๑๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ (กฐินสามัคคี)
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๑๒ เดือนตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ฮิจเราะห์ศักราช ๑๔๔๖
ปี พ.ศ. ๒๕๖๘ ได้เอาวันอาทิตย์ที่ ๑๒ ตุลาคม เป็นวันทอดผ้ากฐินของวัดป่าทรัพย์ทวีฯ ทอดกฐินเริ่มพิธีเวลา ๑๐ นาฬิกา ๓๐ นาที จะใช้เวลาหลังจากแสดงธรรมคงไม่เกิน ๑ ชั่วโมง หลวงพ่อกัณหาให้จัดเป็นกฐินสามัคคี ให้ทุกคนร่วมกันเป็นเจ้าภาพร่วมกัน เพราะเหตุผลว่าการทอดกฐินวัดหนึ่ง ๆ จะรับกฐินได้เพียงครั้งเดียวต่อปี การทอดกฐินนี้เป็นพระธรรมเป็นพระวินัย ด้วยเหตุผลนี้จึงได้ให้จัดเป็นกฐินสามัคคี
ฝ่ายสงฆ์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ ฝ่ายคฤหัสถ์ ท่านประสิทธิศักดิ์ มีลาภ ประธานศาลปกครองสูงสุด มาเป็นประธานฝ่ายฆราวาสในการทอดกฐินของวัดป่าทรัพย์ทวีธรรมารามแห่งนี้ วัดป่าทรัพย์ทวีฯแห่งนี้เริ่มสร้างวัดเมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๔๖ ปีนี้ปี ๒๕๖๘ เป็นเวลา ๒๒ ปี
วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมารามตั้งอยู่หมู่ที่ ๒๒ ตำบลวังหมี อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา อยู่ติดกับถนนรอบอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ทางทิศเหนือของอุทยานฯ
วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมารามปีนี้มีพระภิกษุสามเณรอยู่จำพรรษาเจ็ดสิบสองรูป
การทอดกฐินทุก ๆ ปีหลังจากออกพรรษาเป็นเวลา ๑ เดือนนับเอาตั้งแต่วันแรม ๑ ค่ำเดือน ๑๑ ถึงวันเพ็ญ ๑๕ ค่ำเดือน ๑๒ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้พระภิกษุให้พากันทำจีวร พากันทอผ้า ทอเสร็จแล้วก็ให้ตัดเย็บย้อมเป็นผ้าสบง ผ้าจีวร ผ้าสังฆาฏิ เพื่อให้ใช้เป็นหลักการในการประพฤติการปฏิบัติสำหรับผู้ที่มาบวช ผู้ที่มาบรรพชาอุปสมบท ประเพณีการทอดกฐินจึงเป็นพระธรรมเป็นพระวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
มนุษย์เราทุกคนที่เกิดมาต้องมีหลักการมีอุดมการณ์อุดมธรรม เพื่อให้ความดีประกอบไปด้วยปัญญา การดำเนินชีวิตของมนุษย์ต้องเอาทางสายกลางนำชีวิต เอาทั้งทางเรื่องจิตเรื่องใจกับเรื่องวัตถุไปพร้อม ๆ กัน เป็นอริยมรรคเป็นแนวทางในการประพฤติในการปฏิบัติ อริยมรรคหมายถึงหนทางในการดำเนินชีวิต หนทางทางกายทางวาจาทางกิริยามารยาทอาชีพมารวมลงที่ใจ ที่มีความรู้ความเข้าใจ ที่ความตั้งใจตั้งเจตนา กายวาจากิริยามารยาทอาชีพให้เรารู้เข้าใจ เข้าใจว่า สิ่งเหล่านี้มันเป็นเพียงอุปกรณ์ เป็นเพียงกรรมกรของใจ ด้วยเหตุผลนี้มนุษย์เราถึงต้องพัฒนาทั้งทางเรื่องใจทางวัตถุให้ไปพร้อม ๆ กันเพื่อให้เป็นทางสายกลาง
เราคิดดูดี ๆ ที่ประกอบด้วยปัญญาเพื่อยกเลิกตัวตน เราจะเอาแต่ทางวัตถุเอาแต่ทางวิทยาศาสตร์อย่างเดียวนั้นก็ไม่ได้ เราต้องเอาเรื่องจิตเรื่องใจไปพร้อม ๆ กัน เราจะไปเอาแต่ทางวัตถุเอาแต่ทางวิทยาศาสตร์มันก็ไม่ได้ เราต้องเอาเรื่องจิตเรื่องใจไปพร้อม ๆ กัน การเดินทางของมนุษย์ต้องเป็นทางสายกลาง เอาแต่ทางวิทยาศาสตร์นั้นไม่ใช่ทางสายกลาง เอาแต่เรื่องจิตเรื่องใจนั้นไม่ใช่ทางสายกลาง ทางสายกลางนั้นก็ต้องเอาวิทยาศาสตร์เอาทั้งใจไปพร้อม ๆ กัน
มนุษย์เราทุก ๆ คนถึงต้องมีทั้งความสงบและปัญญาควบคู่กันไป ปัญญาสัมมาทิฏฐินี้หมายถึงความรู้ความเข้าใจ เข้าใจทั้งสองอย่าง เข้าใจในเรื่องวิทยาศาสตร์ เข้าใจในเรื่องจิตเรื่องใจ การประพฤติการปฏิบัตินั้นอยู่ตรงกลางระหว่างวัตถุกับจิตใจ การปฏิบัตินั้นต้องอยู่ที่ปัจจุบัน เพราะอดีตที่ผ่านมาทั้งหมดก็มารวมกันอยู่ที่ปัจจุบัน อนาคตที่จะไปข้างหน้าก็มารวมกันอยู่ที่ปัจจุบันแล้ว ปัจจุบันนี้ถึงเป็นวาระแห่งชาติของการประพฤติการปฏิบัติ ความสงบและปัญญาของมนุษย์ต้องเดินควบคู่กันไปที่เป็นศีล เป็นศิลปะชีวิตที่ดีมาก ๆ ความสงบและปัญญาต้องเดินทางไปพร้อม ๆ กัน ด้วยเหตุผลนี้ ผู้มีปัญญามาก ๆ ก็ต้องมีความสงบมาก ๆ ผู้มีความสงบมาก ๆ ก็ต้องเสียสละมาก ๆ เพื่อเข้าถึงความสงบความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี ความพอเพียงเพียงพอ เหมือนพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ ของเมืองไทยประเทศไทย ท่านได้ให้คติธรรมเตือนใจ ให้กับคนไทยและคนต่างประเทศ ให้เข้าถึงเศรษฐกิจพอเพียงเพียงพอ ให้เข้าถึงความพอดี ไม่ให้มากเกินไป ไม่ให้น้อยเกินไป
ให้เราพากันรู้พากันเข้าใจ เราต้องรู้ต้องเข้าใจ เราอยากให้มันมากมันก็ไม่มากสิ่งเหล่านั้นมันก็เท่าเก่าเท่าเดิม เราอยากให้น้อยมันก็ไม่น้อยมันก็เท่าเก่าเท่าเดิม ด้วยเหตุผลนี้เราถึงเข้าถึงเศรษฐกิจพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี เศรษฐกิจที่พอเพียงเพียงพอ ทางเรื่องจิตเรื่องใจของเราก็มีความสุข เพราะเราเข้าถึงเศรษฐกิจพอเพียงเพียงพอ ทางวัตถุเราก็ได้รับความสุขความสะดวกความสบาย สบายทั้งกาย สบายทั้งใจไปพร้อม ๆ กัน ความรู้ความเข้าใจอย่างนี้จะได้เป็นประโยชน์ในปัจจุบัน ปัจจุบันเราก็มีความสุข อนาคตของเราก็มีแต่ความสุข มันเป็นความดับทุกข์ได้ทั้งปัจจุบันและอนาคต เมื่อความสงบและปัญญารวมกันเป็นหนึ่งเป็นเอกัคคตา ความลังเลสงสัยของเรามันก็ไม่มี เพราะความรู้ความเข้าใจ สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นมันจบลงแล้วที่ผัสสะ
ความลังเลสงสัยว่าตายแล้วเกิดหรือว่าตายแล้วสูญ โลกหน้ามีจริงมั๊ย หรือว่าโลกหน้าไม่มีจริง ว่าชาติหน้ามีจริงหรือว่าชาติหน้าไม่มีจริง ตายแล้วเกิดหรือว่าตายแล้วสูญ หลักการขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้ประพฤติปฏิบัติที่ปัจจุบัน เพราะปัจจุบันนี้เป็นพื้นเป็นฐาน มีกรรมเป็นพื้นฐาน มนุษย์เราต้องรู้ต้องเข้าใจในเรื่องกรรม เรื่องกฎแห่งกรรม ในเรื่องผลของกรรม กรรมนั้นไม่ได้อยู่ที่ไหน ให้เรารู้ให้เข้าใจ กรรมนั้นอยู่ที่กายวาจากิริยามารยาทอาชีพมารวมลงที่ใจที่เจตนาของเรานี้เอง
มนุษย์เราต้องมารู้เรื่องกรรม มารู้เรื่องกฎแห่งกรรม มารู้เรื่องผลของกรรม เราจะได้ประพฤติได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง เราจะไม่ได้ไปแก้ไขที่ปลายเหตุ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ ความไม่รู้ไม่เข้าใจนั้นมันก็ประพฤติปฏิบัติไม่ได้ ชีวิตนี้ก็ย่อมเสียหาย ชีวิตนี้ก็ย่อมพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกับตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทย เราคิดดูดี ๆ นะ ตึกไหน ๆ มีอยู่มากมายไม่มีตึกไหนที่มันพังทลายเหมือนตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน เมืองไทยประเทศไทยของเรามีตึกมากมายหลายร้อยตึก ใหญ่กว่าสูงกว่าตึก สตง. แต่ตึกทั้งหลายเค้าตั้งอยู่ได้ เค้าไม่พังทลายเหมือนตึก สตง. เพราะความมั่นคงแข็งแรงเค้าเพียงพอ มันไปพังเฉพาะตึกเดียว คือตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ความเห็นไม่ถูกต้อง ความเข้าใจไม่ถูกต้อง การปฏิบัติไม่ถูกต้องนั้นก็ต้องพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกับตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ความมั่นคงของชาติ ของพระศาสนา ของพระมหากษัตริย์ ต้องเอาทางสายกลางดำเนินชีวิต
เราต้องรู้ต้องเข้าใจ เราต้องมายกเลิกตัวยกเลิกตน ถ้าเราไม่ยกเลิกตัวตนมันก็ไม่ใช่ทางสายกลาง เรายกเลิกตัวตนเราถึงจะเข้าสู่ทางสายกลาง ถ้าเราไม่ยกเลิกตัวตนเราจะปฏิบัติทางสายกลางได้อย่างไร เราต้องรู้เรื่องทางสายกลาง เรายกเลิกตัวยกเลิกตนเมื่อไหร่ เราถึงจะรู้เรื่องการประพฤติการปฏิบัติไปในทางสายกลาง เพื่อมาเดินทางสายกลาง เพื่อทุกคนต้องมาทำหน้าที่ของตัวเองด้วยการยกเลิกตัวตน
คำว่าชาติก็หมายถึงความเกิด ถ้าเรามีตัวมีตนนั่นแหละคือความเกิด เราต้องรู้เรื่องของความเกิด เรื่องของกรรม ของกฎแห่งกรรม
ความเกิดนั้นมันเกิดจากความไม่รู้ไม่เข้าใจในเรื่องของกรรม เรื่องกฎแห่งกรรม เราทั้งหลายก็จะพากันไปแก้ที่ปลายเหตุไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุ ให้รู้ให้เข้าใจ การที่ไปแก้ที่ปลายเหตุนั้นมันแก้ไม่ได้ เราต้องพากันมาแก้ที่ต้นเหตุ เราต้องรู้เข้าใจ เราทุกคนจะได้หยุดลงที่ต้นเหตุ สิ่งต่าง ๆ จะได้หยุดที่ต้นเหตุ หยุดลงที่ผัสสะ ด้วยความรู้ความเข้าใจ
ถ้าเราไม่เข้าใจเรื่องกรรมเก่าเราจะหยุดได้อย่างไร เราไม่รู้ไม่เข้าใจเรื่องกรรมใหม่ เราจะหยุดได้อย่างไร มันหยุดความเกิดไม่ได้เพราะเราไม่รู้ไม่เข้าใจ เราต้องยกเลิกตัวตนทุกคนถึงจะยกเลิกกรรมเก่ากรรมใหม่ได้ กายวาจากิริยามารยาทอาชีพ สิ่งที่มันเป็นตัวเป็นตนมันเป็นนิติบุคคลตัวตนที่มันเป็นภพเป็นชาติ ที่เป็นอายตนะต่าง ๆ ความคิดการกระทำวาจากิริยามารยาทอาชีพ เราต้องรู้เข้าใจ เราต้องยกเลิก เพื่อการกระทำนั้นจะไม่ได้เป็นกรรมไม่ได้เป็นตัวเป็นตน สิ่งเหล่านี้มันเป็นกรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านมาตรัสรู้ มารู้เรื่องของกรรม
ด้วยเหตุผลนี้เราถึงมารู้เรื่องกรรม มันเป็นความเกิด มันเป็นเรื่องของกรรม มันเป็นเรื่องกฎแห่งกรรม ความรู้ความเข้าใจในเรื่องกรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เรารู้เราเข้าใจ เราทุกคนจะได้ไม่ประมาท เราทุกคนจะได้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เห็นภัยในความไม่ถูกต้อง พากันมาเน้นมาประพฤติมาปฏิบัติในปัจจุบัน เราต้องเอาความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เมื่อมันผ่านไปแล้วก็ถือว่ามันเกษียณไปแล้ว
เราทุกคนต้องมาปล่อยมาวางในสิ่งที่เป็นอดีต ที่ใช้ศัพท์ว่า ไม่ยึดมั่นถือมั่น สิ่งที่เป็นอดีตผ่านมาแล้วเราต้องปล่อยต้องวาง เข้าถึงคำว่าไม่ยึดมั่นถือมั่น ถ้าเรายึดมั่นถือมั่นมันก็ไม่เป็นปัจจุบัน ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจในเรื่องกรรม ในเรื่องกฎแห่งกรรม ผลของกรรม เราทุกคนก็ย่อมมีความยึดมั่นถือมั่นที่เป็นนิติบุคคลตัวตน เราทุกคนก็ไม่ได้เดินทางสายกลาง ทางสายกลางนั้นให้เรารู้เข้าใจนะ ทางสายกลางนั้นจะไม่มีนิติบุคคลตัวตนนะ ทางสายกลางนั้นเป็นความสงบและปัญญา ความสงบและปัญญานี้จะเป็นธรรมะที่ยกเลิกนิติบุคคลตัวตน ยกเลิกความปรุงแต่ง เป็นธรรมเป็นสภาวธรรมที่หยุดความปรุงแต่ง เราต้องรู้เข้าใจเรื่องชาติคือความเกิด ทางสายกลางนี้จะมาหยุดความปรุงแต่งของเรา เพราะปัจจุบันนี้เรามีความสงบและปัญญา เราทั้งหลายก็จะหยุดความปรุงแต่งของเราได้ พากันเข้าถึงความสงบและปัญญาในปัจจุบัน
ด้วยเหตุผลนี้มนุษย์เราต้องพัฒนาวิทยาศาสตร์ พัฒนาใจไปพร้อม ๆ กันเพื่อยกเลิกความไม่ถูกต้อง ยกเลิกตัวตน เราได้เข้าถึงเหตุถึงผลที่เป็นกระบวนการของเหตุของผล กระบวนการเหมือนรายการดี ๆ ที่ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ที่ออกรายการ รายการดี ๆ นั้นก็ต้องดำเนินไปให้ติดต่อต่อเนื่องอย่างไม่ขาดสาย ให้เป็นเหตุเป็นผล การทำอะไรนั้นต้องทำให้ติดต่อต่อเนื่องตามหลักเหตุหลักผล เพื่อให้เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา เพื่อเป็นปฏิปทาที่ติดต่อต่อเนื่อง การทำอะไรไม่ติดต่อต่อเนื่องก็ย่อมไม่ได้ผล
เราคิดดูดี ๆ นะ อย่างไก่ฟักไข่ก็ต้องใช้เวลา ๓ อาทิตย์ขึ้นไปไข่นั้นถึงจะออกมาลูกไก่ จะฟักด้วยแม่ของไข่หรือฟักด้วยไฟฟ้าก็ใช้เวลา ๓ อาทิตย์ เราทุกท่านทุกคนต้องพากันรู้พากันเข้าใจ มารู้ทุกข์ มารู้เหตุเกิดทุกข์ มารู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เราทั้งหลายต้องมารู้มาเข้าใจ เราทั้งหลายจะไม่ได้ไปตามผัสสะ เพราะผัสสะนั้นเป็นสิ่งที่มีอยู่ เรามีตารูปมันก็ย่อมมี เรามีหู เสียงมันก็ย่อมมี เรามีจมูก กลิ่นมันก็ย่อมมี เรามีลิ้น รสมันก็ย่อมมี เรามีกาย สัมผัสสมันก็ย่อมมี เรามีใจ ความรู้สึกนึกคิดมันก็ย่อมมี เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้เป็นผู้มีศีลมีสมาธิมีปัญญา เราทั้งหลายจะไม่ได้ไปตามผัสสะ จะไม่ได้ไปตามสิ่งแวดล้อม ความรู้ความเข้าใจ ให้เรามีสติในปัจจุบัน มีทั้งสติมีทั้งสัมปชัญญะ มีความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ สิ่งที่ผัสสะ ที่มากระทบกับเราจะได้จบลงที่ผัสสะ จะไม่ได้เกิดความปรุงแต่ง เราต้องเข้าใจในเรื่องผัสสะ
ให้เราเข้าใจว่า ผัสสะทั้งหลายมันเป็นข้อสอบของเรา ข้อสอบนั้นคือปัญญาสัมมาทิฏฐิ ปัญญาสัมมาทิฏฐิต้องหยุดตัวเองด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา เรารู้เข้าใจ เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เห็นภัยในความเห็นไม่ถูกต้อง เห็นภัยในอันตราย เดี๋ยวมันจะเสียหายมันจะพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกับตึก สตง.สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน เราต้องรู้เข้าใจเรื่องความเกิด ความเกิดของเรา มันอยู่ที่เราไม่รู้ไม่เข้าใจ เรารู้เข้าใจ เรามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพราะมนุษย์เราต้องมีความรู้ความเข้าใจ มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เราต้องรู้ปัญหา เราหยุดปัญหา เราอย่าไปประมาท อย่าไปหลงอย่าไปเพลิดเพลิน พูดถึงสิ่งต่าง ๆ ที่มันจะมาสัมผัส มันไม่จบหรอก จนกว่าเราจะหมดอายุขัย จนกว่าเราจะหมดลมปราณ
เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะไม่ได้เอาความหลงนำชีวิต จะไม่ได้เอาความผิดนำชีวิต เราไม่รู้ไม่เข้าใจ เราพากันดิ้นรนกระเสือกระสน ตะเกียกตะกาย สร้างเรื่องสร้างราวสร้างปัญหาให้กับตัวเองด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ เราไม่รู้ไม่เข้าใจมันเสียหายมาก เสียหายมาก ๆ อยู่ดี ๆ ก็หาเรื่องหาราวให้กับตัวเอง หาเรื่องหาราวให้กับบุคคลอื่น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบอกให้เราทุกคนรู้เรื่องรู้ปัญหา เราจะได้หยุดปัญหา มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้บำเพ็ญพุทธบารมีหลายล้านชาติ หลายล้านปีหลายอสงไขย ท่านรู้เข้าใจ ท่านได้เข้าถึงความเต็ม ความพอเพียงเพียงพอ ท่านพาหมู่มวลมนุษย์ดำเนินชีวิต เข้าสู่ทางสายกลางระหว่างเรื่องจิตใจกับเรื่องวัตถุไปพร้อม ๆ กัน ยกเลิกความไม่ถูกต้อง ยกเลิกชาติวรรณะ เชื้อชาติวงศ์ตระกูล เอาความถูกต้องนำชีวิต เริ่มตั้งแต่ความตรึกนึกคิด คำพูด การกระทำ กิริยามารยาทอาชีพ รวมลงที่ใจที่เจตนา ยกเลิกตัวตน คืนอธิปไตยให้กับปวงชน การบริหารตน บริหารคนอื่นถึงเป็นธรรมนูญ รัฐธรรมนูญ
มนุษย์เราทุก ๆ คนต้องเอาธรรมนูญนำชีวิต ไม่ใช่เอาตัวตนนำชีวิต ต้องเอาธรรมนูญนำชีวิต ระบบการปกครองต้องเอานิติศาสตร์กับรัฐศาสตร์เพื่อเป็นธรรมนูญชีวิต ให้เรารู้ให้เข้าใจ ให้เราเห็นภัยในวัฏฏสงสาร เราจะได้เป็นมนุษย์ผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เราจะได้เป็นข้าราชการผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เราจะได้เป็นนักการเมืองผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เราจะได้เป็นนักบวชผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร ถ้าเราเอาตัวเอาตนนำชีวิตมันเป็นความคิดเห็นผิดเข้าใจผิด ไม่ผู้ไม่เห็นภัยในวัฏฏสงสาร ระบบข้าราชการนักบวช
เราต้องรู้เข้าใจ เราจะได้เข้าสู่การปกครองตนเองปกครองคนอื่น เพื่อทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ด้วยปิติด้วยความสุขด้วยเอกัคคตาด้วยความรู้ความเข้าใจ ให้เรารู้ให้เข้าใจสมมติทั้งหลายในโลกนี้มีคุณมีประโยชน์ ให้เราเอาสมมติที่เป็นรูปแบบมาใช้มาปฏิบัติให้เป็นคุณเป็นประโยชน์ ที่เราได้รับการแต่งตั้งให้เป็นข้าราชการให้เป็นนักการเมืองให้เป็นนักบวช ให้เราเอาหน้าที่เอารูปแบบมาใช้มาปฏิบัติ เพราะความดับทุกข์ความไม่มีทุกข์ให้เรารู้เข้าใจ อยู่ที่เรารู้เข้าใจ ที่เรามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติหน้าที่ทำหน้าที่ ด้วยเหตุผลนี้ เราต้องมีปิติสุขเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ หน้าที่คือธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่
เหมือนท่านพุทธทาสภิกขุ ท่านเป็นพระดีของเมืองไทยประเทศไทย ท่านพูดว่า ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติในหน้าที่ ความสุขความดับทุกข์นั้นมันอยู่ที่ปัจจุบัน ปัจจุบันเราต้องเข้าถึงความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ เป็นเทวดา..เป็นพระพรหม เป็นพระอริยเจ้าที่สมบูรณ์ในปัจจุบัน คำว่าพระนั้นให้เรารู้เข้าใจ คำว่าพระนั้นคือพระธรรมคือพระวินัยคือความสงบและปัญญา พระนั้นคือพระศาสนา พระศาสนาคือความสงบและปัญญา พระศาสนานั้นคือการยกเลิกตัวตน การยกเลิกตัวตนนั่นแหละคือพระศาสนา พระมหากษัตริย์ก็ได้แก่ปัญญาที่บริสุทธิคุณที่ยกเลิกตัวตน หมายถึงนามธรรมที่ประกอบด้วยปัญญาบริสุทธิคุณ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเข้าถึงความเต็ม ท่านมาปฏิสนธิในพระครรภ์มารดาก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ ประสูติก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ ตรัสรู้ก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ แสดงปฐมเทศนาธัมมจักกัปวัตตนสูตรที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันก็วันพระจันทร์วันเพ็ญ บอกกล่าวพุทธบริษัททั้งหลายว่าอีกสามเดือนข้างหน้าพระตถาคตเจ้าจะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานทั้งกายและใจก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ วันเพ็ญ ๑๕ค่ำนี้ก็คือความหมายอันเดียวกันคือความเต็มความพอเพียงเพียงพอคือเศรษฐกิจพอเพียงเพียงพอ ศาสนาในโลกนี้ก็เป็นหลักการอันเดียวกันที่เป็นการพัฒนาใจพัฒนาวัตถุไปพร้อม ๆ กัน
เราทั้งหลายต้องพากันรู้พากันเข้าใจ เราจะไม่ได้ทะเลาะกัน เราไม่รู้ไม่เข้าใจ ความไม่รู้ไม่เข้าใจนี้มันเป็นความไม่สงบ เหมือนพระธรรมกถึกกับพระวินัย ทุกคนหวังดีปรารถนาดี ได้ไปทำความดีเพื่อความยึดมั่นถือมั่นถือมั่น มันไปไม่ได้ มันเป็นเพียงสมาธิเป็นเพียงสมาบัติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านรู้เข้าใจ ท่านถึงเข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ปัจจุบัน ท่านเข้าถึงความว่างจากสิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบัน ธาตุทั้ง ๔ ก็มีอยู่ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะ ๑๒ ก็มีอยู่ ท่านเอาความสงบและปัญญามาใช้พร้อม ๆ กัน ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านพิจารณากระบวนการของกระแสปฏิจจสมุปบาท ท่านได้รำพึงในใจว่า
เมื่อเรายังไม่พบญาณ ได้แล่นท่องเที่ยวไปในวัฏฏสงสารเป็นอเนกชาติ แสวงหาอยู่ซึ่งนายช่างปลูกเรือน คือตัณหาผู้สร้างภพ การเกิดทุกคราวเป็นทุกข์ร่ำไป นี่แน่ะนายช่างปลูกเรือน เรารู้จักเจ้าเสียแล้ว เจ้าจะทำเรือนให้เราไม่ได้อีกต่อไป โครงเรือนทั้งหมดของเจ้าเราหักเสียแล้ว ยอดเรือนเราก็รื้อเสียแล้ว จิตของเราถึงแล้วซึ่งสภาพที่อะไรปรุงแต่งไม่ได้อีกต่อไป มันได้ถึงแล้วซึ่งความสิ้นไปแห่งตัณหา คือถึงนิพพาน
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน การยกเลิกตัวตนเพื่อเอาธรรมนำชีวิต มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เราต้องเอาพระธรรมคำสั่งสอนทางพระศาสนามาใช้ประพฤติใช้ปฏิบัติเพื่อยกเลิกตัวตน เพื่อความมั่นคงของชาติศาสน์กษัตริย์ ทุกคนให้รู้ให้เข้าใจว่าเราทุกคนไม่ได้แก้ที่ใคร ไม่ได้แก้ที่คนอื่น เราจะได้ทำความดีเพื่อความดี เราจะเข้าสู่รูปแบบ รูปแบบให้เต็มที่ ที่เราทุกคนได้รับการแต่งตั้ง เค้าแต่งตั้งให้เราเป็นพระมหากษัตริย์ เค้าแต่งตั้งให้เราเป็นประธานาธิบดี แต่งตั้งให้เราเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นข้าราชการเป็นนักการเมือง สมมติต่าง ๆ ที่เค้าแต่งตั้งให้เรารู้เข้าใจ เพื่อจะทำหน้าที่ให้สมบูรณ์ อย่าให้ขาดตกบกพร่อง เราต้องรู้เข้าใจ เมื่อเรารู้เข้าใจแล้วเราจะได้ทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ ให้เรารู้เข้าใจ ความถูกต้องก็ต้องเป็นความถูกต้อง ความถูกต้องนั้นให้เรารู้เข้าใจนั้น ความถูกต้องนั้นจะไม่เป็นพี่เป็นน้อง ไม่เป็นญาติไม่เป็นตระกูลกับใคร ความถูกต้องก็คือความถูกต้อง
ความถูกต้องนั้นไม่มีพรรคมีพวก เราต้องเอาความถูกต้องนำชีวิต ยกเลิกตัวตน เข้าสู่ความสงบและปัญญา เราถึงจะได้เป็นมนุษย์ผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เราจะได้เป็นเทวดาผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เราจะได้เป็นพรหมผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เป็นพระอริยเจ้าผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เราทุกคนพากันปฏิบัติได้เหมือน ๆ กันทุกคน มีอธิปไตยเสมอ ๆ กัน พอ ๆ กัน มีเวลามากเวลาน้อยพอ ๆ กัน ทุกชาติทุกศาสนาก็มีมรรคมีผลมีพระนิพพานเหมือน ๆ กัน ให้เรารู้ให้เข้าใจไปในทางเดียวกันนี้แหละ ไม่ได้แตกแยก ไม่ได้แยกนรก ไม่ได้แยกสวรรค์ ไม่ได้แยกพระนิพพาน
การประพฤติการปฏิบัติก็ปฏิบัติอยู่ได้ทุกหนทุกแห่ง ไม่เลือกกาลเลือกเวลา เลือกสถานที่ อยู่ที่ไหนเรามีกายวาจากิริยามารยาทอาชีพ อยู่ที่เรามีลมปราณ ที่นั้นคือการประพฤติการปฏิบัติของเรา เราต้องรู้เข้าใจเพราะการประพฤติการปฏิบัติของเรามันอยู่ที่ปัจจุบัน ไม่ได้อยู่ที่อนาคต อยู่ที่ปัจจุบัน
------------------------------------
โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
เมตตาให้ไว้ในวันที่ ๑๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา


