา ไม่ใช่ก้าวไปด้วยอัตตาตัวตนไม่ใช่ก้าวไปด้วยอีโก้ยกหูชูงวงให้รู้เข้าใจ

 

ข้อที่ ๕ อัปปมาทคารวตา ความเคารพในความไม่ประมาท ความประมาทคือความผิดพลาดแน่นอนนอนแน่ ให้เราเข้าใจ ถ้าใครมีความประมาทคนนั้นย่อมผิดพลาดแน่นอน พากันไปเผยแผ่ถ้าไปประมาทก็ต้องนอนแผ่ด้วยความประมาทผิดพลาดนะ ให้เข้าใจอย่างนี้ ให้เราละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป หวาดสะดุ้งเกรงกลัวต่อบาปอย่าไปคิดว่าตัวเองมีปัญญามากจะเอาตัวรอด เดี๋ยวจะเป็นการเก็บเล็กผสมน้อยของความประมาทจะเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตมันจะพังทลายเหมือนตึก สตง.ของเมืองไทย สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ก็เพราะเอาความประมาทนำชีวิต เอาตัวตนนำชีวิต เอาอีโก้นำชีวิต เราต้องเข้าใจในเรื่องของความประมาทนะ เข้าใจในเรื่องความไม่ประมาทนะ ความไม่ประมาทมีแต่คุณมีแต่ประโยชน์ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้มีเมตตาบอกมหาชนทั้งหลาย ในกาลเวลาที่ท่านจะเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพานว่า ความประมาทนี้เป็นอันตรายที่ยิ่งใหญ่ใหญ่ยิ่ง

 

ข้อที่ ๖ ข้อสุดท้ายของคารวธรรม คือเคารพในพระธรรม เคารพในการต้อนรับปฏิสันถาร ไม่แบ่งชั้นวรรณะ เป็นผู้ให้เป็นผู้เสียสละ ไม่หวังอะไรตอบแทน เทคแคร์ทุก ๆ คนเหมือนกัน มนุษย์เราคือผู้ที่รู้เข้าใจว่ามนุษย์เราต้องเอาธรรมนำชีวิต เอาทางสายกลางระหว่างวัตถุกับจิตใจไปพร้อม ๆ กัน เป็นผู้ที่ไม่ไปตามผัสสะ ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม รู้เข้าใจแล้วให้ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นดับลงเพียงผัสสะ ไม่เอาความชอบความชัง ไม่เอาความดีใจเสียใจ เอาความสงบและปัญญา เอาศีลเอาสมาธิเอาปัญญาเป็นการดำเนินชีวิต เน้นที่ปัจจุบันด้วยความรู้ความเข้าใจ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ละอดีตที่ผ่านไปแล้ว ปัจจุบันเป็นวาระสำคัญ ได้ทั้งประโยชน์ชาตินี้ ได้ทั้งประโยชน์ชาติหน้า เน้นที่ปัจจุบัน เป็นผู้ที่รู้จักอริยสัจสี่ รู้จักทุกข์ รู้จักเหตุเกิดทุกข์ รู้จักข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เป็นผู้มีศีลเป็นผู้ที่มีสมาธิ เป็นผู้ที่มีปัญญา มีสติมีปัญญา เป็นความรู้ความเข้าใจเป็นประภัสสร รู้สิ่งที่สัญจรไปมาในเรื่องอาคันตุกะ ชั่วครู่ชั่วยาม การต้อนรับปฏิสันถารในแขกที่มาเยี่ยมเยือน เราต้องทำหน้าที่ของเราให้ถูกต้อง มาทางตาก็ให้จบเพียงตา มาทางหูก็ให้จบเพียงหู มาทางจมูกก็ให้จบเพียงจมูก มาทางลิ้นก็ให้จบเพียงลิ้น มาทางกายก็ให้จบเพียงกาย สิ่งทั้งหลายนั้นต้องให้จบลงเพียงผัสสะ

 

เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ จะได้ไม่เอาความหลงนำชีวิต ไม่เอาความผิดนำชีวิต เราต้องรู้จักสิ่งต่าง ๆ ตามความเป็นจริงว่าธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะ ๑๒ เป็นสิ่งที่สัญจรไปมาชั่วครู่ชั่วยามเราต้องต้อนรับด้วยความถูกต้องด้วยความรู้ความเข้าใจเพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเป็นประภัสสร เราทั้งหลายจะได้รู้ทางสายกลาง อดีตก็ให้จบไป อนาคตก็ให้เป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เราจได้มีปฏิปทาเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบปฏิบัติตรง เราจะได้ต้อนรับอาคันตุกะที่สัญจรไปมาด้วยคารวธรรม

 

ธรรมตัดสินพระวินัย ๘ ประการข้อที่ ๗. วิริยารัมภะ คือ การประกอบความเพียร มิใช่เพื่อความเกียจคร้าน ความสงบและปัญญาเราต้องรู้เข้าใจ เมื่อเรามีความสงบเราต้องเสียสละ ถ้าเราไม่เสียสละเราก็ไม่มีศีลไม่มีสมาธิไม่มีปัญญา ศีลสมาธิปัญญานั้นถึงเป็นพื้นเป็นฐาน เป็นอุปกรณ์ในการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายจะพากันเกียจคร้านไม่ได้ เพราะความเกียจคร้านนั้นเป็นนิติบุคคลตัวตน เราต้องผ่านไปด้วยความรู้ความเข้าใจ เราต้องขอบใจความขี้เกียจขี้คร้านเพื่อให้เราได้ทำความเพียร ศีลสมาธิปัญญาถึงต้องไปพร้อมกัน ผู้มีปัญญามากต้องมีความสงบมาก ผู้มีความสงบมากต้องเสียสละ ถึงมีศีลมีสมาธิมีปัญญา


      ธรรมตัดสินพระวินัย ๘ ประการข้อสุดท้าย  ๘. สุภรตา คือ ความเลี้ยงง่าย มิใช่เพื่อความเลี้ยงยาก นิติบุคคลตัวตนมีแต่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไปนอกจากทุกข์ไม่มีเลย เป็นบุคคลที่ไม่มีความสงบไม่มีปัญญา ไม่รู้เรื่องพระไตรลักษณ์ ไม่รู้เรื่องอนิจจังทุกขังอนัตตา ธรรมะที่เป็นไปเพื่อเป็นความเลี้ยงยาก เป็นความไม่อิ่มไม่เต็มไม่พอไม่เพียงพอ เราต้องรู้เข้าใจ เราเอาความหลงนำชีวิตนั้นไม่ได้ เอาความอยากความต้องการนำชีวิตนั้นไม่ได้ ต้องเอาพระธรรมเอาพระวินัย เอาความสงบและปัญญา เอาศีลเอาสมาธิเอาปัญญา


      ธรรมตัดสิน ๘ ประการ เมื่อให้เรามีความสงสัยให้เอาธรรม ๘ ประการมาเป็นหลักการ ให้เป็นอุดมการณ์อุดมธรรม ถึงจะเป็นพระธรรมพระวินัย เป็นสัตถุสาสน์ เป็นคำสั่งสอนขององค์พระศาสดาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

 

การประพฤติการปฏิบัติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้พวกเราเน้นที่ปัจจุบัน เพราะจะทำให้เราใช้ได้ทั้งปัจจุบันและอนาคต เพราะอดีตก็มารวมที่ปัจจุบันแล้วอนาคตก็มารวมที่ปัจจุบัน ปัจจุบันนี้พระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ให้รู้เข้าใจ พระธรรมพระวินัยทำให้เรามีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ ให้รู้เข้าใจว่าพระธรรมพระวินัยคือพระนิพพานบ้านของเรา อยู่เหนือเหตุผลอยู่เหนือความปรุงแต่ง ให้เรารู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายจะได้เข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ปัจจุบันไม่ต้องรอพระนิพพานชาติหน้า

 

ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าส่งพระอรหันต์ขีณาสพออกไปเผยแผ่ทางละรูปท่านได้ส่งออกไปเผยแผ่สัจจะบอกความจริงบอกเรื่องอริยสัจสี่ เรื่องทุกข์ เหตุเกิดทุกข์ ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ ว่ามนุษย์เราต้องมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เอาปัจจุบันเป็นวาระสำคัญแห่งชาติ ต้องเข้าถึงความเป็นมนุษย์ผู้ที่เห็นภัยในวัฏฏสงสารตั้งแต่ปัจจุบัน เข้าถึงคาวมเป็นเทวดาผู้ที่เห็นภัยในวัฏฏสงสารตั้งแต่ปัจจุบัน ต้องเป็นพระพรหมผู้ที่เห็นภัยในวัฏฏสงสารตั้งแต่ปัจจุบัน ให้เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสารในปัจจุบัน ปัจจุบันนี้ถึงเป็นวาระสำคัญของเราทุก ๆ คน

 

ให้เราทุกคนพากันเข้าใจ ว่าพระธรรมพระวินัยมีแต่คุณมีแต่ประโยชน์หาโทษมิได้เลย เราทั้งหลายน่ะมาระลึกถึงบริสุทธิคุณที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา ที่เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม พระวินัยถึงเป็นสิ่งที่มีผลใหญ่มีอานิสงส์มาก พระรรมพระนิวินัยคือบ้านของเรานะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสบอกพวกเราทั้งหลายว่า เราทั้งหลายมีโอกาสมีเวลา ต้องเอาความดีประกอบด้วยปัญญาตั้งอยู่ในความไม่หลงไม่เพลิดเพลินไม่ประมาท ตั้งอยู่ในอริยสัจสี่อย่างนี้ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้ตรัสปัจฉิมโอวาทครั้งสุดท้ายไว้ว่า

 

“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”

 

โอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ

ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ

ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู

ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรม ความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละคือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะว่าสิ่งเดิมนั้นคือความว่างเปล่า สิ่งที่สัญจรไปมาเป็นเพียงอาคันตุกะ เราจะได้เอาหลักการอุดการณ์ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นมรรคเป็นอริยมรรคที่ตรงกันข้ามกับโลกธรรม ให้รู้เข้าใจ เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรม พระนิพพานความรู้ความเข้าใจในเรื่องปฏิจจสมุปบาทจะเป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นพระนิพพานบ้านของเรา ไม่ใช่อวิชชาความหลงเป็นบ้านของเรานะ พระนิพพานคือบ้านของเรา ความสงบและปัญญาถึงเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราจะหยุดวัฏฏสงสารได้ด้วยความสงบและปัญญา ธรรมะนั้นถึงหยุดความปรุงแต่งได้ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิคู่กับการประพฤติการปฏิบัติ

 

-------------------------------------

โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม

เมตตาให้ไว้ในเช้าวันพุธที่ ๒๔ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

 

 

 


Visitors: 101,695