๑๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ ๑๓ เดือนตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ฮิจเราะห์ศักราช ๑๔๔๖
วันนี้เป็นวันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๘ ตรงกับวันที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ ๙) ท่านเสด็จสวรรคต ท่านเสด็จสวรรคตเมื่อปี พ.ศ.๒๕๕๙ ณ โรงพยาบาลศิริราช เวลา ๑๕ นาฬิกา ๕๒ นาที ท่านเสด็จสวรรคตเวลาที่ผ่านมาเป็นเวลา ๙ ปี
พระองค์เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๐ ที่โรงพยาบาลเคมบริดจ์ (ปัจจุบัน โรงพยาบาลเมาต์ออเบิร์น) เมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐ เป็นพระราชโอรสพระองค์เล็กในสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก กับสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และเป็นพระราชนัดดาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า
เมื่อพระชนมายุได้ ๕ พรรษา ทรงเข้ารับการศึกษาที่โรงเรียนมาแตร์เดอี กรุงเทพมหานคร ต่อจากนั้นทรงเสด็จไปศึกษาต่อ ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ในชั้นประถมศึกษา ที่โรงเรียนเมียร์มองต์ (MERRIMENT) เมืองโลซานน์ (LASAGNA) ในปี พ.ศ. ๒๔๗๘ ได้ทรงเข้าศึกษาต่อที่ CEDE NOUBELLE DE LA SUES ROMANCE CHILLY ซึ่งเป็นโรงเรียนเอกชนที่รับนักเรียนนานาชาติและทรงได้รับประกาศนียบัตร บาเชอลิเย เอ แลทร์ จากการศึกษาดังกล่าว ทรงรอบรู้หลายภาษา ได้แก่ อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน และ ละติน ในระดับอุดมศึกษาทรงเข้าศึกษาใน แผนกวิทยาศาสตร์ และวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเมืองโลซานน์ ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๘๑ ได้เสด็จนิวัติกลับประเทศไทยพร้อมด้วยพระบรมเชษฐาธิราช พระบรมราชชนนี และสมเด็จพระนางเจ้าพี่นางเธอ
ขณะที่พระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช พระชนมพรรษา ๑๘ พรรษา รัฐบาลได้กราบบังคมทูลอัญเชิญขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ ๙ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายนนั้น ทรงเฉลิมพระปรมาภิไธยว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และรัฐบาลได้แต่งตั้งผู้สำเร็จราชการ บริหารราชการแผ่นดินแทนพระองค์ เนื่องจากยังทรงพระเยาว์ และต้องทรงศึกษาต่อ ณ ต่างประเทศ
เมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๔๘๙ ได้เสด็จพระราชดำเนินกลับไปทรงศึกษาต่อ ณ กรุงโลซานน์ แม้พระองค์จะทรงโปรดวิชาวิศวกรรมศาสตร์ แต่เพื่อประโยชน์ในการปกครองประเทศได้ทรงเปลี่ยนมาศึกษาวิชาการปกครองแทน เช่น วิชากฎหมาย อักษรศาสตร์ รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ ภูมิศาสตร์ นอกจากนี้ ทรงศึกษา และฝึกฝนการดนตรีด้วยพระองค์เองด้วย
ใน พ.ศ. ๒๔๙๑ ระหว่างทรงศึกษาอยู่ ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์นั้น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้ทรงขับรถยนต์ไปทรงร่วมงานที่สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงปารีส ได้ทรงพบและมีพระราชหฤทัยสนิทเสน่หาในหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ธิดาของหม่อมเจ้านักขัตรมงคล กิติยากร เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงปารีส
ในปีเดียวกันนี้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์อย่างรุนแรง ทรงบาดเจ็บที่พระพักตร์ พระเนตรขวา และพระเศียร ทรงเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลมอร์เซส์ โปรดฯ ให้หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์มาเฝ้าฯ ถวายการดูแลอย่างใกล้ชิดพระสัมพันธภาพจึงแน่นแฟ้นขึ้น และต่อมาได้ทรงหมั้นหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ เมื่อวันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๔๙๒ โดยได้พระราชทานพระธำมรงค์วงที่สมเด็จพระบรมราชชนกหมั้นสมเด็จพระราชชนนี
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงได้รับการอภิบาลอย่างดียิ่งจากสมเด็จพระราชชนนี จึงมีพระปรีชาสามารถปราดเปรื่องและมีพระจริยวัตรเปี่ยมด้วยคุณธรรมทุกประการ ซึ่งน้อมนำให้พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ผู้ทรงดำรงสิริราชสมบัติเพียบพร้อมด้วยทศพิธราชธรรม จักรวรรดิวัตรธรรม และราชสังคหวัตถุ ทรงเจริญด้วยพระเกียรติคุณบุญญาธิการเจิดจำรัส ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจทั้งปวงเพื่อประโยชน์สุขของปวงชน เป็นที่แซ่ซ้องสรรเสริญทุกทิศานุทิศในเวลาต่อมาตราบจนปัจจุบัน
เมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๑ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชเสด็จพระราชดำเนินกลับประเทศไทย โปรดเกล้าฯให้ตั้งการพระราชพิธีถวายพระเพลิง พระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ระหว่างวันที่ ๒๘-๓๐ มีนาคม ๒๔๙๓ และเมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๔๙๓ ทรงประกอบพิธีราชาภิเษกสมรส กับ หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ที่วังสระปทุม โดยสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวสาอัยยิกาเจ้า พระราชทานหลั่งน้ำพระมหาสังข์ ทรงจดทะเบียนสมรสตามกฎหมายเช่นเดียวกับประชาชน และได้ทรงสถาปนาหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ ขึ้นเป็น สมเด็จพระราชินีสิริกิติ์
หลังจากนั้น ได้เสด็จไปประทับพักผ่อน ณ พระราชวังไกลกังวล หัวหิน และที่นี่เป็นแหล่งเกิดโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริโครงการแรกคือ พระราชทาน “ถนนสายห้วยมงคล” ให้แก่ “ลุงรวย” และชาวบ้านที่มาช่วยกันเข็นรถพระที่นั่งขึ้นจากหล่มดิน ทั้งนี้เพราะแม้ “ห้วยมงคล” จะอยู่ห่างอำเภอหัวหิน เพียง ๒๐ กิโลเมตร แต่ไม่มีถนนหนทาง ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนในการดำรงชีวิตมาก ถนนสายห้วยมงคลนี้จึงเป็นถนนสายสำคัญที่นำไปสู่โครงการในพระราชดำริ เพื่อบำบัดทุกข์ บำรุงสุขแก่พสกนิกรอีกจำนวนมากกว่า ๒,๐๐๐ โครงการในปัจจุบัน
วันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชได้ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกตามโบราณขัตติยราชประเพณี ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ในพระมหาราชวัง เฉลิมพระปรมาภิไธยตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า
“พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศร รามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร” และได้พระราชทานพระปฐมบรมราชโองการเป็นสัจวาจาว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยาม”
ในการนี้ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาเฉลิมพระเกียรติยศ สมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ พระอัครมเหสีเป็น สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี
วันที่ ๕ มิถุนายน ๒๔๙๓ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพร้อมด้วย สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินี ไปยังสวิตเซอร์แลนด์อีกครั้งเพื่อทรงรักษาพระสุขภาพ และเสด็จพระราชดำเนินนิวัติพระนคร เมื่อ ๒ ธันวาคม ๒๔๙๔ ประทับ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน และพระที่นั่งอัมพรสถาน
ทั้งสองพระองค์มีพระราชธิดา และพระราชโอรส ๔ พระองค์ดังนี้
๑. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ประสูติเมื่อ ๕ เมษายน ๒๔๙๔ ณ โรงพยาบาลมองซัวนี่ โลซานน์
๒. สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ์ฯ ประสูติเมื่อ ๒๘ กรกฎาคม ๒๔๙๕ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน ต่อมา ทรงได้รับสถาปนาเป็น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร เมื่อ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๑๕
๓. สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดา กิติวัฒนาดุลนโสภาคย์ ประสูติเมื่อ ๒ เมษายน ๒๔๙๘ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน ภายหลังทรงได้รับสถาปนาเป็น สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๒๐
๔. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ประสูติเมื่อ ๔ กรกฎาคม ๒๕๐๐ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน
เมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๔๙๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระผนวช ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ทรงจำพรรษา ณ พระตำหนักปั้นหย่า วัดบวรนิเวศวิหาร ปฏิบัติพระศาสนกิจ เป็นเวลา ๑๕ วัน ระหว่างนี้ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินี ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์ ต่อมาจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาเป็น สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
ในรัชกาลนี้ได้ทรงพระกรุณาสถาปนาพระอิสริยยศสมเด็จพระบรมชนกนาถขึ้นเป็น สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ทรงสถาปนา สมเด็จพระราชชนนี เป็น สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงสถาปนาสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา เป็น สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และทรงประกอบพระราชพิธีเฉลิมพระปรมาภิไธย สมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลใหม่ เมื่อวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๓๙ เพื่อให้สมพระเกียรติตามโบราณขัตติยราชประเพณี ทั้งนี้ด้วยพระจริยวัตรอันเปี่ยมด้วยพระกตัญญูกตเวทิตาธรรมอันเป็นที่แซ่ซ้องสรรเสริญพระปรมาภิไธยใหม่ที่ทรงสถาปนาคือ
“พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล อดุลยเดชวิมลรามาธิบดี จุฬาลงกรณราชปรียวรนัดดา มหิตลานเรศวรางกูร ไอศูรยสันตติวงศวิสุทธ์ วรุตมขัตติยศักตอรรคอุดม จักรีบรมราชวงศนิวิฐ ทศพิธราชธรรมอุกฤษฎนิบุณ อดุลยกฤษฎาภินิหารรังสฤษฏ์ สุสาธิตบูรพาธิการ ไพศาลเกียรติคุณอดุลพิเศษ สรรพเทเวศรานุรักษ์ ธัญอรรคลักษณวิจิตร โสภาคย์สรรพางค์ มหาชโนตมงคประณตบาทบงกชยุคล อเนกนิกรชนสโมสรสมมต ประสิทธิวรยศมโหดมบรมราชสมบัติ นพปฏลเศวตฉัตราดิฉัตร สรรพรัฐทศทิศวิชิตไชย สกลมไหศวริยมหาสวามินทร มเหศวรมหินทรมหารามาธิราชวโรดม บรมนาถชาติอาชาวไศรย พุทธาทิไตรรัตนสรณารักษ์ วิศิษฏศักตอัครนเรศราธิบดี เมตตากรุณา สีตลหฤทัย อโนปมัยบุญการ สกลไพศาลมหารัษฎาธิบดี พระอัฐมรามาธิบดินทรสยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร”
ตั้งแต่พุทธศักราช ๒๕๐๒ เป็นต้นมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงกระชับสัมพันธไมตรีกับประเทศต่าง ๆ ทั้งในยุโรป อเมริกา ออสเตรเลีย และ เอเชีย และได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรในภูมิภาคต่างๆ ทุกภาคทรงประจักษ์ในปัญหาของราษฎรในชนบทที่ดำรงชีวิตด้วยความยากจน ลำเค็ญและด้อยโอกาส ได้ทรงพระวิริยะอุตสาหะหาทางแก้ปัญหาตลอดมาตราบจนปัจจุบัน อาจกล่าวได้ว่า ทุกหนทุกแห่งบนผืนแผ่นดินไทยที่รอยพระบาทได้ประทับลง ได้ทรงขจัดทุกข์ยากนำความผาสุกและทรงยกฐานะความเป็นอยู่ของราษฎร ให้ดีขึ้นด้วยพระบุญญาธิการและพระปรีชาสามารถปราดเปรื่อง พร้อมด้วยสายพระเนตรอันยาวไกล ทรงอุทิศพระองค์เพื่อประโยชน์สุขของราษฎร และเพื่อความเจริญพัฒนาของประเทศชาติตลอดระยะเวลาโดยมิได้ทรงคำนึงประโยชน์สุขส่วนพระองค์เลย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานโครงการนานัปการมากกว่า ๒,๐๐๐ โครงการ ทั้งการแพทย์สาธารณสุข การเกษตร การชลประทาน การพัฒนาที่ดิน การศึกษา การพระศาสนา การสังคมวัฒนธรรม การคมนาคม ตลอดจนการเศรษฐกิจเพื่อประโยชน์สุขของพสกนิกรในชนบท ทั้งยังทรงขจัดปัญหาทุกข์ยากของประชาชนในชุมชนเมือง เช่น ทรงแก้ปัญหาการจราจรอุทกภัยและปัญหาน้ำเน่าเสียในปัจจุบัน ได้ทรงริเริ่มโครงการการช่วยสงเคราะห์ และอนุรักษ์ช้างของไทยอีกด้วย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงตรากตรำพระวรกายทรงงานอย่างมิทรงเหน็ดเหนื่อย แม้ในยามทรงพระประชวร ก็มิได้ทรงหยุดยั้งพระราชดำริเพื่อขจัดความทุกข์ผดุงสุขแก่พสกนิกร กลางแดดแผดกล้าพระเสโทหลั่งชุ่มพระพักตร์ และพระวรกายหยาดตกต้องผืนปฐพีประดุจน้ำทิพย์มนต์ชโลมแผ่นดินแล้งร้าง ให้กลับคืนความอุดมสมบูรณ์นับแต่เสด็จเถลิงถวัลยราชตราบจนปัจจุบัน
แม้ในยามประเทศประสบภาวะเศรษฐกิจ ตั้งแต่ ปี พ.ศ. ๒๕๓๙ เป็นต้นมา ก็ได้พระราชทานแนวทางดำรงชีพแบบ “เศรษฐกิจพอเพียง” และ “ทฤษฎีใหม่” ให้ราษฎรได้พึ่งตนเอง ใช้ผืนแผ่นดินให้เกิดประโยชน์สูงสุดประกอบอาชีพอยู่กินตามอัตภาพซึ่งราษฎรได้ยึดถือปฏิบัติเป็นผลดีอยู่ในปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานความรักอันยิ่งใหญ่แก่อาณาประชาราษฎร์ พระราชภารกิจอันหนักเพื่อประโยชน์สุขของอาณาประชาราษฎร์ ปรากฏเป็นที่ประจักษ์เทิดทูนพระเกียรติคุณทั้งในหมู่ชาวไทยและชาวโลก จึงทรงได้รับการสดุดีและการทูลเกล้าฯ ถวายปริญญากิตติมศักดิ์เป็นจำนวนมากทุกสาขาวิชาการ ทั้งยังมีพระอัจฉริยภาพด้านดนตรีอย่างสูงส่ง ทรงพระราชนิพนธ์เพลงอันไพเราะนับแต่พระเยาว์จนถึงปัจจุบันรวม ๔๗ เพลง ซึ่งนักดนตรีทั้งไทย และต่างประเทศนำไปบรรเลงอย่างแพร่หลาย เป็นที่ประจักษ์ในพระอัจฉริยภาพจนสถาบันดนตรีในออสเตรเลียได้ทูลเกล้าฯ ถวายสมาชิกภาพกิตติมศักดิ์แด่พระองค์ นอกจากนั้นยังทรงเป็นนักกีฬาชนะเลิศรางวัลเหรียญทองในการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ทรงได้รับยกย่องเป็น “อัครศิลปิน” ของชาตินอกจากทรงพระปรีชาสามารถด้านดนตรีแล้วยังทรงสร้างสรรค์งานจิตรกรรมและวรรณกรรมอันทรงคุณค่าไว้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาของชาติ เช่น ทรงพระราชนิพนธ์ แปลเรื่อง ติโตนายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระและพระราชนิพนธ์เรื่องชาดกพระมหาชนก พระราชทานคติธรรมในการดำรงชีวิตด้วยความวิริยะอุตสาหะอดทนจนพบความสำเร็จแก่พสกนิกรทั้งปวง
ปวงชนชาวไทยต่างมีความจงรักภักดีีเป็นที่ยิ่งดังปรากฏว่าในวาระสำคัญ เช่น ศุภวาระเถลิงถวัลยราชครบ ๒๕ ปี พระราชพิธีรัชดาภิเษก ๙ มิถุนายน ๒๕๑๔ พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ รอบ ๕ ธันวาคม ๒๕๓๐ พระราชพิธีรัชมังคลาภิเษกทรงดำรงสิริราชสมบัติยาวนานกว่าพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ ๒ กรกฎาคม ๒๕๓๑ มหามงคลสมัยฉลองสิริราชสมบัติครบ ๕๐ ปี ๙ มิถุนายน ๒๕๓๙ และในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๒ รัฐบาลและประชาชนชาวไทยได้พร้อมใจกันจัดงานเฉลิมพระเกียรติและถวายพระพรชัยมงคลด้วยความกตัญญูกตเวที สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อมอย่างสมพระเกียรติทุกวาระ
๑๓ ตุลาคม วันนวมินทรมหาราช วันคล้ายวันสวรรคตในหลวงรัชกาลที่ ๙
ย้อนกลับไปเมื่อ วันศุกร์ที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๗ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จพระราชดำเนินไปประทับรักษาพระอาการประชวร ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช ตามที่สำนักพระราชวังได้แถลงให้ทราบ คณะแพทย์ได้ถวายการรักษาพระองค์อย่างใกล้ชิดอย่างสุดความสามารถ แต่พระอาการประชวรก็มิคลายลง ก่อนทรุดหนักลงตามลำดับ
กระทั่งวันพฤหัสบดีที่ ๑๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ เวลา ๑๕ นาฬิกา ๕๒ นาที พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงเสด็จสวรรคต ณ โรงพยาบาลศิริราช ด้วยพระอาการสงบ สิริพระชนมพรรษา ๘๘ ปี ๓๑๓ วัน ทรงครองพระราชสมบัติได้ ๗๐ ปี ๔ เดือน ๔ วัน ทางคณะรัฐมนตรีจึงมีมติให้วันที่ ๑๓ ตุลาคมของทุกปี เป็นวันคล้ายวันสวรรคตและวันหยุดราชการ เพื่อให้ประชาชนน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ
การเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถพิตร ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๙ นำมาซึ่งความโศกเศร้าเสียใจอาลัยรักของประชาชนคนไทยทั่วประเทศและที่พำนักอาศัยในต่างแดน อย่างยากที่จะบรรยายความรู้สึกออกมา และหลั่งน้ำตากับการสูญเสียพระมหากษัตริย์อันเป็นหนึ่งปวงใจของประชาชนชาวไทย
วันนวมินทรมหาราช มีความหมายว่าอะไร
สืบเนื่องจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้กำหนดชื่อวันคล้ายวันคล้ายวันสรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๙ แห่งราชวงศ์จักรี ว่า “วันนวมินทรมหาราช” ในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตกำหนดให้เป็นวันสำคัญของชาติไทย และให้จัดกิจกรรมในลักษณะเดียวกับวันปิยมหาราช
สำหรับความหมายของวันนวมินทรมหาราชนั้น เป็นวันที่ระลึกถึงพระมหาราชรัชกาลที่ ๙ ผู้ที่เอาธรรมนำชีวิต ผู้ที่เดินทางสายกลาง ระหว่างการพัฒนาเรื่องจิตเรื่องใจ การพัฒนาทางวัตถุเทคโนโลยีไปพร้อม ๆ กัน ให้เข้าถึงเศรษฐกิจพอเพียงเพียงพอในปัจจุบัน เอาความสงบและปัญญาควบคู่กันไป มีความรู้ความเข้าใจ เราอยากได้มากมันก็ไม่มากมันก็เท่าเดิม เราอยากได้น้อยมันก็ไม่น้อยมันก็เท่าเดิม
มนุษย์เราต้องรู้ต้องเข้าใจ ความรู้ความเข้าใจต้องเอามาใช้เอามาปฏิบัติในปัจจุบัน เพราะปัจจุบันเป็นวาระสำคัญ อดีตก็มารวมกันอยู่ที่ปัจจุบันแล้ว อนาคตที่จะไปข้างหน้าก็มารวมอยู่ที่ปัจจุบัน ปัจจุบันเราต้องรู้เราต้องเข้าใจ สิ่งทั้งหลายที่มาเกี่ยวข้องกับเรา ความรู้ความเข้าใจ เราเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นจะจบลงที่ผัสสะ จะไม่ทำให้เกิดภพเกิดชาติ เป็นวัฏฏสงสารอย่างหาที่สุดไม่ได้ ให้รู้เข้าใจในปัจจุบัน ให้มันจบลงเพียงผัสสะ เพื่อเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ พอกันที วัฏฏสงสารที่ท่องเที่ยวมานาน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ท่านผู้เอาธรรมนำชีวิต เอาความสงบและปัญญานำชีวิต ท่านเป็นผู้ที่เสียสละ เป็นที่ ๑ ของโลก ท่านเป็นบุคคลที่เป็นตัวอย่างแบบอย่าง ทั้งรูปนามในฝ่ายทางวัตถุ ทั้งฝ่ายทางวิทยาศาสตร์ ทั้งฝ่ายนามธรรมได้แก่เรื่องจิตเรื่องใจ เรื่องคุณธรรม เพื่อให้ชีวิตของเราจะได้ธรรมนูญชีวิต ประพฤติปฏิบัติเพื่อให้เป็นทางสายกลาง
เราทั้งหลายมาระลึกถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลยเดชผู้ที่เสียสละ เพื่อเอาหลักในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อมาทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ ไม่ขาดตกบกพร่อง ทั้งกายทั้งวาจาทั้งกิริยามารยาททั้งอาชีพด้วยใจด้วยเจตนา มีความสงบมีปัญญาด้วยความปิติสุขเอกัคคตา ให้เป็นปฏิปทาที่ติดต่อต่อเนื่อง เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เป็นธรรมนูญ เพื่อมายกเลิกตัวตน มายกเลิกเรามายกเลิกเขา ไม่ต้องมีเราไม่ต้องมีเขา เมื่อไม่มีเราไม่มีเขาถึงจะมีความสงบ ถึงจะมีปัญญา ให้เรารู้ให้เราเข้าใจ เรื่องปัจุบันเราต้องรู้เราต้องเข้าใจ การเจริญสติปัฏฐานเป็นสิ่งที่สำคัญ มนุษย์เราต้องเจริญสติสัมปชัญญะเป็นพื้นฐาน มนุษย์เราถ้ามีสติสัมปชัญญะเป็นพื้นฐาน ความทุกข์ในใจจะไม่มี เพราะเรามีสติสัมปชัญญะเป็นพื้นฐาน ธรรมะทั้งหลายทั้งปวงถึงมารวมอยู่ที่ความสงบและปัญญา เป็นสติปัฏฐาน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลยเดชท่านจากพวกเราไปตั้งแต่รูปธรรม แต่นามธรรมนั้นท่านไม่ได้จากเราไป เราต้องรู้เราต้องเข้าใจ เรื่องสติสัมปชัญญะ ทุก ๆ คนต้องพากันเจริญสติสัมปชัญญะ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการเจริญสติสัมปชัญญะ ถ้าเรามีสติมีสัมปชัญญะ ความทุกข์ของเราทุก ๆ ย่อมไม่มี ที่เรามีความทุกข์ เพราะเราไม่มีสติไม่มีสัมปชัญญะ ถ้าเรามีสติมีสัมปชัญญะแล้ว ความทุกข์ของเรานั้นจะไม่มีในปัจจุบัน เพราะปัจจุบันเราเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอด้วยสติด้วยสัมปชัญญะ เราจะได้เข้าถึงความพอดี ความพอเพียงเพียงพอในปัจจุบัน เข้าถึงความเต็ม เต็ม เต็ม เราพากันรู้พากันเข้าใจ การเจริญสติสัมปชัญญะต้องเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความเต็ม เข้าถึงเศรษฐกิจพอเพียง
เราทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ ธรรมะคือหน้าที่ที่สมบูรณ์ ไม่มากเกินไม่น้อยเกิน สติสัมปชัญญะนั้นจะทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ เราทุกคนต้องเอาสติสัมปชัญญะไปใช้ ที่ไหนมีสติมีสัมปชัญญะที่นั่นก็จะไม่มีความทุกข์อะไร ความทุกข์ต่าง ๆ นั้นไม่มีถ้าเรามีสติมีสัมปชัญญะ ความไม่มีทุกข์นั้นมันจะจบลงที่ปัจจุบันที่เรามีสติมีสัมปชัญญะ มันจบลงที่ผัสสะที่มีสติมีสัมปชัญญะ
พระพุทธเจ้าผู้ที่เอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิต ยกเลิกตัวตน เมื่อเรายกเลิกตัวตน ทุกคนก็ต้องมีสติสัมปชัญญะ เราต้องรู้ต้องเข้าใจ ถ้าเราไม่ยกเลิกตัวตนชีวิตนี้ก็ย่อมพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกับตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทย เพราะเหตุผลว่า ไม่มีสติไม่มีสัมปชัญญะ เอาความผิด เอาทุจริตนำชีวิต เอาความไม่ถูกต้อง เอาความผิดนำชีวิต ชีวิตนั้นก็ย่อมพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกับตึก สตง.สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ให้พวกเรารู้เข้าใจ จะได้เข้าถึงความสุขความดับทุกข์ด้วยการเจริญสติสัมปชัญญะ เราทั้งหลายจะได้จบลงที่ผัสสะ จะได้เอาสติสัมปชัญญะก้าวไปด้วยความสงบและปัญญา
เรามาระลึกถึงปัจฉิมโอวาท ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านได้ตรัสให้แก่ภิกษุเพื่อให้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร ให้พากันเจริญสติสัมปชัญญะ ไม่ให้ตั้งอยู่ในความประมาท เพราะสติสัมปชัญญะนี้จะเป็นทางสายกลางระหว่างจิตใจกับวัตถุ เป็นทางสายกลาง จะเป็นความสงบและปัญญา จะเป็นอริยมรรคทั้งกายทั้งวาจาทั้งกิริยามารยาททั้งอาชีพมารวมลงที่ใจรวมลงที่เจตนา ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท มารู้แจ้งเรื่องจิตเรื่องใจ มารู้แจ้งเรื่องทางวัตถุไปพร้อม ๆ กัน ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ดังปัจฉิมโอวาทที่ตรัสเป็นภาษาบาลีว่า
“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”
เรามาระลึกถึงโอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ
ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ
ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู
ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร
ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละ คือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะว่าสิ่งเดิมนั้นคือความว่างเปล่า สิ่งที่สัญจรไปมาเป็นเพียงอาคันตุกะ เราจะได้เอาหลักการอุดการณ์ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นมรรคเป็นอริยมรรคที่ตรงกันข้ามกับโลกธรรม
ให้รู้เข้าใจ เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรม พระนิพพานความรู้ความเข้าใจในเรื่องกระบวนการปฏิจจสมุปบาท กระบวนการของปฏิจจสมุปบาทจะได้จบลงเพียงผัสสะ จะได้เป็นปัญญาเป็นความสงบ จะเป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหตุเหนือผล หยุดความปรุงแต่ง นี้เป็นขบวนการที่ติดต่อต่อเนื่อง เป็นบารมีเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นพระนิพพานบ้านของเรา ไม่ใช่อวิชชาความหลงเป็นบ้านของเรานะ พระนิพพานคือบ้านของเรา ความสงบและปัญญาถึงเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราจะหยุดวัฏฏสงสารได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยพระธรรมด้วยพระวินัย เป็นขบวนการของกระแสในการประพฤติการปฏิบัติที่ได้นำเอาพระธรรมพระวินัยมาประพฤติมาปฏิบัติในปัจจุบันให้ติดต่อต่อเนื่อง
ความสงบและปัญญาที่เป็นพระธรรมพระวินัยถึงหยุดความปรุงแต่งได้ ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิคู่กับการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน พระธรรมพระวินัยที่เป็นความรู้ความเข้าใจ ที่จะหยุดความปรุงแต่งได้ เข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ปัจจุบัน ไม่ต้องรอชาติหน้า พระนิพพานต้องอยู่ที่ปัจจุบันเท่านั้น
เรามาระลึกถึงโอวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลยเดช ท่านให้เราเจริญสติสัมปชัญญะ มีปิติมีความสุขในการทำหน้าที่ เพราะธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ เพื่อจะได้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงเศรษฐกิจพอเพียง เราทั้งหลายต้องรู้ความจริงตามความเป็นจริง เราอยากได้มากมันก็ไม่มากมันก็เท่าเดิม เราอยากได้น้อยมันก็ไม่น้อยมันก็เท่าเดิม เราไม่รู้ไม่เข้าใจเราก็ไปคิดเองเออเอง เราไม่รู้ไม่เข้าใจ ด้วยเหตุผลนี้มันเลยมีแต่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไปนอกจากทุกข์นี้ไม่มีเลย
ให้ทุกคนรู้เข้าใจ จะได้ยกเลิกตัวตน ยกเลิกความไม่ถูกต้อง เพื่อจะได้คืนอธิปไตยให้กับปวงชน ไม่ลิดรอนสิทธิเสรีภาพด้วยการสติสัมปชัญญะ ให้เรารู้เข้าใจว่าพระธรรมพระวินัยคือการเจริญสติสัมปชัญญะ คือความสงบคือปัญญา ให้เรารู้เข้าใจ นี้มันเป็นเรื่องพระนิพพานบ้านของเรา สติสัมปชัญญะนั้นเป็นพระนิพพานบ้านของเรา
---------------------------------------
โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
เมตตาให้ไว้ในเช้าวันที่ ๑๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา


