๑๗ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๑๗ เดือนตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
เราทุกคนต้องเอาธรรมนำชีวิต เราพากันมาเจริญสติสัมปชัญญะ มีสติรู้ตัวทั่วพร้อมในปัจจุบัน มีทั้งความสงบมีทั้งปัญญาอยู่ในปัจจุบัน ยกเลิกตัวยกเลิกตน ยกเลิกอดีตที่ผ่านมา เพราะเหตุผลว่าอดีตก็มารวมกันอยู่ที่ปัจจุบันแล้ว อนาคตที่จะไปข้างหน้าก็อยู่ที่ปัจจุบันนี้เอง
เราพากันเอาหลักการขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา เป็นทางสายกลางระหว่างเรื่องจิตเรื่องใจกับเรื่องวัตถุ พวกเราต้องพากันมารู้พากันมาเข้าใจในเรื่องของกรรม กฎแห่งกรรมและผลของกรรม สิ่งเหล่านี้มันเป็นของชั่วครู่ชั่วคราวชั่วยาม เราไม่เคยเห็นสิ่งใดที่เป็นอมตะยั่งยืน ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นล้วนมีแต่ความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดกาลอยู่ตลอดเวลา
เราทุกคนมามีสติมีสัมปชัญญะ พากันมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ความรู้ความเข้าใจ สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นจะได้จบลงที่ผัสสะ จิตใจของเราจะไม่ได้หมุนไปตามผัสสะ ไม่หมุนไปตามสิ่งแวดล้อม เราทั้งหลายจะได้จบลงเพียงผัสสะ
อานาปานสติเราทุกคนต้องเอามาใช้เอามาปฏิบัติ เพื่อเป็นหลักการของการประพฤติการปฏิบัติ เรามาหายใจเข้าก็มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม หายใจออกก็มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม หายใจเข้าก็ให้มีความสุข หายใจออกก็ให้สบาย อานาปานสตินี้ใช้ได้กับเราทุก ๆ คน เพื่อเป็นหลักการ เพื่อเป็นอุดมการณ์อุดมธรรม อริยมรรคมีองค์แปดให้พวกเรารู้ให้พวกเราเข้าใจ เป็นเรื่องของปัจจุบัน ปัจจุบันทางกายทางวาจาทางกิริยามารยาทอาชีพมันอยู่ที่ปัจจุบัน เราทั้งหลายต้องพากันทำหน้าที่ของตัวเราเอง
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราประมาท ให้ทำหน้าที่ของตัวเองให้สมบูรณ์ ท่านพุทธทาสภิกขุ ท่านตรัสว่า ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ เราทุก ๆ คนต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติในการทำหน้าที่ ให้เข้าถึงความสุขความดับทุกข์ในปัจจุบัน เพื่อเราทุกคนจะได้เข้างถึงพระนิพพานตั้งแต่ปัจจุบัน ปัจจุบันเราไม่มีพระนิพพาน เราไม่ได้พระนิพพาน อนาคตมันจะเข้าถึงพระนิพพานได้อย่างไร
เราต้องรู้เข้าใจ ความเป็นมนุษย์ของเรานี้ก็ต้องอยู่ที่ปัจจุบัน ความเป็นเทวดาของเราต้องอยู๋ที่ปัจจุบัน ความเป็นพระพรหมต้องอยู่ที่ปัจจุบัน ความเป็นพระอริยเจ้าก็ต้องอยู่ที่ปัจจุบัน สติคือความสงบถึงมีอุปการะมาก สัมปชัญญะตัวปัญญาถึงมีอุปการะมาก เราทุกคนพากันทำหน้าที่ เพราะหน้าที่คือธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ ให้เจริญสติสัมปชัญญะกัน ถ้าใจมันไม่สงบก็ให้หยุดลมหายใจของตัวเอง กลั้นลมหายใจของตัวเอง ใจมันขาดอากาศ ขาดลมหายใจ มันจะตายมันก็จะหยุดความปรุงแต่งเอง มันไม่เก่งถึงกับตายหรอก
เราต้องรู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ เราไม่ต้องไปพึ่งใคร พึ่งความรู้ความเข้าใจ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ พระรัตนตรัยให้เรารู้เข้าใจคือพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ ต้องมารวมกันเป็น ๑ ที่กายวาจากิริยามารยาทมารวมลงเป็น ๑ ที่ตัวเรา ให้เรายกเลิกตัวยกเลิกตน เราทุกคนถึงจะเป็นผู้มีศีลมีสมาธิมีปัญญา
อานาปานสติให้เราเอามาใช้ในทุก ๆ อิริยาบถได้ เวลาเรานั่งสมาธิก็ใช้หลักอานาปานสตินี้แหละ หายใจเข้าก็ให้สบาย หายใจออกก็ให้สบาย หายใจเข้าให้มีความสุข หายใจออกให้มีความสุข เพื่อทำหน้าที่ของเรา เพราะเหตุผลว่าธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ เราต้องรู้เข้าใจ เราจะไปเอาอะไร เราจะไปเพิ่มอะไร เราจะไปตัดอะไร ให้เรารู้เข้าใจ ไม่มีอะไรที่จะได้ ไม่มีอะไรที่จะเสีย ให้เรารู้เข้าใจ เราจะได้หยุดลงด้วยความรู้ความเข้าใจ เราจะได้เข้าถึงพระนิพพานคือความสงบและปัญญาในปัจจุบัน
เราทุกคนพากันปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องที่เป็นอริยมรรคมีองค์ ๘ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมันเป็นวาระวาระไป เราจะได้เอาพระพุทธเจ้า เอาพระธรรม เอาพระอริยสงฆ์มาไว้ที่กายวาจากิริยามารยาทมารวมลงที่ใจ ที่มีปัญญาสัมมาทิฏฐิ ด้วยความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง เราทุกคนไม่ต้องไปอาศัยใคร เราใช้หลักการขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรามีปัญญามากเราก็ต้องมีสติสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อมมาก ๆ ปัญญาของเรานั้นจะไม่ได้ทำร้ายทำลายตัวของเราเอง เรามีความสงบมาก ๆ เราก็ต้องเสียสละให้มาก ๆ สมาธิกับปัญญา ๒ อย่างนี้ต้องตีคู่เสมอกันไป จะได้เข้าถึงความพอเพียงความเพียงพอ จะได้เข้าถึงความพอดีและปัญญาควบคู่กันไป
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้หลักการในการประพฤติการปฏิบัติ เพราะเหตุผลว่า เราเจริญสติคือความสงบ เราเจริญสัมปชัญญะคือตัวปัญญานั้นยังไม่เพียงพอ ท่านถึงบอกหน้าที่การงานเพื่อจะได้เกิดความสงบและปัญญาติดต่อต่อเนื่องกันไป ด้วยการพิจารณาสรีระร่างกายของเราเพื่อจะได้เกิดความสงบและปัญญายิ่ง ๆ ขึ้นไป ด้วยปฏิปทาที่ปฏิบัติติดต่อต่อเนื่อง เพื่อจะได้มีความสงบเป็นพื้นฐาน มีปัญญาเป็นพื้นฐาน
สรีระร่างกายของเราที่มีส่วนประกอบอยู่ทั้งหมด ๓๒ ชิ้นส่วน มีส่วนประกอบที่เป็นธาตุทั้ง ๔ ได้แก่ดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นขันธ์ทั้ง ๕ ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นอายตนะทั้ง ๖ ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สรีระร่างกายของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เราสาธยายสรีระร่างกายออกเป็นชิ้นเป็นส่วน จนครบ ๓๒ ชิ้นส่วน ทำอย่างนี้เพราะเหตุผลอะไร เพราะเหตุผลว่าเราจะได้ยกเลิกตัวยกเลิกตน ยกเลิกเขายกเลิกเรา เราจะได้เกิดความสงบเกิดปัญญา เราจะเอาแต่เพียงเจริญสติสัมปชัญญะนั้นไม่ได้ เราต้องสาธยายสรีระร่างกายออกเป็นชิ้นเป็นส่วน แยกออกเป็นชิ้นเป็นส่วนแล้วก็มาประกอบกัน เราเจริญสมถะคือความสงบ เราเจริญปัญญาด้วยการสาธยายแยกร่างกายออกเป็นชิ้นเป็นส่วนแล้วก็เอามาประกอบกันใหม่ เพื่อปฏิบัติเพื่อทำหน้าที่เพื่อทำความเพียร
เราทุกคนต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เราทุกคนอย่ากันไปติดสุขติดขี้เกียจติดขี้คร้าน ต้องพากันปรารภความเพียร มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติในการปรารภความเพียร เรามีตัวมีตนทุกคนก็ไม่อยากปฏิบัติ ไม่พากันปรารภความเพียร การประพฤติการปฏิบัติของเรามันจะไม่ติดต่อต่อเนื่อง
ให้พวกเราพากันรู้พากันเข้าใจ เรามีความสงบมาก ๆ เราก็ต้องเสียสละมาก ๆ เพื่อปรารภความเพียร เพื่อให้ความเพียรได้ติดต่อต่อเนื่อง เราทุกคนจะเอาความชอบความไม่ชอบไม่ได้ ความชอบก็ให้เรารู้จัก ความไม่ชอบก็ให้เราเข้าใจ เราจะได้ก้าวไปเหนือความชอบใจไม่ชอบใจด้วยการประพฤติการปฏิบัติในการทำความเพียร ปัจจุบันเรามีความฟุ้งซ่านมาก เราก็ต้องมีสติสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อมมาก ๆ เรามีสติสัมปชัญญะมากเราก็เสียสละ ให้เรารู้เข้าใจ สติสัมปชัญญะนี้ต้องเดินควบคู่กันไปด้วยความรู้ความเข้าใจ เรามีความสงบก็ต้องเสียสละ เรามีปัญญาเราต้องเสียสละ
ให้เรารู้ให้เข้าใจ การประพฤติการปฏิบัติไม่ใช่เราจะมาเอาอะไร ถ้าเราไปกราบเรียนถามพระพุทธเจ้าว่าพระพุทธเจ้าท่านได้อะไร พระพุทธเจ้าท่านจะตอบว่า พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้อะไร ท่านไม่ได้เสียอะไร เพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมันเป็นความรู้ความเข้าใจ มันเป็นสงบและปัญญาควบคู่กันไป พระรัตนตรัยคือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ถึงอยู่กับเราในปัจจุบันที่เรารู้เข้าใจ เมื่อเรารู้เข้าใจความสงบและปัญญาจะอยู่กับเราทุกหนทุกแห่ง ชั่วฟ้าดินสลาย ด้วยความรู้ความเข้าใจ เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ
หลายคนพากันคิดในใจว่าเราไม่สงบ เรานอนไม่หลับ วิถีแก้ไข ให้พากันเจริญสติสัมปชัญญะ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการเจริญสติสัมปชัญญะ ให้ทุกท่านรู้ ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะเมื่อไหร่ เมื่อนั้นก็ต้องมีความสงบ เพราะความสงบนั้นอยู่ที่มีสติมีสัมปชัญญะ อยู่ที่ความพอดี ความพอเพียงเพียงพอ สติสัมปชัญญะนั้นมันเป็นธรรมเป็นสภาวธรรม ม้นเป็นความสงบและปัญญ มันเป็นความดับทุกข์ไม่มีทุกข์ของเราทุก ๆ คน ด้วยเหตุผลนี้ทุกคนต้องพากันมาเจริญสติเจริญสัมปชัญญะนะ ให้ตั้งใจตั้งเจตนา พากันเจริญสติสัมปชัญญะ ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะ เราก็จะมีความสงบ เราก็จะมีปัญญา มีความสงบและปัญญาควบคู่กันไป ด้วยความรู้ความเข้าใจในหลักการของการประพฤติการปฏิบัติ ธรรมะที่อุปการะมากถึงเป็นสติสัมปชัญญะ ธรรมะที่ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ให้เรารู้ให้เข้าใจได้แก่สติสัมปชัญญะ รูปนั้นก็มีอยู่ เรารู้เข้าใจ เราก็ไม่เข้าไปปรุงแต่งในรูปนั้น ๆ เวทนานั้นก็มีอยู่ เรารู้เข้าใจ เราก็ไม่เข้าไปปรุงแต่งในเวทนานั้น ๆ ทุกอย่างเป็นสิ่งที่มีอยู่ เรารู้เข้าใจ เราก็ไม่เข้าไปปรุงแต่งในสิ่งนั้น ๆ ความสงบและปัญญาถึงเป็นสิ่งที่แก้ปัญหาได้ หยุดปัญหาได้ ด้วยเหตุผลนี้แหละ ทุกคนมีความจำเป็นต้องเจริญสติสัมปชัญญะ มีสติรู้ตัวทั่วพร้อมในการเจริญสติสัมปชัญญะ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการเจริญสติรู้ตัวทั่วพร้อม ให้เรารู้เข้าใจ เราจะไม่ได้ไปหามรรคผลนิพพานอยู่ที่ไหน มรรคผลนิพพานอยู่ที่เรารู้เข้าใจ อยู่ที่เรามีสติสัมปชัญญะ ยกเลิกเรื่องเก่า ๆ รู้จักเรื่องใหม่ ๆ ด้วยความรู้ความเข้าใจที่มีสติมีสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อม การนอนไม่หลับ ใจไม่สงบจะค่อยดีขึ้น
ให้เราพากันไปประพฤติพากันไปปฏิบัติเอาเองนะ เพราะเหตุผลว่า พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ได้มาปฏิบัติให้เรานะ พระอรหันต์ขีณาสพผู้ที่ฟังพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านปฏิบัติตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้เป็นพระอรหันต์ขีณาสพท่านก็ไม่ได้มาปฏิบัติให้เรา
เราทั้งหลายต้องพากันรู้ให้เข้าใจ ให้พากันมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติของเรานะ เราเจริญสติเป็นพื้นฐานปัญญาเป็นพื้นฐาน เราทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ เราก็ได้ทั้งวัตถุที่อำนวยความสะดวกสบาย ได้ทั้งจิตทั้งใจที่จิตใจประกอบด้วยปัญญาสะดวกสบาย สองอย่างนี้ก็เดินไปพร้อม ๆ กัน ได้ทั้งวัตถุได้ทั้งจิตใจไปพร้อม ๆ กัน เราต้องรู้เข้าใจว่าธรรมะที่ยกเลิกตัวตนนั้นเป็นสิ่งที่ทวนกระแส ไม่ไปตามกระแส ยกเลิกกระแส สิ่งต่าง ๆ ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิของเราจะหยุดได้ด้วยมีสติมีสัมปชัญญะ ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะนั้นเราถึงจะหยุดกระแสได้ การสมาทานการตั้งใจเข้าสู่ภาคบำบัด เป็นสิ่งที่สำคัญ เป็นสิ่งที่จำเป็น สติสัมปชัญญะนี้ให้เราเข้าใจนะ ถือว่าเป็นเบรกเป็นเซฟตี้ของเรานะ รถดี ๆ เค้าต้องมีเบรกดี ๆ มีคันเร่งดี ๆ เครื่องบินดี ๆ เค้าต้องมีเบรกดี ๆ มีคันเร่งดี ๆ เรือดี ๆ เค้าต้องมีเบรกดี ๆ มีคันเร่งดี ๆ เค้าต้องมีเบรก ภาคบำบัดถึงเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับเราทุกคน
เราคิดดูดี ๆ นะ อย่างอาหารที่เรารับประทานเข้าไปสู่ร่างกาย อาหารที่เราบริโภคเข้าไปต้องปลอดภัยจากอันตรายด้วยการหุงต้มให้สุก เพราะอาหารหลายอย่างนั้นเป็นอันตราย มีไวรัสต่าง ๆ มีไซยาไนซ์ในอาหาร อาหารนั้นต้องให้สุกเสียก่อน เพื่อความปลอดภัย สุกแล้วก็ต้องให้เย็นพอดี เพื่อเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เพื่อเข้าถึงเศรษฐกิจพอเพียง ด้วยเหตุนี้ผู้มีปัญญามากก็ต้องมีความสงบมาก ผู้มีความสงบมากก็ต้องเสียสละมาก ๆ เพื่อให้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี ศีลสมาธิปัญญาเป็นอุปกรณ์ทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพมารวมลงที่ใจ
ให้เรารู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้พากันเจริญสติสัมปชัญญะ เพื่อสติสัมปชัญญะของเราจะได้ก้าวไปด้วยความสงบและปัญญาที่เป็นปฏิปทา ที่เป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา ที่เป็นบารมีเบื้องต้นท่ามกลางสูงสุด เพื่อเราทุกคนจะได้เข้าถึงทางสายกลางที่ยกเลิกตัวตน เข้าถึงพระนิพพานบ้านของเราด้วยความรู้ความเข้าใจ การปฏิบัติของเราถึงอยู่ที่ปัจจุบัน
เราทั้งหลายต้องพากันมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาเพื่อมีปฏิปทาที่ยกเลิกตัวตน ที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์เป็นผู้ประเสริฐเราจะได้รู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะไม่ได้สร้างปัญหาให้กับตัวเอง ไม่ได้สร้างปัญหาให้กับคนอื่น เข้าใจว่าเราเกิดมาทำไม เราเรียนหนังสือ ทำงานเป็นข้าราชการเป็นนักการเมืองเป็นนักบวช มีความรู้ความเข้าใจอย่างนี้ ความรู้ความเข้าใจถึงไม่ใช่ความจำมันเป็นความรู้ความเข้าใจ มันเป็นความสงบและปัญญานะ จะเป็นปฏิปทาที่ก้าวไปด้วยอริยมรรคมีองค์ ๘ เป็นวาระแห่งชาติของการประพฤติการปฏิบัติ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เราทั้งหลายเอาทรัพยากรที่ประเสริฐที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์เอามาใช้เอามาประพฤติเอามาปฏิบัติ เอามาทำความเพียรเพื่อการประพฤติการปฏิบัติจะได้ติดต่อต่อเนื่อง เพื่อหยุดกระแส ไม่ไปตามกระแส เอามาทวนกระแส ไม่ไปตามกระแส เราต้องเอาศีลมาใช้ให้เต็มที่ เอาสมาธิมาใช้ให้เต็มที่ เอาปัญญามาใช้ให้เต็มที่ เพื่อสติสัมปชัญญะของเราจะได้สมบูรณ์ด้วยความเข้าใจว่าธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ
การบรรยายพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเช้าวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๖๘ ก็เห็นสมควรแก่เวลา ให้ทุกท่านระลึกถึงปัจฉิมโอวาทของพระบรมศาสดาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพานท่านได้ตรัสโอวาทสำคัญครั้งสุดท้ายไว้ว่า
“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”
โอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ
ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ
ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู
ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร
ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละคือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะว่าสิ่งเดิมนั้นคือความว่างเปล่า สิ่งที่สัญจรไปมาเป็นเพียงอาคันตุกะ เราจะได้เอาหลักการอุดการณ์ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นมรรคเป็นอริยมรรคที่ตรงกันข้ามกับโลกธรรม
ให้รู้เข้าใจ เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรม พระนิพพานความรู้ความเข้าใจในเรื่องกระบวนการปฏิจจสมุปบาท กระบวนการของปฏิจจสมุปบาทจะได้จบลงเพียงผัสสะ จะได้เป็นปัญญาเป็นความสงบ จะเป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหตุเหนือผล หยุดความปรุงแต่ง นี้เป็นขบวนการที่ติดต่อต่อเนื่อง เป็นบารมีเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นพระนิพพานบ้านของเรา ไม่ใช่อวิชชาความหลงเป็นบ้านของเรานะ พระนิพพานคือบ้านของเรา ความสงบและปัญญาถึงเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราจะหยุดวัฏฏสงสารได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยพระธรรมด้วยพระวินัย เป็นขบวนการของกระแสในการประพฤติการปฏิบัติที่ได้นำเอาพระธรรมพระวินัยมาประพฤติมาปฏิบัติในปัจจุบันให้ติดต่อต่อเนื่อง
ความสงบและปัญญาที่เป็นพระธรรมพระวินัยถึงหยุดความปรุงแต่งได้ ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิคู่กับการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน พระธรรมพระวินัยที่เป็นความรู้ความเข้าใจ ที่จะหยุดความปรุงแต่งได้ เข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ปัจจุบัน ไม่ต้องรอชาติหน้า พระนิพพานต้องอยู่ที่ปัจจุบันเท่านั้น
--------------------------------------
โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
เมตตาให้ไว้ในเช้าวันศุกร์ที่ ๑๗ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา
