๙ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

วันนี้เป็นวันที่ ๙ เดือนตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

 

ช่วงนี้เป็นช่วงเทศกาลถวายผ้ากฐินพร้อมด้วยของที่เป็นบริวาร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านกำหนดเวลาไว้ ๑ เดือน ตั้งแต่แรม ๑ ค่ำเดือน ๑๑ ถึงวันเพ็ญเดือน ๑๒ วัดไหนมีพระครบ ๕ รูปขึ้นไปตามพระธรรมพระวินัย ให้พระที่อยู่จำพรรษาในวัดนั้นรับกฐินได้ ถ้าไม่ครบ ๕ รูป ให้ถวายเป็นผ้าป่า เพราะเหตุว่าพระไม่ครบ ๕ รูป จะไปนิมนต์พระมาจากวัดอื่นให้ครบ ๕ รูปนั้นไม่ได้ จะทำให้ผิดพระวินัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านวางหลักพระธรรมพระวินัยไว้

 

คำว่าพระศาสนา ให้พวกเราพากันรู้พากันเข้าใจ คำว่าพระนั้นหมายถึงพระธรรมพระวินัย มนุษย์เราทุก ๆ คนต้องรู้ต้องเข้าใจ ต้องเอาพระธรรมพระวินัยนำชีวิต เพื่อทำที่สุดแห่งความทุกข์ เพื่อความไม่มีทุกข์

 

มนุษย์เราต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการดำเนินชีวิต มีความรู้มีความเข้าใจ

 

มนุษย์เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เพื่อจะไม่ได้ไปตามผัสสะ ไม่ได้ไปตามสิ่งแวดล้อม ความรู้ความเข้าใจอย่างเรียกว่ารู้อริยสัจสี่ คือรู้เรื่องทุกข์ เรื่องเหตุเกิดขึ้น ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ มนุษย์เราถึงต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ที่เป็นกายวาจากิริยามารยาทอาชีพ เพื่อให้เป็นทางสายกลางระหว่างจิตใจและวัตถุ จะไม่ได้เอาความผิดนำชีวิต เอาปัญญาสัมมาทิฏฐินำชีวิต มีความเห็นถูกต้อง มีความเข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง เน้นการประพฤติการปฏิบัติอยู่ที่ปัจจุบัน เพราะเหตุผลว่า อดีตก็มาร่วมรวมกันอยู่ที่ปัจจุบันแล้ว อนาคตที่ยังไปไม่ถึงก็อยู่ที่ปัจจุบันนี้เอง ปัจจุบันถึงเป็นวาระแห่งชาติของการประพฤติการปฏิบัติ

 

มนุษย์เราต้องรู้เข้าใจในเรื่องกรรมเรื่องกฎของกรรม รู้เรื่องผลของกรรม ผู้ที่ยังเป็นเสขบุคคลพึงปฏิบัติตนเพื่อให้การปฏิบัตินั้น ๆ มันติดต่อต่อเนื่อง วาระกายวาจากิริยามารยาทอาชีพใจ ทำได้ประพฤติปฏิบัติได้ทีละอย่าง ถ้าเรารู้เข้าใจ เราก็จะรู้เรื่องของการประพฤติการปฏิบัติ เราจะเป็นผู้รู้ข้อสอบ เราจะเป็นผู้รู้ข้อตอบ การประพฤติการปฏิบัติต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจ เราทั้งหลายจะได้ปฏิบัติติดต่อต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้สิ่งต่าง ๆ มาคั่นรายการ อะไรมาคั่นรายการ ผัสสะทั้งหลายเป็นสิ่งที่มาคั่นรายการ ผัสสะที่เกิดจากธาตุทั้ง ๔ ดินน้ำลมไฟ ผัสสะที่เกิดจากขันธ์ทั้ง ๕ รูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ ผัสสะที่เกิดจากอายตนะทั้ง ๖ ได้แก่ ตาหูจมูกลิ้นกายใจ ถึงเป็นอายตนะภายใน ผัสสะที่เกิดจากอายตนะภายนอกก็ได้รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะธรรมารมณ์ สิ่งเหล่านี้แหละโดยธรรมชาติเลยจะมาคั่นรายการ

 

เราต้องรู้ต้องเข้าใจว่าสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ต้องมาคั่นรายการแน่นอน เพราะสิ่งต่าง ๆ นี้เป็นธรรมเป็นสภาวธรรม เป็นสิ่งที่สัญจรไปมาที่เกิดจากเหตุเกิดจากปัจจัย เราเป็นมนุษย์เป็นผู้ประเสริฐ เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะไม่ได้ไปตามผัสสะ เราจะได้ยกผัสสะนั้นเข้าสู่พระไตรลักษณ์ ว่าผัสสะทั้งหลายนี้ล้วนแต่ไม่แน่ไม่เที่ยงไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน มีความเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป

 

เราอาศัยความรู้ความเข้าใจเรื่องพระธรรมเรื่องพระวินัย ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้บำเพ็ญพุทธบารมีหลายล้านชาติ หลายล้านปี หลายอสงไขย ให้พวกเรารู้เข้าใจ จะได้เอาความถูกต้องนำชีวิต จะไม่ได้เอาความผิดนำชีวิต ทำให้ชีวิตของเราต้องพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกับตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทย ตึกต่าง ๆ ของเมืองไทยประเทศไทยทั้งสูงทั้งใหญ่ มีมากมาย ตึกไหนก็ไม่พังทลาย พังทลายตึกเดียว พังตั้งแต่ตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน เราต้องรู้เข้าใจ เราจะไม่ได้ทำความเสียหายให้กับตัวของเราเอง ทำความเสียหายให้กับผู้อื่น จะไม่ได้พังทลาย เสียหายอย่างเดียวเช่นเดียวกับตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน

 

เราพากันรู้พากันเข้าใจ พากันรู้ทุกข์ พากันรู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

 

ให้พวกเราทั้งหลายเห็นภัยในวัฏฏสงสาร เราเป็นมนุษย์ เราต้องรู้ต้องเข้าใจ ต้องพากันเห็นภัยในวัฏฏสงสาร อย่าพากันเพลิดเพลิน อย่าพากันตั้งอยู่ในความประมาท เราต้องรู้เข้าใจ ต้องพากันเห็นภัยในวัฏฏสงสาร เราจะได้เป็นมนุษย์ผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เราจะได้เป็นเทวดาผู้มีเทวธรรม ผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เราจะได้มีพรหมวิหารนำชีวิต มีเมตตาต่อตนเองและผู้อื่นอย่างไม่มีที่สุดอย่างไม่มีประมาณ มีกรุณาสงสารตนเองสงสารคนอื่นอย่างไม่มีที่สุดอย่างไม่มีประมาณ ความกรุณาความสงสารเป็นหลักการที่เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เห็นภัยในเรื่องกายวาจากิริยามารยาทมาลงที่ใจ มาลงที่เจตนา จึงได้เข้าสู่ปฏิปทาภาคประพฤติภาคปฏิบัติ

 

ได้ถือเอาปัจจุบันเป็นวาระแห่งการประพฤติการปฏิบัติ ด้วยการสำรวมอินทรีย์สังวร ตาหูจมูกลิ้นกายใจ สำรวมในปาริสุทธิในเรื่องความบริสุทธิที่มาจากใจ มาจากเจตนา เพราะรู้เข้าใจว่า กายวาจากิริยามารยาทอาชีพนี้เป็นเพียงอุปกรณ์ของใจ เป็นอุปกรณ์ของจิตของใจ รู้เข้าใจว่าทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านไม่ให้หมู่มวลมนุษย์ เทวดาพรหมทั้งหลาย ไม่ให้ตรึกในเรื่องของกาม ไม่ให้ตรึกในเรื่องของพยาบาท เพราะเหตุผลว่า ต้องให้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เพื่อเข้าถึงเรื่องจิตเรื่องใจ เข้าถึงเจตนาที่เป็นบริสุทธิคุณ เพื่อจะได้เน้นที่ปัจจุบันด้วยความรู้ความเข้าใจ เราจะได้หยุดเราได้ด้วยสงบด้วยปัญญา ด้วยบริสุทธิคุณทั้งกายวาจากิริยามาราทมารวมลงที่ใจ

 

ด้วยเหตุผลนี้แหละ การประพฤติการปฏิบัติเราทั้งหลายต้องเป็นคนซื่อสัตย์สุจริต ไม่มีต่อหน้าและลับหลัง ถ้าเรามีต่อหน้าและลับหลังอย่างนั้นถือว่ายังใช้ไม่ได้ ยังไม่ใช่ความสงบ ยังไม่ใช่ปัญญา ยังเป็นนิติบุคคลตัวตน มีตัวมีตน ยังมีความปรุงแต่งอยู่ มีการปกปิดซ่อนเร้นอยู่ นี้ไม่ใช่อาชีวะปาริสุทธิ ยังไม่ใช่การเลี้ยงชีวิตชอบ ยังประกอบอยู่ด้วยตัวด้วยตน ไม่ใช่บริสุทธิคุณ ต้องเป็นบริสุทธิคุณที่ออกมาจากใจจากเจตนาไม่มีอะไรค้างอะไรคาเป็นบริสุทธิคุณ คำว่าคุณก็หมายถึงไม่มีโทษ มีแต่คุณถึงเรียกว่าพุทธคุณ ธัมมคุณ สังฆคุณ จะได้เป็นความสงบที่เกิดจากปัญญา ที่เป็นปัญญาที่บริสุทธิคุณ ไม่มีปกปิดซ่อนเร้นอะไรไว้ ไม่หมกเม็ดตัวหมกเม็ดตนไว้

 

การประพฤติการปฏิบัติของเราถึงต้องรู้เข้าใจ เห็นภัยในวัฏฏสงสาร ธรรมที่คุ้มครองเราเพื่อให้เราปลอดภัย คือความละอายต่อบาปความเกรงกลัวต่อบาป หวาดสะดุ้งเกรงกลัวต่อบาป หิริคือความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาปถึงเป็นธรรมะที่คุ้มครองโลก เราต้องลงรายละเอียดในระบบความคิด คำพูด การกระทำกิริยามารยาทอาชีพ มารวมลงที่ใจที่เจตนา เพื่อให้ปฏิปทาของเรามันก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ ต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสารในปัจจุบัน ปัจจุบันจึงถือเอาพระธรรมเอาพระวินัยนำชีวิต เอาทั้งคำสั่งและคำสอนเป็นการประพฤติการปฏิบัติ ยกเลิกตัวยกเลิกตน

 

เราทั้งหลายต้องเมตตาตนเอง ต้องกรุณาตนเอง เพราะเราเห็นภัยในวัฏฏสงสาร เราต้องรู้ต้องเข้าใจ เราทั้งหลายจะไม่ต้องไปตามผัสสะ ต้องรู้ต้องเข้าใจ ต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสาร มีปัญญาสัมมาทิฏฐิ เพื่อเราจะได้หยุดลงได้ที่ผัสสะ อย่าให้ความหลงมันปรุงแต่งมันมาปรุงแต่งจิตใจของเราได้

 

เราต้องหยุดอดีตที่ผ่านมาด้วยความรู้ความเข้าใจ อย่าให้อดีตที่ผ่านมามาปรุงแต่งใจของเรา เราต้องหยุดเรื่องอดีตของเรา เพื่อเราจะไม่ได้มีหนี้มีสิน เราจะไม่ได้ค้างคา ให้เราอยู่กับปัจจุบัน ปัจจุบันที่ยกเลิกตัวยกเลิกตน จะได้มีแต่ความสงบและปัญญา เราจะได้ก้าวไปด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา เราจะได้เข้าถึงความดับทุกข์ตั้งแต่ในปัจจุบัน ปัจจุบันนี้เมื่อเรายกเลิกตัวตน ก็จะเป็นความดีเป็นบารมีเบื้องต้น ท่ามกลาง ถึงที่สุด ความรู้ความเข้าใจ สิ่งเหล่านี้ก็จะเป็นประโยชน์ในปัจจุบัน และในอนาคต

 

เราอย่าให้ปัจจุบันเกิดมีความปรุงแต่ง เพราะความปรุงแต่งนั้นจะเป็นภพเป็นชาติ จะเป็นกรรมเป็นกฎแห่งกรรม เป็นผลของกรรม เราต้องรู้เข้าใจ ในเรื่องกรรม เรื่องกฎแห่งกรรม เรื่องผลของกรรม ความปรุงแต่งนี้จะทำให้เกิดภพเกิดชาติ เกิดวัฏฏสงสาร ให้เรารู้ให้เราเข้าใจ เราทั้งหลายจะได้หยุดภพหยุดชาติด้วยความรู้ความเข้าใจ เราทั้งหลายจะได้จบได้ที่ปัจจุบัน จบด้วยที่รู้เข้าใจ จบที่พระธรรมพระวินัย ด้วยเหตุผลนี้เราถึงต้องมีปิติมีความสุข ปฏิบัติพระธรรมพระวินัย เราจะได้เอาพระธรรมเอาพระวินัยที่ปฏิบัติให้เกิดปิติเกิดสุขเกิดเอกัคคตาให้เป็นเครื่องอยู่

 

พระธรรมพระวินัยถึงเป็นยานที่จะนำพาเราไป พาเราออกไป เราต้องรู้เข้าใจ เราจะเดินทางไกลเราก็ต้องอาศัยยาน ยานนั้นได้แก่พระธรรมพระวินัย ให้เรารู้ให้เราเข้าใจ ยานได้แก่พระธรรมพระวินัย ความรู้ถึงเป็นควบคู่กับการประพฤติการปฏิบัติ ปริยัติกับการประพฤติปฏิบัติถึงควบคู่กันไปจะแยกกันไม่ได้ ปริยัติกับปฏิบัติต้องรวมกันเป็นหนึ่งที่ปัจจุบัน

 

จะได้เป็นทางสายกลาง อันหนึ่งรูปธรรมได้แก่วัตถุที่เป็นกายวาจากิริยามารยาทอาชีพ อันหนึ่งนามธรรมได้แก่เรื่องจิตเรื่องใจเรื่องเจตนาที่เป็นความตั้งใจตั้งเจตนา เพราะวัตถุทั้งหลาย กายวาจากิริยามารยาททั้งหลายเป็นเพียงอุปกรณ์ของใจเท่านั้น ให้เราพากันรู้ไว้ พากันเข้าใจไว้ เราทุกคนถึงต้องมาเน้นในเรื่องจิตเรื่องใจ เรื่องจิตเรื่องใจเรื่องเจตนาเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะกายวาจากิริยามารยาทอาชีพนั้นเป็นเพียงอุปกรณ์ของจิตของใจเท่านั้น

 

ด้วยเหตุผลนี้ ท่านโปฐิละ เป็นพระที่เก่งที่ฉลาด เป็นครูผู้บอกผู้สอนในเรื่องพระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ให้กับบุคคลอื่น คนอื่นเอาไปใช้เอาไปปฏิบัติได้บรรลุธรรมเป็นพระอริยเจ้าเป็นพระอริยสงฆ์กันตั้งหลายร้อยหลายพัน แต่ตนเองนั้นก็ยังเป็นสามัญชน เพราะเหตุผลว่ามีความรู้แล้วไม่มีคู่การประพฤติการปฏิบัติ พระโปฐิละไปเข้าเฝ้าเมื่อไหร่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็จะตรัสคติเตือนใจทุกครั้ง

 

พระโปฐิลเถระ ซึ่งเรารู้จักกันในนามของพระใบลานเปล่า ท่านเป็นผู้ทรงพระไตรปิฎกในศาสนาของพระพุทธเจ้ามาถึง ๗ พระองค์ ครั้นออกบวชก็ตั้งใจศึกษาพระไตรปิฎกจนแตกฉาน และยังสอนธรรมะให้กับพระภิกษุ ๕๐๐ รูป นอกจากนี้ ท่านยังเป็นเจ้าคณะใหญ่ถึง ๑๘ คณะ ทำให้เป็นผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นที่รู้จักของภิกษุสามเณรเป็นอย่างดี  


     พระบรมศาสดาปรารถนาจะให้พระโปฐิละเป็นผู้มีความรู้ทั้งทางด้านปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ และเทศนา คือได้ทั้งคันถะธุระและวิปัสสนาธุระ สมกับที่เป็นสาวกของพระพุทธองค์ แต่เนื่องจากพระโปฐิละมัวแต่สอนคนอื่นจนไม่มีเวลาสอนตนเอง ไม่ยอมปลีกวิเวกไปบำเพ็ญสมณธรรมตามลำพังบ้าง วันๆ ได้แต่เตรียมสอนธรรมะ และตอบปัญหาข้อสงสัยให้กับลูกศิษย์ลูกหามากมาย ท่านจึงไม่มีความคิดที่จะสลัดออกจากกองทุกข์เพื่อมุ่งสู่พระนิพพาน


     เพราะฉะนั้น เวลาท่านไปเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา จึงถูกพระพุทธองค์ทักทายว่า “ท่านใบลานเปล่ามาแล้วเหรอ เชิญนั่งเถิดท่านใบลานเปล่า” ครั้นท่านกราบนมัสการลา ก็ถูกทักอีกว่า “ท่านใบลานเปล่าไปแล้วหรือ” ทำให้ท่านกลับไปคิดตริตรองว่า “เราเป็นผู้ทรงไว้ทั้งพระไตรปิฎก แต่พระบรมศาสดาก็ยังตรัสเรียกเราว่าใบลานเปล่า อาจเป็นเพราะเราเป็นผู้ไม่มีคุณวิเศษภายใน”


     เนื่องจากท่านมีปัญญามาก จึงรู้ถึงนัยของพุทธองค์ กล่าวคือ ผู้รู้ เขาแค่เตือนแบบสะกิดกันนิดเดียว ก็สามารถเข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้ง พระเถระรู้ตัวเช่นนี้เกิดความสลดสังเวชใจว่า ที่ผ่านมาตนเองเปรียบเหมือนคนเลี้ยงโค แต่ไม่เคยดื่มกินปัญจโครสเลย คือรู้ธรรมะด้วยสุตมยปัญญา เพราะอ่านมามาก ได้ยินได้ฟังมามาก แต่ไม่เคยลงมือปฏิบัติให้เข้าถึงเลย


     ท่านตัดสินใจเพื่อเข้าสู่การประพฤติการปฏิบัติ เน้นที่ตัวของท่าน ออกปลีกวิเวกตามลำพังในป่า แต่เมื่อจะลงมือปฏิบัติ ก็กลับไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดเลย คือ มีความรู้มากก็ยิ่งยากนาน ครั้นจะไปถามพระถามเณรในวัดก็เขินอาย เพราะพระเณรเกือบทุกรูปที่เป็นพระอรหันต์ขีณาสพนั้นล้วนเคยเป็นลูกศิษย์ของท่านเอง

 

ท่านจึงออกเดินทางไปไกลถึงสองพันโยชน์ แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีผู้จำท่านได้ ตั้งแต่พระสังฆเถระ ไล่เรื่อยลงมาจนถึงพระนวกะ ต่างก็ปฏิเสธที่จะแนะนำธรรมะให้ท่าน เพราะรู้ว่าท่านเป็นผู้รู้มาก มีปัญญามาก เป็นพระธรรมกถึกผู้มีชื่อเสียงโด่งดังมากในเวลานั้นขณะนั้น ผู้ที่ท่านเคยบอกเคยสอนส่วนใหญ่ก็เป็นพระอรหันต์ขีณาสพกัน

 

และที่ท่านเหล่านั้นได้บรรลุธรรมาภิสมัย ก็เพราะอาศัยพระเถระเป็นผู้บอกผู้สอนเป็นครูบาอาจารย์  ดังนั้น ต่างเกรงว่าสิ่งที่แนะนำไปจะเป็นการเอามะพร้าวห้าวไปขายสวน


     เมื่อไม่มีใครแนะนำ สุดท้ายท่านต้องยอมตนไปขอความรู้ภาคปฏิบัติกับสามเณรน้อยซึ่งอายุเพียง ๗ ขวบ แต่เป็นสามเณรอรหันต์ พระเถระเป็นผู้ทรงภูมิรู้ภูมิธรรมมาก แต่ท่านยอมทำตัวเหมือนเด็กอนุบาล เป็นนักศึกษาที่ดีมาก แม้สามเณรจะทดสอบให้ท่านเดินลงไปในสระน้ำ ท่านก็ไม่ได้ลังเลใจ ยอมทำตามที่สามเณรบอกทันที


    สามเณรเห็นว่า พระโปฐิละได้ลดมานะละทิฏฐิ เพื่อแก้ไขตนเอง เพราะมีมานทิฏฐินั้นมันแก้ปัญหาไม่ได้ เพราะมานะทิฏฐิมันเป็นนิติบุคคลตัวตน มันเป็นความปรุงแต่งที่สำคัญมั่นหมายที่เป็นนิติบุคคลตัวตน สำคัญมั่นหมายว่าเป็นเราเป็นคนอื่น ผู้ที่ยกเลิกเรายกเลิกคนอื่นถึงจะมีความสงบมีปัญญา มีปัญญามีความสงบ

 

เมื่อละเราละเขาถึงเป็นความสงบเป็นผู้มีปัญญาถึงเป็นผู้ว่าง่ายสอนง่าย ไม่เป็นผู้ว่ายากสอนยาก เพราะตัวตนนั้นคือผู้ว่ายากสอนยาก

 

ยอมอยู่ในโอวาทของสามเณร แม้สามเณรจะให้ทำอะไรก็ทำ ไม่มีข้อแม้ใด ๆ ทั้งสิ้น ยกเลิกตัวยกเลิกตนยกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพื่อจะได้อบรมบ่มอินทรีย์ เพื่อจะได้เอาความดีเอาความถูกต้องให้เกิดความสงบเกิดปัญญา แม้จะให้ไปกระโจนลงเหว หรือกระโดดเข้ากองเพลิง ท่านก็ยอมทำตามทุกสิ่งทุกอย่าง สามเณรจึงให้ท่านกลับขึ้นมายืนที่ริมฝั่ง แล้วกล่าวให้นัยว่า “ในจอมปลวกแห่งหนึ่ง มีช่องอยู่ ๖ ช่อง เหี้ยได้เข้าไปในจอมปลวกช่องหนึ่ง ผู้หวังจะจับเหี้ย จึงอุดช่องทั้ง ๕ ไว้ คอยจับเหี้ยออกทางช่องที่ ๖  บรรดาทวารทั้งหก แม้ท่านจงปิดทวารทั้ง ๕ แล้วเปิดมโนทวาร กำหนดใจให้หยุดให้นิ่งอยู่ที่ตรงนั้น”


     เนื่องจากพระเถระเป็นพหูสูต ทรงพระไตรปิฎกมาหลายภพหลายชาติ นัยที่สามเณรให้จึงเป็นประดุจการลุกโพลงขึ้นของดวงประทีป ท่านเริ่มประคองใจให้หยุดนิ่งอยู่ภายใน มีสติตั้งมั่นเป็นสมาธิ แม้พระบรมศาสดาประทับนั่งในที่ไกลถึง ๑๒๐ โยชน์ ทรงเห็นความแก่รอบแห่งญาณของพระโปฐิละ จึงเปล่งรัศมีออกไปดุจปรากฏต่อหน้าพระเถระ แล้วตรัสว่า “ปัญญาย่อมเกิดเพราะการประกอบความเพียร ท่านพึงตั้งตนไว้โดยประการที่ปัญญาจะเจริญขึ้นได้เถิด” พระเถระตั้งใจทำภาวนาจนเกิดภาวนามยปัญญา และในที่สุดก็แทงตลอดในคำสอนของพระบรมศาสดา บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ในท่ายืนนั่นเอง

 

คติธรรมสอนใจชี้ให้เห็นในการเรียนการศึกษาเป็นสิ่งที่ดีมีคุณมีประโยชน์ เราทุกคนต้องรู้เข้าใจ ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจ เราทั้งหลายก็จะปฏิบัติไม่ได้ การเรียนการศึกษานั้นดีมากดีจริง ๆ ถูกต้องแล้วถูกต้องจริง ๆ แต่การเรียนการศึกษานั้นต้องเอามาใช้เอามาปฏิบัติในปัจจุบันควบคู่กันไป องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เราทำอย่างนี้ ถ้าไม่ทำอย่างนี้ผลลัพธ์ออกมาก็ย่อมพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกันตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทย

 

มนุษย์เราถึงมีการเรียนการศึกษาที่เป็นหลักการเพื่อเป็นอุดมการณ์อุดมธรรม เพื่อเอาความรู้มาใช้ในปัจจุบัน ปัจจุบันเราต้องเป็นคนที่มีความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ การเรียนการศึกษานั้น เป็นการเรียนเพื่อให้เกิดความสงบเกิดปัญญา เอามาใช้เอามาปฏิบัติในปัจจุบัน เราจะได้ย่อยลงรายละเอียดที่กายวาจากิริยามารยาทมารวมลงที่ใจ มาลงที่เจตนา เพื่อเราจะได้มีปฏิปทาเบื้องต้น ท่ามกลาง ที่สุด

 

มนุษย์เราต้องรู้เข้าใจ มนุษย์เราความดับทุกข์นี้มันอยู่ที่เรารู้อยู่ที่เราประพฤติอยู่ที่เราปฏิบัติ อยู่ที่ปัจจุบัน อยู่ที่กายวาจากิริยามารยาทคู่กับการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน ความรู้กับการปฏิบัติถึงไปพร้อม ๆ กันในปัจจุบัน ความรู้ความเข้าใจอย่างนี้ถึงจะดับทุกข์ได้แก้ปัญหา เป็นความรู้ที่ทันโลกทันสมัยทันกาลทันเวลา เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นมันจะได้จบลงเพียงผัสสะ จะเป็นธรรมะที่ทันโลกทันสมัย เราจะได้คืนอธิปไตยให้กับปวงชน ให้กับมหาชน

 

เราทุกคนจะไม่ลิดรอนสิทธิเสรีภาพซึ่งกันและกัน สิ่งภายนอกก็มี สิ่งภายในก็มี เรารู้เราเข้าใจ ด้วยความรู้ความเข้าใจ กายวาจากิริยามารยาทอาชีพของเราก็จะเป็นประภัสสร ไม่ลิดรอนสิทธิเสรีภาพซึ่งกันและกัน เราเป็นมนุษย์ อายุขัยของมนุษย์ตามหลักการ มนุษย์เราอยู่ได้ชั่วศตวรรษหนึ่งคือร้อยปี ถ้าเราเดินทางสายกลาง ระหว่างวิทยาศาสตร์ระหว่างจิตใจไปพร้อม ๆ กัน มนุษย์เราทั้งหลายก็ย่อมอยู่ได้มากกว่าศตวรรษหนึ่ง เราต้องพากันมารู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เพื่อความสงบและปัญญา เราเอาความดับทุกข์จากปัญญาบริสุทธิคุณ

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อดีตกาลที่ผ่านมาท่านก็เป็นลูกหลานของศาสนาพราหมณ์ ศาสนาพราหมณ์นั้นปฏิปทาอยู่ในระดับสมาธิ อยู่ในฌานสมาบัติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงมาต่อยอดจากสมาธิจากฌานสมาบัติ จากสมถะคือความสงบมาพัฒนาให้เกิดปัญญา เกิดวิปัสสนา เพื่อจะได้เอามาใช้เป็นอริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐ เป็นทางสายกลางระหว่างเรื่องจิตเรื่องใจกับวัตถุไปพร้อม ๆ กัน เพื่อให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตในการดำรงชีพ ดำรงชีวิตในปัจจุบัน เพื่อการประพฤติการปฏิบัติก็ต้องเอาทั้งเรื่องจิตเรื่องใจ เอาทั้งวัตถุทั้งวิทยาศาสตร์ไปพร้อม ๆ กัน ถึงจะสอดคล้องกับวิถีชีวิตในความเป็นอยู่ ชีวิตความเป็นอยู่ต้องอยู่ด้วยเหตุด้วยปัจจัยที่เป็นอาหารทางกาย อาหารทางใจ เป็นที่พักอาศัยทั้งกายทั้งใจ กรรมนั้นเป็นที่อยู่ที่อาศัยของกายของใจ อริยมรรคหนทางเดินทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพมารวมลงที่ใจ เราต้องให้อาหารกายอาหารใจไปพร้อม ๆ กัน ไม่ใช่ไปเน้นแต่ทางวิทยาศาสตร์ ไปเน้นแต่ตัวแต่ตน ไม่ใช่ไปเน้นแต่เรื่องจิตเรื่องใจ ไปทิ้งวัตถุ ไปทิ้งวิทยาศาสตร์ สองอย่างนี้ก็ต้องไปพร้อม ๆ กัน ความรู้ความเข้าใจนี้จะเป็นปัญญาบริสุทธิคุณ

 

เราทั้งหลายถึงได้มีหลักการ หลักวิชาการ อุดมการณ์อุดมธรรม ถึงต้องเอาอริยมรรคที่เป็นความรู้ความเข้าใจ เอามาใช้เอามาปฏิบัติ เปรียบให้ฟังง่าย ๆ เหมือนต้นไม้ต้นหนึ่ง ต้นไม้ต้นนั้นกต้องได้อาหารมาจากทุกทิศทุกทางของต้นไม้ ได้อาหารมาจากทางรากทางใบทางกิ่งก้านสาขายอดตลอดปริมณฑลของต้นไม้ อากาศแสงงแดด ต้นไม้ต้นนั้นถึงจะงาม ถึงจะสง่างาม ธรรมะที่เป็นอริยมรรคที่ประกอบด้วยปัญญา ฉันใดก็ฉันนั้น ถึงเป็นการพัฒนาเรื่องจิตเรื่องใจและวัตถุไปพร้อม ๆ กัน เพื่อให้เป็นไปทางวัตถุและทางจิตใจไปพร้อม ๆ กัน

 

มนุษย์เราทั้งหลายจะได้เป็นผู้ที่ทันโลกทันสมัย เราคิดดูดี ๆ นะ ว่านักวิทยาศาสตร์ ถ้าทิ้งไม่จิตเอาใจไปพร้อม ๆ กัน นักวิทยาศาสตร์ก็ไปไม่ได้ เราคิดดูดี ๆ พวกเอาพระศาสนา เน้นแต่เรื่องจิตเรื่องใจไม่เอาทางวัตถุก็ย่อมไปไม่ได้ก็ย่อมยากจน ด้วยเหตุผลนี้ปัญญาสัมมาทิฏฐิ เป็นความรู้ความเข้าใจของหมู่มวลมนุษย์ทั้งหลาย ที่อยู่ในโลกนี้ โลกที่เป็นวงกลมที่หมุนรอบตัวเอง หมุนรอบดวงอาทิตย์ เป็นกลางวัน ๑๒ ชั่วโมง เป็นกลางคืน ๑๒ ชั่วโมง

 

มนุษย์เราปัจจุบันนี้มีทั้งหมดแปดพันกว่าล้านคนก็ต้องใช้หลักการเดียวกันนี้หมด ใช้อริยมรรคมีองค์แปดนำชีวิต พัฒนาใจพัฒนาวัตถุไปพร้อม ๆ กัน มนุษย์เราถึงต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ใช้อริยมรรคที่เป็นกายวาจากิริยามารยาทอาชีพเป็นหลักในการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายจะได้คืนความไม่ถูกต้อง ยกเลิกความไม่ถูกต้อง คืนอธิปไตยให้กับปวงชนให้กับความเป็นประภัสสร สิ่งที่ผ่านไปแล้วมันเกษียณไปแล้วเราก็ปล่อยก็วางเพราะมันผ่านไปแล้วเกษียณไปแล้ว เอาก็ต้องพากันมาปล่อยมาวาง ให้เราเข้าใจเรื่องความจริง เรื่องความเป็นจริง เรื่องที่เราต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติเรื่องการปล่อยการวาง เราทั้งหลายให้พากันรู้เข้าใจ มาระลึกถึงพระธรรมคำสั่งสอนที่เป็นปัจฉิมโอวาทของพระบรมศาสดาที่ท่านตรัสไว้ว่า

 

“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”

 

โอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ

ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ

ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู

ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร

 

ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละคือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะว่าสิ่งเดิมนั้นคือความว่างเปล่า สิ่งที่สัญจรไปมาเป็นเพียงอาคันตุกะ เราจะได้เอาหลักการอุดการณ์ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นมรรคเป็นอริยมรรคที่ตรงกันข้ามกับโลกธรรม

 

ให้รู้เข้าใจ เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรม พระนิพพานความรู้ความเข้าใจในเรื่องกระบวนการปฏิจจสมุปบาท กระบวนการของปฏิจจสมุปบาทจะได้จบลงเพียงผัสสะ จะได้เป็นปัญญาเป็นความสงบ จะเป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหตุเหนือผล หยุดความปรุงแต่ง นี้เป็นขบวนการที่ติดต่อต่อเนื่อง เป็นบารมีเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นพระนิพพานบ้านของเรา ไม่ใช่อวิชชาความหลงเป็นบ้านของเรานะ พระนิพพานคือบ้านของเรา ความสงบและปัญญาถึงเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราจะหยุดวัฏฏสงสารได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยพระธรรมด้วยพระวินัย เป็นขบวนการของกระแสในการประพฤติการปฏิบัติที่ได้นำเอาพระธรรมพระวินัยมาประพฤติมาปฏิบัติในปัจจุบันให้ติดต่อต่อเนื่อง

 

 ความสงบและปัญญาที่เป็นพระธรรมพระวินัยถึงหยุดความปรุงแต่งได้ ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิคู่กับการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน พระธรรมพระวินัยที่เป็นความรู้ความเข้าใจ ที่จะหยุดความปรุงแต่งได้ เข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ปัจจุบัน ไม่ต้องรอชาติหน้า พระนิพพานต้องอยู่ที่ปัจจุบันเท่านั้น

 

-------------------------------------------

 โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม

เมตตาให้ไว้ในเช้าวันที่ ๙ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

 

 

Visitors: 103,026