๒๐ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ ๒๐ เดือนตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
เราทุกคนต้องพากันรู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ การประพฤติการปฏิบัติของเรามันอยู่ที่ปัจจุบัน อดีตทั้งหมดก็มารวมอยู่ที่ปัจจุบัน อนาคตที่จะไปข้างหน้าก็มารวมกันอยู่ที่ปัจจุบัน ปัจจุบันเป็นการประพฤติการปฏิบัติของเรา
เราทุกคนให้พากันรู้พากันเข้าใจ ไม่มีใครมาประพฤติมาปฏิบัติให้เรา ตนแลเป็นที่พึ่งของตน ให้เรารู้เข้าใจ เพราะว่าไม่มีใครอยู่เหนือกรรมอยู่เหนือกฎแห่งกรรมไม่เหนือผลของกรรม ความรู้ความเข้าใจเราต้องเอามาใช้เอามาปฏิบัติในปัจจุบัน เราพากันมามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ไม่ต้องพากันมีความทุกข์ทางจิตทางใจให้มันทุกข์แต่ทางร่างกายก็พอ เราไม่ต้องไปทุกข์สองต่อ ทุกข์ทั้งกายทั้งใจเรียกว่าทุกข์สองต่อ ความรู้ความเข้าใจนี้มันจะจบลงที่ผัสสะ ไม่ต้องไปคิด ไม่ต้องไปปรุงแต่งอะไร เราพากันคิดดูดี ๆ เราอยากได้มากมันก็ไม่มากมันก็เท่าเดิมนั่นแหละ เราอยากได้น้อยมันก็ไม่น้อยมันก็เท่าเดิมนั่นแหละ เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายอย่าพากันไปปรุงแต่ง ให้มันทุกข์แต่ทางกายก็พอ อย่าให้จิตใจของเรามีความทุกข์
ชีวิตของเรา เราต้องรู้เข้าใจ เราจะไม่ได้ไปตามสิ่งต่าง ๆ เรารู้สิ่งต่าง ๆ รู้ทั้งเรื่องภายนอกภายใน เรื่องภายในก็ได้แก่ธาตุทั้ง ๔ คือดินน้ำลมไฟ ขันธ์ทั้ง ๕ ก็ได้แก่รูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ อายตนะทั้ง ๖ ก็ได้แก่ ตาหูจมูกลิ้นกายใจ นี้เป็นอายตนะภายใน เป็นกรรมเก่าของเราทุก ๆ คน ที่เรามีสิ่งเหล่านี้ก็เพราะเราไม่รู้ไม่เข้าใจเรื่องกรรม ในเรื่องกฎแห่งกรรม ในเรื่องผลของกรรม
ปัจจุบันเราต้องหยุดกรรมเก่าด้วยความรู้ความเข้าใจ เราไม่ต้องตะเกียกตะกาย กระเสือกกระสน เราต้องหยุดด้วยความรู้ความเข้าใจ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาด้วยการพัฒนา เพื่อเราจะได้หยุด เราจะได้ยกเลิก เราต้องหยุดสัญชาตญาณ หยุดตัวหยุดตน สัญชาตญาณที่มันมาจากกรรมเก่า เราต้องหยุด
เราให้รู้เข้าใจ ให้พากันภาวนาในใจว่า เรามีความแก่เป็นธรรมดา มีความเจ็บเป็นธรรมดา มีความตายเป็นธรรมดา มีความพลัดพรากจากไปเป็นธรรมดา เพราะอันนี้มันเป็นกรรมเป็นเรื่องของกรรมเป็นผลของกรรม เราเป็นหนี้เค้าเราต้องใช้หนี้เค้า เป็นหนี้เค้าไม่ใช้หนี้เค้าได้อย่างไร ต้องรู้เรื่องกรรมเรื่องกฎแห่งกรรม เรื่องหนี้เรื่องสิน เราต้องทำใจให้สงบ เราต้องหยุดความปรุงแต่ง เอาความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติเพื่อหยุดความปรุงแต่ง ไม่ต้องตะเกียกตะกาย กระเสือกกระสน พอกันทีวัฏฏสงสารที่ท่องเที่ยวมานานนับเป็นเวลาหลายล้านชาติหลายล้านปี เราทุกคนต้องรู้เข้าใจ ว่าการหยุดคือการยกเลิก ศีล ๕ คือมาหยุดยกเลิกนะ ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ ที่มาในพระปาฏิโมกข์ เรามามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการหยุด ถ้าเราไม่หยุดใครจะมาหยุดให้เรา นี้เป็นเรื่องเฉพาะตนของเรา เราต้องรู้กรรมรู้เวรรู้ภัย เราทั้งหลายจะไม่ต้องกระเสือกกระสนดิ้นรน สร้างทุกข์สร้างปัญหาให้กับตัวเอง
