๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

วันนี้เป็นวันที่ ๑ เดือนตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ 

 

วันที่ ๑ ตุลาคม เป็นต้นของเดือนตุลาคม

เราทุก ๆ คนให้พากันเข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติของตน ปัจจุบันเป็นวาระแห่งการประพฤติการปฏิบัติ อดีตทั้งหลายที่ผ่านมาก็มารวมอยู่ที่ปัจจุบัน อนาคตจะไปข้างหน้าก็มารวมอยู่ที่ปัจจุบัน ปัจจุบันเป็นวาระสำคัญของเราทุก ๆ คน

 

ให้พวกเราทุก ๆ คนเข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ เรามามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติหน้าที่ ปัจจุบันคือกรรม คือกฎแห่งกรรม แล้วก็จะเป็นผลของกรรม กรรมทั้งกาย กรรมทั้งวาจา กรรมทั้งกิริยามารยาททั้งอาชีพมารวมลงที่ใจ เราทุกคนถึงต้องมารู้เรื่องของกรรม เรื่องกฎแห่งกรรม ผลของกรรม เพื่อเราทุกคนจะได้ทำหน้าที่ หน้าที่คือมรรค คืออริยมรรค เรามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เมื่อมันผ่านไปแล้วมันเกษียณไปแล้ว เราทั้งหลายก็พากันมาปล่อยมาวาง เอาปัจจุบันนี้เป็นวาระของการประพฤติการปฏิบัติ สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นจะได้จบลงในปัจจุบัน จบลงเพียงผัสสะ จะได้เป็นวาระไปในปัจจุบัน ความรู้ความเข้าใจนี้จะเป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา

 

มนุษย์เราต้องรู้เข้าใจ ชีวิตของเราจะได้ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ สติสัมปชัญญะถึงไปพร้อม ๆ กัน ความสงบและปัญญาไปพร้อม ๆ กัน ให้พวกเรารู้เข้าใจ ว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเป็นของชั่วครู่ชั่วยาม เป็นเพียงอาคันตุกะที่สัญจรไปมาตามเหตุตามปัจจัย

 

เราทั้งหลายพากันมาตั้งอกตั้งใจตั้งเจตนา ให้เข้าใจว่า กายวาจากิริยามารยาทอาชีพเป็นอุปกรณ์ของการประพฤติการปฏิบัติของเราทุก ๆ คน เราถึงต้องตั้งใจตั้งเจตนา เราเน้นที่ใจของเราทุก ๆ คน

 

การประพฤติการปฏิบัติธรรมะนั้นถึงไม่มีต่อหน้าและลับหลัง ไม่มีลับหลังและต่อหน้า เพราะเราต้องเน้นที่ใจของเราในปัจจุบัน เน้นที่ความตั้งใจ ตั้งเจตนา เพื่อให้กายวาจากิริยามารยาท เน้นลงที่ความสงบ เน้นที่ความเคารพ เน้นที่ปัญญา ความสงบและปัญญาถึงเป็นคู่กับการประพฤติการปฏิบัติ ปริยัติและปฏิบัติถึงเป็นคู่กันไป

 

เราทุกคนอาศัยสรีระร่างกายที่เป็นมนุษย์ ที่จะต้องมาสร้างบารมี สร้างความดีที่ประกอบด้วยปัญญา ปัญญาที่ประกอบด้วยความดี เราทั้งหลายด้วยเหตุผลนี้ถึงต้องตั้งใจตั้งเจตนา เราทั้งหลายต้องพากันเข้าถึงพระนิพพานในปัจจุบัน ทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งอาชีพรวมลงที่ใจในปัจจุบัน เพราะปัจจุบันนี้จะเป็นความดีเป็นปัญญาที่จะต้องก้าวไปด้วยปฏิปทา ที่ติดต่อต่อเนื่องเป็นขบวนการ เป็นกระแสของมรรคผลพระนิพพาน เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปถึงมี

 

เราทั้งหลายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสบอกพวกเราทั้งหลายว่า เธอทั้งหลายอย่าพากันประมาทนะ ให้พากันประพฤติพากันปฏิบัติในปัจจุบันทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งอาชีพรวมลงที่ใจที่เจตนา พากันมามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ อย่าพากันประมาท การปฏิบัติของเราต้องให้ติดต่อต่อเนื่องด้วยปิติด้วยความสุขเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เป็นความยึดมั่นถือมั่นที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นปัญญาที่ประกอบด้วยความยึดมั่นถือมั่น เป็นสัมมาทิฏฐิทั้งกายวาจากิริยามารยาทรวมลงที่ใจรวมลงที่เจตนา เพราะเหตุผลว่า ธรรมะคือหน้าที่ การปฏิบัติอย่างนี้มันจะได้ทั้งวัตถุได้ทั้งเรื่องจิตเรื่องใจไปพร้อม ๆ กันเป็นประโยชน์ทั้งปัจจุบันและอนาคต เป็นประโยชน์ตนและประโยชน์มหาชนด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยตั้งอยู่ด้วยความรู้ความเข้าใจในความไม่ประมาท ความสงบและปัญญานี้สลับกันไป อันหนึ่งเป็นสมถะ อันหนึ่งเป็นวิปัสสนา ธรรมชาตินั้นเป็นความพอดี เป็นความพอเพียงเพียงพอ ให้รู้ให้เข้าใจ ผู้มีปัญญามากก็ต้องมีความสงบ ผู้มีความสงบก็ต้องเสียสละ เพื่อทุกอย่างจะได้มีแต่คุณมีแต่ประโยชน์ ปัจจุบันถึงเป็นวาระสำคัญของเราทุก ๆ คน

 

เราพากันนอนพากันพักผ่อนให้เพียงพอ วันหนึ่งคืนหนึ่งเรานอนเราพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี เป็นโภชนีมัตตัญญุตา รู้จักประมาณในการบริโภค

 

ฆราวาสผู้ครองบ้านครองเมืองก็ต้องนอนพักผ่อนให้เพียงพอ ฆราวาสต้องนอนพักผ่อน ๖-๘ ชั่วโมง นักบวชก็นอนพักผ่อนจำวัด ๕-๖ ชั่วโมง ปัจจุบันเป็นวาระสำคัญของเราทุก ๆ คน เราทุกคนมาเน้นที่ตัวเราปฏิบัติที่ตัวเรา มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ให้เข้าใจว่าธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ จะได้เป็นประโยชน์ตนประโยชน์มหาชน ปัญหาต่าง ๆ นั้นให้เรารู้เข้าใจ ปัญหาต่าง ๆ นั้นอยู่ที่เรา ไม่ใช่อยู่ที่คนอื่น ปัญหาต่าง ๆ นั้นคือความไม่ถูกต้อง ความไม่ถูกต้องทางกายวาจากิริยามารยาทอาชีพมารวมลงที่ใจ ปัญหาต่าง ๆ นั้นมันอยู่ที่ความไม่ถูกต้อง ความไม่ถูกต้องมันได้เสียหายที่มันพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกับตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทย ตึกไหน ๆ เค้าก็ไม่พัง ไปพังตึกเดียว ไปพังตั้งแต่ตึก สตง. การที่เราคิดไม่ถูกต้อง กายวาจากิริยามารยาทอาชีพไม่ถูกต้องมันทำให้เสียหาย มันทำให้มันพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกับตึกสตง.

 

ความไม่รู้ไม่เข้าใจนั้นจะเป็นอบายมุขอบายภูมิต่ำ ๆ สุดของภพภูมิ ความไม่รู้ไม่เข้าใจนี้เค้าถึงใช้ศัพท์ว่าคน คำว่าคนนี้หมายถึงตัวหมายถึงตน หมายถึงไปไหนไม่ได้ วกวนอยู่ที่เก่า เดินไปข้างหน้าแล้วถอยกลับมาก็อยู่ที่เก่า เค้าถึงใช้ศัพท์ว่านี้เป็นเพียงคนเป็นตัวตน เป็นสัญชาตญาณเป็นนิติบุคคลตัวตน เป็นสัญชาติญาณเป็นความหลงเป็นความไม่รู้ไม่เข้าใจ ด้วยเหตุผลนี้ด้วยความรู้ความเข้าใจนี้ เราถึงเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่อาศัย พระรัตนตรัยก็ได้แก่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรมคำสั่งสอนแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามพระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราทั้งหลายถึงเอาพระรัตนตรัยนำชีวิต เรายกเลิกตัวตน ยกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้อง

 

เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ จะได้หยุดการเดินทาง ยกเลิกการเดินทาง ยกเลิกวัฏฏสงสารที่เราทั้งหลายพากันท่องเที่ยวมานาน หลายร้อยหลายพันหลายหมื่นหลายแสนหลายล้านชาติหลายล้านปี เราต้องรู้เราต้องเข้าใจ เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เพื่อหยุดสัญชาตญาณด้วยพระรัตนตรัยด้วยพระธรรมพระวินัยที่เป็นทั้งคำสั่งให้หยุด เป็นคำสอนให้เดินไปก้าวไปด้วยพระธรรมด้วยพระวินัยด้วยปิติด้วยความสุขด้วยเอกัคคตา พระธรรมพระวินัยนั้นถึงเป็นญาณ เพื่อนำเราออกจากวัฏฏสงสาร เราทั้งหลายถึงต้องมีปิติมีความสุข มีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติในพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยนั้นถึงมีแต่คุณมีแต่ประโยชน์หาโทษมิได้เลยถึงเรียกว่า พุทธคุณ ธัมมคุณ สังฆคุณ มีแต่คุณหาโทษมิได้

 

เราทั้งหลายต้องพากันมารู้มาเข้าใจ เราจะได้เอาพระธรรมเอาพระวินัย มาใช้มาประพฤติมาปฏิบัติ เราทั้งหลายจะได้หยุดวัฏฏสงสาร หยุดคำว่าคน หยุดคำว่าตัวตน หยุดสัญชาตญาณ เค้าจะเดินทางไกลก็ต้องลุกขึ้นยืนขึ้นก้าวไปด้วยขาซ้ายขาขวาถึงจะไปได้ พระธรรมพระวินัยเป็นสิ่งที่พาเราก้าวไปทั้งซ้ายทั้งขวา มนุษย์สมัยใหม่เข้าใจเรื่องเหตุเรื่องผลเรื่องวิทยาศาสตร์ เค้าก็ต้องอาศัยยาน อาศัยรถอาศัยเครื่องบินทั้งบนบกทั้งอากาศ ทางน้ำอาศัยเรือยนเรือขนานยนต์

 

เราทั้งหลายต้องพากันเข้าใจในการเดินทาง เราทั้งหลายถึงไม่มีความลังเลสงสัยในพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ มีความเชื่อมั่นในเรื่องกรรมเรื่องกฎแห่งกรรมเรื่องผลของกรรม เรามองดูทุกทิศทุกทางในธรรมในสภาวธรรมล้วนแต่ไม่ใช่นิติบุคคล ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ล้วนแต่เป็นเหตุเป็นปัจจัยเพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปถึงมี มีแต่เหตุแต่ปัจจัยทั้งนั้น เรามองดูแล้วเห็นคนเกิดคนแก่คนเจ็บคนตายคนพลัดพราก มองเห็นสัตว์ต่าง ๆ ที่เป็นวัตถุที่มีใจครองและไม่มีใจครอง ล้วนมาจากเหตุจากปัจจัยทั้งนั้น หาใช่นิติบุคคลตัวตนไม่

 

เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้รู้เข้าใจด้วยอาศัยพระธรรมพระวินัย อาศัยพระรัตนตรัย เราทั้งหลายจะได้จบลงเพียงผัสสะ ปัจจุบันเราต้องจบให้ได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เรามาคิดดูดี ๆ นะ ถ้าปัจจุบันเราเข้าสู่ความดับทุกข์ทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งอาชีพมารวมที่ปัจจุบัน ปัจจุบันเราทำไม่ได้ปฏิบัติไม่ได้ อนาคตมันก็ย่อมไม่ได้ การทำความดีการบำเพ็ญบารมีที่เป็นความดีที่เป็นปฏิปทาถึงเน้นที่ธรรมที่สภาวธรรม เราต้องรู้เข้าใจ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจมันก็จะเป็นความด่างเป็นความบกพร่องเป็นความไม่เต็มไม่เพียงพอ เราจะเข้าถึงเศรษฐกิจพอเพียงเพียงพอนี้ไม่ได้มันจะบกพร่องอยู่เป็นนิจ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านเปรียบอุปมาอุปมัยว่าเปรียบเสมือนทะเลมหาสมุทรไม่อิ่มด้วยน้ำ เปรียบเสมือนไฟไม่อิ่มด้วยเชื้อของเพลิง มันจะมีความบกพร่องอยู่เป็นนิจ

 

เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายถึงพากันประพฤติปฏิบัติในปัจจุบัน ให้รู้ว่าปัจจุบันเป็นวาระสำคัญในการประพฤติการปฏิบัติของเรา ถ้าเรามีการประพฤติการปฏิบัติติดต่อถึงจะเป็นขบวนการ เป็นกระแสของดินน้ำลมไฟ การทำอะไรติดต่อต่อเนื่องถึงจะได้ผลเห็นผล เราไม่รู้ไม่เข้าใจในเรื่องกระบวนการ เรื่องกระแสของปฏิจจสมุปบาท ความไม่รู้ไม่เข้าใจนั้นมันจะมาคั่นรายการ เหมือนสถานีวิทยุโทรทัศน์ เมื่อเค้ามีรายการดี ๆ ประชาชนคนติดตามเยอะ สถานีนั้นก็ย่อมมีโฆษณาชวนเชื่อในการซื้อการขาย

 

เรานอนเราพักผ่อนให้เพียงพอ ร่างกายของเราถึงจะแข็งแรงถึงจะสมบูรณ์ สติสัมปชัญญะของเราถึงจะสมบูรณ์ การนอนการพักผ่อนให้รู้เข้าใจ นี้คือการประพฤติการปฏิบัติธรรม เป็นการทำหน้าที่ เราทุกคนต้องทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์คือนอนพักผ่อนให้เพียงพอ หลักการในปัจจุบัน ถ้าเราทำสิ่งใดในปัจจุบัน เราต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการทำสิ่งนั้น ๆ ในปัจจุบัน ปัจจุบันอย่าให้สิ่งต่าง ๆ มาคั่นรายการ เราต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน เพื่อเอาปัจจุบันเป็นมรรคเป็นอริยมรรคในการประพฤติการปฏิบัติ อย่าให้สิ่งต่าง ๆ มันมาคั่นรายการได้ ปกติเรามีตาก็ต้องเห็นรูป เรามีหูก็ได้ยินเสียง เรามีจมูกก็ย่อมได้กลิ่น เรามีลิ้นก็ต้องได้รับรส เรามีกายก็ต้องมีสัมผัส เรามีใจก็ย่อมมีสิ่งนึกคิด สิ่งต่าง ๆ มันเป็นรายการที่มาผัสสะ มากระทบ ให้เรารู้เข้าใจ เราจะได้จบลงเพียงผัสสะ ไม่ให้สิ่งต่าง ๆ นั้นมันมาคั่นรายการ

 

การประพฤติการปฏิบัติของเราจะได้จบลงเพียงผัสสะ เพื่อจะได้เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา ถ้าเราไปตามผัสสะไปตามอารมณ์ไปตามสิ่งแวดล้อม เราก็เป็นคนไม่มีปัญญาสัมมาทิฏฐิ เราก็เป็นคนสมาธิสั้น สมาธิไม่ติดต่อต่อเนื่อง สัมมาสมาธิคือองค์มรรคสุดท้ายนั้นก็ใช้การใช้งานไม่ได้เพราะเราไม่รู้ไม่เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ ปัจจุบันถึงเป็นวาระสำคัญ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถึงให้เอาปัจจุบันยกเลิกสู่พระไตรลักษณ์ให้เข้าใจว่ารูปมันก็เกิดขึ้นมันก็ไม่แน่ไม่เที่ยงเพราะรูปมันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนเป็นอาคันตุกะชั่วครู่ชั่วยาม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เข้าใจอย่างนี้ สิ่งใดเกิดขึ้นสิ่งนั้นตั้งอยู่สิ่งนั้นก็ดับไปไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน เหมือนลมหายใจเข้านี้แหละ หายใจเข้าไปเลี้ยงสรีระ หายใจออกเอาคาร์บอนไดออกไซด์เอาออกเสียออกไปมันก็เข้ามันก็ออกอย่างนี้

 

เมื่อเรามีความรู้ที่เกิดอายตนะ เราก็ต้องมีปัญญาในปัจจุบัน เพื่อการประพฤติการปฏิบัติของเราจะติดต่อต่อเนื่อง การประพฤติการปฏิบัติของเราจะได้ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจด้วยการประพฤติการปฏิบัติ ความสงบและปัญญามันต้องก้าวไปด้วยติดต่อต่อเนื่องอย่างนี้ ถ้าเราทำอย่างนี้ติดต่อต่อเนื่องตั้งอยู่ในความไม่ประมาท การปฏิบัติธรรมของเราก็จะได้ผลเห็นผล เพราะตัวตนมันเป็นสิ่งที่ไม่ได้ผลไม่เห็นผล เพราะตัวตนนั้นคือความเสียหาย ตัวตนนั้นคือสิ่งที่พังทลาย ตัวตนนั้นแหละมันเป็นรัฐประหาร มันประหารตัวเองไปในตัว ด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ เราทั้งหลายถึงเอาความรู้สึกที่เป็นธาตุทั้ง ๔ เป็นขันธทั้ง ๕ เป็นอายตนะ ๑๒ นี้มาเป็นตัวเราไม่ได้ ให้เรารู้ให้เข้าใจว่า ธรรมะเป็นสิ่งที่ไม่ตามสิ่งแวดล้อม ไม่ไปตามกระแส ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม ธรรมะนี้เป็นทางสายกลาง เป็นการจบลงเพียงความรู้ความเข้าใจ จบลงเพียงผัสสะ ที่อาศัยหลักการอุดมการณ์ที่ติดต่อต่อเนื่องตั้งอยู่ในความไม่ประมาท

 

เราคิดดูดี ๆ นะ ถ้าความไม่ถูกต้องทำอย่างไรมันก็ไปไม่ได้ ความไม่ถูกต้องน่ะ ถ้าเราคิดไม่ถูกต้อง พูดจากิริยามารยาทไม่ถูกต้องทำอย่างไรมันก็ไปไม่ได้ เพราะว่าความไม่ถูกต้องปฏิบัติไม่ถูกต้อง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงมาระลึกถึงทางสายกลางคือความพอดี คือความพอเพียงเพียงพอ ท่านมีความเข้าใจว่า มนุษย์เราต้องพัฒนาใจพัฒนาวัตถุไปพร้อม ๆ กันให้เป็นทางสายกลาง เป็นธรรมะอยู่นอกเหตุเหนือผล อยู่เหนือความปรุงแต่งของเราทุก ๆ คน ถ้ามีความปรุงแต่งนั้นมันแก้ปัญหาไม่ได้ มันดับทุกข์ไม่ได้ พระธรรมพระวินัยให้เรารู้เข้าใจ พระธรรมพระวินัยอยู่เหนือความปรุงแต่ง มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติด้วยความรู้ความเข้าใจ  ด้วยความลงใจ ด้วยโอเคในการประพฤติการปฏิบัติ

 

เราทั้งหลายต้องหายพยศ ลดมานะ ละทิฏฐิ ต้องยกเลิกตัวตน ต้องลงใจให้พระธรรมพระวินัย เราทั้งหลายอย่าพากันไปปรุงแต่ง ให้ลงใจในพระธรรมพระวินัยเป็นทั้งคำสั่งคำสอน ว่าตัวตนนั้นมันมีเหตุมีผล มันเป็นความปรุงแต่ง ความคิดอย่างนี้แหละมันคิดเอาเองเออเอง มันหาเรื่องหาราวให้กับตัวเองอย่างไม่จบไม่สิ้น ให้เรารู้เข้าใจ อันนี้เป็นความปรุงแต่งของเราเอง เราอยากได้มากเราก็ว่าสิ่งนั้นน้อย เราอยากได้น้อยก็ว่าสิ่งนั้นมันมาก มันเป็นทุกข์ทั้งทางขึ้นทางล่องเลย ความปรุงแต่งทั้งหลายมันจึงเป็นเหตุเป็นผล ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ ก็เหมือนธรรมกถึกกับพระวินัยธร ก็ย่อมทะเลาะกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านตรัสบอกว่าธรรมะนั้นอยู่นอกเหตุเหนือผลอยู่เหนือความปรุงแต่ง ให้เรารู้เข้าใจ เราจะไปเอาอะไรเพราะมันไม่มีอะไร เราก็ไม่ได้ได้ไม่ได้เสียอะไร เพราะธรรมวินัยนั้นเป็นอยู่นอกเหตุเหนือผลเพราะมันไม่มีตัวไม่มีตน อยู่นอกเหนือความปรุงแต่ง

 

เราทั้งหลายพากันมารู้นะ เราเป็นตัวเป็นตนทุกคนก็ปรุงแต่งน่ะ ปัจจุบันเราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายต้องมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เอาข้อวัตรกิจวัตรมามีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายต้องอยู่เหนือความชอบอยู่เหนือความชัง อยู่เหนือความสงบและปัญญา คำว่าเหนือก็คือไม่มีเหตุผลที่จะไปปรุงไปแต่ง เราทั้งหลายจะได้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงเศรษฐกิจพอเพียง การดับทุกข์ของมนุษย์นี้มันดับได้อยู่ที่ความรู้ความเข้าใจ ไม่ได้อยู่ที่ความปรุงแต่งนะ เราคิดดูดี ๆ สิ คนรวยมหาเศรษฐกิจถ้ามีตัวตนมันก็ทุกข์อย่างเก่า คนจนคนไม่มีอะไรมันกํทุกข์อย่างเก่า ความดับทุกข์อยู่ที่เรารู้เข้าใจอยู่ที่เรามีสีมมาทิฏฐิ อยู่ที่เรามีความพอเพียงเพียงพอ มีศีลมีสมาธิมีปัญญา มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เอาปัจจุบันเป็นวาระแห่งชาติ ที่เป็นพระธรรมเป็นพระวินัยเป็นพระนิพพานบ้านของเราในปัจจุบัน บ้านของเราคือพระธรรมคือพระวินัยคือการให้ทานรักษาศีลการเสียสละที่เป็นสภาวธรรมเป็นประภัสสรไม่ลิดรอนสิทธิเสรีภาพของเราและของคนอื่น ตัวตนเรียกว่าลิดรอนสิทธิเสรีภาพ

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ท่านมาตรัสรู้ให้เรารู้เข้าใจ ท่านมายกเลิกชาติชั้นวรรณะยกเลิกชาติวงศ์ตระกูลยกเลิกสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเพื่อเข้าสู่ความสงบและปัญญาเป็นธรรมเป็นสภาวธรรมอยู่นอกเหตุเหนือผลอยู่เหนือความปรุงแต่งด้วยความรู้ความเข้าใจ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ความดับทุกข์ของมนุษย์ดับด้วยความรู้ความเข้าใจ เป็นการพัฒนาระหว่างใจกับวัตถุให้เป็นทางสายกลาง พัฒนากายวาจากิริยามารยาทอาชีพเป็นทางสายกลาง เพื่อยกเลิกตัวตนหยุดความปรุงแต่ง ชีวิตของเราจะไม่ได้พังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกับตึกสตง.สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน

 

เราทั้งหลายต้องพากันออกกำลังกายให้เพียงพอนะ ใจยกเลิกตัวตน กายต้องเสียสละ ต้องออกกำลังกายให้เพียงพอ มนุษย์สมัยใหม่ใช้แต่ปัญญา ใช้แต่สติปัญญา ต้องออกกำลังกายให้เพียงพอ มนุษย์เราออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ ๑ ชั่วโมงนะ เราประกอบอาชีพปกติทุก ๆ วัน ส่วนใหญ่ก็จะไม่ได้ออกกำลังกาย ต้องออกกำลังกายให้เพียงพอ

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านเป็นพระอรหันต์ขีณาสพ หมดกิเลสสิ้นอาสวะ พระอรหันต์ขีณาสพผู้ฟังพระธรรมเทศนาปฏิบัติตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านก็ออกกำลังกาย แต่การออกกำลังกายของพระพุทธเจ้าของนักบวชท่านให้เดินจงกลมกลับไปกลับมา เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง คนเราให้เข้าใจนะ เรามีตัวมีตน มันก็อยากจะทำอะไรตามใจตามอัธยาศัยไม่อยากออกกำลังกาย ต้องออกกำลังกายให้เพียงพอ ร่างกายแก่เฒ่าทุกคนก็ไม่อยากออกกำลังกายกัน ต้องออกกำลังกายทุก ๆ วัน เช่นพระพุทธเจ้าท่านก็เดินจงกรม สำหรับประชาชนก็ทำโยคะ ไทเก๊ก ถ้าเด็กหนุ่ม ๆ ก็วิ่ง เล่นกีฬาอย่างนี้เป็นต้น

 

มนุษย์เราต้องออกกำลังกาย ถ้าไม่ออกกำลังกาย ร่างกายไม่แข็งแรง มนุษย์เรามีโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ นานาหลายร้อยหลายพันเป็นหมื่น ๆ โรค ถ้าเราไม่ออกกำลังกาย เราไม่มีภูมิต้านทานที่จะต่อต้านกับโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ นะ เราต้องมีระเบียบมีวินัย ว่าเราทุกคนต้องออกกำลังกาย อย่าไปขี้เกียจขี้คร้าน ความขี้เกียจขี้คร้านนี้เป็นอาการของนิติบุคคลตัวตนนะ ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อความขี้เกียจขี้คร้านนี้แหละคือนิติบุคคลตัวตน ด้วยความรู้ความเข้าใจเราทั้งหลายต้องพากันออกกำลังกาย อย่าพากันไปติดในตัวในตน อย่าไปติดในความสงบ เพราะตัวตนนั้นมันจะไม่อยากทำงานมันจะไม่อยากออกกำลังกายเพราะมันเป็นนิติบุคคลตัวตน เราต้องรู้เข้าใจ เราจะก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ เราทั้งหลายจะได้มีความสุขในการทำงาน มีความสุขในการออกกำลังกาย

 

เราทุกคนส่วนใหญ่พากันท้องผูก ท้องผูกนี้ทำให้เกิดโรคเกิดภัยเกิดอันตรายต่าง ๆ นะ มนุษย์เราน่ะทานอาหารด้วยการปรุงแต่งต่าง ๆ นานา เพื่อการเจริญอาหาร พัฒนาเรื่องความอร่อย เป็นอาหารที่ปรุงแต่ง อาหารที่ปรุงแต่งนั้นทำให้เกิดท้องผูก ท้องผูกนี้เป็นสาเหตุให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ที่พากันเป็นโรคมะเร็งกันมาก ทุกวันนี้เป็นมะเร็งกันมากทุก ๆ ประเทศเลย ไม่มีประเทศไหนไม่เป็นโรคมะเร็ง ประเทศไหนก็เป็นโรคมะเร็ง ประเทศไหนก็เป็นโรคความดันเบาหวาน เป็นโรคตับโรคไตเป็นโรคไขมันในเส้นเลือดเป็นโรคหัวใจ เพราะเราตามความเอร็ดอร่อยเราตามความหลงไป  ด้วยเหตุนี้ มนุษย์เราในปัจจุบันถึงเป็นโรคท้องผูก โรคท้องผูกคือส่วนร่างกาย ส่วนทางจิตใจก็เป็นโรคยึดมั่นถือมั่นในตัวในตน สรุปแล้วเป็นทุกข์ทั้งสองอย่างเลย เป็นทุกข์ทั้งกายเป็นทุกข์ทั้งใจเพราะความยึดมั่นถือมั่นในตัวในตนนี้เป็นสาเหตุ สิ่งที่ผ่านไปแล้วก็ต้องปล่อยต้องวางเพราะมันผ่านไปแล้วมันเกษียณแล้ว ส่วนร่างกายมันผูกมันยึดมั่นถือมั่น ท้องผูกถึงเป็นภัยเป็นอันตรายเป็นเจ้าเสือร้ายเจ้าอันตรายนะ

 

ตามหลักการเค้าก็ต้องทานอาหารที่เป็นส่วนของผักผลไม้ให้มาก ๆ เพราะท้องไม่ผูกแล้วออกกำลังกาย การพัฒนาแพทย์สมัยใหม่เพื่อไม่ให้มนุษย์ท้องผูก เค้าใช้วิธีสวนทางทวารเพื่อไม่ให้ท้องผูก ให้พากันไปดูไปศึกษาดูทางยูทูป ว่าเค้าทำดีท๊อกซ์กันเค้าทำอย่างไร เพื่อเราจะได้แก้ปัญหาเรื่องท้องผูก เพราะท้องผูกเป็นภัยเงียบ ๆ เป็นการจบลงด้วยโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ให้พากันไปอ่านไปดูทางคอมพิวเตอร์ทางยูทูป ว่าเค้าทำอย่างไรเค้าดีท๊อกซ์เพื่อไม่ให้ท้องผูกเค้าทำอย่างไร ถ้าจะให้ดี กันไว้ดีกว่าแก้ เราต้องศึกษาเรื่องทำดีท๊อกซ์เพื่อไม่ให้ท้องผูกนี้คือการประพฤติการปฏิบัติธรรม

 

มนุษย์เราทุก ๆ คนต้องเดินทางสายกลาง พัฒนาใจกับวัตถุไปพร้อม ๆ กัน ที่เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เพื่อเป็นความดีเป็นบารมีในปัจจุบัน มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน เข้าถึงความเป็นมนุษย์ที่เห็นภัยในวัฏฏสงสารในปัจจุบัน เป็นเทวดาผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสารในปัจจุบัน เป็นพระพรหมผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสารในปัจจุบัน เป็นพระอริยเจ้าผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสารในปัจจุบัน  มนุษย์เราต้องเข้าใจอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ เราทุกคนมาเน้นที่ตัวของเราเอง มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เราปฏิบัติไปในปัจจุบัน เราก็จะชำนิชำนาญ เราอย่าไปเอาตัวตนนำชีวิต เอาความผิดนำชีวิต อย่าไปเอาความไม่ถูกต้องนำชีวิต ถือว่าการประพฤติการปฏิบัติเป็นวาระสำคัญของเราทุก ๆ คน

 

หลักการของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เราเอาอานาปานสตินี้แหละ อานาปานสติเราต้องใช้ทุก ๆ อิริยาบถ อิริยาบถยืนเดินนั่งนอนเราต้องเอามาใช้ทุกอิริยาบถ ไม่ใช่ใช้เพราะตอนนั่งสมาธินะ เพราะปัจจุบันเรามีผัสสะเยอะ เราต้องมีหลักการมีอุดมการณ์อุดมธรรมในการประพฤติการปฏิบัติ

 

ให้พวกเราทุกคนมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ไม่ว่าเราจะอยู่ในอิริยาบถใดก็ต้องฝึกหายใจเข้าให้สบายหายใจออกให้สบายหายใจเข้าให้มีความสุขหายใจออกให้มีความสุขเราจะไม่ได้ไปตามผัสสะไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม เราจะได้ยกทุกอย่างเข้าสู่พระไตรลักษ์ ที่มันเกิดขึ้นกับเราทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ เราต้องพากันทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้เพื่อเป็นหลักการเป็นอุดมการณ์อุดมธรรม เพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมันคือกรรมคือกฎแห่งกรรมคือผลของกรรม ให้เรารู้เข้าใจ

 

ความตั้งมั่นในพระรัตนตรัยคือความถูกต้องทั้งทางกายวาจากิริยามารยาทอาชีพเป็นสิ่งที่สำคัญ เราเอาการทำการทำงานเอากายวาจากิริยามารยาทมาเป็นอริยมรรคที่เป็นการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน เราทั้งหลายต้องเน้นมาที่ตัวเราอย่างนี้แหละ เอาหลักการประพฤติการปฏิบัติทุกคนก็จะเป็นพระได้ เป็นพระธรรมเป็นพระวินัยได้ ทุกคน จะได้มีความสงบมีปัญญา จะได้เป็นมนุษย์เป็นข้าราชการเป็นนักการเมืองเป็นพระศาสนาเป็นนักบวช เดี๋ยวนี้ในความรู้สึกของเรามันจะเป็นไปตั้งแต่ตัวแต่ตน มองดูตัวเองแล้วก็เห็นแต่ความทุกข์เกิดขึ้นทุกข์ตั้งอยู่ทุกข์ดับไปนอกจากทุกข์ไม่มีเลย การประพฤติการปฏิบัติเราต้องเอาปัจจุบันเน้นที่ปัจจุบันเพื่อเป็นวาระในการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายจะไม่ได้ไปเอาความดับทุกข์ที่อนาคต ปัจจุบันมันดับทุกข์ไม่ได้อนาคตจะได้อย่างไร เพราะปัญหาต่าง ๆ มันอยู่ที่เรานี้เอง การประพฤติการปฏิบัติมันเป็นหน้าที่ มันเป็นธรรมะ

 

ท่านพุทธทาสภิกขุเป็นพระดีที่ประกอบด้วยปัญญา ปัญญาที่ประกอบด้วยความดี ท่านถึงบอกสอนไว้ว่า ธรรมะวินัยที่เป็นอริยมรรค พระนิพพานถึงเป็นเรื่องปัจจุบัน ปัจจุบันเป็นพื้นเป็นฐาน เป็นความดีเป็นบารมี ให้พวกเราทั้งหลายให้พากันเข้าใจ ท่านพุทธทาสได้ตรัสเป็นคำกลอนสอนใจไว้ว่า

 

เป็นมนุษย์  เป็นได้  เพราะใจสูง  เหมือนหนึ่งยูง  มีดี  ที่แววขน

ถ้าใจต่ำ  เป็นได้  แต่เพียงคน ย่อมเสียที  ที่ตน  ได้เกิดมา

ใจสะอาด  ใจสว่าง  ใจสงบ ถ้ามีครบ  ควรเรียก  มนุสสา

เพราะทำถูก  พูดถูก  ทุกเวลา เปรมปรีดา  คืนวัน  ศุขสันติ์จริง

ใจสกปรก  มืดมัว  และร้อนเร่า ใครมีเข้า ควรเรียก  ว่าผีสิง

เพราะพูดผิด  ทำผิด  จิตประวิง แต่ในสิ่ง นำตัว กลั้วอบาย

คิดดูเถิด  ถ้าใคร  ไม่อยากตก จงรีบยก  ใจตน รีบขวนขวาย

ให้ใจสูง  เสียได้  ก่อนตัวตาย ก็สมหมาย  ที่เกิดมา อย่าเชือน เอย ฯ

 

ให้ระลึกถึงพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ท่านตรัสปัจฉิมโอวาทในวาระสุดท้ายก่อนที่จะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน

 

“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”

 

โอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ

ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ

ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู

ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร

 

ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละคือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะว่าสิ่งเดิมนั้นคือความว่างเปล่า สิ่งที่สัญจรไปมาเป็นเพียงอาคันตุกะ เราจะได้เอาหลักการอุดการณ์ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นมรรคเป็นอริยมรรคที่ตรงกันข้ามกับโลกธรรม ให้รู้เข้าใจ เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรม พระนิพพานความรู้ความเข้าใจในเรื่องกระบวนการปฏิจจสมุปบาท กระบวนการของปฏิจจสมุปบาทจะได้จบลงเพียงผัสสะ จะได้เป็นปัญญาเป็นความสงบ จะเป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหตุเหนือผล หยุดความปรุงแต่ง นี้เป็นขบวนการที่ติดต่อต่อเนื่อง เป็นบารมีเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นพระนิพพานบ้านของเรา ไม่ใช่อวิชชาความหลงเป็นบ้านของเรานะ พระนิพพานคือบ้านของเรา ความสงบและปัญญาถึงเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราจะหยุดวัฏฏสงสารได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยพระธรรมด้วยพระวินัย เป็นขบวนการของกระแสในการประพฤติการปฏิบัติที่ได้นำเอาพระธรรมพระวินัยมาประพฤติมาปฏิบัติในปัจจุบันให้ติดต่อต่อเนื่อง

 

 ความสงบและปัญญาที่เป็นพระธรรมพระวินัยถึงหยุดความปรุงแต่งได้ ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิคู่กับการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน พระธรรมพระวินัยที่เป็นความรู้ความเข้าใจ ที่จะหยุดความปรุงแต่งได้ เข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ปัจจุบัน ไม่ต้องรอชาติหน้า พระนิพพานต้องอยู่ที่ปัจจุบันเท่านั้น

 

การบรรยายพระธรรมพระวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เป็นบริสุทธิคุณทั้งกายวาจากิริยามารยาทรวมลงที่ใจก็สมควรแก่เวลา

 

--------------------------------------

โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม

เมตตาให้ไว้ในเช้าวันที่ ๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

 

 

 

รายการล่าสุดที่คุณดู
Visitors: 100,724