๑๐ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๑๐ เดือนตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
ธรรมะเป็นทางสายกลางระหว่างวัตถุกับจิตใจเป็นทางสายกลาง เป็นความรู้ความเข้าใจในการดำเนินชีวิตที่ทำที่สุดแห่งความไม่มีทุกข์ความดับทุกข์ เข้าถึงความไม่มีทุกข์ทั้งกายทั้งใจเป็นการเอาตัวรอดในทางที่รอด เป็นสิ่งที่งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด
เราได้พากันมาประพฤติปฏิบัติธรรม มาบรรพชาอุปสมบทเพื่อเอาหลักการขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาปฏิบัติติดต่อให้ต่อเนื่องเป็นชิ้นเป็นอัน อาศัยรูปแบบ อาศัยแบบอาศัยพิมพ์อาศัยสมมติสัจจะ สมมติสัจจะที่เป็นแบบเป็นพิมพ์เป็นตัวอย่างแบบอย่าง เพื่อเป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม เพื่อจะได้มีความงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด
เปรียบเสมือนเราเอาดอกไม้ต่าง ๆ นานาพันธุ์หลาย ๆ อย่างที่กระจัดกระจาย เราเอาดอกไม้นั้นมาร้อยให้เป็นพวงมาลาที่สวยสดงดงาม เป็นความงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด เป็นอุดมการณ์อุดมธรรมที่สุดแห่งความงาม
งามในเบื้องต้นได้แก่เราเข้าใจในเรื่องศีล เอาศีลนั้นมาใช้มาปฏิบัติ มีปิติมีความสุขในการปฏิบัติในศีลนั้น ๆ งามในท่ามกลางนั้นได้แก่สัมมาสมาธิ สัมมาสมาธินั้นเป็นปัญญากับสมาธิ สมาธิกับปัญญาเดินคู่กันไป ที่เอาทางวัตถุกับทางใจไปพร้อม ๆ กัน ที่เอาทางวิทยาศาสตร์กับทางใจไปพร้อม ๆ กัน มีความรู้ความเข้าใจ ไม่ไปตรึกในเรื่องกามไม่ไปตรึกในเรื่องพยาบาท มีความสงบและปัญญาที่มีปฏิปทารู้เข้าใจ เพื่อยกเลิกนิวรณ์ทั้ง ๕ นิวรณ์ทั้ง ๕ ได้แก่
นิวรณ์ทั้ง ๕ ก็ได้แก่
๑.การตรึกในกาม คำว่าตรึกนี้ก็หมายถึงหมกมุ่นในกาม พอใจยินดีลุ่มหลงอยู่ในเรื่องของกาม กามนี้มีความหมายถึงความยึดมั่นถือมั่นในตัวในตน ยึดมั่นถือว่าธาตุทั้ง ๔ ดินน้ำไฟลมเป็นของเราเป็นของเรา มีความลุ่มหลงมีความหลงงมงายว่าธาตุทั้ง ๔ ดินน้ำลมไฟนี้เป็นเราเป็นของของเรา มีความยึดมั่นถือมั่นในธาตุทั้ง ๔ ความตรึกนึกคิดอย่างนี้เรียกว่าเป็นความตรึกนึกคิดในกาม กามนี้หมายถึงตัวตน มีความหลงมีความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ทั้ง ๕ ขันธ์ทั้ง ๕ ก็ได้แก่ รูปร่างกาย เราเอารูปร่างกายนี้มาเป็นเรา ความเป็นจริงนั้นมันไม่ใช่เรา สิ่งที่เราว่าเป็นเราอยู่นี้มันเป็นเรื่องของกรรม เรื่องกฎแห่งกรรม เรื่องผลของกรรม มันเป็นเพียงเหตุเพียงปัจจัยเท่านั้น ด้วยเหตุผลนี้เราต้องรู้เรื่องเหตุเรื่องปัจจัย พระธรรมพระวินัยที่เรารู้เข้าใจ เราอาศัยพระธรรมพระวินัย มาประพฤติมาปฏิบัติ สิ่งทั้งหลายทั้งปวงก็จะจบลงได้ที่ผัสสะ เวทนาสัญญาสังขารวิญญาณก็เช่นเดียวกัน พูดแต่เรื่องรูปก็คงจะเพียงพอ ไม่ต้องพูดซ้ำ ๆ เรื่องเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ ไม่ต้องพูดเรื่องรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะธรรมารมณ์ ความเป็นจริงแล้วนั้นเป็นอย่างนี้ ให้เราพากันรู้พากันเข้าใจ
๒. ความไม่รู้ไม่เข้าใจทำให้เราทั้งหลายหมกมุ่นครุ่นคิดจมอยู่ในกาม เมื่อมันมีกามมันก็ต้องมีพยาบาท เราทั้งหลายต้องพากันมาเข้าใจในเรื่องกามเรื่องพยาบาท เราต้องรู้เข้าใจว่า เมื่อเรามีกาม เราก็ต้องมีพยาบาท เพราะกามพยาบาทนั้นมันคือตัวคือตน เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้ยกเลิกกาม ยกเลิกพยาบาท ยกเลิกตัวยกเลิกตน เราจะได้ยกเลิกอดีตทั้งหลายทั้งปวงออกให้หมด เราจะไม่ได้มีหนี้มีสิน เราจะไม่ได้ติดหนี้ติดสิน เราจะได้เจ๊ากันไป ให้ใจของเราสะอาดบริสุทธิ ให้ใจของเราเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม ใจของเราจะได้สว่างไสวทั้งภายนอกภายใน ว้าว ว้าว ในปัจจุบัน
เราต้องรู้เข้าใจด้วยปัญญาบริสุทธิคุณ เราต้องรู้เข้าใจว่ากายวาจากิริยามารยาทอาชีพเป็นเพียงอุปกรณ์ของใจเท่านั้น เราทั้งหลายจะได้ไม่พากันตึกกาม ไม่พากันตรึกในพยาบาท ถ้าเรารู้เข้าใจ เราเห็นภัยในวัฏฏสงสาร เราเป็นมนุษย์เราต้องรู้เข้าใจ เราต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสาร เราเป็นเทวดาเราต้องมีเทวธรรม เราต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสาร ด้วยการพัฒนาวัตถุพร้อมทั้งพัฒนาใจไปพร้อม ๆกัน ด้วยเห็นภัยในวัฏฏสงสาร เป็นเทวดาก็ต้องพัฒนาทั้งวัตถุพัฒนาทั้งใจไปพร้อม ๆ กัน เพื่อจะได้ทั้งสมถะได้ทั้งวิปัสสนา สมถะกับวิปัสสนาต้องไปพร้อม ๆ กัน เราต้องพากันรู้พากันเข้าใจ เหมือนนางวิสาขามหาอุบาสิกาในพระพุทธศาสนา นางวิสาขาได้พูดให้คติธรรมแก่บิดาของสามี ประวัติที่เป็นมาของนางวิสาขาในครั้งพุทธกาล
ประวัตินางวิสาขา ความเป็นมาของนางวิสาขา ได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันตั้งแต่อายุ ๗ ขวบ นางวิสาขาได้บำเพ็ญบารมีมาเป็นเวลาหลายล้านชาติหลายร้อยปี ในชาติเป็นนางวิสาขา อายุเพียง ๗ ขวบก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน คำว่าโสดาเป็นความรู้เรื่องอริยสัจสี่ เอาทั้งทางวิทยาศาสตร์ เอาทั้งทางใจไปพร้อม ๆ กัน เพราะทุกอย่างนั้นคือเหตุคือปัจจัยจากปัจจุบัน เป็นลูกสาวของธนันชัยเศรษฐี
มิคารเศรษฐีต้องการให้บุตรชายของตนแต่งงาน จึงได้นางวิสาขาผู้พร้อมด้วยความงาม ๕ อย่าง และเป็นผู้มีความเลื่อมใสอันแน่วแน่ในพระพุทธศาสนาเข้ามาสู่สกุลของตน เพราะเหตุแห่งนางวิสาขา มิคารเศรษฐีและภรรยาได้บรรลุโสดาปัตติผล ประกาศตนเป็นอุบาสก ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ
บุตรของมิคารเศรษฐี กรุงสาวัตถี ชื่อว่าปุณณวัฒนกุมาร เจริญวัยแล้ว มารดาบิดาต้องการให้แต่งงาน แต่เขายังไม่อยากแต่งงานจึงกล่าวว่า ถ้าได้หญิงสาวที่พร้อมด้วยความงาม ๕ อย่าง จึงจะแต่งงาน
ลักษณะเบญจกัลยาณีหรือความงาม ๕ อย่างนั้น คือ
1. ผมงาม คือ ผมเหมือนกำหางนกยูง เมื่อแก้ปล่อยระชายผ้านุ่งแล้ว ก็กลับมีปลายงอนขึ้นตั้งอยู่
2. เนื้องาม คือ ริมผีปากเช่นกับผลตำลึงสุก ถึงพร้อมด้วยสีเรียบชิดสนิทดี
3. กระดูกงาม คือ ฟันขาวเรียบไม่ห่างกัน งดงามดุจระเบียบแห่งเพชร ที่เขายกขึ้นตั้งไว้ และดุจระเบียบแห่งสังข์ที่เขาขัดสีแล้ว
4. ผิวงาม คือ ผิวพรรณของหญิงดำ ไม่ลูบไล้ด้วยเครื่องประเทืองผิวเลย ก็ดำสนิท ประหนึ่งพวงอุบลเขียว, ถ้าผิวพรรณของหญิงขาว ก็ประหนึ่งพวงดอกกรรณิการ์
5. วัยงาม หญิงแม้ว่าคลอดแล้วตั้ง ๑๐ ครั้ง ก็เหมือนคลอดครั้งเดียว ยังสาวพริ้งอยู่
เศรษฐีจึงส่งพราหมณ์ไปแสวงหาหญิงเบญจกัลยาณี พราหมณ์เดินทางมาถึงเมืองสาเกตและได้พบนางวิสาขา อายุย่างเข้า ๑๕ - ๑๖ ปี ประดับประดาด้วยเครื่องอาภรณ์ครบทุกอย่าง แวดล้อมด้วยหมู่เด็กหญิง ๕๐๐ คน ขณะนั้นได้เกิดฝนตก เด็กหญิง ๕๐๐ รีบเดินเข้าไปในศาลา แต่นางวิสาขาเดินตามปกติเข้าไปในศาลา ผ้าและอาภรณ์เปียกโชก เมื่อถามว่าทำไมนางจึงไม่วิ่งหนีฝน นางตอบว่า
ชน ๔ จำพวกเมื่อวิ่ง ย่อมไม่งาม
- พระราชาประดับประดาด้วยเครื่องอาภรณ์
- ช้างมงคลของพระราชาที่ประดับแล้ว
- บรรพชิต
- และสตรี
และสตรีนั้น พ่อแม่เลี้ยงอย่างทะนุถนอมมาเพื่อส่งไปตระกูลอื่น ถ้าวิ่งแล้วหกล้ม มือหรือเท้าหัก ก็จะเป็นภาระของตระกูล ส่วนเสื้อผ้าและเครื่องประดับ เปียกแล้วแห้ง นางจึงไม่วิ่ง
เมื่อพราหมณ์ได้เห็นนางวิสาขามีลักษณะของหญิงเบญจกัลยาณีครบถวนจึงสวมมาลัยทองให้ พราหมณ์ได้กลับไปแจ้งข่าวแก่มิคารเศรษฐี ท่านเศรษฐีได้เข้าเฝ้ากราบทูลพระเจ้าปเสนทิโกศล พระองค์ได้ไปร่วมงานด้วยตนเองเพื่อให้เกียรติที่นางยอมมาอยู่แคว้นสาวัตถี นางวิสาขาเป็นคนฉลาด มีปัญญาเฉียบแหลม สามารถจัดการเตรียมการต้อนรับและดูแลทุกคน
ธนันชัยเศรษฐีได้ทำเครื่องประดับ ชื่อมหาลดาปสาธน์ ใช้เวลาทำ ๔ เดือน มีมูลค่า ๙ โกฎิ และค่าจ้างทำ ๑ แสน ให้นางวิสาขา ซึ่งเป็นผลจากที่ในสมัยพระพุทธเจ้ากัสสปะ นางได้ถวายผ้าสาฎก ด้าย เข็ม เครื่องย้อมของตนเอง แก่ภิกษุสองหมื่นรูปเพื่อทำจีวร หญิงที่ถวายจีวรทานย่อมได้เครื่องประดับชื่อมหาลดาปสาธน์ ส่วนชายผู้ถวายจีวรทานย่อมได้บาตรและจีวรด้วยฤทธิ์ในยามกราบทูลขอบวชกับพระพุทธเจ้า
ธนันชัยเศรษฐีได้จัดไทยธรรมและให้ทรัพย์สินแก่นางวิสาขา จำนวนมาก และได้ให้โอวาทในการไปอยู่ในสกุลพ่อสามีแม่สามี ๑๐ ข้อ คือ ไม่ควรนำไฟภายในออกไปภายนอก, ไม่ควรนำไฟภายนอกเข้าไปภายใน, พึงให้แก่คนที่ให้เท่านั้น, ไม่พึงให้แก่คนที่ไม่ให้, พึงให้แก่คนทั้งที่ให้ทั้งที่ไม่ให้, พึงนั่งให้เป็นสุข, พึงบริโภคให้เป็นสุข, พึงนอนให้เป็นสุข, พึงบำเรอไฟ, พึงนอบน้อมเทวดาภายใน
มิคารเศรษฐี เลื่อมใสต่อพวกชีเปลือยและไม่ได้คำนึงพระพุทธเจ้าและภิกษุสงฆ์ วันหนึ่ง เศรษฐีได้เชิญพวกชีเปลือย ๕๐๐ คน มาบริโภคข้าวปายาส และอาหารอื่นๆในเรือน แล้วให้คนไปตามนางวิสาขามาไหว้ ซึ่งนางไม่ไหว้และกลับเรือน ชีเปลือยจึงตำหนิเศรษฐีและให้ไล่นางไปแต่เศรษฐีไม่อาจทำได้
วันหนึ่ง มีพระภิกษุมาบิณฑบาตที่ประตูเรือนแต่พ่อสามีทำเป็นไม่เห็น ก้มหน้ากินอาหารต่อไป นางจึงนิมนต์ภิกษุไปข้างหน้าแล้วกล่าวว่า พ่อสามีของดิฉันกำลังกินของเก่า เศรษฐีได้ฟังแล้วโกรธมาก ได้ขับไล่นางออกจากเรือน นางปฏิเสธที่จะไปเพราะตนมาเป็นสะใภ้มิใช่เพื่อมาเป็นนางทาสี แล้วได้เชิญกุฎุมพีที่ติดตามมาจากเมืองสาเกตให้วินิจฉัยความผิด
เศรษฐีกล่าวว่า นางวิสาขาว่าตนเป็นผู้กินของไม่สะอาด นางได้ชี้แจงว่า พ่อสามีกินข้าว ไม่ใส่ใจพระภิกษุที่มาบิณฑบาต ไม่ทำบุญในอัตภาพนี้ บริโภคแต่บุญเก่าเท่านั้น จึงได้พูดว่า นิมนต์ไปข้างหน้า พ่อสามีกำลังบริโภคของเก่า
และคืนหนึ่ง นางวิสาขาและคนใช้ชายหญิงติดตามไปหลังเรือนตอนเที่ยงคืน นางได้ชี้แจงว่าแม่ม้าตกลูก นางเห็นว่าไม่สมควรนั่งเฉยไม่เป็นธุระ จึงให้พวกคนใช้ไปทำการดูแลแม่ม้า นางจึงไม่มีโทษ
บิดานางวิสาขาได้ให้โอวาท ๑๐ ข้อ ซึ่งลี้ลับ มิคารเศรษฐีไม่เข้าใจ จึงต้องให้นางวิสาขาอธิบาย
- ไฟในไม่พึงนำออกไปภายนอก คือ เห็นโทษของพ่อแม่สามีและสามีแล้ว อย่านำไปพูดภายนอกเรือน
- ไฟแต่ภายนอก ไม่พึงให้เข้าไปภายใน คือ ถ้าคนทั้งหลายพูดถึงโทษของพ่อแม่สามีและสามี อย่านำเอาคำพูดนั้น มาพูดภายในเรือน
เศรษฐีได้ฟังคำอธิบายโอวาท ๑๐ ข้อ แล้ว ไม่โต้แย้ง
เมื่อจบการวินิจฉัย นางวิสาขาไม่มีความผิดจึงไม่ต้องออกจากเรือนตามคำของพ่อสามี แต่นางจะไป เนื่องจากนางเป็นธิดาของตระกูลผู้มีความเลื่อมใสอันไม่ง่อนแง่นในพระพุทธศาสนา หากไม่ได้บำรุงภิกษุสงฆ์แล้ว จะเป็นอยู่ไม่ได้ หากนางได้บำรุงภิกษุสงฆ์ นางจึงจะอยู่ ซึ่งท่านเศรษฐียินยอม
นางวิสาขาได้ทูลนิมนต์พระพุทธเจ้าเสด็จมาที่บ้านเพื่อถวายภัตรและแสดงธรรม การแสดงธรรมของพระองค์นั้น ไม่ว่าชนผู้นั้นจะอยู่ตรงไหน ผู้รับฟังจะกล่าวว่า "พระศาสดา ย่อมทอดพระเนตรดูเราคนเดียว ทรงแสดงธรรมโปรดเราคนเดียว" นี้เป็นผลแห่งทานที่พระพุทธเจ้าทรงตัดพระเศียร ทรงควักพระเนตร ทรงชำแหล่ะเนื้อหทัย ทรงบริจาคโอรสเช่นพระชาลี พระกัณหา และพระนางมัทรี เพื่อเป็นทาสของผู้อื่น
เมื่อมิคารเศรษฐีฟังธรรมเทศนา ได้บรรลุโสดาปัตติผล มีศรัทธามั่นคง หมดความสงสัยในพระรัตนตรัย ได้ขอให้นางวิสาขาเป็นมารดา ตั้งแต่วันนั้น นางวิสาขาได้ชื่อว่ามิคารมารดา ภายหลังได้บุตรชาย จึงได้ตั้งชื่อบุตรนั้นว่า "มิคาระ" ในวันรุ่งขึ้น แม่สามีก็ได้บรรลุโสดาปัตติผล ตั้งแต่นั้นมา เรือนหลังนั้นได้เปิดประตูเพื่อต้อนรับพระภิกษุในพระพุทธศาสนา
พระภิกษุมีความหมายอยู่ ๒ อย่าง ความหมายถึงได้แก่ผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร ใครก็ตามผู้ที่มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง เห็นภัยในวัฏฏสงสาร มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเอาพระธรรมคำสั่งสอน เอาความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ เพราะเหตุผลว่าพระธรรมพระวินัยมีแต่คุณมีแต่ประโยชน์หาโทษไม่มี มีแต่คุณ ถึงเรียกว่าพุทธคุณ ธัมมคุณ สังฆคุณ
อีกความหมายหนึ่งภิกษุแปลว่าผู้ขอ เสียสละหมดทุกสิ่งทุกอย่าง เสียสละทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งอาชีพ เสียสละหมดทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรเลย ผู้ที่เอาพระธรรมพระวินัย ยกเลิกตัวตน มีความเป็นอยู่ด้วยความสงบและปัญญา เพราะรู้เรื่องอนัตตา รู้เรื่องพระไตรลักษณ์ รู้ประจักษ์สิ่งทั้งหลายทั้งปวงว่า ทุกอย่างนั้นไม่ใช่นิติบุคคล ไม่ใช่ตัวตน บุคคลนั้นเสียสละ ยกเลิกตัวตน เอาพระธรรมเอาพระวินัยนำชีวิต มีชีวิตอยู่ด้วยสติปัฏฐาน สติความสงบเป็นพื้นฐาน มีสติเป็นพื้นฐาน มีปัญญาเป็นพื้นฐาน ด้วยเหตุนี้ผู้ที่มาบวชในพระศาสนาเค้าถึงเรียกบุคคลนั้นว่าพระ
พระนั้นหมายถึงพระธรรมพระวินัย มีชีวิตอยู่ด้วยภิกขาจารบิณฑบาต วันหนึ่งฉันอาหารเพียงหนเดียว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านกำหนดให้ฉันละครั้ง แต่ตั้งเช้ารุ่งอรุณไปถึงเที่ยงวัน ยกเลิกพระภิกษุป่วยให้ฉันอาหารเพล อาหารเพลหมายถึง ฉันตั้งแต่เช้าถึงเวลาเที่ยงวัน ใช้เฉพาะพระภิกษุป่วยภิกษุอาพาธที่ฉันอาหารไม่ได้เท่านั้น เพื่อสรีระร่างกายก็ต้องฉันหลาย ๆ เวลา สำหรับผู้ที่ไม่ป่วยไม่อาพาธตามหลักการแล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้ฉันอาหารวันหนึ่งเพียงหนเดียว เพราะชีวิตของนักบวชเป็นชีวิตที่ไม่ได้ทำธุรกิจหน้าที่การงาน อาศัยงบประมาณของแผ่นดินจากภาษีอากร หรืออาศัยงบประมาณศรัทธาของมหาชน
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้ฉันภัตตาหารวันหนึ่งเพียงหนเดียวก็พอ ผู้ที่มาบรรพชาอุปสมบททั้งต้องเข้าใจในหลักพระธรรมหลักพระวินัย เราทั้งหลายจะได้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี เราจะได้ไม่ตรึกในเรื่องของกาม เราจะได้ไม่ตรึกในเรื่องของพยาบาท เราต้องรู้เข้าใจ ถ้าเรารู้เข้าใจในเรื่องพระธรรมพระวินัย รู้เข้าใจในเรื่องการประพฤติการปฏิบัติมันจะเกิดความสงบ
เราต้องรู้เข้าใจนะ ความไม่รู้ไม่เข้าใจมันจะทำให้เราเกิดความปรุงแต่ง ทำให้เรามีความทุกข์ มันทำให้เราวุ่นวาย มันทำให้เราขัดข้อง ไม่อิ่มไม่เต็มไม่พอไม่เพียงพอ ความไม่รู้ไม่เข้าใจมันจะทำให้ใจของเราไม่สงบ เพราะเราเอาความผิดนำชีวิต เอาตัวตนนำชีวิตมันจะสงบได้อย่างไร
ถ้าเรารู้เราเข้าใจว่าพระธรรมพระวินัยเป็นสิ่งที่จะให้เราเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เราลงใจด้วยความรู้ความเข้าใจใจของเรามันก็จะสงบ ใจของเราก็จะเคารพ ใจของเราก็จะเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี ความไม่เพียงพอพอเพียง มันเป็นความขัดข้องอยู่เป็นนิจ เราต้องรู้เข้าใจว่าพระธรรมพระวินัยมันเหตุผลที่เราทุกคนใช้เป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม เราทั้งหลายต้องลงใจให้ โอเคให้พระธรรมพระวินัย ใจของเราจะได้เอาความสงบและปัญญาควบคู่กันไป สัมมาทิฏฐิความเห็นถูกต้อง ความเข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง คือความพอเพียงเพียงพอ คือความพอดี
ทุกท่านทุกคนพากันปฏิบัติได้หมดทุกคน ไม่มีใครปฏิบัติไม่ได้ มนุษย์เราต้องใช้หลักการเดียวกันนี้ เพื่อจะได้เข้าถึงธรรมถึงปัจจุบันธรรม มนุษย์เราต้องพัฒนาใจพัฒนาวิทยาศาสตร์ไปพร้อม ๆ กันอย่างนี้ ต้องเป็นความรู้ความเข้าใจ เราจะได้ทันกาลทันเวลา ทันโลกทันสมัย เป็นฟอร์มสด เป็นความสดชื่นเบิกบาน ว้าว ว้าว สว่างสดใสทั้งภายนอกภายใน ทั้งกายวาจากิริยามารยาทรวมลงที่ใจ
เรามาประพฤติปฏิบัติในพรรษา เรามาบวชในพรรษา เมื่อออกพรรษารับกฐินแล้ว ท่านให้พากันลาสิกขาเพื่อไปทำธุรกิจหน้าที่การงานที่บ้านที่ครอบครัว เรารู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ ความรู้ความเข้าใจในหลักการประพฤติการปฏิบัติ การที่เราไปเรียนหนังสือก็เพื่อความรู้ความเข้าใจ ไม่ใช่ไปเรียนเพื่อความจำนะ เพื่อความรู้ความเข้าใจ การศึกษาค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ก็เพื่อความรู้ความเข้าใจ เมื่อเรารู้เข้าใจ เราก็เอาไปใช้เอาไปประพฤติปฏิบัติอยู่ทุกหนทุกแห่งที่เรายังมีลมปราณ เราต้องเอาความรู้ไปใช้ไปประพฤติไปปฏิบัติ เราต้องรู้เรื่องกรรม เรื่องกฎแห่งกรรม เรื่องผลของกรรม เราจะได้เอาความสงบเอาปัญญาไปประพฤติปฏิบัติ เราต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสาร เราต้องยกเลิกสิ่งที่จะทำให้เราตกต่ำ ที่มันเป็นอบายมุขอบายภูมิ
ท่านทุกคนต้องรู้หลักการในการประพฤติการปฏิบัติ เราจะได้ประพฤติปฏิบัติติดต่อต่อเนื่อง เราจะไม่ได้เอาความผิดนำชีวิต ทุกท่านทุกคนต้องตั้งอยู่ในความไม่ประมาท การปฏิบัติของเรา เราต้องติดต่อต่อเนื่อง เพราะเรายังเป็นเสขบุคคลอยู่บุคคลที่ยังไม่ใช่พระอรหันต์ เราต้องมีการประพฤติการปฏิบัติติดต่อต่อเนื่อง เราต้องเข้าใจปัญหา ปัญหาต่าง ๆ นี้อยู่ที่เราไม่ใช่คนอื่น อยู่ที่ความคิดของเรา อยู่ที่คำพูดของเรา อยู่ที่กิริยามารยาทของเรา อยู่ที่ใจของเรา เราต้องตั้งมั่นในธรรมในปัจจุบันธรรม เพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นให้เรารู้เข้าใจว่า ทุกอย่างนั้นมารวมอยู่ที่ปัจจุบัน ต้องให้เป็นประโยชน์ทั้งปัจจุบันและอนาคต ไม่ต้องไปคิดเหมือนแต่ก่อน เอาความสุขกับความหลง ความหลงนั้นมันจะเป็นความสุขได้อย่างไร
ความสุขมันต้องมาจากความรู้ความเข้าใจมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน ความสุขมันต้องอยู่ที่ปัจจุบัน ความสุขนั้นไม่ได้อยู่ที่อนาคตนะ ความสุขที่เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัยเรื่องสันติภาพเรื่องพระนิพพานต้องอยู่ที่ปัจจุบัน ต้องรู้เข้าใจ เรื่องพระธรรมพระวินัยเรื่องความถูกต้องต้องอยู่ที่ปัจจุบัน เราต้องรู้ต้องเข้าใจเรื่องขบวนการของการประพฤติการปฏิบัติธรรม เราทั้งหลายต้องเข้าใจอย่าพากันหลงงมงาย
เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้ยกเลิกตัวตน เราจะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ด้วยความรู้ความเข้าใจ ถ้าว่างจากสิ่งไม่มีอยู่มันจะมีประโยชน์อะไร ว่างจากสิ่งที่ไม่มีอยู่อย่างมากก็เป็นเพียงสมาธิสมาบัติมันไม่ใช่ความสงบและปัญญาควบคู่กันไป เราไปอยู่ในสิ่งแวดล้อม ต้องอาศัยสิ่งแวดล้อมนั้นแหละมาประพฤติปฏิบัติ สิ่งแวดล้อมนั้นแหละเป็นเพียงอาคันตุกะสัญจรไปมา
ให้รู้เข้าใจ เราจะได้ยกสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ นั้นเข้าสู่พระไตรลักษณ์ เราอาศัยสิ่งแวดล้อมนั้นแหละมาเป็นข้อสอบของเราแล้วเป็นข้อตอบของเรา เราก็ทำหน้าที่ของเรา เราต้องรู้เข้าใจเรื่องพระธรรมเรื่องพระวินัยเข้าใจในเรื่องทานศีลภาวนา เราจะได้จับหลักจับประเด็นในการประพฤติการปฏิบัติ
ให้เข้าใจในหลักการ หลักการของมนุษย์ วันจันทร์อังคารพุธพฤหัสศุกร์เป็นการทำงานกับการปฏิบัติธรรมควบคู่กันไป วันเสาร์วันอาทิตย์เป็นวันหยุดทำธุรกิจหน้าที่การงาน เป็นวันที่มาเน้นเรื่องจิตเรื่องใจ เน้นการทำสมถะกับวิปัสสนา เพื่อจะได้เอาสรีระร่างกายที่เป็นทรัพยากรที่ประเสริฐเอามาใช้เอามาปฏิบัติ
ครั้งพุทธกาลท่านมีหลักการวัน ๗ ค่ำ ๘ ค่ำเป็นวันหยุดทำงานเพื่อไปเจริญสติปัฏฐาน เอาความสงบปัญญาเน้นเรื่องจิตเรื่องใจ วัน ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ ครั้งพุทธกาลไปเจริญสติปัฏฐานสมถะวิปัสสนาเพื่อพัฒนาใจ เพื่อกระชับในการประพฤติการปฏิบัติ ปัจจุบันนี้เอาหลักสากล วันเสาร์วันอาทิตย์เป็นวันหยุด สรุปแล้วครั้งพุทธกาลกับปัจจุบันก็ใช้หลักอันเดียวกัน
การประพฤติการปฏิบัติให้เราเข้าใจ การประพฤติการปฏิบัติธรรมต้องไม่เลือกกาลไม่เลือกสถานที่ ที่ไหนมีธาตุทั้ง ๔ มีขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะ ๑๒ ที่นั่นแหละคือการประพฤติคือการปฏิบัติ ต้องเอาใจกับวัตถุไปพร้อม ๆ กันด้วยปิติด้วยสุขด้วยเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อให้ชีวิตของเราจะได้ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ ต้องเอาความสงบและปัญญาควบคู่กันไป ธรรมชาติมันเป็นสิ่งที่ลงตัว เป็นสิ่งที่พอดี ให้เราเข้าใจ ความสงบมากก็ต้องเสียสละมาก ผู้มีปัญญามากก็ต้องมีความสงบมาก เราต้องรู้เข้าใจ ใครอยู่ที่ไหนก็พากันประพฤติปฏิบัติที่นั่น
ให้เข้าใจว่า ความถูกต้องต้องอยู่กับเรา ทั้งกายวาจากิริยามารยาทต้องอยู่กับเรา ตลอดอาชีพต้องอยู่กับเรา รวมที่ใจของเราที่มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตา เป็นความสงบและเป็นปัญญาในปัจจุบัน มันเป็นปิติสุขเอกัคคตาในปัจจุบัน เราให้เข้าใจว่า เมื่อปัจจุบันเราไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร ด้วยความรู้ความเข้าใจอย่างนี้ พระนิพพานบ้านของเราถึงอยู่ที่เรามีศีลมีสมาธิมีปัญญา
ให้ทุกท่านเข้าใจเรื่องวัด เรื่องข้อวัตรข้อปฏิบัติ เราต้องมีศีลมีสมาธิมีปัญญาเป็นเครื่องวัด เค้าจะสร้างบ้านสร้างอาคารสร้างบ้านสร้างเมืองเค้าต้องมีเครื่องวัด วัดระยะสั้นระยาวระยะสูงระยะต่ำ วัดความหนักความเบา วัดนี้ก็ได้ศีลสมาธิปัญญา งามในเบื้องต้นคือศีล งามในท่ามกลางคือสมาธิ งามในที่สุดคือปัญญา รวมกันเป็นหนึ่ง ความเป็นหนึ่งนั้นให้เข้าใจว่า เมื่อเรามีความสงบและปัญญาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เราก็จะถึงพระนิพพานเป็นสภาวธรรมที่หยุดความปรุงแต่ง
เราเป็นมนุษย์เป็นผู้ประเสริฐผู้ที่ต้องเอาธรรมนำชีวิต ผู้ที่มีแต่ปิติสุขเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เรามาระลึกถึงปัจฉิมโอวาทของพระบรมศาสดา สัมมาสัมพุทธเจ้า ก่อนท่านจะเสด็จดับขันธ์สู่มหาปรินิพพาน ท่านได้เมตตาตรัสไว้ครั้งสุดท้ายว่า
“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”
หลังจากนี้พระพุทธองค์ก็ไม่ได้ตรัสอะไรอีกเลย ทรงสงบนิ่งทำปรินิพพานบริกรรมด้วยอนุบุพพวิหารหรือสมาบัติทั้ง 9 โดยอนุโลมและปฏิโลมตามลำดับ เริ่มตั้งแต่ทรงเข้าปฐมฌาน ออกจากปฐมฌานแล้ว เข้าทุติยฌาน ออกจากทุติยฌานแล้ว เข้าตติยฌาน ออกจากตติยฌานแล้ว เข้าจตุตถฌาน ออกจากจตุตถฌานแล้ว ทรงเข้าอากาสานัญจายตนะ ออกจากอากาสานัญจายตนสมาบัติแล้ว เข้าวิญญาณัญจายตนะ ออกจากวิญญาณัญจายตนสมาบัติแล้ว เข้าอากิญจัญญายตนะ ออกจากอากิญจัญญายตนสมาบัติแล้ว เข้าเนวสัญญานาสัญญายตนะ ออกจากเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติแล้ว ทรงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ
พระอานนท์ผู้นั่งเฝ้าดูอาการของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตลอดเวลา จึงถามถึงการปรินิพพานกับพระอนุรุทธะซึ่งนั่งอยู่ใกล้ๆ พระอนุรุทธะผู้มีตาทิพย์มองเห็นการปรินิพพานของพระพุทธองค์ตลอดมา ตอบว่า ยังไม่ได้ปรินิพพาน เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติแล้ว เข้า เนวสัญญานาสัญญายตนะ ออกจากเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติแล้ว เข้าอากิญจัญญายตนะ ออกจากอากิญจัญญายตนสมาบัติแล้ว เข้าวิญญาณัญจายตนะ ออกจากวิญญาณัญจายตนสมาบัติแล้ว เข้าอากาสานัญจายตนะ ออกจากอากาสานัญจายตนสมาบัติแล้ว เข้าจตุตถฌาน ออกจากจตุตถฌานแล้ว เข้าตติยฌาน ออกจากตติยฌานแล้ว เข้าทุติยฌาน ออกจากทุติยฌานแล้ว เข้าปฐมฌาน ออกจากปฐมฌานแล้ว เข้าทุติยฌาน ออกจากทุติยฌานแล้ว เข้าตติยฌาน ออกจากตติยฌานแล้ว เข้าจตุตถฌาน ออกจากจตุตถฌานแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็เสด็จดับขันธ์สู่มหาปรินิพพาน
โอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ
ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ
ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู
ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร
ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละคือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะว่าสิ่งเดิมนั้นคือความว่างเปล่า สิ่งที่สัญจรไปมาเป็นเพียงอาคันตุกะ เราจะได้เอาหลักการอุดการณ์ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นมรรคเป็นอริยมรรคที่ตรงกันข้ามกับโลกธรรม ให้รู้เข้าใจ เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรม พระนิพพานความรู้ความเข้าใจในเรื่องกระบวนการปฏิจจสมุปบาท กระบวนการของปฏิจจสมุปบาทจะได้จบลงเพียงผัสสะ จะได้เป็นปัญญาเป็นความสงบ จะเป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหตุเหนือผล หยุดความปรุงแต่ง นี้เป็นขบวนการที่ติดต่อต่อเนื่อง เป็นบารมีเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นพระนิพพานบ้านของเรา ไม่ใช่อวิชชาความหลงเป็นบ้านของเรานะ พระนิพพานคือบ้านของเรา ความสงบและปัญญาถึงเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราจะหยุดวัฏฏสงสารได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยพระธรรมด้วยพระวินัย เป็นขบวนการของกระแสในการประพฤติการปฏิบัติที่ได้นำเอาพระธรรมพระวินัยมาประพฤติมาปฏิบัติในปัจจุบันให้ติดต่อต่อเนื่อง
ความสงบและปัญญาที่เป็นพระธรรมพระวินัยถึงหยุดความปรุงแต่งได้ ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิคู่กับการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน พระธรรมพระวินัยที่เป็นความรู้ความเข้าใจ ที่จะหยุดความปรุงแต่งได้ เข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ปัจจุบัน ไม่ต้องรอชาติหน้า พระนิพพานต้องอยู่ที่ปัจจุบันเท่านั้น
-------------------------------------------
โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
เมตตาให้ไว้ในเช้าวันที่ ๑๐ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