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงให้เรารู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เรามามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เราใช้หลักการด้วยการเอาศีลเอาสมาธิเอาปัญญาที่ยกเลิกตัวตนนี้แหละ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้พวกเราเอาหลักการง่าย ๆ หลักการง่าย ๆ ก็คืออานาปานสตินี้แหละ ที่เราทุกคนที่มีอายุขัยอยู่ได้ก็เพราะลมหายใจ ลมหายใจนี้เป็นสิ่งที่คอนโทรลชีวิตของเรานะ ถ้าเรามีลมปราณอยู่ ชีวิตของเราถึงอยู่ได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เราเอาหลักการด้วยลมหายใจ เช่นเราหายใจเข้าก็ให้สบาย หายใจออกให้สบาย หายใจเข้าก็มีสติรู้ตัวทั่วพร้อมว่าเราหายใจเข้า หายใจออกก็มีสติรู้ตัวทั่วพร้อมว่าเราหายใจออก เราทุกคนต้องพากันรู้เข้าใจว่าอานาปานสตินี้จะคอนโทรลเรา เราสามารถใช้อานาปนสติได้ทุกอิริยาบถเลย ยืนเดินนั่งนอนใช้อานาปานสตินี้ได้ เหตุผลที่เราใช้อานาปานสตินี้ เพราะอานาปานสติเป็นศูนย์รวมแห่งการควบคุมของเรา เราก้าวไปด้วยธาตุทั้ง ๔ ดินน้ำลมไฟ
เวลาเรานั่งสมาธิอย่างนี้เราก็ใช้ลมหายใจนี้แหละ หายใจเข้าก็ให้หายใจเข้าสบาย หายใจออกก็หายใจออกให้สบาย หายใจเข้าก็ให้มีความสุข หายใจอกก็ให้มีความสุข ทำไมเราหายใจเข้าถึงมีความสุขหายใจออกถึงมีความสุข เพราะเหตุผลว่า ปิติสุขเอกัคคตานี้เป็นธรรมะที่หล่อเลี้ยงให้เราทุกคนไม่เป็นโรคซึมเศร้า ถ้าเรามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในปัจจุบันเราทุกคนก็จะไม่เป็นโรคซึมเศร้า เราพยายามภาวนาให้เกิดความสงบ ให้เกิดสติปัญญา ด้วยการภาวนาในใจว่า หายใจเข้ามันก็ไม่แน่ไม่เที่ยง เดี๋ยวมันก็ออกมา หายใจออกมามันก็ไม่แน่ไม่เที่ยง เดี๋ยวมันก็เข้าใจ ให้เราเข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้มันสัญจรไปมาชั่วครู่ชั่วยามมันเป็นอาคันตุกะที่สัญจรไปมาชั่วครูชั่วยาม
ชีวิตของเรานี้แหละมันเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปไม่มีอะไร นอกจากเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ให้เราเข้าใจ เราทั้งหลายจะไม่ได้เอาธาตุทั้ง ๔ มาเป็นเรา ไม่เอาขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ มาเป็นเรา เราจะได้จบลงด้วยความรู้ความเข้าใจ เราจะได้จบที่ปัจจุบัน เราจะได้เข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ปัจจุบัน เราต้องรู้เข้าใจ ศีลสมาธิปัญญา เป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรมที่พวกเราจะได้ประพฤติปฏิบัติเพื่อจะหยุดสัญชาตญาณ หยุดตัวหยุดตน เราทุกคนต้องหยุดกรรมหยุดเวรหยุดภัยหยุดอันตราย ให้เรารู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ เราทุกคนต้องหยุดสัญชาตญาณแห่งการเวียนว่ายตายเกิดของตัวเองให้ได้ เรามีกายมันก็ต้องเหนื่อยทุกคน เรามีกายเราก็ต้องหิวกระหาย เราต้องรู้เข้าใจ เรื่องกรรมเรื่องกฎแห่งกรรมผลของกรรม เราต้องหยุดตัวเองให้ได้ เราให้รู้เข้าใจ เห็นภัยในอันตรายต่าง ๆ เห็นภัยในการเวียนว่ายตายเกิดของเรา ถึงสิ่งเหล่านี้มันจะเอร็ดอร่อยมันจะแซบมันจะลำจะนัวจะหรอยก็ช่างหัวเผือกช่างหัวมัน ให้เรารู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้หยุดสัญชาตญาณด้วยความรู้ความเข้าใจ
เราเอากายวาจากิริยามารยาทอาชีพนี้มาประพฤติมาปฏิบัติ เราอย่าปล่อยให้มันเป็นไปโดยธรรมชาติ เพราะเวลานี้สำคัญ อย่าไปปล่อยเป็นไปโดยธรรมชาติ เราต้องยกทุกอย่างขึ้นสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ทุกคนอย่าไปขี้เกียจขี้คร้าน ให้เรารู้เข้าใจ ตัวตนมันขี้เกียจขี้คร้าน อย่างเราทุกคนเกิดมาต้องรู้เข้าใจ เราต้องยกเลิกตัว ยกเลิกความขี้เกียจขี้คร้าน
อย่างเราพากันมาบวชใหม่ ๆ ก็ขยันหมั่นเพียรดี เห็นภัยในวัฏฏสงสาร บวชมานานแล้วพากันขี้เกียจขี้คร้าน พระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่มีทั้งหมดแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ ให้เรารู้เข้าใจ เป็นพระธรรมพระวินัย ยกเลิกตัวตน ให้ทุกคนไม่เอาความรู้สึกนำชีวิตไม่เอาสัญชาตญาณที่เป็นตัวตนนำชีวิตให้ทุกคนยกเลิกความขี้เกียจขี้คร้าน ปรับเข้าหาพระธรรมพระวินัย มาเสียสละ เพื่อเอาทางสายกลาง เอาวัตถุกับจิตใจไปพร้อม ๆ กัน ยกเลิกความชอบความชังเพื่อหยุดสัญชาตญาณ
ให้เรารู้ให้เข้าใจ พระธรรมพระวินัยที่เป็นทาน ศีล สมาธิ ภาวนา เป็นหลักการอุดมการณ์เพื่อให้เรายกเลิกตัวตน ทุกคนถึงจะมาเอาความรู้สึกนำชีวิตไม่ได้ เอาความขี้เกียจขี้คร้านไม่ได้ ทุกคนต้องยกเลิกโลกส่วนตัว โลกส่วนตัวคือโลกตัวตน ต้องให้เราเข้าสู่ความว่างจากตัวจากตน ธรรมะเป็นสิ่งที่ทวนโลกทวนกระแส เป็นความสงบและปัญญา เป็นอนัตตายกเลิกตัวตน ให้เราทุกคนเข้าใจ เข้าใจยังไม่พอ ต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาเข้าสู่การปฏิบัติและภาคบำบัด เราคิดดูดี ๆ นะ เราติดอะไรต่าง ๆ มันต้องเข้าสู่ภาคบำบัด ไม่มีใครในโลกนี้ยกเลิกได้โดยธรรมชาติ มันต้องเข้าสู่ภาคบำบัด มันต้องทวนกระแส องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านถึงบอกอริยสัจสี่ให้แก่หมู่มวลมนุษย์ หมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายต้องพากันรู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เพื่อหยุดสัญชาตญาณ ต้องทวนกระแส การทวนกระแสก็คือการเจริญสติสัมปชัญญะนี้แหละ สติคือความสงบ สัมปชัญญะคือปัญญา เรามีปิติมีความสุขในการเจริญสติสัมปชัญญะ
เรามองดูแง่มุมในการปฏิบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านคิดในแง่มุมทางเรื่องจิตเรื่องใจเรื่องวัตถุมันต้องไปพร้อม ๆ กัน ท่านจึงได้เสวยข้าวมัทธุปายาสของนางสุชาดา
นางสุชาดาอุบาสิกาคนแรกในพระพุทธศาสนา
นางสุชาดา สตรีผู้ถวายข้าวมธุปายาส อาหารมื้อแรกแด่พระพุทธเจ้า โดยที่นางเองก็ไม่รู้ว่าบุรุษผู้นี้คือพระพุทธเจ้า นางเป็นอุบาสิกาที่พระพุทธเจ้าทรงยกย่องให้เป็นเอตทัคคะ ผู้เป็นเลิศในการเข้าถึงสรณะเป็นคนแรก(ที่พึ่ง) ก่อนอุบาสิกาคนอื่น
นางสุชาดา ภรรยาของคฤหบดีในเมืองราชคฤห์ ปรารถนาอยากได้บุตรชาย เมื่อนางไปอาบน้ำในแม่น้ำเนรัญชราได้เดินผ่านต้นศรีมหาโพธิพฤกษ์ นางจึงเข้าไปกราบที่โคนต้นไม้ แล้วพูดว่า “ข้าแด่เทพเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์มีมหิทธิฤทธิ์ ผู้สิงสถิตอยู่ ณ ต้นไม้นี้ ดิฉันขอความกรุณาจากท่านช่วยดลบันดาลให้มีบุตรสักคนเถิด เพื่อจะให้เขาสืบสกุลต่อไป ข้าแต่เทวะหากท่านให้ดิฉันสมปรารถนาแล้ว ดิฉันจะนำเอาข้าวมธุปายาสมาแก้บนสังเวยท่านเป็นสัจกิริยา” เมื่อนางอธิษฐานเสร็จ กลับไปอยู่กับสามีไม่นานก็ตั้งครรภ์
ขณะนั้นพระพุทธเจ้ามีดำริว่าจะบำเพ็ญเพื่อการตรัสรู้ ณ ต้นโพธิพฤกษ์และประทับนั่งโคนต้นไม้หันพระพักตร์สู่ทิศตะวันออก นางสุชาดามาถึงได้พบพระพุทธเจ้าครั้งแรกเข้าใจว่าเป็นรุกขเทพเจ้าจำแลงเพศ เกิดความเลื่อมใสจึงน้อมถาดข้าวมธุปายาสเข้าไปถวายแก้สัจกิริยาท่านได้บนบานไว้ พระพุทธเจ้าจึงตรัสขอบคุณต่อนาง และบอกแก่นางว่าพระองค์ท่านมิได้เป็นเทพยดา แต่เป็นมนุษย์เป็นกษัตริย์แห่งเมืองกบิลพัสดุ์ออกผนวช เพื่อแสวงหาสัจธรรม
หลังจากนั้นพระพุทธเจ้าทรงนำเอาข้าวจากถาดมาทรงทำเป็นก้อนๆ นับจำนวนได้ 49 ก้อน ให้เป็นเครื่องรำลึกถึงวันที่ทรงบำเพ็ญทุกกิริยา เสวยข้าวมธุปายาส 49 ก้อนนั้นหมดแล้ว ทรงนำถาดไปทรงอธิฐานในแม่น้ำเนรัญชรา และทรงอธิฐานว่าถ้าหากพระองค์จะได้ตรัสรู้ก็ขอให้ถาดทองนั้นลอยทวนน้ำขึ้นไป
เมื่อพระองค์ทรงวางถาดลงในน้ำ ก็ปรากฏว่า ถาดทองลอยทวนน้ำขึ้นเหนือน้ำดังคำอธิฐาน ซึ่งพระองค์ทรงถือว่าภัตตาหารมื้อนั้นได้มีส่วนทำให้พระองค์ตรัสรู้อริยสัจ 4 บรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ
เมื่อพระผู้มีพระภาคแรกตรัสรู้ ทรงเสวยวิมุตติสุข ณ ควงไม้โพธิพฤกษ์ตลอด ๗ วัน และทรงมนสิการปฏิจจสมุปบาทเป็นอนุโลม และปฏิโลม ตลอดปฐมยาม มัชฌิมยาม และปัจฉิมยามแห่งราตรี
วิมุตติสุข : สุขเกิดแต่ความหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะและปวงทุกข์; พระพุทธเจ้าภายหลังตรัสรู้แล้วใหม่ๆ ได้เสวยวิมุตติสุข 7 สัปดาห์ตามลำดับคือ
สัปดาห์ที่ 1 ประทับภายใต้ร่มไม้มหาโพธิ์ ทรงพิจารณาปฏิจจสมุปบาท
สัปดาห์ที่ 2 เสด็จไปประทับยืนด้านอีสาน ทรงจ้องดูต้นมหาโพธิ์ไม่กระพริบพระเนตร ที่นั้นเรียกว่า อนิมิสเจดีย์
สัปดาห์ที่ 3 ทรงนิรมิตที่จงกรมขึ้นระหว่างกลางแห่งพระมหาโพธิ์และอนิมิสเจดีย์ เสด็จจงกรมตลอด 7 วัน ที่นั้นเรียก รัตนจงกรมเจดีย์
สัปดาห์ที่ 4 ประทับนั่งขัดบัลลังก์พิจารณาพระอภิธรรมปิฎก ณ เรือนแก้วที่เทวดานิรมิตในทิศพายัพแห่งต้นมหาโพธิ์ ที่นั้นเรียก รัตนฆรเจดีย์
สัปดาห์ที่ 5 ประทับใต้ร่มไม้ไทร ชื่ออชปาลนิโครธ ทรงตอบปัญหาของพราหมณ์หุหุกชาติ แสดงสมณะและพราหมณ์ที่แท้ พร้อมทั้งธรรมที่ทำให้เป็นสมณะและเป็นพราหมณ์ พระอรรถกถาจารย์กล่าวว่าธิดามาร 3 คนได้มาประโลมพระองค์ ณ ที่นี้
สัปดาห์ที่ 6 ประทับใต้ต้นไม้จิก ชื่อมุจจลินท์ มีฝนตก มุจจลินทนาคราชมาวงขนดแผ่พังพานปกป้องพระองค์ ทรงเปล่งอุทานแสดงความสุขที่แท้ อันเกิดจากการไม่เบียดเบียนกัน เป็นต้น
สัปดาห์ที่ 7 ประทับใต้ต้นไม้เกดชื่อ ราชายตนะ พาณิช 2 คน คือ ตปุสสะและภัลลิกะ เข้ามาถวายสัตตุผง สัตตุก้อน และได้แสดงตนเป็นปฐมอุบาสกถึง 2 สรณะ เมื่อสิ้นสัปดาห์ที่เจ็ดที่นี้แล้ว เสด็จกลับไปประทับใต้ต้นอชปาลนิโครธอีก ทรงดำริถึงความลึกซึ้งแห่งธรรมที่ตรัสรู้ คือปฏิจจสมุปบาทและนิพพาน แล้วน้อมพระทัยที่จะไม่แสดงธรรม
มีพระปริวิตกแห่งจิตว่าธรรมที่ได้บรรลุแล้ว เป็นคุณอันลึก เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก ทรงเห็นว่ายังไม่ควรจะประกาศธรรม พระทัยก็น้อมไปเพื่อความขวนขวายน้อย ไม่น้อมไปเพื่อทรงแสดงธรรม
ท้าวสหัมบดีพรหม ได้มาทูลขอให้พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรม พระผู้มีพระภาคทรงอาศัยความกรุณาในหมู่สัตว์ จึงทรงตรวจดูด้วยพุทธจักษุ ทรงเห็นสัตว์ทั้งหลาย ทั้งที่มีธุลีคือกิเลสในจักษุน้อยและมาก ทั้งที่มีอินทรีย์แก่กล้าและอ่อน ทั้งที่มีอาการดีและทราม ทั้งที่จะสอนให้รู้ได้ง่ายและยาก ทั้งที่มีปกติเห็นปรโลกและโทษโดยความเป็นภัย เปรียบเหมือนดอกบัว ที่เกิด เจริญ งอกงามแล้วในน้ำ บางเหล่ายังจมในน้ำ อันน้ำเลี้ยงไว้ บางเหล่าตั้งอยู่เสมอน้ำ บางเหล่าตั้งอยู่พ้นน้ำ อันน้ำไม่ติดแล้ว ดังนั้น พระผู้มีพระภาคจึงทรงประทานโอกาสเพื่อจะแสดงธรรม
แล้วทรงมีพุทธปริวิตกว่าควรจะแสดงธรรมแก่ใครเป็นคนแรก เมื่อทรงทราบว่า อาฬารดาบสกาลามโคตรและอุทกดาบสเสียชีวิตแล้ว
จึงระลึกถึงนักบวชกลุ่มปัญจวัคคีย์ พระองค์ได้เสด็จพระดำเนินไปที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันที่พำนักอาศัยของเหล่าปัญจวัคคีย์ และทรงแสดงธรรมะเป็นครั้งแรกนับแต่วันที่พระองค์ได้ตรัสรู้เป็นพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เรียกว่า ปฐมเทศนา หลักธรรมที่พระองค์ทรงแสดงในครั้งแรกนี้ชื่อว่า ธัมมจักกัปปวัตนสูตร
๑) เหตุผลที่พระพุทธเจ้าทรงเลือกแสดงปฐมเทศนาแก่ปัญจวัคคีย์ มีดังต่อไปนี้
(๑) เพื่อตอบปัญหาความเข้าใจผิดของปัญจวัคคีย์ ภายหลังจากการบำเพ็ยทุกรกิริยาพระสิทธัตถะโพธิสัตว์ทรงเห็นว่าไม่ใช่ทางแห่งความพ้นทุกข์จึงทรงเลิกบำเพ็ญทุกรกิริยาแล้วหันมาเสวยพระกระยาหาร ในมุมมองของปัญจวัคคีย์เข้าใจผิดว่าพระองค์ทรงละความเพียรพยายามเพื่อการตรัสรู้กาลายเป็นคน “เห็นแก่กิน” จึงพากันแยกทางหนีจากพระองค์ไป ดังนั้นเพื่อจะตอบปัญหาที่ค้างคาใจของปัญจวัคคีย์ และประสงค์ให้รู้ว่า “ทุกรกิริยามิใช่ทางแห่งการบรรลุธรรม แต่อริยมรรคมีองค์แปด (มัชฌิมาปฏิปทา)เท่านั้นที่จะนำไปสู่ความพ้นทุกข์” พระองค์จึงทรงมุ่งหวังแสดงปฐมเทศนาแก่ปัญจวัคคีย์ก่อนใครอื่นเป็นประการสำคัญ
(๒) ทรงประสงค์ให้ปัญจวัคคีย์เป็นสักขีพยานการตรัสรู้ เป็นที่ทราบกันดีว่า ปัญจวัคคีย์คือคณะบุคคลกลุ่มแรกที่เชื่อมั่นว่าพระองค์จะตรัสรู้เป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงออกบวชตาม และรู้เรื่องราวการบำเพ็ญธรรมเพื่อการตรัสรู้ของพระองค์เป็นอย่างดี ดังนั้นปัญจวัคคีย์จึงเป็นกลุ่มบุคคลที่เหมาะสมอย่างยิ่งในการเป็นสักขีพยาน การตรัสรู้ของพระองค์
๒) ใจความสำคัญของปฐมเทศนา แบ่งออกเป็น ๓ ตอนดังนี้
ใจความตอนแรก ทรงแสดงถึงทางสุดโต่งหรือสุดขั้ว ๒ สาย คือ กามสุขัลลิกานุโยค ซึ่งเป็นการใช้ชีวิตหมกมุ่นอยู่ในกามสุขอันเป็นทางหย่อนเกินไป และอัตตกิลมถานุโยค ซึ่งเป้นการทรมานตนด้วยวิธีการต่างๆ อันเป็นทางตึงเกินไป จึงทรงแนะนำทางสายกลาง เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา หรือ มรรคมีองค์แปด หรือ ไตรสิกขา เพื่อเป็นทางเลือกปฏิบัติที่ถูกต้องนำไปสู่ความสงบและการตรัสรู้
ใจความตอนกลาง ทรงแสดงถึง อริยสัจ คือ ความจริงที่ประเสริฐ ๔ ประการที่พระองค์ได้ตรัสรู้ได้แก่ ความจริงว่า ด้วยความทุกข์ (ทุกข์) ความจริงว่าด้วยเหตุให้เกิดทุกข์ ((สมุทัย) ความจริงว่าด้วยการดับทุกข์ (นิโรธ) และความจริงว่าด้วยข้อปฏิบัติที่นำไปสู่การดับทุกข์ (มรรค) อันเป็นวิธีการแก้ทุกข์หรือปัญหาที่ถูกต้อง โดยทรงอธิบายถึงกระบวนการตรัสรู้อริยสัจจว่าพระองค์ได้ทรงตรัสรู้สิ่งเหล่านี้ตามขั้นตอนอย่างไร
ใจความตอนสุดท้าย ทรงแสดงว่าพระองค์ได้ตรัสรู้แล้ว โดยทรงรู้แจ้งเห็นจริงในอริยสัจทั้ง ๔ เมื่อจบการแสดงปฐมเทศนา โกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรม กล่าวคือ เกิดความรู้ความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่า “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นย่อมมีการดับสลายไปเป็นธรรมดา” และได้ทูลขอบวช พระพุทธเจ้าทรงประทานการบวชให้ด้วยการอุปสมบทที่เรียกว่า เอหิภิกขุอุปสัมปทา ท่านอัญญาโกณฑัญญะจึงเป็นพระสาวกและเป็นพระสงฆ์รูปแรกในพระพุทธศาสนา
มนุษย์ของเรา เราต้องพากันรู้เข้าใจ เมื่อรู้เข้าใจแล้วจะได้หยุดสัญชาตญาณที่มันเป็นนิติบุคคลตัวตน มนุษย์เราทุกคนอยู่ในโลกนี้ มนุษย์ในโลกนี้มีอยู่แปดพันกว่าล้านคนใช้หลักการเดียวกันนี้แหละ เพื่อความสงบและปัญญาในการเจริญสติสัมปชัญญะ เน้นที่ปัจจุบัน เพราะอดีตก็มารวมกันที่ปัจจุบัน อนาคตที่จะไปข้างหน้าก็อยู่ที่ปัจจุบัน ปัจจุบันนี้เป็นวาระแห่งชาติในการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายถึงจะได้เข้าถึงความเต็มเต็มเต็ม เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี เข้าถึงเศรษฐกิจพอเพียง ดังที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ ท่านได้ตรัสแก่พสกนิกรชาวไทยและชาวโลกว่า มนุษย์เราต้องรู้เข้าใจ จะได้เดินทางสายกลางระหว่างจิตใจกับวัตถุ เพราะการดับทุกข์ของเราทุกคนมันดับทุกข์อย่างนี้
ท่านต้องยกเลิกความไม่ถูกต้อง เอาความถูกต้อง เพื่อเอาความสงบและปัญญาที่เป็นเอกัคคตาที่มีปิติมีความสุขในปัจจุบัน ถ้ามันผ่านไปแล้วก็พากันปล่อยกันวางเพราะมันผ่านไปแล้วมันเกษียณแล้ว มันเอากลับคืนมาไม่ได้ ปัจจุบันถึงเป็นวาระสำคัญ เราต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน ให้เรารู้ว่าธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ ต้องมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ ให้ถึงความไม่มีทุกข์ในปัจจุบัน
เราพากันนอนพากันพักผ่อนให้เพียงพอ การนอนการพักผ่อนของเรา ๖ ชั่วโมงถึง ๘ ชั่วโมงสำหรับผู้ที่นอนยาก ผู้ที่กินง่ายนอนง่ายก็ ๕ ชั่วโมง ๖ ชั่วโมงก็พอเพียงเพียงพอ มนุษย์เราต้องเอาความดับทุกข์อยู่ที่เจริญสติสัมปชัญญะ อยู่ที่ยกเลิกตัวตนเพื่อเข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานอยู่เบื้องหน้าโน้นเทอญ คำว่าเบื้องหน้าโน้นเทอญฟังแล้วมันอยู่ไกลเหลือเกิน พระนิพพานต้องอยู่ที่ปัจจุบัน
ให้เรารู้เข้าใจ เพราะสิ่งต่าง ๆ นั้นให้เรารู้เข้าใจมันเป็นวาระวาระ วาระของกายวาจากิริยามารยาทอาชีพมันเป็นวาระ เรายกเลิกตัวตนด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา ชีวิตของเราก็จะก้าวไปด้วยปฏิปทาที่มีแต่ความสงบมีแต่ปัญญา เป็นปฏิปทาที่ดีที่ประกอบด้วยปัญญา ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบอกหมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายว่า เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด มาเอาความสงบและปัญญานำชีวิต ยกเลิกตัวตน
เราทั้งหลายพากันรู้เข้าใจ พากันมาเสียสละ นี้มันเป็นศิลปะชีวิตที่ประเสริฐ การเสียสละเป็นการหยุดเป็นการยกเลิกในการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสาร มีความตั้งใจมั่นที่เกิดจากปัญญาสัมมาทิฏฐิ เป็นสัมมาสมาธิทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพ ยกเลิกตัวตน เป็นปัญญารู้อริยสัจสี่ รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เราทั้งหลายจะบริสุทธิได้ด้วยกายวาจากิริยามารยาทอาชีพ เพราะปัญญาความรู้ความเข้าใจ ความรู้ความเข้าใจจะเอามาใช้ในปัจจุบัน เพื่อให้เกิดความสงบเกิดปัญญา เพื่อเป็นปฏิปทาที่เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป ผู้มีปัญญามาก ๆ ก็ต้องมีความสงบมาก ๆ ผู้มีความสงบมาก ๆ ก็ต้องเสียสละมาก ๆ เพื่อเป็นทางสายกลางระหว่างเรื่องจิตเรื่องใจกับเรื่องวัตถุด้วยการพัฒนาวิทยาศาสตร์ พัฒนาใจไปพร้อม ๆ กันเพื่อให้เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เพื่อให้เกิดความสมดุล เกิดความพอเพียงเพียงพอ เราต้องรู้ต้องเข้าใจในธรรมในสภาวธรรม สิ่งที่สัญจรไปมาทั้งธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ เป็นเพียงอาคันตุกะที่สัญจรไปมาชั่วครู่ชั่วยาม จิตเดิมแท้สิ่งเดิมแท้นั้นเป็นประภัสสร
เราต้องรู้เข้าใจ ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจมันจะเกิดความเสียหาย มันก็จะพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกันกับตึก สตง.สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินในการบริหารประเทศไทย ตึกไหน ๆ มีมากมายหลายสิบตึกหลายร้อยตึกก็ไม่เห็นพัง พังตึกเดียวพังตั้งแต่ตึก สตง.
เราต้องรู้เข้าใจ เราจะได้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เราต้องเอาตัวรอดในทางที่รอด ด้วยการรู้อริยสัจสี่ รู้ความจริง รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์
เราเป็นมนุษย์คือบุคคลที่ประเสริฐ เราต้องรู้เข้าใจในเรื่องอริยสัจสี่ จะได้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เราทั้งหลายจะไม่ได้ย่ำต๊อกแต่เพียงคน คำว่าคนหมายถึงตัวหมายถึงตนที่ไม่ได้เอาธรรมนำชีวิต เอาความผิดนำชีวิต เราต้องรู้เข้าใจในธรรมในสภาวเรา เราจะได้เป็นมนุษย์ผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เราพัฒนาวัตถุพัฒนาวิทยาศาสตร์เราจะไม่ได้ไปติดอยู่ในความสุขความสะดวกความสบาย เราจะก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ
เป็นมนุษย์เป็นเทวดาเป็นพระพรหมผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร ต้องรู้เข้าใจ ต้องเอาทั้งวิทยาศาสตร์ เอาทั้งใจไปพร้อม ๆ กัน ต้องเดินควบคู่กันไป ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่า สมาธิกับปัญญาต้องก้าวไปเสมอกัน ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน เพื่อเป็นทั้งสมถะเป็นทั้งวิปัสสนา
เทวดาที่ได้พัฒนาวิทยาศาสตร์ ได้รับความสะดวกสบายก็ต้องรู้เข้าใจ ต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสาร เรามีปัญญามาก ๆ เราก็ต้องมีความสงบมาก ๆ เรามีความสงบมาก ๆ ก็ต้องเสียสละมาก ๆ เพื่อให้สมาธิกับปัญญามันจะได้เป็นปฏิปทาก้าวไปพร้อมกัน ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน ผู้ที่เจริญสติสัมปชัญญะก็ต้องรู้เข้าใจ ต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสาร เพื่อเอาสติกับสัมปชัญญะมาประพฤติปฏิบัติ เพื่อเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เป็นประโยชน์ทั้งปัจจุบันทั้งอนาคต นี้คือหลักการอุดมการณ์ในการประพฤติการปฏิบัติของเรา
เราทั้งหลายมาระลึกถึงปัจฉิมโอวาท พระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพานท่านได้ตรัสโอวาทสำคัญครั้งสุดท้ายไว้ว่า
สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้น มีความเสื่อมสิ้นสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด ปัจจุบันถือว่าเป็นวาระสำคัญของเราทุก ๆ คนเพื่อประโยชน์ของเราเองและประโยชน์ของผู้อื่นถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท
โอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ
ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ
ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู
ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร
ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละคือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะว่าสิ่งเดิมนั้นคือความว่างเปล่า สิ่งที่สัญจรไปมาเป็นเพียงอาคันตุกะ เราจะได้เอาหลักการอุดการณ์ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นมรรคเป็นอริยมรรคที่ตรงกันข้ามกับโลกธรรม ให้รู้เข้าใจ เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรม พระนิพพานความรู้ความเข้าใจในเรื่องกระบวนการปฏิจจสมุปบาท กระบวนการของปฏิจจสมุปบาทจะได้จบลงเพียงผัสสะ จะได้เป็นปัญญาเป็นความสงบ จะเป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหตุเหนือผล หยุดความปรุงแต่ง นี้เป็นขบวนการที่ติดต่อต่อเนื่อง เป็นบารมีเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นพระนิพพานบ้านของเรา ไม่ใช่อวิชชาความหลงเป็นบ้านของเรานะ พระนิพพานคือบ้านของเรา ความสงบและปัญญาถึงเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราจะหยุดวัฏฏสงสารได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยพระธรรมด้วยพระวินัย เป็นขบวนการของกระแสในการประพฤติการปฏิบัติที่ได้นำเอาพระธรรมพระวินัยมาประพฤติมาปฏิบัติในปัจจุบันให้ติดต่อต่อเนื่อง
ความสงบและปัญญาที่เป็นพระธรรมพระวินัยถึงหยุดความปรุงแต่งได้ ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิคู่กับการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน พระธรรมพระวินัยที่เป็นความรู้ความเข้าใจ ที่จะหยุดความปรุงแต่งได้ เข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ปัจจุบัน ไม่ต้องรอชาติหน้า พระนิพพานต้องอยู่ที่ปัจจุบันเท่านั้น
--------------------------------------
โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
เมตตาให้ไว้ในเช้าวันที่ ๒๐ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา