๒๕ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
วันนี้เป็นวันที่ ๒๕ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ฮิจเราะห์ศักราช ๑๔๔๖
วันนี้มูลนิธิกาญจนบารมี ได้เชิญชวนประชาชนทุก ๆ คนให้มาสมัครสมานสามัคคี ทอดผ้าป่า ณ ท้องสนามหลวงแห่งนี้ เพื่อทดแทนคุณแผ่นดิน บูชาพระศาสนา เทิดพระเกียรติพระมหากษัตริย์
โดยได้รับความเมตตาจาก เจ้าประคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (สุชิน อคฺคชิโน) กรรมการมหาเถรสมาคม วัดราชพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร มาเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และได้รับเกียรติจากพลอากาศเอกชลิต พุกผาสุข องคมนตรี เป็นประธานฝ่ายฆราวาส
ความเป็นมาของมูลนิธิกาญจนบารมี
มูลนิธิกาญจนบารมีได้จัดตั้งเมื่อปี พุทธศักราช ๒๕๔๐ ซึ่งในปี พ.ศ. ๒๕๓๕ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๑๐ เมื่อครั้งดำรงพระราชอิสริยยศ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรผู้ป่วยโรคมะเร็ง ที่สถานพักฟื้นผู้ป่วยโรคมะเร็งธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี พระองค์ทรงทราบถึงปัญหาความเดือดร้อนของราษฎรและผู้ป่วยมะเร็งที่ต้องรอรับการรักษา ผู้ที่ยังไม่ป่วยเป็นมะเร็งต้องได้รับการตรวจคัดกรอง เพราะโรคมะเร็งเป็นภัยเงียบ ประชาชนชาวไทยสมควรที่จะได้รับการตรวจสุขภาพทุกคน เพื่อตรวจคัดกรองว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะป่วยเป็นโรคมะเร็งหรือไม่ จึงทรงมีพระราชดำริให้จัดสร้างศูนย์บำบัดรักษาโรคมะเร็งขึ้น เพื่อรองรับการรักษาผู้ป่วยในจังหวัดปทุมธานี และจังหวัดใกล้เคียง ได้แก่ สระบุรี นครนายก ปราจีนบุรี และสระแก้ว เป็นต้น
พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงรับเป็นองค์ประธานในการระดมทุนเพื่อจัดสร้างศูนย์บำบัดรักษาโรคมะเร็ง ภายใต้ชื่อ “โครงการกาญจนบารมีเฉลิมฉลองพระราชพิธีกาญจนาภิเษก ปีพุทธศักราช ๒๕๓๙” โดยมีส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ ข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน ร่วมทูลเกล้าถวายเงินในการสร้างศูนย์ดังกล่าว เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลและเฉลิมพระเกียรติแด่ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องในวโรกาสมหามงคลเถลิงถวัลย์ราชสมบัติเป็นปีที่ ๕๐ ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ จึงได้ขอพระราชทานพระราชานุญาตใช้พระนามของพระองค์เป็นชื่อศูนย์บำบัดรักษาโรคมะเร็งว่า “ศูนย์มหาวชิราลงกรณ ธัญบุรี” ภายหลัง จึงเปลี่ยนชื่อเป็น “โรงพยาบาลมหาวชิราลงกรณธัญบุรี” และเสด็จวางศิลาฤกษ์อาคารวิปัสสนา ฟังธรรม พร้อม พระราชทานชื่อใหม่ว่า “ศาลาธรรมานุภาพ” เมื่อวันที่ ๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๙ และทรงพระราชทานเงินในการก่อสร้างอาคารต่างๆ ของโครงการกาญจนบารมี เป็นเงิน ๔๖๒ ล้านบาท โดยการสนับสนุนของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้บริการบำบัดรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งแบบต่อเนื่อง ด้วยวิธีรังสีรักษา และเคมีบำบัด ให้การฟื้นฟูผู้ป่วยโรคมะเร็ง ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ และเป็นสถานที่พักสำหรับผู้ป่วยที่มารอตรวจวินิจฉัยและรอรับการรักษา รวมทั้งการดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะท้ายที่ได้รับการรักษาแบบประคับประคองเพื่อให้โรงพยาบาลมหาวชิราลงกรณธัญบุรี ดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง มีประสิทธิภาพ และบรรลุวัตถุประสงค์ ตามเป้าหมายทุกประการ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้คณะกรรมการของโครงการกาญจนบารมี ดำเนินการจัดตั้ง “มูลนิธิกาญจนบารมี” ขึ้นโดยได้รับการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล เมื่อวันที่ ๓๐ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๐เป็นเวลายาวนานผ่านมาแล้ว ๒๘ ปี
มูลนิธิกาญจนบารมี เป็นมูลนิธิของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ท่านทรงเมตตาให้ เพื่อให้เป็นทางออกอีกทางหนึ่ง การบริหารประเทศส่วนหนึ่งได้มาจากภาษีอากรของประชาชน ทุกคนที่อยู่ในประเทศ หรือว่าผู้คนที่เข้าในประเทศที่เสียภาษีอากร อีกส่วนหนึ่งมาจากความสมัครสมานสามัคคีที่ประชาชนสร้างความดีสร้างบารมีเสียสละ
มะเร็งเต้านมเป็นเร็งที่พบมากที่สุดในสตรีทั่วโลก จากข้อมูลองค์การอนามัยโลก พบว่าในปี ๒๕๖๓ ผู้ป่วยเป็นมะเร็งเต้านมรายใหม่ทั่วโลก ๒.๓ ล้านคนต่อปี เสียชีวิต ๖๘๕,๐๐๐ คน และมีผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งเต้านมมีชีวิตอยู่ถึง ๗.๘ ล้านคน
มะเร็งเต้านมก็เป็นมะเร็งที่พบมากที่สุดในสตรีไทยสตรีต่างประเทศ โดยพบผู้ป่วยมะเร็งเต้านมรายใหม่ ๒๒,๑๕๘ คนต่อปี เสียชีวิต ๘,๒๖๖ คนต่อปี หรือทุก ๑ ชั่วโมง จะมีผู้เสียชีวิตจากมะเร็งเต้านม ๑ ราย
การป้องกันที่ดีที่สุดคือการตรวจพบตั้งแต่ระยะแรก ด้วยการตรวจเต้านมตัวเอง จะสามารถพบก้อนขนาด ๒ เซนติเมตรขึ้นไป จะมีโอกาสรักษาหายขาดได้ร้อยละ ๗๐ หากพบขนาด ๕ เซนติเมตรขึ้นไป มีโอกาสรักษาหายร้อยละ ๓๐ แต่มีอีกวิธีคือ การตรวจด้วยเครื่องเอกซเรย์เต้านมแมมโมแกรม ซึ่งสามารถค้นพบก้อนตั้งแต่ขนาด ๒-๓ มิลลิเมตร ก็สามารถจะรักษาให้หายขาดได้เกือบทั้งหมด แต่การเอกซเรย์เต้านมด้วยเครื่องแมมโมแกรมไม่อยู่ในชุดสิทธิประโยชน์หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ จึงต้องเสียค่าใช้จ่ายเอง ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ไม่สามารถจะเข้าถึงการบริการได้
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มูลนิธิกาญจนบารมี จัดทำโครงการคัดกรองมะเร็งเต้านม ด้วยเครื่องเอกซเรย์เต้านมเคลื่อนที่ ที่ใช้รถบัสคันใหญ่ จำนวนไม่น้อยกว่า ๕ คันต่อหน่วย ไปตรวจคัดกรองทุก ๆ อำเภอ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชน ในการคัดกรอง เพื่อป้องกันโรคมะเร็งเต้านมและมะเร็งนรีเวช ที่อาจจะเกิดกับทุก ๆ สุภาพสตรีได้ ในสตรีกลุ่มเสี่ยงและด้อยโอกาสทั่วทุกอำเภอ ทุกภูมิภาคของประเทศไทย ซึ่งไม่มีโอกาสได้ไปพบแพทย์พบหมอ ทางมูลนิธิกาญจนบารมีจึงได้จัดแพทย์และหมอ ไปตรวจคัดกรองประชาชนในทุก ๆ อำเภอของประเทศไทย ได้ทำงานติดต่อต่อเนื่องมาตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๕๕๗ จนถึงปัจจุบัน ได้ตรวจคัดกรองผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งไปแล้วประมาณหนึ่งล้านคน พบที่เป็นมะเร็งต้านมในระยะเริ่มแรกมากกว่า ๖,๙๐๐ คน ทั้งหมดได้รับการส่งต่อไปรักษาจนหายขาดเกือบทั้งสิ้น
ปัจจุบันมูลนิธิกาญจนบารมีมีหน่วยคัดกรองมะเร็งเต้านมจำนวน ๔ หน่วย ๑ หน่วยประจำ ๑ ภาค คือ เหนือ กลาง ตะวันออกเฉียงเหลือและใต้ โดยทั้ง ๔ หน่วยให้บริการพร้อมกันวันละ ๑ อำเภอทุกวันเวลาราชการ
เนื่องจากศูนย์โรคมะเร็งอยู่ส่วนกลาง ในกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และจังหวัดใหญ่ ซึ่งประชาชนผู้อยู่ต่างจังหวัดและในชนบทที่ห่างไกลเข้าถึงได้ยาก ด้วยเหตุนี้ มูลนิธิกาญจนบารมี จึงมีพันธกิจในการนำแพทย์พยาบาลออกไปหาชาวบ้าน ออกไปหาประชาชน เพื่อเพิ่มโอกาสในการรักษา และลดค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน ซึ่งส่วนใหญ่ยากจน ไม่สามารถจะเดินทางไปพบแพทย์หาพยาบาลได้
สุภาพสตรีทุกคนจะได้รับการตรวจคัดกรอง โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น และเมื่อตรวจพบสตรีกลุ่มเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็ง จะได้หาวิธีแก้ไขเพื่อปลอดภัยจากการเป็นโรคมะเร็ง ผู้ที่ตรวจพบว่าเป็นโรคมะเร็ง จะได้ส่งไปยังสถานพยาบาลที่เชี่ยวชาญโดยเฉพาะ ผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็ง จะได้มีหลักการในการปฏิบัติตัวเอง เพื่อความรู้ความเข้าใจเพื่อปลอดภัยจากการเป็นโรคมะเร็ง ผู้ที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งอยู่แล้ว จะได้รับการรักษาอย่างติดต่อต่อเนื่อง จากแพทย์พยาบาลผู้ชำนาญอย่างเอาใจใส่
โรคมะเร็งต้องรีบรักษาอย่างรวดเร็วทันที ผู้ป่วยมะเร็งระยะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ เบื้องต้นนั้น สามารถรักษาหายได้ ถ้าไม่ได้รับการรักษาในระยะที่ ๓ ปลาย ๆ และระยะที่ ๔ แล้ว ยากที่จะรักษาให้หายขาดได้
เพื่อให้การทำงานของมูลนิธิกาญจนบารมีได้ติดต่อต่อเนื่อง ให้เป็นโครงการถาวร ที่อยู่คู่กับประเทศไทย ด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยความสมัครสมานสามัคคี มูลนิธิกาญจนบารมี จึงได้ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนชาวไทยรับทราบทั่ว ๆ กัน เพื่อรวมพลังความสมัครสมานสามัคคีเสียสละสนับสนุนโครงการ ซึ่งโครงการนี้ดีมาก มีประโยชน์ต่อส่วนรวม มีประโยชน์ต่อมหาชน เป็นโครงการสีขาว เป็นโครงการที่บริสุทธิ์ยุติธรรมโปร่งใส ผู้บริหารทุกท่าน ไม่มีผลประโยชน์ตอบแทนใด ๆ ในการบริหารทั้งสิ้น ผู้บริหารมูลนิธิกาญจนบารมี ได้คัดกรองคณะกรรมการผู้บริหาร ได้คัดกรองเอาเฉพาะท่านผู้ที่เสียสละ ยกเลิกตัวตน ไม่หวังผลอะไรตอบแทน เป็นความดีเป็นบารมีที่บริสุทธิคุณ ไม่มาเอาค่าใช้จ่ายจากการทำงาน ค่ากิน ค่าที่พัก ค่าเดินทาง ไม่เอาค่าส่วนต่างจากการจัดซื้อวัสดุอุปกรณ์การแพทย์และยา หรือว่ากิจการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับมูลนิธิกาญจนบารมีนี้ โครงการนี้จึงเป็นโครงการสีขาว เงินทุกบาททุกสตางค์ที่ได้มาจากการเสียสละสนับสนุนจากประชาชนชาวไทยที่เป็นเจ้าภาพร่วมกัน จะนำไปใช้จ่ายเฉพาะเท่าที่จำเป็น เช่น เงินเดือนแพทย์พยาบาล ค่าน้ำมันในการเดินทางไปทำงาน เป็นต้น
เพื่อให้การทำงานของแพทย์พยาบาลมูลนิธิกาญจนบารมีเป็นโครงการถาวร มูลนิธิกาญจนบารมีเป็นมูลนิธิของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ ๑๐ ที่ท่านทรงดำริให้จัดตั้งมูลนิธิ
ท่านทรงเมตตาต่อพสกนิกรชาวไทยและต่างประเทศ เพื่อให้เป็นความดีเป็นบารมีที่ประกอบด้วยปัญญา ปัญญาที่ประกอบด้วยความดี เพื่อให้การทำงานของแพทย์พยาบาลอยู่คู่กับประเทศไทย
ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเป็นเจ้าภาพร่วมกันทุก ๆ คน เสียสละบริจาคเงินคนละ ๑ บาทต่อปี ให้กับมูลนิธิกาญจนบารมี มูลนิธิกาญจนบารมีก็จะอยู่ได้ด้วยเงิน ๑ บาทของเราทุกคนที่ได้เสียสละ ถ้าใครมีกำลังทรัพย์มากก็สามารถบริจาคได้มากมากกว่า ๑ บาท บริจาคได้ทุก ๆ เมื่อ ทุก ๆ วัน ทุก ๆ เวลา
ปัจจุบันนี้การโอนเงินบริจาคนั้นก็สะดวกสบาย ใช้การโอนเงินผ่านแอปพลิเคชันออนไลน์ โดยไม่ต้องไปธนาคาร โดยสามารถร่วมบริจาคทางบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ สาขางามวงศ์วาน ชื่อบัญชีมูลนิธิกาญจนบารมี บัญชีออมทรัพย์ เลขที่ ๓๔๐-๒๑๑๓๑๒-๒ (การบริจาคสามารถลดหย่อนภาษีได้ถึงสองเท่า) โดยทุกท่านสามารถร่วมสนับสนุนโครงการได้อย่างต่อเนื่อง ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่มูลนิธิกาญจนบารมี เบอร์โทรศัพท์ ๐๒-๕๙๐๔๙๗๔ และ ๐๖๕-๘๒๓๑๔๔๗ ในเวลาราชการ
“๑ บาท ๑ การให้ มอบลมหายใจ มอบชีวิต” มูลนิธิกาญจนบารมี จะมั่นคงถาวรอยู่ได้เพราะเงิน ๑ บาท ที่เราเสียสละสนับสนุนอย่างติดต่อต่อเนื่อง เรามาร่วมรวมกันทอดผ้าป่าสามัคคีที่สนามหลวงแห่งนี้ เพื่อมาทำความเข้าใจว่าเราทุกคนต้องพากันรับผิดชอบในมูลนิธิกาญจนบารมี พากันมาสร้างบารมี พากันมาเสียสละ เพื่อให้แพทย์พยาบาลทำงาน เราตั้งอยู่ในใจไว้เลยว่า เราต้องเสียสละ โอนเงินคนละบาท เพื่อสนับสนุนมูลนิธิกาญจนบารมี
ด้วยความสมัครสมานสามัคคี หวังว่าทุกคนจะไม่ลืมว่า ขณะนี้แพทย์พยาบาลกำลังทำงานคัดกรองมะเร็งเต้านมสุภาพสตรี มะเร็งนรีเวช ทุก ๆ วัน ๔ ภาคของประเทศไทย
เป็นขบวนการที่ถาวรยั่งยืน เป็นความดีและปัญญาติดต่อต่อเนื่อง เป็นการเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ โครงการคัดกรองมะเร็งเบื้องต้นนี้ เป็นโครงการที่ดีมาก ดีจริง ๆ มีประโยชน์ต่อส่วนรวม มีประโยชน์ต่อมหาชน โครงการนี้จะก้าวไปได้ด้วยความมั่นคงของชาติศาสน์กษัตริย์
จึงได้ประกาศประชาสัมพันธ์ให้มหาชนได้รับทราบทั่วกัน เพื่อความสมัครสมานสามัคคี เป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นปัญญาประกอบด้วยความดี
ปัจจุบันปี พ.ศ. ๒๕๖๘ นี้ ประเทศไทยเรามีประชากรในทะเบียนราษฎร์ ๖๕,๙๓๒,๑๐๕ คน ถ้าประชาชนทุกคนมีความเห็นไปในทางเดียวกัน มีความสมัครสมานสามัคคี ก้าวไปด้วยความดีและปัญญา เสียสละบริจาคเงินคนละ ๑ บาท เพื่อสนับสนุนมูลนิธิกาญจนบารมี เพื่อให้แพทย์พยาบาลไปตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมและมะเร็งนรีเวช ระยะต้นระยะกลาง เพื่อไม่ให้สายเกินแก้ ทางมูลนิธิก็จะมีเงินในการบริหารการทำงาน จากความสมัครสมานสามัคคี จำนวน ๖๕,๙๓๒,๑๐๕ บาท คำนวนจากประชากรของประเทศ ซึ่งสามารถบริหารโครงการได้เป็นเวลา ๑ ปี ในขณะนี้ ทางมูลนิธิได้ใช้เงินบริหารโครงการเดือนละ ๔ ล้านกว่าบาท ใช้เงินกันอย่างประหยัดไม่ฟุ่มเฟือย ผู้บริหารมูลนิธิทุกคน ไม่รับค่าตอบแทนเงินเดือนในการบริหาร เงินส่วนนี้นำไปใช้เฉพาะเงินเดือนแพทย์พยาบาลเจ้าหน้าที่พนักงานและค่าน้ำมันรถ จึงประชาสัมพันธ์ให้ผู้ที่เสียสละเป็นเจ้าภาพร่วมกันทุกท่าน ได้พากันเข้าใจตามนี้
การทำงานของมูลนิธิกาญจนบารมี ซึ่งเงินส่วนนี้ได้มาจากผู้มีศรัทธาผู้มีกำลังทรัพย์ได้เสียสละบริจาค แต่ก็รับรู้กันเป็นส่วนน้อย ยังไม่เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย ประชาชนส่วนใหญ่ก็ยังไม่ทราบว่ามูลนิธิกาญจนบารมี มูลนิธิของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เอาเงินนี้มาจากไหน มาทำโครงการคัดกรองมะเร็งเต้านมและมะเร็งนรีเวช
เงินส่วนนี้ได้มาจากการรับบริจาคจากประชาชนที่เสียสละ ที่ทำความดี ที่สร้างบารมี ไม่ได้รับงบประมาณจากงบประมาณแผ่นดิน ที่มาจากภาษีอากรของประชาชน ที่ผ่านมาทางมูลนิธิกาญจนบารมีทำงานมาด้วยความยากความลำบาก เพราะขาดแคลนในงบประมาณจากการสนับสนุน เนื่องมาจากประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่ทราบข้อมูล ยังไม่รู้ไม่เข้าใจ วันนี้จึงได้ประกาศประชาสัมพันธ์ให้พสกนิกรชาวไทยชาวโลกให้รู้ให้เข้าใจ เพื่อทุกคนจะได้รับผิดชอบพร้อมใจกันเสียสละ โอนเงินเข้ามูลนิธิกาญจนบารมีเพียงคนละ ๑ บาทต่อปี มูลนิธิก็จะอยู่ได้ถาวร
เพื่อให้การดำเนินการโครงการเป็นไปตามหลักการเพื่อความถาวรมั่นคง จึงได้ประชาสัมพันธ์แจ้งไปยังประชาชนชาวไทย เพื่อความสมัครสมานสามัคคีพร้อมเพรียงเสียสละบริจาคเงินคนละ ๑ บาท เพื่อสนับสนุนให้มูลนิธิได้ทำโครงการอย่างถาวร เป็นโครงการที่อยู่คู่กับประเทศไทย
ในวันเสาร์ที่ ๒๕ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ เวลา ๑๒.๓๐ น. เราได้มาร่วมรวมกัน ณ ท้องสนามหลวงแห่งนี้
เราทุกคนที่เกิดมาเป็นมนุษย์ มนุษย์มีอายุขัยอยู่ได้ร่วม ๆ ๑ ศตวรรษ ๑ ศตวรรษคือร้อยปี มนุษย์เราต้องมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ มีความรู้มีความเข้าใจ ความรู้ความเข้าใจจะเอามาใช้เอามาปฏิบัติเพื่อให้เป็นทางสายกลางระหว่างเรื่องวัตถุกับเรื่องจิตใจให้ไปพร้อม ๆ กัน เพื่อให้เกิดความมั่นคงของชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เพื่อยกเลิกสิ่งที่ถูกต้อง ทำสิ่งที่ถูกต้อง เพื่อให้ความสงบและปัญญาเดินไปพร้อม ๆ กัน เพื่อการประพฤติการปฏิบัติของเราเอง
การประพฤติการปฏิบัตินี้เป็นเรื่องของเราเอง ไม่มีใครประพฤติปฏิบัติแทนกันได้ เป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นความพอเพียงเพียงพอ เหมือนพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช รัชกาลที่ ๙ ท่านตรัสเป็นคติธรรมให้แก่พสกนิกรชาวไทยและชาวโลก ให้เรารู้อริยสัจ ๔ รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เราจะได้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ
ทุกคนต้องรู้ต้องเข้าใจ จะได้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงเศรษฐกิจพอเพียง เราอยากได้มากมันก็ไม่มากมันก็เท่าเก่าเท่าเดิม เราอยากได้น้อยมันก็ไม่น้อยมันเก็เท่าเก่าเท่าเดิม ความสงบและปัญญาถึงไปพร้อม ๆ กัน ผู้มีปัญญาก็ต้องมีความสงบมาก ๆ ผู้มีความสงบมาก ๆ ก็ต้องเสียสละมาก ๆ เพื่อเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี การเรียนการศึกษาก็เพื่อความรู้ความเข้าใจ เพื่อจะเอามาใช้เอามาเสียสละ เพื่อจะมายกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ทำสิ่งที่ถูกต้อง เราต้องรู้ต้องเข้าใจ ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจแล้วมันจะเสียหาย มันจะพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกับตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทย ตึกไหนเค้าก็ไม่พัง ตึกใหญ่กว่าสูงกว่ามีมากเค้าก็ไม่พัง มันไปพังตึกเดียวเฉพาะตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน
เราเป็นมนุษย์ เราต้องพากันรู้เข้าใจ ความรู้ความเข้าใจนี้เป็นคู่กับการประพฤติการปฏิบัติ ปัจจุบันนี้เป็นวาระสำคัญของการประพฤติการปฏิบัติ อดีตทั้งหลายก็มารวมกันอยู่ที่ปัจจุบัน อนาคตที่จะไปข้างหน้าก็มารวมอยู่ที่ปัจจุบัน ปัจจุบันนี้ถึงเป็นวาระแห่งชาติในการประพฤติการปฏิบัติ เป็นประโยชน์ทั้งปัจจุบัน เป็นประโยชน์ทั้งอนาคต เป็นความมั่นคงของชาติ ศาสน์ กษัตริย์
ชาติก็หมายถึงความเกิด เราคิดดี ๆ ยกเลิกตัวตน เราพูดดี ๆ ยกเลิกตัวตน เรามีกิริยามารยาทดี ๆ ยกเลิกตัวตน เรามีอาชีพดี ๆ ยกเลิกตัวตน เราต้องรู้เข้าใจเรื่องตัวเรื่องตน ตัวตนนั้นแหละให้เรารู้เข้าใจ ตัวตนนั้นมันมีแต่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่านอกจากทุกข์ไม่มีเลย เปรียบเสมือนทะเลมหาสมุทรไม่อิ่มด้วยน้ำ เปรียบเสมือนไฟไม่อิ่มด้วยเชื้อ มันบกพร่อง มีความทุกข์อยู่ตลอดกาลตลอดเวลา มันหาเรื่องหาราวให้กับตัวเราเองให้เป็นทุกข์ หาเรื่องหาราวให้กับคนอื่นเป็นทุกข์ เราทั้งหลายต้องพากันมารู้อริยสัจสี่ ด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ มันเกิดความเสียหาย ให้เราทุกคนเข้าใจ เราจะได้จบลงที่ปัจจุบันด้วยความรู้ความเข้าใจ
มนุษย์เราต้องรู้ต้องเข้าใจ เพื่อที่จะยกเลิกตัวตน ยกเลิกเรื่องอดีต เราต้องรู้เข้าใจ มนุษย์เราถ้ามีสติสัมปชัญญะ มนุษย์เราจะไม่มีความทุกข์เลย ถ้าเรารู้เข้าใจ เราเห็นภัยในวัฏฏสงสาร มีสติมีสัมปชัญญะ มีปิติมีความสุขในการปฏิบัติการทำหน้าที่ มนุษย์เราทุก ๆ คนก็ใช้หลักการเดียวกัน มนุษย์เราในโลกนี้ปัจจุบันนี้แปดพันกว่าล้านคน มีทั้งหมด ๑๙๕ ประเทศ รู้เข้าใจ จบด้วยการปฏิบัติ ไม่ไปตามผัสสะ ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม ปฏิบัติทางสายกลางระหว่างเรื่องจิตเรื่องใจกับเรื่องทางวัตถุ อริยมรรคมีองค์แปดที่เป็นกายวาจากิริยามารยาทอาชีพมารวมลงที่สติสัมปชัญญะ มารวมลงที่ธรรมนูญ ประชาธิปไตยเสียงส่วนมากก็ต้องปรับเข้าหาธรรมนูญ ยกเลิกตัวตน สังคมนิยมชมชอบก็ปรับเข้าหาธรรมนูญ ยกเลิกตัวตน ด้วยการมีสติมีสัมปชัญญะ
ให้เราทุกคนรู้เข้าใจ ว่าตัวตนนั้นคือทุจริต ถ้าเรามีสติมีสัมปชัญญะ เราก็ยกเลิกตัวยกเลิกตน ยกเลิกทุจริต เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ จะได้เป็นมนุษย์ผู้มีปัญญาสัมมาทิฏฐิ เป็นมนุษย์ผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เราทั้งหลายจะไม่ได้เป็นได้แต่เพียงคน ศัพท์คำว่าคนหมายถึงตัวถึงตน มันย่ำต๊อกอยู่ที่เก่า มันวกวนอยู่ที่เก่า มันไปไหนไม่ได้ เดินไปข้างหน้าแล้วก็ถอยกลับมาอยู่ที่เก่า ศัพท์ว่าคนมีความหมายอย่างนี้
เราทุกคนต้องรู้เข้าใจ คำว่าชาติศาสน์กษัตริย์ ชาติก็หมายถึงความเกิด ถ้าเรารู้เข้าใจ เราเอาความสงบและปัญญาก้าวไปพร้อม ๆ กันด้วยการมีสติสัมปชัญญะ เราก็เข้าถึงพระนิพพานในปัจจุบัน ความคิดอย่างนี้ก็เป็นพระนิพพาน เรายกเลิกตัวตน ความคิดมันเป็นพระนิพพาน คำพูดที่เรายกเลิกตัวตน คำพูดนั้นก็เป็นพระนิพพาน กิริยามารยาทที่เรายกเลิกตัวตน กิริยามารยาทนั้นก็เป็นพระนิพพาน อาชีพที่เรายกเลิกตัวตน อาชีพนั้นก็เป็นพระนิพพาน พระนิพพานย่อมมีกับหมู่มวลมนุษย์ที่รู้เข้าใจ นิพพานนั้นหรือว่าความดับทุกข์นั้นมันเป็นสากล ความไม่มีทุกข์นั้นก็เป็นสากล ความทุกข์กายความทุกข์ใจมันเป็นสากล พระศาสนาคือความรู้ความเข้าใจ ยกเลิกตัวตน เอาอริยมรรคทางกายวาจากิริยามารยาทอาชีพมารวมลงที่ใจ ระบบความเป็นมนุษย์ เป็นข้าราชการนักการเมือง เป็นนักบวช เป็นธรรมนูญที่ยกเลิกตัวตน เป็นรัฐธรรมนูญ ด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ เราทั้งหลายถึงไม่ได้พากันเป็นมนุษย์ ไม่ได้เป็นข้าราชการ ไม่ได้เป็นนักการเมือง ไม่ได้เป็นนักบวช การดำเนินชีวิตของเรามันถึงย่อมเสียหายย่อมพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกับตึก สตง.สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ความสุขความดับทุกข์มีอยู่กับเราได้ ให้เรารู้ให้เข้าใจ ชีวิตของเราต้องเดินทางสายกลาง เอาความสงบและปัญญา เดินไปพร้อม ๆ กัน สติสัมปชัญญะถึงเป็นคุณหาโทษมิได้
เราทุกคนต้องพากันรู้เข้าใจ ทางวิทยาศาสตร์ก็ต้องเอาใจไปพร้อม ๆ กัน ทางใจก็ต้องเอาวิทยาศาสตร์ไปพร้อม ๆ กันเพื่อเป็นทางสายกลางระหว่างใจกับวัตถุที่เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราจะได้เข้าถึงความสงบและปัญญาด้วยปิติด้วยความสุขเอกัคคตา เพื่อเราทุกคนจะได้ยกเลิกความทุกข์ ยกเลิกโรคซึมเศร้า ให้เรารู้เข้าใจ นิติบุคคลตัวตนมันคือโรคความทุกข์ มันคือโรคซึมเศร้า
หลักการของมนุษย์ต้องมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ ให้ทุกคนมีสติสัมปชัญญะ มีความสุขในการทำงาน มีความสุขในการทำหน้าที่ เพราะหน้าที่คือธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ มีปิติมีความสุขในปัจจุบัน เมื่อมันผ่านไปแล้วมันเกษียณแล้วเราก็ยกเลิก เพราะสิ่งที่ผ่านมาแล้วมันแก้ไขไม่ได้ ปัจจุบันถึงเป็นวาระแห่งชาติ การทำอะไรด้วยความรู้ความเข้าใจมันจะเป็นความสงบและเป็นปัญญา สิ่งทั้งหลายทั้งปวงมันจะจบลงที่ผัสสะ จะเป็นความดีเป็นปัญญาที่ติดต่อต่อเนื่อง การทำอะไรติดต่อต่อเนื่องทั้งความดีทั้งปัญญา มันจะเป็นความมั่นคงของชาติศาสน์กษัตริย์
ชาติหมายถึงความเกิด ศาสน์หมายถึงศาสนาทางสายกลางยกเลิกตัวตน พระมหากษัตริย์คือปัญญาสัมมาทิฏฐิยกเลิกตัวตน ผู้ที่เป็นพระมหากษัตริย์จึงทรงทศพิธราชธรรม หรือผู้ที่เป็นข้าราชการนักการเมืองเป็นนักบวชจะเป็นใครก็ต้องยกเลิกตัวตน เอาความสงบและปัญญา เพื่อเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความเต็มเต็มเต็ม เพื่อสว่างไสวทั้งทางวิทยาศาสตร์ทางวัตถุ และสว่างไสวทางจิตใจไปพร้อม ๆ กัน
ขออนุโมทนากับพสกนิกรชาวไทยและชาวต่างประเทศที่ได้มาร่วมรวมใจสมัครสมานสามัคคีเพื่อเอาความดีและปัญญาควบคู่กันไป มาทอดผ้าป่าสามัคคีเพื่อสนับสนุนมูลนิธิกาญจนบารมีเป็นมูลนิธิของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯรัชกาลที่ ๑๐ รัชกาลปัจจุบัน
ขออำนวยอวยชัย เอาคุณพระศรีรัตนตรัยที่เป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ ที่เป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นการเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี ไม่มากไม่น้อย เป็นธรรมนูญ เป็นรัฐธรรมนูญ เป็นบริสุทธิคุณทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพที่ยกเลิกตัวตน เข้าถึงพระนิพพานบ้านของเราในปัจจุบัน มีแต่ความสงบและปัญญา ก้าวไปด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา เอาสมมติสัจจะที่ได้รับแต่งตั้งมาปฏิบัติด้วยความสุข เพื่อทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ ด้วยการตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ระลึกถึงโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านตรัสว่าเป็นปัจฉิมโอวาทไว้ว่า
“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”
โอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ
ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ
ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู
ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร
ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละคือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะว่าสิ่งเดิมนั้นคือความว่างเปล่า สิ่งที่สัญจรไปมาเป็นเพียงอาคันตุกะ เราจะได้เอาหลักการอุดการณ์ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นมรรคเป็นอริยมรรคที่ตรงกันข้ามกับโลกธรรม ให้รู้เข้าใจ เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรม พระนิพพานความรู้ความเข้าใจในเรื่องกระบวนการปฏิจจสมุปบาท กระบวนการของปฏิจจสมุปบาทจะได้จบลงเพียงผัสสะ จะได้เป็นปัญญาเป็นความสงบ จะเป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหตุเหนือผล หยุดความปรุงแต่ง นี้เป็นขบวนการที่ติดต่อต่อเนื่อง เป็นบารมีเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นพระนิพพานบ้านของเรา ไม่ใช่อวิชชาความหลงเป็นบ้านของเรานะ พระนิพพานคือบ้านของเรา ความสงบและปัญญาถึงเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราจะหยุดวัฏฏสงสารได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยพระธรรมด้วยพระวินัย เป็นขบวนการของกระแสในการประพฤติการปฏิบัติที่ได้นำเอาพระธรรมพระวินัยมาประพฤติมาปฏิบัติในปัจจุบันให้ติดต่อต่อเนื่อง
ความสงบและปัญญาที่เป็นพระธรรมพระวินัยถึงหยุดความปรุงแต่งได้ ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิคู่กับการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน พระธรรมพระวินัยที่เป็นความรู้ความเข้าใจ ที่จะหยุดความปรุงแต่งได้ เข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ปัจจุบัน ไม่ต้องรอชาติหน้า พระนิพพานต้องอยู่ที่ปัจจุบันเท่านั้น
-----------------------------------------
โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
เมตตาให้ไว้พิธีทอดผ้าป่ามหากุศล
“เพื่อรวมพลังสามัคคี ช่วยชีวิตสตรีไทย ปลอดภัยมะเร็งเต้านม”
วันเสาร์ที่ ๒๕ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
ณ บริเวณท้องสนามหลวง ถนนหน้าพระลาน กรุงเทพมหานคร