๗ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
วันนี้เป็นวันอังคารที่ ๗ เดือนตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ เป็นวันออกพรรษา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงให้พระภิกษุ ภิกษุณี สามเณร สามเณรี อยู่จำพรรษาในหน้าฝน ไม่ให้จาริกไปในที่ต่าง ๆ ให้อยู่เป็นที่เป็นทาง ให้อยู่จำพรรษาตั้งแต่วันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๘ อยู่จำพรรษาใช้ไว้ ๙๐ วัน เป็นเวลา ๓ เดือน ออกพรรษาวันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ออกพรรษาแล้วอนุญาตให้ผู้ที่อยู่จำพรรษาร่วมกัน ได้เมตตาบอกกล่าวว่าส่วนไหนตัวของเราเองยังมีส่วนไหนบ้างมีความบกพร่องในเรื่องพระธรรมพระวินัย เราคิดว่าตัวเองดีแล้ว มีปัญญาแล้ว ส่วนที่ไม่รู้ไม่เข้าใจก็ย่อมมีความบกพร่องอยู่ วันสุดท้ายในวันออกพรรษา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงให้เราทุกรูปได้กล่าวปวารณาด้วยวาจาให้คนอื่นได้ตักเตือน
ให้รู้ให้เข้าใจในส่วนที่ขาดตกบกพร่อง พระธรรมพระวินัยให้เรารู้ให้เราเข้าใจว่า พระธรรมพระวินัยเป็นทางสายกลาง เป็นพระธรรมพระวินัยเพื่อไม่ให้ใครทำอะไรตามใจตามอัธยาศัย เป็นสิ่งที่ทวนกระแส ไม่ไปตามกระแส ไม่ไปตามผัสสะ ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม พระธรรมพระวินัยเป็นสิ่งที่ทวนกระแส พระธรรมพระวินัยเป็นความสงบและปัญญา เป็นสภาวธรรมที่หยุดความปรุงแต่งทั้งหลายทั้งปวง หยุดวัฏฏสงสารที่ท่องเที่ยวมานาน เป็นสภาวธรรมของธรรมะอยู่นอกเหตุเหนือผล ไม่มีความปรุงแต่ง เป็นสภาวธรรมที่ปราศจากตัวปราศจากตน มีความสงบและปัญญาควบคู่กันไปในปัจจุบัน ผู้ที่มาบรรพชาอุปสมบท ได้ถือเอาพระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ แบ่งเป็นปิฎก ๓ ปิฎก พระวินัย ๒๑,๐๐๐ พระสูตร ๒๑,๐๐๐ พระอภิธรรม ๔๒,๐๐๐ รวมกันเป็น ๘๔,๐๐๐ ผู้ที่ออกบรรพชาอุปสมบท ถือเอาพระธรรมพระวินัยเป็นข้อวัตรข้อปฏิบัติ ยกเลิกเรา ยกเลิกเขา เอากายวาจากิริยามารยาทอาชีพที่เป็นพระธรรมเป็นพระวินัยเอามาใช้ เอาไปใช้ในการประพฤติในการปฏิบัติ เน้นความตั้งใจ เน้นเจตนา มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ
ปัจจุบันถือว่าเป็นวาระสำคัญของการประพฤติการปฏิบัติ เพราะเหตุผลว่าอดีตก็มารวมที่ปัจจุบัน อนาคตจะไปข้างหน้าก็มารวมอยู่ที่ปัจจุบันนี้ ปัจจุบันถึงเป็นพื้นเป็นฐาน เป็นสติปัฏฐาน เป็นประโยชน์ในปัจจุบันและในอนาคต ผู้ที่มาบวชในพระศาสนาได้ถือเอาหลักการ หลักวิชาการอุดมการณ์อุดมธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ทวนกระแสทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม พระธรรมพระวินัยด้วยความรู้ความเข้าใจ ทั้งความรู้คู่การประพฤติการปฏิบัติ สิ่งเหล่านั้นก็จะจบลงที่ผัสสะ พระธรรมพระวินัยที่เรารู้เข้าใจ วัฏฏสงสารจะจบลงที่ปัจจุบัน จบลงที่ผัสสะ ผู้ที่บรรพชาอุปสมบทถึงไม่ถือสักกายทิฏฐิ ไม่ถือตัวถือตน เอาพระธรรมเอาพระวินัยนำชีวิต มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการเอาพระธรรมเอาพระวินัยนำชีวิต
ผู้ปฏิบัติแต่ละท่านถึงเน้นในเรื่องปัจจุบัน เพื่อไม่ให้การประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบันขาดตกบกพร่อง เราเป็นเสขบุคคลยังไม่ใช่พระอรหันต์ ก็ย่อมมีความขาดตกบกพร่อง เพราะสติสัมปชัญญะของเรายังไม่สมบูรณ์
การประพฤติการปฏิบัติของเรา เราต้องเอาพระธรรมเอาพระวินัยเป็นหลัก ยกเลิกตัวตน เพื่อให้สติสัมปชัญญะของเราได้สมบูรณ์ ถ้าเรามีตัวมีตน สติสัมปชัญญะของเรานั้นย่อมไม่สมบูรณ์ ด้วยเหตุผลนี้เราทุกท่านถึงต้องไม่ถือสักกายทิฏฐิ ไม่ให้ถือเนื้อถือตัว ต้องถือพระธรรมถือพระวินัย มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติพระธรรมพระวินัย เรามีความฉลาดมาก ๆ เราก็ต้องมีความสงบมาก ๆ เรามีความสงบมาก ๆ เราก็ต้องเสียสละ เพื่อจะได้ก้าวไปด้วยสติปัฏฐานที่เป็นความสงบและเป็นปัญญา
พระธรรมพระวินัยเป็นสิ่งที่พวกเราต้องรู้ต้องเข้าใจ พระธรรมพระวินัยนั้น เป็นสิ่งที่ยกเลิกตัวตน เป็นความสงบและปัญญา เป็นพระนิพพานคือความสงบเย็น เย็นทั้งกายทั้งวาจาทั้งกิริยามารยาททั้งอาชีพเย็นทั้งใจ เย็นยิ่งกว่าแอร์คอนดิชั่น เราต้องรู้เข้าใจว่าพระธรรมพระวินัยคือธรรมะที่ยกเลิกตัวตน พระธรรมพระวินัยนี้ถึงมีแต่คุณมีแต่ประโยชน์ ถึงมีคำกล่าวว่า พุทธคุณ ธัมมคุณ สังฆคุณ เป็นทั้งประโยชน์ของเรา เป็นทั้งประโยชน์ของผู้อื่น
เรามาบวชมาปฏิบัติธรรม เรามาหยุดทำอะไรตามใจตามอัธยาศัย ปกติผู้ติดสิ่งเสพติดก็ต้องเข้าสู่ภาคปฏิบัติภาคบำบัด พระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่เป็นภาคปฏิบัติเป็นภาคบำบัด การประพฤติการปฏิบัติเราทุกคนต้องพากันปฏิบัติเอาเอง ตั้งใจเอาเอง
เราคิดดูดี ๆ พระพุทธเจ้าท่านก็บำเพ็ญพุทธบารมีของท่าน พระอรหันต์ขีณาสพผู้ได้ฟังคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็ปฏิบัติของท่านเอง เราเป็นใครมาจากไหน เราก็ประพฤติเราก็ปฏิบัติของตัวเราเอง เพราะไม่มีใครปฏิบัติแทนใครให้กันและกันได้ เพราะนี้เป็นเรื่องจิตเรื่องใจเป็นความตั้งใจตั้งเจตนา นี้เป็นความสงบ นี้เป็นปัญญาของเรา มนุษย์เราจะไปเอาแต่เรื่องจิตเรื่องใจอย่างเดียวก็ไม่ได้ มันสุดโต่ง มนุษย์เราจะเอาแต่วัตถุจะเอาแต่วิทยาศาสตร์อย่างเดียวก็ไม่ได้เพราะมันสุดโต่ง
มนุษย์เราต้องรู้เข้าใจ จะได้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เห็นภัยในความไม่ถูกต้อง มนุษย์เราต้องเดินทางสายกลางเพื่อให้วัตถุกับจิตใจไปพร้อม ๆ กันเป็นทางสายกลาง มนุษย์เราต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เน้นในการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน ถ้ามนุษย์เรามีความสงบและปัญญา ความสงบและปัญญาจะทำหน้าที่หยุดความปรุงแต่ง ด้วยความรู้ความเข้าใจด้วยพระธรรมด้วยพระวินัย
มนุษย์เราต้องเอาความรู้คู่การประพฤติการปฏิบัติ ปัจจุบันนี้เราทุกคนทุกท่านให้รู้เข้าใจ ว่าเราคิดได้ทีละอย่าง เราพูดได้ทีละอย่าง กิริยามารยาทเราทำได้ทีละอย่าง อาชีพเราทำได้ทีละอย่าง ถ้าเราเข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ เราก็พากันเน้นที่ปัจจุบัน ธรรมะถึงเป็นอริยมรรคในปัจจุบัน นรก เปรต อสุรกาย มนุษย์ เทวดา พระพรหม พระอริยเจ้าถึงอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล อยู่ที่กายวาจากิริยามารยาทอยู่ที่อาชีพ อยู่ที่ใจของเรานี้เอง
ด้วยเหตุผลนี้ เราทุกท่านถึงต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เอาพระธรรมเอาพระวินัยเพื่อเข้าถึงความสงบและปัญญา เข้าถึงสติปัฏฐานในปัจจุบัน ความรู้ความเข้าใจจะทำให้ทุกชาติทุกศาสนาเข้าถึงความสงบ เข้าถึงปัญญา ที่อยู่ไม่ไกลไม่ไกล อยู่ที่กายวาจากิริยามารยาท อยู่ที่อาชีพ รวมลงที่ใจ รวมลงที่เจตนา ให้เรารู้ให้เข้าใจ ในเรื่องปัญหา เราจะได้แก้ปัญหาให้ถูกต้อง ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ไหน ปัญหาอยู่ที่เราไม่รู้ไม่เข้าใจ ที่เอาความหลงนำชีวิต เอาความผิดนำชีวิต ชีวิตถึงมีแต่เรื่องแต่ราว หาเรื่องหาราวให้กับตัวเอง หาเรื่องหาราวให้กับคนอื่น ชีวิตนี้เลยมีแต่ความทุกข์ ความไม่รู้ไม่เข้าใจจึงเป็นเหตุให้มีแต่ทุกข์เกิดขึ้น มีแต่ทุกข์ตั้งอยู่ มีแต่ทุกข์ดับไป นอกจากทุกข์นี้ไม่มีเลย เราต้องรู้เข้าใจ ว่าพระธรรมพระวินัยที่เป็นพระรัตนตรัย เป็นพุทธะ ธัมมะ สังฆะ เป็นการประพฤติการปฏิบัติในตัวของเราเอง ทุกท่านทุกคนต้องรู้ต้องเข้าใจ เราจะได้รู้ปัญหา เราจะได้แก้ปัญหา เราจะได้มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการแก้ปัญหา เราจะได้หยุดปัญหา เราต้องรู้เข้าใจ ว่าปัญหานี้มันอยู่ที่เรา เราไม่ต้องไปโทษสิ่งภายนอก ปัญหาทุกอย่างนั้นอยู่ที่เรานี้เอง
อยู่จำพรรษาหน้าฝนเป็นเวลา ๓ เดือน ออกพรรษา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้ผู้ที่บรรพชาอุปสมบทพากันทำจีวร ทำกาลจีวร ให้หลักการ หลักวิชาการอุดมการณ์ใช้เวลา ๓๐ วันคือ ๑ เดือน ที่เป็นอริยประเพณี เป็นพระธรรมเป็นพระวินัย จึงได้มีประเพณีวัฒนธรรมทอดกฐินทุก ๆ ปีของการออกพรรษา วัดไหนมีพระอยู่ครบจำพรรษา ๕ รูปขึ้นไป ให้วัดนั้น ๆ ทอดกฐิน วัดไหนพระไม่ครบ ๕ รูปให้ทอดได้เพียงผ้าป่า เพราะพระไม่ครบ ๕ รูป อย่าไปนิมนต์พระวัดอื่นมาให้ครบ ๕ รูป อย่างนั้นไม่ถูกต้อง ให้เอาเฉพาะพระอยู่จำพรรษา ๕ รูป ถึงทอดกฐินได้
วัดป่าทรัพย์ทวีฯแห่งนี้ปีนี้ ทอดกฐินวันที่ ๑๒ ตุลาคม เวลา ๑๐ นาฬิกา ให้มารวมกันที่ศาลาแห่งนี้เพื่อทอดกฐิน การทอดกฐินนี้เป็นพระธรรมเป็นพระวินัย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านไม่ให้เรามุ่งปัจจัย ให้มุ่งพระธรรมพระวินัย เพราะคำว่าพระนั้นคือพระธรรมคือพระวินัย อย่าไปมุ่งเงินมุ่งสตางค์ มุ่งลาภสักการะ ให้พากันเอาพระธรรมพระวินัย เอาพระศาสนา เพราะคำว่าพระนั้นคือพระธรรมคือพระวินัย ถึงเป็นพระศาสนา ให้เรารู้ให้เข้าใจ ว่าพระธรรมพระวินัยนั้นคือพระศาสนา ถ้าเราเอาตัวเอาตนนำชีวิตนั้นไม่ใช่พระศาสนา มันเป็นนิติบุคคลตัวตน ตัวตนนั้นเป็นเหตุผลที่ต้องให้พังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกันกับตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทย ตึกไหน ๆ ก็ไม่พัง พังแต่ตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ประชากรของโลกต้องรู้เข้าใจ ความรู้ความเข้าใจจะทำให้เกิดความมั่นคงชาติ ศาสน์ กษัตริย์
ชาติก็หมายถึงความเกิด ศาสน์ก็คือจิ๊กซอว์ที่เป็นขบวนการของกระแสปฏิจจสมุปบาท เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี ศาสน์ก็หมายถึงศาสนา พระมหากษัตริย์หมายถึงรูปธรรมนามธรรม เป็นการพัฒนาใจกับพัฒนาวัตถุไปพร้อม ๆ กันเป็นทางสายกลาง ยกเลิกตัวตน เราทุกคนถึงจะเข้าสู่ความมั่นคงของชาติศาสน์กษัตริย์ ถึงเป็นทั้งรูปธรรมนามธรรม เป็นทั้งความสงบและปัญญา ยกเลิกอดีตที่ผ่านมา เพราะอดีตมันเกษียณแล้วเราต้องปล่อยต้องวาง อนาคตที่อยู่ข้างหน้ามันก็อยู่ที่ปัจจุบันนี้แหละ ปัจจุบันถึงเป็นพื้นเป็นฐาน เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เราจะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ว่างจากนิติบุคคลตัวตน เข้าถึงความสงบและปัญญา เข้าถึงพระนิพพานบ้านของเราในปัจจุบัน ปัจจุบันเราไม่เอาความหลงนำชีวิต ไม่เอาความผิดนำชีวิต ความรู้ความเข้าใจ สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นจะได้จบลงในปัจจุบัน
เราต้องรู้เข้าใจเรื่องกรรมเก่า กรรมเก่าก็คือตัวเรา กรรมใหม่ก็คือสิ่งภายนอก เราต้องรู้เข้าใจ ไม่ให้กรรมใหม่และกรรมเก่ามันทำงานที่เป็นจิ๊กซอว์ที่ติดต่อต่อเนื่องกันไป เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้จบลงเพียงผัสสะ ที่เป็นศิลปะชีวิต ที่เป็นพระธรรมเป็นพระวินัย เราทั้งหลายพากันมาเน้นประพฤติปฏิบัติในปัจจุบัน ปัจจุบันเราต้องรู้เข้าใจ ปัจจุบันเราต้องเอาพระธรรมเอาพระวินัย มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติต่อพระธรรมพระวินัย ถ้าเราไม่เอาพระธรรมพระวินัย เราจะหยุดสัญชาตญาณที่เป็นนิติบุคคลตัวตน หยุดวัฏฏสงสารนั้นไม่ได้ เราต้องหยุดลงด้วยเข้าสู่ภาคบำบัด เพราะพระธรรมพระวินัยให้เรารู้เข้าใจว่ามันเป็นเบรกเป็นเซฟตี้ ที่เป็นความดีที่เป็นบารมีที่เป็นธรรมเป็นคุณธรรม
เราต้องรู้เข้าใจ ว่ารถต้องมีเบรก เรือต้องมีเบรก เครื่องบินต้องมีเบรก เรามีกายวาจากิริยามารยาทมีอาชีพ เราก็ต้องมีเบรก เบรกคือความรู้ความเข้าใจ เราทั้งหลายจะได้จบลงที่รู้เข้าใจ จบที่ผัสสะ จบลงได้ที่ปัจจุบันด้วยภาคบำบัด เรามีปัญญามากก็ต้องมีความสงบมาก ปัญญามากเครื่องมันแรง เครื่องแรงก็ต้องเบรกดี ให้เรารู้เข้าใจ เราจะไม่ได้ประมาท จะไม่ได้ตั้งอยู่ในความประมาท เราเอาพระธรรมเอาพระวินัยด้วยปิติด้วยความสุขเอกัคคตา ใจไม่สงบก็ไม่เป็นไร ให้กายวาจากิริยามารยาทให้อาชีพมันถูกต้อง ให้มันสงบ
เราทั้งหลายต้องควบคุมตัวเองให้ได้ ควบคุมตนเองให้อยู่ ต้องอบรมบ่มอินทรีย์ด้วยความรู้ความเข้าใจ เรารู้เข้าใจเรื่องกรรมเรื่องกฎแห่งกรรมเรื่องผลของกรรม เราต้องรู้เข้าใจว่า กินมากนอนมากไม่ใช่ผู้ปฏิบัติมาก กินมากนอนมากมันก็ตัวตนมาก กินมากนอนมากมันก็อ้วนมาก คนอ้วนมากคนน้ำหนักมากมันก็หิวมาก ควบคุมตัวเองไม่อยู่ คนรุ่นใหม่สมัยใหม่ไม่รู้ไม่เข้าใจ ปล่อยให้ตัวเองกินมากนอนมากอ้วนมาก ให้รู้ให้เข้าใจนะ เราต้องเบรกตัวเองให้ได้ เราต้องรู้จักโภชนีตัญญุตา รู้จักประมาณในการบริโภค อย่าไปกินมากนอนมาก พูดมาก คิดมาก ต้องมีความพอเพียงเพียงพอ ต้องมีความพอดี ต้องมีความสงบมีปัญญา
ออกพรรษาแล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงให้ผู้ที่มาบรรพชาอุปสมบทลดมานะละทิฏฐิ อนุญาตให้ทุกคนกล่าวตักเตือนเราได้ อย่าไปถือเนื้อถือตัวถือตน ต้องยกเลิกตัวตน ให้เรารู้เข้าใจ ตัวตนนั้นคือความไม่สงบ ถ้าเรามีตัวมีตน เราเป็นคนรวยเราก็ไม่สงบ เพราะตัวตนคือความไม่สงบ เราเป็นคนจน เราก็ไม่สงบเพราะตัวตนคือความไม่สงบ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงให้ยกเลิกตัวตน สิ่งไหนจะให้คนอื่นกล่าวตักเตือนเราได้ คนนั้นเค้าจะเป็นใครก็ให้เค้าตักเตือนเราได้ เค้าจะเป็นคนใหญ่คนเล็กคนต่ำต้อยก็ให้ตักเตือนบอกกล่าวเราได้
เราอย่าถือทิฏฐิมานะอัตตาตัวตน เพราะตัวตนนั้นต้องรู้เข้าใจ ว่าเราทุกคนต้องยกเลิกตัวตน ไม่ต้องมีความสำคัญมั่นหมายว่าเราเป็นผู้หญิง ว่าเราเป็นผู้ชาย เป็นคนหนุ่มคนสาวคนแก่คนเฒ่าคนชรา เป็นคนดีกว่าเค้าเก่งกว่าเค้าฉลาดกว่าเค้ารวยกว่าเค้ามีเพาเวอร์มากกว่าเค้าหรือว่าสู้เขาไม่ได้ เราต้องรู้เข้าใจ เราต้องไม่มีทิฏฐิมานะ ไม่มีอัตตาตัวตน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบำเพ็ญพุทธบารมียกเลิกเขายกเลิกเรา เป็นพระธรรมเป็นพระวินัยเป็นความสงบเป็นปัญญา พระตัวตนนั้นไม่ใช่ความสงบไม่ใช่ปัญญา มันเป็นอัตตาตัวตน มันเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ชีวิตนี้เสียหาย ให้ชีวิตนี้พังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกันตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทย
นี้เราเอาตึกสตง.มาเป็นคติเตือนใจว่า เราทุกคนย่อมไม่ถือทิฏฐิมานะอัตตาตัวตน เราทุกคนถึงไม่เอาความรู้สึกที่ชอบไม่ชอบ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงเมตตาตรัสว่า เราอย่าไปตรึกในกามอย่าไปตรึกในพยาบาทเพื่อยกเลิกสัญชาตญาณ ปฏิบัติให้มันติดต่อต่อเนื่อง การทำอะไรติดต่อต่อเนื่องเค้าต้องใช้เวลา เราต้องถือนิสัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นิสัยก็ได้แก่พระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่มีทั้งคำสั่งคำสอน พระธรรมพระวินัยคือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านพระอานนท์กราบเรียนทูลถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระพุทธองค์ตรัสกับพระอานน์ว่า “อานนท์! เมื่อเราล่วงลับไปแล้ว เธอทั้งหลายอาจจะคิดว่าบัดนี้พวกเธอไม่มีศาสดาแล้วจะพึงว้าเหว่ไร้ที่พึ่ง อานนท์เอย! จึงประกาศให้ทราบทั่วกันว่า ธรรมวินัยอันใดที่เราได้แสดงแล้วบัญญัติแล้ว ขอให้ธรรมวินัยอันนั้นจงเป็นศาสดาของพวกเธอแทนเราต่อไป เธอทั้งหลายจงมีธรรมวินัยเป็นที่พึ่ง อย่าได้มีอย่างอื่นเป็นที่พึ่งเลย
พระธรรมพระวินัยเป็นที่พึ่งที่อาศัย เป็นที่อยู่ที่อาศัย เป็นสิ่งที่เราต้องประพฤติ เป็นสิ่งที่เราต้องปฏิบัติ เราต้องรู้เข้าใจว่า เราเอาทิฏฐิมานะอัตตาตัวตนนำชีวิตนี้มันสิ่งที่ใช้ไม่ได้ เป็นสิ่งที่ไม่สมควรกระทำเป็นอย่างยิ่ง พระธรรมพระวินัยเป็นสิ่งที่จะพาเราไปก้าวไปด้วยความสงบและปัญญา เราถึงต้องถือพระธรรมถือพระวินัย การประพฤติการปฏิบัติก็ต้องอาศัยระยะเวลา อย่างผู้ที่มาบวชในพระพุทธศาสนา ท่านก็ให้ถือนิสัยถือพระธรรมพระวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเวลา ๕ พรรษา ๕ ปี ระบบความคิดนี้คิดได้คิดไม่ได้เป็นเวลา ๕ ปีนี้ อันนี้พูดได้อันนี้พูดไม่ได้ใช้เวลา ๕ ปี กิริยามารยาทอันนี้ทำได้ทำไม่ได้เป็นเวลา ๕ ปี การทำอะไรติดต่อต่อเนื่องไม่เอาสัญชาตญาณไม่เอาความรู้สึกนำชีวิตเป็นสิ่งที่ทวนกระแส เราถึงจะเป็นผู้มีศีลมีสมาธิมีปัญญา เราต้องรู้เข้าใจ เราต้องก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ เพื่อปฏิปทาของเราจะไม่ได้ขาดตกบกพร่อง
เราคิดดูดี ๆ นะ อย่างรายการดี ๆ น่าติดตาม ที่เค้าออกอากาศทางโทรทัศน์ รายการต่าง ๆ นั้นก็ย่อมมีโฆษณาสินค้าสรรพสินค้าที่มาโฆษณา เราต้องรู้เข้าใจ ว่าเรามีธาตุทั้ง ๔ ดินน้ำลมไฟ ขันธ์ทั้ง ๕ คือรูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ อายตนะทั้ง ๖ ตาหูจมูกลิ้นกายใจ อายตนะภายนอก รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะธรรมารมณ์สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เค้าจะมาคั่นรายการเรานะ
เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะไม่ได้ไปตามสิ่งต่าง ๆ ที่มันเกิดขึ้นจากธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะภายใน ๖ ภายนอก ๖ เป็น ๑๒ สิ่งเหล่านี้มันเป็นรายการมาคั่นรายการ เราต้องรู้เข้าใจว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงมาคั่นรายการเป็นเพียงอาคันตุกะชั่วครู่ชั่วยามสัญจรไปมา เราต้องรู้เข้าใจ เราจะได้เอาความรู้ความเข้าใจนั้นมาหยุดรู้ว่ามันเป็นเพียงอาคันตุกะสัญจรไปมา มันเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป ให้เรารู้เข้าใจ เราจะได้รู้เรื่องสิ่งเก่า ๆ เราจะได้รู้เรื่องสิ่งใหม่ ๆ เราจะได้รู้เข้าใจในรายการที่มาโฆษณา เราจะไม่ได้ไปตามรายการที่เค้าโฆษณา เราจะได้มีหลักการของเรา เราจะได้รู้จักข้อสอบ เราจะได้ตอบด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา
ให้เรารู้ให้เข้าใจนะ เดี๋ยวนี้เรามีความเสียหาย เราพากันล้มละลายพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกับตึก สตง.นะ เราคิดดูตัวเอง เราคิดดูคนอื่น ตัวเองก็มีทุกข์ เราเอาตัวตนนำชีวิตเอาความผิดนำชีวิตมันก็ต้องมีทุกข์ มันทุกข์ยากลำบาก ยากจน มันไม่อิ่มไม่พอ เป็นคนรวยก็ทุกข์เพราะความไม่พอ เป็นคนจนก็ทุกข์ทั้งกายทุกข์ทั้งใจ เราต้องรู้เข้าใจ เราจะได้เป็นมนุษย์ผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เป็นเทวดาผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เป็นพระอริยเจ้าผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เราไม่ต้องไปแก้ที่ใคร แก้ที่เรา มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ
เราถือโอกาสถือเวลาที่ประเสริฐที่อายุขัยของเราอยู่ได้ร่วมศตวรรษหนึ่งคือร้อยปีมาประพฤติมาปฏิบัติ ปฏิบัติหน้าที่ทำหน้าที่ของเราให้ดี ๆ ทุกวันนี้เรามองไปที่ไหนด้วยสัญชาตญาณ มองเห็นแต่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป เพราะตัวตนนั้นมันเป็นทุกข์อย่างยิ่ง มันเป็นความอยากความลำบากเป็นอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้เราต้องพากันเห็นภัยในวัฏฏสงสาร เราทั้งหลายถึงต้องเดินทางสายกลาง เพื่อเอาความสงบปัญญาเอามาใช้เอามาปฏิบัติ เพื่อให้เกิดปิติเกิดสุขเกิดเอกัคคตา
ให้เราเข้าใจว่าความพอดี ความพอเพียงเพียงพอ เป็นสิ่งที่ใช้ได้ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลยเดชท่านได้พูดไว้กินใจอย่างลึกซึ้ง ให้เข้าถึงเศรษฐกิจพอเพียงเพียงพอ เราอยากได้มากมันก็ไม่มาก อยากได้น้อยมันก็ไม่น้อยหรอก เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะไม่ได้ทุกข์ใจ เอาปัจจุบันเป็นการประพฤติการปฏิบัติ
ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเข้าสู่ความเต็ม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาจุติในพระครรภ์มารดาก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ ประสูติก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ ตรัสรู้ก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ แสดงพระธรรมเทศนาธัมมจักกัปวัตตนสูตรก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ ตรัสบอกมหาชนทั้งหลายว่าอีก ๓ เดือนข้างหน้าพระตถาคตเจ้าจะเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพานก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ เสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพานก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ ความเต็มมันคือความพอเพียงเพียงพอ
ให้เรารู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้รู้อริยสัจสี่ รู้ความจริง เราต้องเข้าใจ เราทั้งหลายจะไม่ได้หลงผัสสะที่เป็นอดีตที่ผ่านมา ปัจจุบันเราก็เข้าสู่ความว่าง เราจะได้เข้าถึงความรู้ความเข้าใจ เข้าถึงความเต็มความพอเพียงเพียงพอ คนรุ่นใหม่สมัยใหม่ต้องรู้เข้าใจ เราต้องเดินทางสายกลางระหว่างใจกับวัตถุต้องไปพร้อม ๆ กัน เพื่อเราจะได้แก้ปัญหาได้ เพราะเราจะไปจมอยู่กับอดีตไม่ได้ เราจะไปเพ้อฝันในอนาคตไม่ได้ เราต้องทำหน้าที่ของเราในปัจจุบัน เราต้องเข้าถึงนิพพานที่เป็นความดับทุกข์ในปัจจุบัน เป็นประโยชน์ทั้งปัจจุบันและอนาคตด้วยความรู้ความเข้าใจ
ก่อนที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน
ครั้งนั้น ภิกษุสงฆ์ได้มาประชุมพร้อมกันหมดแล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ประทานโอวาทแก่ภิกษุ สงฆ์ไว้อย่างนี้
1. เมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว อย่าพึงมีความคิดว่า ศาสดาไม่มีแล้ว เพราะธรรมและวินัยที่ตถาคตแสดงแล้ว บัญญัติไว้แล้ว ธรรมและวินัยนั้น จักเป็นศาสดาแทนพระองค์
2. การร้องเรียกกันด้วยคำว่า “ อาวุโส” ในตอนนี้เป็นการเสมอกันไปทั้งแก่และอ่อน ฉะนั้น ต่อไปนี้ ภิกษุผู้แก่กว่า พึงเรียกภิกษุผู้อ่อนกว่า ด้วยชื่อ ด้วยตระกูล หรือด้วยคำว่า “ อาวุโส” ส่วนภิกษุผู้อ่อนกว่า พึงเรียกภิกษุผู้แก่กว่าว่า “ ภันเต” หรือ “ อายัสมา”
3. ถ้าสงฆ์ปรารถนาจะถอนสิกขาบทเล็กน้อยบ้าง ในเวลาที่ตถาคตปรินิพพานแล้ว ก็อนุญาตให้สงฆ์ถอดถอนได้
4. ให้พระอานนท์ลงพรหมทัณฑ์แก่ฉันนภิกษุ ด้วยการไม่ให้คณะสงฆ์ว่ากล่าว ตักเตือน สั่งสอน และคบหาสมาคมด้วย
จากนั้น ประทานโอกาสให้ภิกษุสงฆ์ถามความข้องใจสงสัยในพระรัตนตรัย หรือแม้ในข้อปฏิบัติที่ยังสงสัยอยู่ แต่ปรากฏว่าไม่มีภิกษุรูปใดทูลถาม แม้พระพุทธองค์จะทรงตรัสถามถึง 3 ครั้ง พระพุทธองค์จึงตรัสว่า เพราะภิกษุที่ประชุมกันอยู่ 500 รูปนี้ อย่างน้อยก็เป็นพระโสดาบัน มีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา มีทางที่จะได้ตรัสรู้ต่อไปในภายภาคหน้า พระพุทธองค์ได้ตรัสต่อไป เป็นครั้งสุดท้ายว่า “ ภิกษุทั้งหลาย เราขอเตือนพวกเธอทั้งหลายว่า
” สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา เธอทั้งหลาย จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด” พระโอวาทนี้จัดเป็นปัจฉิมโอวาท เป็นโอวาทสุดท้ายที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนแก่พุทธบริษัททั้ง 4
หลังจากนี้พระพุทธองค์ก็ไม่ได้ตรัสอะไรอีกเลย ทรงสงบนิ่งทำปรินิพพานบริกรรมด้วยอนุบุพพวิหารหรือสมาบัติทั้ง 9 โดยอนุโลมและปฏิโลมตามลำดับ เริ่มตั้งแต่ทรงเข้าปฐมฌาน ออกจากปฐมฌานแล้ว เข้าทุติยฌาน ออกจากทุติยฌานแล้ว เข้าตติยฌาน ออกจากตติยฌานแล้ว เข้าจตุตถฌาน ออกจากจตุตถฌานแล้ว ทรงเข้าอากาสานัญจายตนะ ออกจากอากาสานัญจายตนสมาบัติแล้ว เข้าวิญญาณัญจายตนะ ออกจากวิญญาณัญจายตนสมาบัติแล้ว เข้าอากิญจัญญายตนะ ออกจากอากิญจัญญายตนสมาบัติแล้ว เข้าเนวสัญญานาสัญญายตนะ ออกจากเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติแล้ว ทรงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ
พระอานนท์ผู้นั่งเฝ้าดูอาการของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตลอดเวลา จึงถามถึงการปรินิพพานกับพระอนุรุทธะซึ่งนั่งอยู่ใกล้ๆ พระอนุรุทธะผู้มีตาทิพย์มองเห็นการปรินิพพานของพระพุทธองค์ตลอดมา ตอบว่า ยังไม่ได้ปรินิพพาน เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติแล้ว เข้า เนวสัญญานาสัญญายตนะ ออกจากเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติแล้ว เข้าอากิญจัญญายตนะ ออกจากอากิญจัญญายตนสมาบัติแล้ว เข้าวิญญาณัญจายตนะ ออกจากวิญญาณัญจายตนสมาบัติแล้ว เข้าอากาสานัญจายตนะ ออกจากอากาสานัญจายตนสมาบัติแล้ว เข้าจตุตถฌาน ออกจากจตุตถฌานแล้ว เข้าตติยฌาน ออกจากตติยฌานแล้ว เข้าทุติยฌาน ออกจากทุติยฌานแล้ว เข้าปฐมฌาน ออกจากปฐมฌานแล้ว เข้าทุติยฌาน ออกจากทุติยฌานแล้ว เข้าตติยฌาน ออกจากตติยฌานแล้ว เข้าจตุตถฌาน ออกจากจตุตถฌานแล้ว ก็เสด็จปรินิพพาน
โอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ
ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ
ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู
ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร
ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละคือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะว่าสิ่งเดิมนั้นคือความว่างเปล่า สิ่งที่สัญจรไปมาเป็นเพียงอาคันตุกะ เราจะได้เอาหลักการอุดการณ์ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นมรรคเป็นอริยมรรคที่ตรงกันข้ามกับโลกธรรม ให้รู้เข้าใจ เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรม พระนิพพานความรู้ความเข้าใจในเรื่องกระบวนการปฏิจจสมุปบาท กระบวนการของปฏิจจสมุปบาทจะได้จบลงเพียงผัสสะ จะได้เป็นปัญญาเป็นความสงบ จะเป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหตุเหนือผล หยุดความปรุงแต่ง นี้เป็นขบวนการที่ติดต่อต่อเนื่อง เป็นบารมีเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นพระนิพพานบ้านของเรา ไม่ใช่อวิชชาความหลงเป็นบ้านของเรานะ พระนิพพานคือบ้านของเรา ความสงบและปัญญาถึงเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราจะหยุดวัฏฏสงสารได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยพระธรรมด้วยพระวินัย เป็นขบวนการของกระแสในการประพฤติการปฏิบัติที่ได้นำเอาพระธรรมพระวินัยมาประพฤติมาปฏิบัติในปัจจุบันให้ติดต่อต่อเนื่อง
ความสงบและปัญญาที่เป็นพระธรรมพระวินัยถึงหยุดความปรุงแต่งได้ ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิคู่กับการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน พระธรรมพระวินัยที่เป็นความรู้ความเข้าใจ ที่จะหยุดความปรุงแต่งได้ เข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ปัจจุบัน ไม่ต้องรอชาติหน้า พระนิพพานต้องอยู่ที่ปัจจุบันเท่านั้น
-----------------------------------
โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
เมตตาให้ไว้ในเช้าวันที่ ๗ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา