๕ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๕ เดือนตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
เป็นวันหยุดทำงานของข้าราชการ มนุษย์เรามีหลักการดำเนินชีวิตที่เป็นทางสายกลาง พัฒนาใจพัฒนาวัตถุเพื่อให้เป็นทางสายกลางไปพร้อม ๆ กัน เอาการปฏิบัติธรรมกับการทำงานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
มนุษย์เราต้องรู้เรื่องของกรรม รู้เรื่องกฎแห่งกรรม รู้เรื่องผลของกรรม มีความรู้มีความเข้าใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นคือเหตุคือปัจจัยว่าเพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปถึงมี ปัจจุบันนี้คือการประพฤติคือการปฏิบัติ ให้เป็นทางสายกลางระหว่างเรื่องจิตเรื่องใจกับวัตถุไปพร้อม ๆ กัน เพื่อจะได้ทำที่สุดแห่งความดับทุกข์ ปัจจุบันก็ไม่มีความทุกข์ เพราะความทุกข์นั้นมันมาจากสาเหตุที่เราไม่รู้ไม่เข้าใจ ความไม่รู้ไม่เข้าใจนั้นทำให้เราเป็นทุกข์ เราอยากได้สั้นเราก็ไปว่าสิ่งเหล่านั้นมันยาว เราอยากได้ยาวก็ว่าสิ่งเหล่านั้นมันสั้น มันเป็นความไม่รู้ไม่เข้าใจ มันเป็นความคิดเองเออเอง ด้วยเหตุผลนี้มนุษย์เราทุก ๆ คน ต้องพากันรู้เข้าใจ ความรู้ความเข้าใจอย่างนี้ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่าให้เรารู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์
เราทั้งหลายต้องพากันดับทุกข์ได้ที่ปัจจุบัน เพราะอดีตก็มารวมกันแล้วอยู่ที่ปัจจุบัน อนาคตที่จะไปข้างหน้าก็มาอยู่ที่ปัจจุบัน ปัจจุบันนี้ถึงเป็นวาระแห่งชาติของการประพฤติการปฏิบัติ มนุษย์เราต้องพากันมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ มนุษย์เรา ถ้าเรารู้เข้าใจ มีปิติมีความสุข มีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ สิ่งต่าง ๆ ในปัจจุบันก็จะมีแต่คุณไม่มีโทษ ที่ว่าพุทธคุณ ธัมมคุณ สังฆคุณ มีแต่คุณทั้งนั้นทั้งกายทั้งวาจาทั้งกิริยามารยาททั้งอาชีพ
ความดับทุกข์นั้นถึงมีอยู่ที่ความรู้ความเข้าใจแล้วมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ ปัจจุบันนี้รู้เข้าใจ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ชีวิตของเรานี้จะเป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นจะดับลงได้ที่ผัสสะ ความปรุงแต่งนั้นก็จะจบลงไป กรรมเก่าก็จะจบไป กรรมใหม่ก็ไม่สร้าง เราทุกคนพากันรู้พากันเข้าใจในการประพฤติในการปฏิบัติ เราเน้นประพฤติเน้นปฏิบัติที่ตัวเรานี้แหละ ไม่ต้องไปแก้ที่ใครไม่ต้องไปแก้ไขที่คนอื่น สิ่งภายนอกเราปล่อยวางหมด มามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อจะได้เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา สิ่งทั้งหลายทั้งปวงถึงจะดับลงได้ที่ผัสสะ
เราต้องรู้เข้าใจ เราจะไม่ได้ให้อดีตที่ผ่านมาแล้วปรุงแต่งเรา จะไม่ได้ให้สิ่งในปัจจุบันนี้ปรุงแต่งเรา เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเป็นเพียงเหตุปัจจัย เป็นเพียงอาคันตุกะที่สัญจรไปมาชั่วครู่ชั่วยาม หาใช่สัตว์นิติบุคคลตัวตน มันคือกรรมคือกฎแห่งกรรมคือผลของกรรม ธรรมะนั้นถึงเป็นทางสายกลางระหว่างวัตถุกับใจไปพร้อม ๆ กัน ที่เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม
เราทุกคนพากันทำหน้าที่ของตัวเราให้สมบูรณ์ อย่าให้ขาดตกบกพร่อง เพราะทุกอย่างนั้นให้เรารู้ไว้ว่า ทุกอย่างนั้นคือกรรมคือกฎแห่งกรรมคือผลของกรรม กรรมทั้งกายทั้งวาจาทั้งกิริยามารยาททั้งอาชีพมารวมลงที่ใจ เราทั้งหลายถึงต้องทำหน้าที่ของตัวเราให้สมบูรณ์ เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้ทำหน้าที่ของตัวเราให้สมบูรณ์ เราต้องรู้เข้าใจ ถ้าเรามีสติมีสัมปชัญญะ เราทุกคนก็จะดับทุกข์ได้ อย่างเรามีความชอบใจไม่ชอบใจ นี้แสดงถึงเรามีสติสัมปชัญญะไม่สมบูรณ์นะ ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะที่สมบูรณ์แล้วก็จะหยุดอดีตอนาคต ปัจจุบันก็จะว่างจากตัวจากตน เราต้องรู้เข้าใจ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงบอกให้เราไม่ให้ตรึกในกาม ไม่ให้ตรึกในพยาบาท สติสัมปชัญญะของเราจะได้สมบูรณ์ ถ้ามนุษย์เราถ้ามีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์นั้นจะไม่ความทุกข์ไปไม่ได้ เพราะมันจะหยุดความปรุงแต่ง มันจะหยุดอดีตหยุดอนาคต มันจะหยุดเหตุหยุดผลหยุดความชอบความชัง
ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านมาจุติในพระครรภ์ของพระมารดาก็ก็วันพระจันทร์วันเพ็ญ มาประสูติก็วันพระจันทร์วันเพ็ญ ตรัสรู้ก็วันพระจันทร์วันเพ็ญ แสดงธัมมจักกัปปวัตนสูตรก็วันพระจันทร์วันเพ็ญ ตรัสบอกกับพุทธบริษัททั้งหลายว่าอีก ๓ เดือนข้างหน้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพานก็วันพระจันทร์วันเพ็ญ เสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพานก็วันพระจันทร์วันเพ็ญ ความรู้ความเข้าใจมันจะเป็นความเต็มเป็นความพอเพียงเพียงพอ เราต้องรู้เข้าใจ ความรู้ความเข้าใจนี้จะเป็นอริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐ ทั้งกายทั้งวาจาทั้งกิริยามารยาทมารวมลงที่ใจที่เจตนา มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านจึงมาพิจารณาในกระบวนการของกรรม กฎแห่งกรรม ผลของกรรม ท่านรู้เข้าใจ ว่ามนุษย์เราทั้งหลาย ต้องเอาทางสายกลางระหว่างเรื่องจิตเรื่องใจกับเรื่องวัตถุ เราต้องแก้ไขทั้งสิ่งภายนอกสิ่งภายในไปพร้อม ๆ กัน ถึงจะไม่สุดโต่ง เราต้องพากันรู้พากันเข้าใจนะ ความคิดของเรานี้ต้องให้เป็นความคิดที่ดับทุกข์ กายวาจากิริยามารยาทอาชีพรวมลงที่ใจต้องเป็นสิ่งที่ดับทุกข์ ด้วยความรู้ความเข้าใจ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่าทุกคนทำได้ปฏิบัติได้ พระนิพพานถึงเป็นเรื่องธรรมเรื่องปัจจุบัน อยู่ไม่ใกล้อยู่ไม่ไกล อยู่ที่กายวาจากิริยามารยาทมารวมลงที่ปัจจุบัน ถ้าเราประพฤติปฏิบัติในปัจจุบันด้วยความรู้ความเข้าใจ ชีวิตนี้ก็จะก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจทั้งกายทั้งวาจาทั้งกิริยามารยาททั้งอาชีพ การประพฤติการปฏิบัติมันก็จะก้าวไปไม่ถอยกลับไปกลับมาที่มีศัพท์เรียกว่าคนคน คำว่าคนคือวกวนอยู่ที่เก่าไปไหนไม่ได้ ไม่รู้ไม่เข้าใจเรื่องอริยสัจ ไม่รู้ไม่เข้าใจในเรื่องกรรมเรื่องกฎแห่งกรรมเรื่องผลของกรรม ไปไหนไม่ได้ เดินไปแล้วถอยกลับมาย่ำต๊อกอยู่ที่เก่าย่ำต๊อกอยู่ในความหลงเค้าถึงมีศัพท์คำว่าคน คนโน้นคนนี้ ถ้าเรารู้เข้าใจชีวิตเราถึงจะก้าวไปเป็นมนุษย์ เป็นมนุษย์ผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เป็นเทวดาผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เป็นพระพรหมผู้มีความสุขมีความสงบมีปัญญาเป็นผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร ความรู้ความเข้าใจนี้จะดับทุกข์ลงได้อยู่ทุกหนทุกแห่งด้วยความรู้ความเข้าใจ เราต้องรู้เข้าใจอยู่ที่ไหนเราก็พากันปฏิบัติที่นั่น เพราะเรื่องความคิดอยู่ที่ไหนก็ตรึกนึกคิด อยู่ที่ไหนก็พูด อยู่ที่ไหนก็มีกิริยามารยาท อยู่ที่ไหนก็มีอาชีพ ที่นั้นถึงมีการประพฤติการปฏิบัติของเราทุก ๆ คน
วันจันทร์อังคารพุธพฤหัสศุกร์นี้เป็นวันทำงานกับวันปฏิบัติธรรมไปพร้อม ๆ กัน เพื่อเป็นทางสายกลาง วันเสาร์วันอาทิตย์เป็นวันหยุดธุรกิจหน้าที่การงานมาเน้นเรื่องจิตเรื่องใจ ผู้ที่ถือศาสนาอะไรก็ไปยังศาสนานั้น ๆ ผู้ถือศาสนาพุทธก็พากันไปที่วัด ผู้ที่ถือศาสนาคริสต์ก็พากันไปที่โบสถ์ ผู้ถือศาสนาอิสลามก็ไปที่มัสยิด ไปทำไม ก็ไปเพื่อประพฤติปฏิบัติเพื่อให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพื่อเป็นทีมเวิร์ค เป็นความสมัครสมานสามัคคีทำความดีไปทางหนึ่งทางเดียวกัน ครั้งพุทธกาลหลายร้อยหลายพันหลายหมื่นปีเค้าเอาวันหยุด ๗ ค่ำ ๘ ค่ำ ไปถือศีลอุโบสถ วัน ๑๔ ค่ำ วัน ๑๕ ค่ำไปถือศีลอุโบสถ สรุปแล้ววันหนึ่งก็มี ๘ วัน ปัจจุบันนี้ก็เอาวันเสาร์วันอาทิตย์ก็ยังใช้หลักการเดียวกันอยู่ ปัจจุบันนี้แหละเราได้พัฒนาวิทยาศาสตร์ความสะดวกความสบาย เรามีเครื่องอยู่ในการพัฒนาวิทยาศาสตร์ที่สะดวกที่สบาย ถ้าเราเอาแต่ทางวิทยาศาสตร์เพื่อความสะดวกความสบาย เราทำอย่างนี้แหละมันจะไม่ได้นะ เพราะการประพฤติการปฏิบัติที่เป็นความดีเป็นวิทยาศาสตร์มันเป็นการดับทุกข์ได้ระดับหนึ่ง ระดับ ๕๐ เปอร์เซ็นต์ มันเสียไป ๕๐ เปอร์เซ็นต์ การประพฤติการปฏิบัติของเราต้องเอาทั้งวิทยาศาสตร์ เอาทั้งใจไปพร้อม ๆ กันถึงจะสมบูรณ์ เราเป็นคนฉลาดก็ต้องมีความสงบ เราเป็นคนสงบเราก็ต้องเสียสละ เพื่อให้เป็นทางสายกลาง เราทั้งหลายจะได้มีทั้งความสงบมีทั้งปัญญา เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เราจะได้พากันเน้นที่ตัวเรา
ให้เข้าใจว่ามนุษย์เราถ้ามีสติสัมปชัญญะแล้ว มนุษย์เราก็จะไม่มีความทุกข์อะไร ถ้าเรามีความสงบและปัญญาติดต่อต่อเนื่องทั้งกายทั้งวาจาทั้งกิริยามารยาททั้งอาชีพรวมลงที่ใจที่เจตนา ด้วยปิติด้วยความสุขด้วยเอกัคคตา เมื่อมันผ่านไปแล้วเราก็ปล่อยก็วาง เพราะมันเกษียณไปแล้ว ถ้าเราไม่ปล่อยไม่วางมันก็ไปไม่ได้ มันก็ย่ำต๊อกในที่เก่า ย่ำต๊อกในความหลง เราทั้งหลายก็ไม่ได้ก้าวไปด้วยมนุษย์ผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร ไม่ได้ก้าวไปด้วยเทวดาผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร ไม่ได้ก้าวไปด้วยพระพรหมผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร ไม่ได้ก้าวไปด้วยพระอริยเจ้าผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านพิจารณาขบวนการของการตรัสรู้ วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบำเพ็ญพุทธบารมีหลายล้านชาติ หลายอสงไขย ได้พัฒนาทบทวนความรู้ความเข้าใจว่าทางสายกลางระหว่างใจกับวัตถุที่เป็นอริยมรรคทั้งกายวาจาทั้งกิริยามารยาทั้งอาชีพรวมลงที่ใจที่เจตนา มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ทำอย่างนี้แหละถึงจะดับทุกข์ได้ เข้าถึงความเต็มความพอเพียงเพียงพอ หลังจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบำเพ็ญทุกรกิริยา เพราะทุกรกิริยามันเป็นธรรมะที่อยากได้อยากมีอยากเป็น มันยังเป็นความปรุงแต่ง ยังเป็นนิติบุคคลตัวตน ด้วยเหตุผลนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงเดินทางสายกลางระหว่างใจกับวัตถุ ท่านถึงได้เสวยภัตตาหาร (ให้ผู้แสดงธรรมเล่าเรื่องนางสุชาดาถวายข้าวมธุปายาสไปจนถึงพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้และแสดงธรรมเพื่อโปรดปัญจวัคคีย์ที่ ๕)
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้เดินทางสายกลางระหว่างเรื่องจิตเรื่องใจกับเรื่องวัตถุ หลังจากออกพรรษาในพรรษาแรกแห่งการตรัสรู้ ท่านส่งพระอรหันต์ขีณาสพออกไปเผยแผ่ให้ไปทางละ ๑ รูป ไม่ให้ไปหลายรูป เพราะตรัสรู้ใหม่ ๆ ทรัพยากรที่เป็นพระอรหันต์ขีณาสพนั้นมีน้อย ไปบอกความจริงไปบอกอริยสัจสี่ ให้พสกนิกรชาวโลกพากันรู้อริยสัจสี่เพื่อจะไม่ได้สร้างปัญหาให้กับตัวเอง ไม่ได้สร้างปัญหาให้กับคนอื่น ความไม่รู้ไม่เข้าใจ เอาความหลงนำชีวิต เอาความผิดนำชีวิต มันเลยสร้างปัญหาให้กับตัวเองสร้างปัญหาให้กับคนอื่น มันมีแต่ทุกข์เกิดขึ้นทุกข์ตั้งอยู่ทุกข์ดับไปนอกจากทุกข์ไม่มีเลย ความไม่รู้ไม่เข้าใจมันจะมีปัญญา มันจะไม่อิ่มไม่เต็มไม่เพียงพอ มันจะไม่เข้าถึงความเต็มความพอเพียงเพียงพอ เป็นคนรวยก็มีความทุกข์เพราะความไม่รู้ไม่เข้าใจ รวยเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักพอ เป็นคนจนก็ยิ่งจน จนทั้งทางวัตถุจนทั้งใจ เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้ดับทุกข์ลงได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ เราทุกคนก็จะเสียหาย เราทุกคนก็จะพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกันกับตึกสตง.สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทย ตึกไหน ๆ ในเมืองไทยมีมากสูงใหญ่กว่าตึกสตง. ไปพังทลายตึกเดียวคือตึกสตง.
ความไม่รู้ไม่เข้าใจในเรื่องทุกข์ เรื่องความดับทุกข์เรื่องเหตุให้เกิดทุกข์การที่เกิดมาเป็นมนุษย์ถึงได้รับความเสียหาย เป็นชีวิตที่พังทลายเป็นโมฆะ เป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ เราเป็นมนุษย์เป็นผู้ประเสริฐเราต้องรู้เข้าใจ เราจะได้ทำหน้าที่ของเราด้วยปิติด้วยความสุขด้วยเอกัคคตา
เราทุกคนต้องพากันรู้เข้าใจหลักการหลักวิชาการ มีปิติมีความสุข ปรับเข้าหาการประพฤติการปฏิบัติอย่าให้ขาดตกบกพร่อง มนุษย์เราถึงต้องมีความสงบและปัญญาที่เป็นฐานเป็นสติปัฏฐาน เราพากันมีความสงบให้เพียงพอ มีปัญญาให้เพียงพอ ความสงบนี้เป็นสมถะ ปัญญาสัมปชัญญะเป็นตัววิปัสสนา ชีวิตของเราต้องก้าวไปด้วยความดีด้วยความรู้ความเข้าใจ เป็นชีวิตที่ไม่ทำบาปทั้งปวง ทำแต่บุญแต่กุศลถึงพร้อมด้วยปัญญา ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท ไม่เอาความประมาทนำชีวิต ไม่เอาความผิดพลาดนำชีวิต รู้เข้าใจจะไม่ต้องพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกันกับตึกสตง.
พระธรรมคือคำสั่งสอน พระวินัยคือหลักการของการประพฤติการปฏิบัติ เราต้องเข้าสู่หลักการในการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน เราต้องรู้เข้าใจว่าพระธรรมคือคำสั่งสอนพระวินัยเป็นหลักการในการประพฤติการปฏิบัติ พระธรรมพระวินัยอยู่เหนือสิ่งใด เป็นสิ่งที่หยุดความปรุงแต่ง อยู่นอกเหตุเหนือผล ความสงบและปัญญา สติสัมปชัญญะให้เรารู้เข้าใจ เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหตุเหนือผล อยู่เหนือความปรุงแต่ง การประพฤติการปฏิบัติถึงมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ปัจจุบันนี้เป็นหลักฐานเป็นลายเซ็นต์ เราต้องรู้เข้าใจ จะไม่ได้มีข้อแม้ใด ๆ ทั้งสิ้น ความไม่รู้ไม่เข้าใจในเรื่องพระธรรมพระวินัย ในเรื่องมรรคเรื่องผลเรื่องพระนิพพาน อย่างวินัยธรกับธรรมกถึกไม่รู้ไม่เข้าใจในพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยนี้อยู่นอกเหตุเหนือผล ถ้าเรายกเลิกตัวยกเลิกตน ก็จะมีแต่ความสงบมีแต่ปัญญา เพราะขึ้นชื่อว่าตัวตน ให้เรารู้เข้าใจว่าตัวตนนั้นคือสงคราม การที่เรายกเลิกตัวตน ด้วยปิติด้วยความสุขด้วยความรู้ความเข้าใจถึงเป็นสิ่งที่ใช้ได้ ดับทุกข์ได้ เข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบันนี้ เป็นประโยชน์ในปัจจุบันและอนาคต
เราทั้งหลายไม่ต้องลังเลสงสัยในพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้านั้นเป็นสิ่งที่มีอยู่ พระพุทธเจ้านั้นคือพระธรรมพระวินัย เป็นความรู้ความเข้าใจอยู่กับเราทุกคนชั่วฟ้าดินสลาย ที่พระอานนท์ทูลถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพานในส่วนของร่างกายจะให้ตั้งใครแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสกับพระอานนท์ว่า
“อานนท์! เมื่อเราล่วงลับไปแล้ว เธอทั้งหลายอาจจะคิดว่าบัดนี้พวกเธอไม่มีศาสดาแล้วจะพึงว้าเหว่ไร้ที่พึ่ง อานนท์เอย! จึงประกาศให้ทราบทั่วกันว่า ธรรมวินัยอันใดที่เราได้แสดงแล้วบัญญัติแล้ว ขอให้ธรรมวินัยอันนั้นจงเป็นศาสดาของพวกเธอแทนเราต่อไป เธอทั้งหลายจงมีธรรมวินัยเป็นที่พึ่ง อย่าได้มีอย่างอื่นเป็นที่พึ่งเลย
เราต้องรู้เข้าใจ ว่าพระธรรมพระวินัยคือตัวแทนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปัญญาสัมมาทิฏฐิความรู้ความเข้าใจที่ต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ที่เอาปัจจุบันประพฤติปฏิบัติ เราจะได้เข้าถึงมรรค เข้าถึงการประพฤติการปฏิบัติ ศีลสมาธิปัญญาที่เป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ ถึงเป็นพระนิพพานบ้านของเราตั้งแต่ปัจจุบัน สรุปแล้วการประพฤติการปฏิบัติให้เอาปัจจุบัน ปัจจุบันเราต้องมีสติคือความสงบ มีสัมปชัญญะคือตัวปัญญา ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะเราก็จะมีพระธรรมมีพระวินัยมีพระนิพพานด้วยพระธรรมพระวินัยด้วยความรู้ความเข้าใจ เราทั้งหลายมาระลึกถึงปัจฉิมโอวาทไว้ว่า
” สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา เธอทั้งหลาย จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด” พระโอวาทนี้จัดเป็นปัจฉิมโอวาท เป็นโอวาทสุดท้ายที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนแก่พุทธบริษัททั้ง 4
หลังจากนี้พระพุทธองค์ก็ไม่ได้ตรัสอะไรอีกเลย ทรงสงบนิ่งทำปรินิพพานบริกรรมด้วยอนุบุพพวิหารหรือสมาบัติทั้ง 9 โดยอนุโลมและปฏิโลมตามลำดับ เริ่มตั้งแต่ทรงเข้าปฐมฌาน ออกจากปฐมฌานแล้ว เข้าทุติยฌาน ออกจากทุติยฌานแล้ว เข้าตติยฌาน ออกจากตติยฌานแล้ว เข้าจตุตถฌาน ออกจากจตุตถฌานแล้ว ทรงเข้าอากาสานัญจายตนะ ออกจากอากาสานัญจายตนสมาบัติแล้ว เข้าวิญญาณัญจายตนะ ออกจากวิญญาณัญจายตนสมาบัติแล้ว เข้าอากิญจัญญายตนะ ออกจากอากิญจัญญายตนสมาบัติแล้ว เข้าเนวสัญญานาสัญญายตนะ ออกจากเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติแล้ว ทรงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ
พระอานนท์ผู้นั่งเฝ้าดูอาการของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตลอดเวลา จึงถามถึงการปรินิพพานกับพระอนุรุทธะซึ่งนั่งอยู่ใกล้ๆ พระอนุรุทธะผู้มีตาทิพย์มองเห็นการปรินิพพานของพระพุทธองค์ตลอดมา ตอบว่า ยังไม่ได้ปรินิพพาน เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติแล้ว เข้า เนวสัญญานาสัญญายตนะ ออกจากเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติแล้ว เข้าอากิญจัญญายตนะ ออกจากอากิญจัญญายตนสมาบัติแล้ว เข้าวิญญาณัญจายตนะ ออกจากวิญญาณัญจายตนสมาบัติแล้ว เข้าอากาสานัญจายตนะ ออกจากอากาสานัญจายตนสมาบัติแล้ว เข้าจตุตถฌาน ออกจากจตุตถฌานแล้ว เข้าตติยฌาน ออกจากตติยฌานแล้ว เข้าทุติยฌาน ออกจากทุติยฌานแล้ว เข้าปฐมฌาน ออกจากปฐมฌานแล้ว เข้าทุติยฌาน ออกจากทุติยฌานแล้ว เข้าตติยฌาน ออกจากตติยฌานแล้ว เข้าจตุตถฌาน ออกจากจตุตถฌานแล้ว ก็เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานระหว่างความสงบและปัญญาที่เป็นบริสุทธิคุณทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งอาชีพรวมลงที่ใจ ท่านได้ทำเป็นตัวอย่างแบบอย่างไว้ว่า กายวาจากิริยามารยาทใจอาชีพที่เราทุกคนต้องอยู่ในความไม่ประมาท ให้พากันประพฤติปฏิบัติในปัจจุบัน ปัจจุบันถึงเป็นวาระสำคัญของเราทุก ๆ คน
เรามาระลึกถึงโอวาทธรรมคำสั่งสอนขององค์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านได้ตรัสไว้ว่า
ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ
ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ
ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู
ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร
ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละคือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะว่าสิ่งเดิมนั้นคือความว่างเปล่า สิ่งที่สัญจรไปมาเป็นเพียงอาคันตุกะ เราจะได้เอาหลักการอุดการณ์ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นมรรคเป็นอริยมรรคที่ตรงกันข้ามกับโลกธรรม ให้รู้เข้าใจ เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรม พระนิพพานความรู้ความเข้าใจในเรื่องกระบวนการปฏิจจสมุปบาท กระบวนการของปฏิจจสมุปบาทจะได้จบลงเพียงผัสสะ จะได้เป็นปัญญาเป็นความสงบ จะเป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหตุเหนือผล หยุดความปรุงแต่ง นี้เป็นขบวนการที่ติดต่อต่อเนื่อง เป็นบารมีเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นพระนิพพานบ้านของเรา ไม่ใช่อวิชชาความหลงเป็นบ้านของเรานะ พระนิพพานคือบ้านของเรา ความสงบและปัญญาถึงเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราจะหยุดวัฏฏสงสารได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยพระธรรมด้วยพระวินัย เป็นขบวนการของกระแสในการประพฤติการปฏิบัติที่ได้นำเอาพระธรรมพระวินัยมาประพฤติมาปฏิบัติในปัจจุบันให้ติดต่อต่อเนื่อง
ความสงบและปัญญาที่เป็นพระธรรมพระวินัยถึงหยุดความปรุงแต่งได้ ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิคู่กับการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน พระธรรมพระวินัยที่เป็นความรู้ความเข้าใจ ที่จะหยุดความปรุงแต่งได้ เข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ปัจจุบัน ไม่ต้องรอชาติหน้า พระนิพพานต้องอยู่ที่ปัจจุบันเท่านั้น
บุญกุศลที่พวกเราทำเป็นประโยชน์ทั้งส่วนตัวและประโยชน์ของมหาชน บุญกุศลที่เป็นดีเอ็นเอทั้งกายวาจากิริยามารยาทรวมลงที่ใจ ให้ทุกท่านทุกคนน้อมอุทิศบุญกุศลถึงญาติบรรพบุรุษปู่ย่าตายายผู้วายชนม์จากไปทุกท่านจงได้รับส่วนบุญกุศล ถ้าหากมีทุกข์อันใดก็ให้พ้นจากความทุกข์นั้น ถ้ามีสุขอยู่แล้วก็ให้มีสุขยิ่ง ๆ ขึ้นไป อย่างไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ
การบรรยายโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เห็นสมควรแก่เวลา ขอสมมติยุติไว้เพียงเท่านี้
-----------------------------------------
โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
เมตตาให้ไว้ในเช้าวันที่ ๕ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา