๓๐ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
วันนี้เป็นวันที่ ๓๐ เดือนตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ฮิจเราะห์ศักราช ๑๔๔๖
พสกนิกรชาวไทยชาวต่างประเทศได้สมัครสมานสามัคคี บำเพ็ญพระราชกุศล แด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ด้วยความโทมนัสและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ที่พระองค์ได้ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยและชาวโลกตลอดระยะเวลาที่ยาวนาน พระองค์ทรงเป็นดั่งแม่แห่งแผ่นดิน ผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตาและพระปรีชาสามารถ ทรงอุทิศพระวรกาย พระสติปัญญา และพระราชหฤทัยในการบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการ เคียงคู่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เพื่อธำรงไว้ซึ่งความผาสุกและความมั่นคงแห่งชาติไทย เราประชาชนชาวไทยต้องร่วมใจสมัครสมานสามัคคีทำความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เพื่ออุทิศบุญกุศลน้อมเกล้าถวาย เพื่อเสด็จสู่สวรรคาลัย เข้าสู่สวรรค์มรรคผลพระนิพพาน
ให้ทุกท่านทุกคนพากันนั่งฟังให้สบาย ให้ใจอยู่กับเนื้อกับตัว ให้ใจมีสติรู้ตัวทั่วพร้อม หายใจเข้าก็ให้สบาย หายใจออกก็ให้สบาย ให้มีความสุขในการหายใจเข้าหายใจออก ปัจจุบันเป็นวาระสำคัญของเราทุก ๆ คน อดีตก็มาอยู่ที่ปัจจุบันนี้แล้ว อนาคตที่จะไปข้างหน้าก็อยู่ที่ปัจจุบัน มนุษย์เราคือผู้ที่ประเสริฐ ต้องมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติให้มันถูกต้อง จะได้เป็นทางสายกลางระหว่างเรื่องจิตเรื่องใจกับเรื่องทางวัตถุ เพื่อเป็นมรรคเป็นข้อวัตรข้อปฏิบัติในปัจจุบัน ให้เป็นปัจจุบันธรรม อย่าให้ปัจจุบันมันเป็นตัวตน ยกเลิกตัวยกเลิกตน เราจะได้มีแต่ความสงบ เราจะได้มีแต่ปัญญา ความสงบและปัญญาจะได้เดินทางไปพร้อม ๆ กัน ผู้มีปัญญามากก็ต้องมีความสงบมาก ผู้มีความสงบมากก็ต้องเสียสละมาก เพราะเราทั้งหลายจะได้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เป็นความพอดี ไม่หย่อนเกินไป ไม่ตึงเกินไป
มนุษย์เราต้องมีหลักการ มีอุดมการณ์อุดมธรรมในการดำเนินชีวิตที่เป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ เพื่อให้เป็นทางสายกลาง เอาเรื่องจิตเรื่องใจ เรื่องวิทยาศาสตร์ไปพร้อม ๆ กัน เพื่อก้าวไปในปัจจุบัน เพราะเหตุผลว่า อดีตทั้งหลายก็มารวมอยู่ที่ปัจจุบัน อนาคตที่จะไปข้างหน้าก็มารวมกันที่ปัจจุบัน ปัจจุบันนี้ถึงเอาความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ
ให้มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติในการปฏิบัติของเราทุก ๆ คน ปิติสุขเอกัคคตาเป็นธรรมะที่หล่อเลี้ยงทั้งกายและใจ เพื่อเราทั้งหลายจะไม่ได้มีความทุกข์ จะได้เข้าถึงความพอดีความพอเพียงเพียงพอ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้พวกเราทั้งหลายมีหลักการในการประพฤติการปฏิบัติอย่างนี้ จะได้เป็นกรรม เป็นกฎแห่งกรรม เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี โฟกัสในการประพฤติในการปฏิบัติของเราเอง การประพฤติการปฏิบัติไม่มีใครมาประพฤติมาปฏิบัติให้เราได้ เราทุกคนต้องพากันประพฤติพากันปฏิบัติเอาเอง ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องของกรรม กฎแห่งกรรม และผลของกรรม เราต้องรู้จักกรรมเก่าที่ผ่านมา จะได้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร
มนุษย์เราต้องรู้ต้องเข้าใจ เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เป็นผู้รู้ความทุกข์ รู้เหตุที่เกิดของความทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เอาความรู้ความเข้าใจมาใช้มาปฏิบัติในปัจจุบัน ปัจจุบันต้องเป็นธรรมะ ธรรมะก็ได้แก่ยกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้อง สิ่งที่ไม่ถูกต้องก็ได้แก่ตัวตน
สิ่งที่ไม่ถูกต้อง ต้องอาศัยพระธรรมพระวินัย ข้อวัตรกิจวัตรต่าง ๆ ที่จะเอามาประพฤติเอามาปฏิบัติ เพื่อจะเอาธรรมนูญนำชีวิต ยกเลิกตัวตน เอาธรรมนูญนำชีวิต
เรารู้เราเข้าใจ เราก็มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ ให้เข้าใจว่าธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ เราทุกคนต้องทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ทั้งอรรถะทั้งพยัญชนะไม่ให้ขาดตกบกพร่อง เพราะปัจจุบันเป็นสิ่งที่สำคัญ จิตสุดท้ายมันคือปัจจุบันนะ อนาคตที่จะไปข้างหน้าให้เรารู้เข้าใจมันคือปัจจุบัน
ปัจจุบันจึงเป็นวาระที่สำคัญ จิตปัจจุบันเป็นวาระที่สำคัญในการประพฤติในการปฏิบัติ เราจะได้ก้าวไปด้วยพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะได้ก้าวไปด้วยพระวินัยในการประพฤติการปฏิบัติ พระวินัยนี้ให้เราเข้าใจนะ พระวินัยคือหลักการอุดมการณ์ในการการประพฤติการปฏิบัติ ที่จะทำให้เกิดการยกเลิกความผิดความไม่ถูกต้อง ยกเลิกกายวาจากิริยามารยาทอาชีพที่ไม่ถูกต้อง เราจะมีแต่ความรู้อย่างเดียวนั้นไม่ได้นะ ต้องมีการประพฤติการปฏิบัติควบคู่กันไป พระธรรมพระวินัยมันแยกกันไม่ได้ เพราะพระธรรมพระวินัยมันเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ สองอย่างนี้จะแยกจากกันไม่ได้
เรามีการเรียนการศึกษา รู้เข้าใจก็ต้องเอามาใช้เอามาปฏิบัติ การประพฤติการปฏิบัตินั้นถึงเป็นการก้าวไปด้วยพระธรรมด้วยพระวินัย เพื่อเอาความรู้คู่กับการปฏิบัติมาใช้ในปัจจุบัน เพราะปัจจุบันนั้นเป็นวาระแห่งชาติของการประพฤติการปฏิบัติ เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี พระวินัยถึงเป็นพื้นเป็นฐาน ฐานที่ตั้ง เค้าจะปลูกบ้านปลูกเรือน สร้างประเทศ เค้าก็ต้องมีพื้นที่ มีสถานที่ถึงปลูกบ้านปลูกเรือนสร้างประเทศได้
พระวินัยนี้ถึงเป็นพื้นเป็นฐาน ความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติถึงเรียกว่าพระวินัย ความรู้ไม่คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั้นยังไม่ใช่พระวินัยนะ พระวินัยต้องคู่กับประพฤติการปฏิบัติ
เมื่อเราเอาความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติถึงจะเกิดความสงบ ถึงจะเกิดสมถะ พระวินัยนั้นคือความสงบ พระวินัยคือสมถะ เราเรียนเราศึกษา เราก็ต้องเข้าสู่ภาคปฏิบัติภาคบำบัด ที่กล่าวว่าผู้ที่เรียนหนังสือมาก ๆ ก็ต้องปฏิบัติมาก ๆ ผู้ที่ปัญญามาก ๆ ก็ต้องให้จิตให้ใจสงบมาก ๆ ผู้มีความสงบมาก ๆ ก็ต้องเสียสละมาก ๆ เพื่อเข้าสู่หลักการ อุดมการณ์อุดมธรรม เพื่อเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เข้าสู่ภาคบำบัด
เราจะได้เอาทั้งความรู้ความเข้าใจมาใช้มาประพฤติมาปฏิบัติ ปัจจุบันเราทุกคนต้องทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ไม่ขาดตกบกพร่อง ที่ว่าธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ ให้เราเอาปัจจุบันมาประพฤติมาปฏิบัติให้ได้ ให้เอาพระธรรมเอาพระวินัยมาใช้มาประพฤติมาปฏิบัติในปัจจุบัน เราอย่าไปมองข้ามปัจจุบัน อย่าไปมองไกลเกิน เราอย่าไปคิดว่าพระนิพพานอยู่ไกล ๆ อยู่เบื้องหน้าโน้นเทอญ คำว่าเทอญมันไกลเหลือเกิน มันไม่ใช่ธรรมไม่ใช่ปัจจุบันธรรม ไม่ใช่พระธรรมไม่ใช่พระวินัย อย่างนี้ไม่ได้นะ มันเสียหายมาก ๆ มันจะพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกับตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทย
เราอย่าไปคิดว่าพระนิพพานอยู่ในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญ ความคิดอย่างนี้ใช้ไม่ได้ เสียหาย ความคิดอย่างนี้มันพังทลายอย่างเช่นเดียวกันกับตึก สตง.
เราพากันมามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ปรับกายวาจากิริยามารยาทอาชีพเข้าถึงพระวินัย ในปัจจุบันนี้เราอย่าไปทิ้งพระธรรมพระวินัย ทิ้งข้อวัตรข้อปฏิบัติที่เป็นฐานในการประพฤติการปฏิบัติ ให้เข้าใจว่าปัจจุบันที่เป็นกายวาจากิรยามารยาทอาชีพนี้มันคือกรรม คือกฎแห่งกรรม แล้วก็จะเป็นผลของกรรมนะ ที่จะเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้พระธรรมพระวินัยที่จะเอามาใช้เอามาทำงาน เป็นภาคปฏิบัติ เราทั้งหลายคิดในใจว่า เรานี้ไม่ต้องมีข้อแม้ใด ๆ ทั้งสิ้นแล้ว เหตุผลต่าง ๆ นานาเราต้องยกเลิกหมด
เราพากันเจริญสติเจริญสัมปชัญญะ เพราะเหตุผลว่าสติสัมปชัญญะนั้นเป็นธรรมะที่มีอุปการคุณมาก ๆ เราต้องเอาพระธรรมเอาพระวินัยมาใช้มาปฏิบัติในปัจจุบัน เพราะจะได้ก้าวไปด้วยพระธรรมพระวินัย เพื่อเป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม เพื่อเป็นฐานของการประพฤติการปฏิบัติ ถ้าเรามีสติมีสัมปชัญญะ ความทุกข์ของเราก็จะไม่มี ความทุกข์ของเรามีเพราะเราไม่มีสติไม่มีสัมปชัญญะ เมื่อเรามีสติสัมปชัญญะติดต่อต่อเนื่องไม่ขาดสาย ความทุกข์ของเรานั้นก็มี ศีลสมาธิปัญญาถึงเป็นขบวนการแห่งความดับทุกข์ เข้าถึงความดับทุกข์ตั้งแต่ปัจจุบัน ศีลสมาธิปัญญาให้เรารู้เข้าใจ นี้คือความดับทุกข์ คือพระนิพพาน พระนิพพานบ้านของเรา สติสัมปชัญญะนี้ให้เข้าใจนะ ว่าเป็นพระนิพพานเป็นบ้านของเรา เราต้องพากันรู้เข้าใจ เราจะได้มีปัญญาสัมมาทิฏฐิ จะได้เห็นคุณค่าในพระธรรมพระวินัย ในข้อวัตรข้อปฏิบัติ เราอยากจะมีพระนิพพานเราก็ต้องมีความสุขในการรักษาศีล เราก็มีความสุขในการทำสมาธิ เราก็มีความสุขในการเจริญปัญญาด้วยการมีสติมีสัมปชัญญะ เราต้องเบรกตัวเองด้วยศีล เบรกตัวเองด้วยสมาธิ เบรกตัวเองด้วยปัญญา
ถ้าใจเราเจริญสติสัมปชัญญะมันยังไม่สงบ ให้เราใช้หลักการ ด้วยการหยุดลมหายใจ กลั้นลมหายใจ สต๊อปตัวเองด้วยการหยุดลมหายใจของตัวเอง เมื่อเราสต๊อปลมหายใจ หยุดลมหายใจ ใจมันขาดอากาศขาดลมหายใจ ความปรุงแต่งนั้นก็จะหยุด
เราพากันทำดูนะ การนั่งสมาธิคือการออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายเพื่อเอาอากาศดี ๆ เข้าไป เอาออกซิเจนดี ๆ เข้าไป หายใจออก เอาของเสียเอาคาร์บอนไดออกไซด์ สิ่งที่เสียสิ่งที่ปฏิกูลออกไป
ถ้ามันฟุ้งซ่านมาก ๆ ก็ต้องใช้หลักการอย่างเดียวกันนี้ เพื่อทำให้ใจของเราให้สงบ
ถ้าทำอย่างไรก็ไม่สงบต้องใช้หลักการที่หยุดลมหายใจ กลั้นลมหายใจไว้ ใจมันจะขาดแล้วค่อยปล่อยลมหายใจตามปกติ แล้วก็มาทำอย่างนี้ใหม่หลาย ๆ ครั้ง เดี๋ยวใจของเราก็จะสงบ คนที่ใจไม่สงบเพราะมันเป็นความไม่สมดุลระหว่างกายกับใจ ระหว่างสมถะกับวิปัสสนา มันเป็นความไม่เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ ผู้มีปัญญามาก ๆ ถึงต้องมีความสงบมาก ๆ ผู้มีความสงบมากก็ต้องเสียสละมาก ๆ มันจะได้เป็นทางสายกลางระหว่างเรื่องจิตเรื่องใจ กับระหว่างทางวิทยาศาสตร์ มันจะได้เป็นธรรมนูญในการประพฤติการปฏิบัติ เป็นธรรมนูญชีวิตที่เข้าถึงความพอดี ความพอเพียงเพียงพอ ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป ไม่ได้ตัดไม่ได้เพิ่ม เป็นความรู้ความเข้าใจในอริยสัจสี่
ให้เราเข้าใจ เราทุกคนต้องรู้เข้าใจ เมื่อรู้เข้าใจแล้วเราก็ปฏิบัติได้เหมือนกันทุก ๆ คน เพราะความรู้มันเป็นสากล การประพฤติการปฏิบัตินั้นก็เป็นสากล ให้เรารู้สมมติสัจจะ สมมติสัจจะที่เป็นอุปกรณ์ที่เราต้องเอามาใช้เอามาปฏิบัติ เพื่อเราจะเอาสมมติสัจจะมาใช้ มาทำหน้าที่ เพื่อให้เราเกิดความสงบเต็มที่ เกิดปัญญาเต็มที่ ถ้าเรามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ความทุกข์นั้นย่อมไม่มี ผู้มีสติมีสัมปชัญญะความทุกข์นั้นย่อมไม่มี
เราต้องทำหน้าที่ เพราะนี้คือกรรมคือกฎแห่งกรรมคือผลของกรรม การดำเนินชีวิตถึงเป็นอริยมรรคมีองค์แปด เราทำหน้าที่ประพฤติปฏิบัติอริยมรรค์มีองค์แปดให้สมบูรณ์ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เธอทั้งหลายจงพากันประพฤติปฏิบัติอริยมรรคมีองค์แปดให้สมบูรณ์ ให้ถึงพร้อมด้วยความรู้ความเข้าใจด้วยความไม่ประมาท เพราะการประพฤติการปฏิบัติมันอยู่ที่ปัจจุบัน
ปัจจุบันถ้าเราคิดดี ๆ ยกเลิกตัวตนเราก็เข้าถึงความดับทุกข์แล้วในเรื่องความคิด กิริยามารยาทดี ๆ ยกเลิกตัวตนเราก็เข้าถึงความดับทุกข์แล้วในเรื่องกิริยามารยาท เราพูดดี ๆ ทั้งอรรถะทั้งพยัญชนะที่ยกเลิกตัวเราก็เข้าถึงความดับทุกข์แล้ว อาชีพคือการเลี้ยงชีพที่ยกเลิกตัวตน เราทุกคนก็ไม่มีความทุกข์ เพราะเหตุผลว่ามันเป็นความสงบและปัญญา เป็นปัญญาและความสงบ นี้มันเป็นสติเป็นสัมปชัญญะ นี้เป็นความพอดีเป็นความพอเพียงเพียงพอ นี้เป็นพระนิพพานในปัจจุบัน นี้คือพระนิพพานบ้านของเรา มันเป็นความสงบและปัญญา มันเป็นปฏิปทาทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพมารวมลงที่ใจ ใจที่มีปัญญาสัมมาทิฏฐิ ใจที่มีความสงบและปัญญา ก้าวไปด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา สิ่งทั้งหลายทั้งปวงมันจบเรื่องจบราว ไม่มีเรื่องมีราวที่ปัจจุบัน จบลงที่ผัสสะ จบลงที่ปัจจุบันที่เป็นปัจจุบันธรรม ไม่ใช่ปัจจุบันที่เป็นตัวตน เป็นความว่างจากสิ่งที่มีอยู่ รู้เรื่องความว่าง เข้าใจความว่าง
รู้เข้าใจเรื่องเหตุเรื่องปัจจัยว่าเรามีตามันถึงมีรูป ถ้าเราไม่มีตารูปมันก็ไม่มี เข้าใจเรื่องความว่าง ว่าเรามีหูมันถึงมีเสียง ถ้าเราไม่มีหูเสียงก็ไม่มี เรามีจมูกมันก็มีกลิ่น ถ้าเราไม่มีจมูกมันก็ไม่มีกลิ่น เรามีลิ้นมันก็มีรส เราไม่มีลิ้นมันก็ไม่มีรส เรามีกายก็มีสัมผัส ถ้าเราไม่มีกายเราก็ไม่มีสัมผัส เรามีใจก็มีความรู้สึกนึกคิด ถ้าเราไม่มีใจเราก็ไม่มีความรู้สึกนึกคิด
เรารู้เราเข้าใจ เราจะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ว่างจากสิ่งที่ไม่มีอยู่มันจะมีประโยชน์อะไร ว่างจากสิ่งที่ไม่มีอยู่มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย เราต้องรู้เรื่องของสองอย่าง รู้เรื่องสิ่งภายนอกภายใน เพื่อเราทุกคนจะได้หยุดในเรื่องกรรม เรื่องกฎของกรรม และผลของกรรม เราทั้งหลายพากันเข้าใจ จะได้พากันว่างจากสิ่งที่มีอยู่
เราทุกคนพากันคิดดูดี ๆ นะ ใจของเรามันว่าง มันบริสุทธิ์ มันเป็นประภัสสร เราต้องรู้จักสิ่งที่สัญจรไปมา สิ่งที่ผ่านมานั้นเป็นเพียงสัญจรไปมาชั่วครู่ชั่วยาม เป็นอาคันตุกะสัญจรไปมาชั่วครู่ชั่วยาม เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ เราจะได้จบลงในปัจจุบันนี้แหละ จบลงที่ผัสสะ จบลงที่ปัจจุบัน เห็นทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเป็นเพียงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ปรากฏการณ์ที่ตั้งอยู่ ปรากฏการณ์ที่ดับไป ไม่มีอะไรนอกจากผัสสะที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ถ้าเรามีสติมีสัมปชัญญะ ความปรุงแต่งนั้นก็ปรุงแต่งจิตใจของเราไม่ได้ ธรรมะวินัยเป็นหลักการที่ให้เรารู้เข้าใจ ธรรมวินัยเป็นสิ่งที่เรารู้เข้าใจ ความรู้เข้าใจในเรื่องพระธรรมพระวินัยเป็นความรู้ที่อยู่นอกเหตุเหนือผล เป็นความรู้ความเข้าใจ หยุดความปรุงแต่งด้วยพระธรรมพระวินัย ด้วยสติด้วยสัมปชัญญะ
เราต้องรู้เข้าใจ ว่าใจของเราคือความเป็นประภัสสร เราพากันคิดดูดี ๆ นะ ถ้าเรารู้เข้าใจ ใจของเรานั้นมันจะไม่มีแก่เจ็บตายพลัดพรากนะ สิ่งที่แก่เจ็บตายพลัดพรากนั้นมันเป็นส่วนของทางร่างกายต่างหากล่ะ ให้เรารู้เข้าใจ กายกับใจมันคนละอย่างกันนะ ด้วยเหตุผลนี้เราต้องรู้ความจริง เพื่อให้กายก็ต้องเป็นเรื่องของกาย เพื่อให้ใจก็เป็นเรื่องของใจ เพราะสองอย่างนี้มันคนละอย่างกัน สองอย่างนี้ไม่ใช่อย่างเดียวกัน
เราจะหยุดสิ่งนี้ได้อย่างไร เราจะหยุดสิ่งนี้ได้ก็เพราะเรามีสติมีสัมปชัญญะ ถ้าเรามีสติมีสัมปชัญญะ มีความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ สติกับสัมปชัญญะถึงจะเข้าถึงความหยุด เข้าถึงการยกเลิก
สติสัมปชัญญะสองอย่างนี้เอามารวมกันเป็นหนึ่งถึงจะหยุดความปรุงแต่งได้
ความเป็นหนึ่งก็หมายถึง ไม่มีความปรุงแต่ง เพราะความปรุงแต่งนั้นมันเป็นสอง เราต้องรู้ต้องเข้าใจนะ ความปรุงแต่งมันเป็นสอง ไม่ใช่เป็นหนึ่ง
เราจะเป็นหนึ่งได้ก็ต้องมีสติมีสัมปชัญญะ สติสัมปชัญญะนั้นถึงมีคุณมีอุปการะมาก จะทำให้จิตใจของเราเป็นหนึ่ง เราต้องรู้เข้าใจเรื่องของสองอย่าง เรื่องสิ่งภายนอกภายใน อันหนึ่งกาย อันหนึ่งใจ เราทั้งหลายจะได้จบลงที่ปัจจุบัน สิ่งภายนอกก็ให้เป็นภายนอก สิ่งภายในก็เป็นสิ่งภายใน เราทั้งหลายจะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ด้วยการเจริญสติสัมปชัญญะ เราทั้งหลายต้องหยุดตัวเองได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ เห็นภัยในการเวียนว่ายตายเกิด เห็นภัยในความปรุงแต่ง เห็นคุณเห็นประโยชน์ในการหยุดความปรุงแต่ง ด้วยหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม ด้วยเอาพระวินัยมาใช้มาปฏิบัติ ไม่ใช่เรียนศึกษาแล้วไม่ได้เอามาใช้เอามาปฏิบัติ อันนั้นไม่ได้ เพราะว่ามันความรู้ไม่ได้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ นี้มันจะเสียหายนะ มันจะพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกับตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทย
เรารู้เข้าใจในเรื่องพระธรรมพระวินัย คำว่าพระนี้หมายถึงพระธรรมพระวินัย ให้พวกเราเข้าใจนะ ที่เรารู้เข้าใจในเรื่องเหตุเรื่องปัจจัย ในเรื่องกรรมเรื่องกฎแห่งกรรมเรื่องผลของกรรม เมื่อเข้าใจอย่างนี้ก็เข้าสู่หลักการในการประพฤติการปฏิบัติ ทุกคนนั้นก็เป็นพระได้พอ ๆ กัน เหมือน ๆ กัน ไม่มีใครไม่เป็นพระ เป็นพระได้เหมือนกันหมดทุก ๆ คนนะ ให้เข้าใจในเรื่อของความเป็นพระ ให้มู่มวลมนุษย์ทั้งหลายมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เราจะได้เข้าสู่ความมั่นคงของชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ชาตินี้ก็หมายถึงความเกิด ศาสน์ก็คือพระศาสนา พระศาสนานี้คือหลักการที่ยกเลิกตัวตน พระมหากษัตริย์หมายถึงปัญญา ปัญญาบริสุทธิคุณ เอาปัญญามาใช้ทางวิทยาศาสตร์ทางวัตถุทางใจไปพร้อม ๆ ให้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ ให้เรารู้เข้าใจเรื่องชาติศาสน์กษัตริย์ เราทุกคนจะได้ทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์เพราะเหตุผลว่า ธรรมะคือหน้าที่หน้าที่คือธรรมะ
หลักการในการประพฤติการปฏิบัติ ให้เรามีสติมีสัมปชัญญะ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เอาความสงบและปัญญามาใช้มาปฏิบัติในปัจจุบัน เพราะปัจจุบันนี้เป็นวาระแห่งชาติของการประพฤติการปฏิบัติ อดีตก็ได้มารวมอยู่ที่ปัจจุบันนี้แล้ว อนาคตที่จะไปข้างหน้าก็มารวมกันอยู่ที่ปัจจุบัน ปัจจุบันเราต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ อานาปานสตินี้เป็นหลักการของการประพฤติการปฏิบัติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เราใช้หลักการของอานาปานสติ คือลมหายใจเข้าหายใจออก หายใจเข้าเราก็มีสติรู้ตัวทั่วพร้อมในการหายใจเข้า หายใจออกก็มีสติรู้ตัวทั่วพร้อมในการหายใจออก หายใจเข้าก็ให้เราหายใจเข้าให้สบาย หายใจออกก็ให้หายใจออกให้สบาย หายใจเข้าก็ให้รู้ว่าไม่แน่ไม่เที่ยง มันเข้าเดี๋ยวมันก็ออก หายใจเข้าหายใจออกก็ให้รู้ว่ามันไมใช่นิติบุคคลตัวตน มันเป็นอาคันตุกะสัญจรไปมา อานาปานสตินี้ใช้ได้ทุกเมื่อทุกกาลทุกเวลา ไม่ใช่ใช้เฉพาะตอนนั่งสมาธินะ ต้องเอามาใช้ทุกอิริยาบถ เราทั้งหลายจะได้มีหลักการ จะไม่ได้ไปตามสิ่งแวดล้อม ไม่ได้ไปตามผัสสะ เราทั้งหลายจะได้จบลงที่ปัจจุบัน เวลาเราไปทำงานไปทำอะไรเราก็ต้องมีสติมีสัมปชัญญะ เพื่อเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ การประพฤติการปฏิบัติของเราก็ต้องมีความสุขอย่างนี้แหละ เราจะได้สว่างไสวทั้งทางวัตถุ สว่างไสวทั้งทางจิตใจด้วยความรู้ความเข้าใจ เมื่อเรารู้เข้าใจ เราก็จะได้พากันเข้าถึงพระนิพพานในปัจจุบัน ไม่ใช่พระนิพพานอยู่ในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญ
ให้รู้เข้าใจนะ พระนิพพานอยู่ที่ปัจจุบัน อยู่ปัญญาสัมมาทิฏฐิ เป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ ให้เราจับหลักเอาไว้ เรามีปัญญามาก ๆ ก็มีความสงบมาก ๆ เรามีความสงบมาก ๆ ก็ต้องเสียสละมาก ๆ เราทั้งหลายจะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ให้เราทั้งหลายเข้าใจในหลักการในการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจนะ เราจะมาเอาอะไร จะมามีอะไร จะมาเป็นอะไร เราคิดดูดี ๆ นะ เราอยากได้มากมันก็ไม่มากมันก็เท่าเก่าเท่าเดิม เราอยากได้น้อยมันก็ไม่น้อยมันก็เท่าเก่าเท่าเดิม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ ของเมืองไทย ท่านได้ตรัสให้ประชาชนเข้าใจว่าเราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้ไม่ต้องมีความทุกข์ จะได้พากันมีพระนิพพานในปัจจุบัน จะได้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอในปัจจุบัน เข้าถึงความสงบและปัญญาในปัจจุบัน ชีวิตของเราจะเข้าถึงความพอดี เข้าถึงความพอเพียง เศรษฐกิจพอเพียงเพียงพอ
ความขี้เกียจขี้คร้านนี้ให้เรารู้จักเข้าใจนะ เราทุกคนหรือว่าเราทั้งหลายจะพากันไปขี้เกียจขี้คร้านไม่ได้ เพราะความขี้เกียจขี้คร้านมันเป็นนิติบุคคลตัวตน ตัวตนมันคือความขี้เกียจขี้คร้าน เราทั้งหลายอย่าไปทำอะไรตามใจตามอัธยาศัย ความขี้เกียจขี้คร้านเป็นสัญชาตญาณเป็นตัวเป็นตน เราอย่าไปสนใจความขี้เกียจขี้คร้าน เราทั้งหลายต้องผ่านด่านผ่านสัญชาตญาณที่เป็นตัวเป็นตน เราต้องผ่านด่านให้ได้ด้วยการปรับเข้าหาพระวินัย ปรับเข้าหาเวลา เราต้องรู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ เราจะข้ามด่านข้ามสัญชาตญาณไม่ได้นะ เราทั้งหลายต้องพากันเสียสละนิติบุคคล เสียสละตัวตน เราทุกคนต้องไม่มีขี้เกียจไม่มีขี้คร้าน เราต้องผ่านด่านขี้เกียจขี้คร้าน พระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่เป็นการยกเลิกตัวตน ให้ทุกคนไม่ทำอะไรตามใจตามอัธยาศัย เป็นการยกเลิกความขี้เกียจขี้คร้าน ที่วัดของเรามีสัญญาณระฆังให้ตื่นขึ้นมาตีสาม เพื่อพากันมาทำความเพียร ทำวัตรสวดมนต์ นั่งสมาธิ เพื่อมาเจริญสติสัมปชัญญะ เพื่อยกเลิกตัวตน เป็นบุคคลไม่มีตัวตน จะได้ยกเลิกความขี้เกียจขี้คร้าน เพราะความขี้เกียจขี้คร้านนั้นมันเป็นนิติบุคคลตัวตน
เราทุกคนต้องรู้ต้องเข้าใจ ว่าเราทุกคนต้องยกเลิกสัญชาตญาณที่เป็นตัวเป็นตนด้วยสติด้วยสัมปชัญญะ
เราทุกคนมีความสำคัญมั่นหมายว่าดินน้ำลมไฟที่เป็นร่างกายของเรา ว่าเป็นตัวเป็นตนของเรา เป็นร่างกายของคนอื่น ที่มีความสำคัญมั่นหมายว่าเราแก่เจ็บตายพลัดพราก เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้ผ่านด่านนี้ไป ผ่านด่านดินน้ำลมไฟไปด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยเอาพระธรรมเอาพระวินัย ด้วยข้อวัตรข้อปฏิบัติที่ติดต่อต่อเนื่องด้วยความเพียร เพื่อมาเจริญสติสัมปชัญญะ เพื่อเอาความสงบและปัญญาก้าวไปพร้อม ๆ กัน เราทั้งหลายจะไม่ได้ขี้เกียจขี้คร้าน เราต้องผ่านด่านสัญชาตญาณที่เป็นนิติบุคคลตัวตน ผ่านด่านธาตุทั้ง ๔ ผ่านด่านขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ ผ่านด่านไปด้วยความรู้ความเข้าใจ เราจะได้มีสติมีสัมปชัญญะในปัจจุบัน
ปัจจุบันเราต้องให้มีสติมีสัมปชัญญะ เพราะสติสัมปชัญญะนั้นให้เรารู้เข้าใจ เป็นธรรมะที่ยกเลิกนิติบุคคลตัวตน เป็นธรรมะที่เป็นความสงบและปัญญา เพื่อไม่ให้ธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะ ๑๒ นี้มันครอบงำใจของเรา เราต้องรู้จักอาคันตุกะ ธาตุทั้ง ๔ นี้ถือว่าอาคันตุกะนะ ขันธ์ทั้ง ๕ นี้ถือว่าอาคันตุกะนะ อายตะนภายใน ๖ นี้ถือว่าอาคันตุกะนะ อายตนะภายนอก ๖ นี้ถือว่าอาคันตุกะนะ ใจของเราจะได้เป็นใจที่ประภัสสร ใจจะประภัสสรได้ก็ต้องเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี เข้าถึงความสงบและปัญญาที่เป็นธรรมเป็นปัจจุบัน เราทุกคนถึงต้องเดินผ่านด่านความขี้เกียจขี้คร้าน ยกเลิกความขี้เกียจขี้คร้าน ให้เข้าใจหลักการประพฤติการปฏิบัติ เราจะเอามติของความขี้เกียจขี้คร้านมาครองใจของเราไม่ได้ เราทั้งหลายต้องจบลงด้วยความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ จะได้จบลงที่ปัจจุบัน ยกเลิกความขี้เกียจขี้คร้าน ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านพิจารณากระบวนการของปฏิจจสมุปบาท เพื่อหยุดสัญชาตญาณ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านหยุดสัญชาตญาณด้วยความรู้ความเข้าใจ เพื่อเอาสติสัมปชัญญะนั้นมาหยุดสัญชาตญาณ ที่ท่านพิจารณากระบวนการของปฏิจจสมุปบาท พิจารณาเรื่องกรรมเรื่องกฎแห่งกรรมเรื่องผลของกรรม
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ครั้งก่อนแต่การตรัสรู้ เมื่อเรายังไม่ได้ตรัสรู้ ยังเป็นโพธิสัตว์อยู่ ความปริวิตกอันนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า สัตว์โลกนี้หนอ ถึงแล้วซึ่งความยากเข็ญ ย่อมเกิด ย่อมแก่ ย่อมตาย ย่อมจุติ และย่อมอุบัติ ก็เมื่อสัตว์โลกไม่รู้จักอุบาย เครื่องออกไปพ้นจากทุกข์ คือชรามรณะแล้ว การออกจากทุกข์คือชรามรณะ นี้จักปรากฏขึ้นได้อย่างไร?
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความฉงนนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า เมื่ออะไรมีอยู่หนอ ชรามรณะ จึงได้มี เพราะมีอะไรเป็นปัจจัย จึงมีชรามรณะ ดังนี้
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความรู้แจ้งอย่างยิ่งด้วยปัญญา เพราะการทำในใจโดยแยบคาย ได้เกิดขึ้นแก่เราว่าเพราะ ชาติ นั่นแล มีอยู่ ชรามรณะ จึงได้มี เพราะมีชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรามรณะ ดังนี้
เพราะ ภพ นั่นแลมีอยู่ ชาติ จึงได้มี เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ ดังนี้
เพราะ อุปาทาน นั่นแลมีอยู่ ภพจึงได้มี เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัยจึงมีภพ ดังนี้
เพราะ ตัณหา นั่นแลมีอยู่อุปาทานจึงได้มี เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัยจึงมีอุปาทานดังนี้
เพราะ เวทนา นั่นแลมีอยู่ ตัณหาจึงได้มี เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัยจึงมีตัณหา ดังนี้
เพราะ ผัสสะ นั่นแลมีอยู่ เวทนาจึงได้มี เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัยจึงมีเวทนา ดังนี้
เพราะ สฬายตนะ นั่นแลมีอยู่ ผัสสะจึงได้มี เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัยจึงมีผัสสะดังนี้
เพราะ นามรูป นั่นแลมีอยู่สฬายตนะจึงได้มีเพราะมีนามรูปเป็นปัจจัยจึงมีสฬายตนะดังนี้
เพราะ วิญญาณ นั่นแลมีอยู่นามรูปจึงได้มี เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัยจึงมีนามรูปดังนี้
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความฉงนนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า “เมื่ออะไรมีอยู่หนอ วิญญาณจึงได้มี เพราะมีอะไรเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ” ดังนี้
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความรู้แจ้งอย่างยิ่งด้วยปัญญา เพราะการทำในใจโดยแยบคาย ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า “ เพราะนามรูปนั่นแล มีอยู่ วิญญาณ จึงได้มี เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ” ดังนี้
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความรู้แจ้งนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า “วิญญาณนี้ ย่อมเวียนกลับจากนามรูป ย่อมไม่เลยไปอื่น ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ สัตว์โลกนี้ พึงเกิดบ้าง พึงแก่บ้าง พึงตายบ้าง พึงจุติบ้าง พึงอุบัติบ้าง ข้อนี้ได้แก่การที่เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ เพราะมีชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะ โสกะปริเทวะ ทุกขะโทมนัส อุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการ อย่างนี้
เราทุกคนต้องพากันมารู้มาเข้าใจในขบวนการในการประพฤติการปฏิบัติ ให้เอาปัจจุบันเป็นวาระแห่งชาติของการประพฤติการปฏิบัติ
ให้เราทั้งหลายระลึกถึงโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนที่บริสุทธิคุณทั้งกายวาจากิริยามารยาทมมารวมลงที่ใจที่เจตนา ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสปัจฉิมโอวาทครั้งสุดท้ายไว้ว่า
“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”
โอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ
ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ
ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู
ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร
ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละคือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะว่าสิ่งเดิมนั้นคือความว่างเปล่า สิ่งที่สัญจรไปมาเป็นเพียงอาคันตุกะ เราจะได้เอาหลักการอุดการณ์ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นมรรคเป็นอริยมรรคที่ตรงกันข้ามกับโลกธรรมมาประพฤติมาปฏิบัติ ให้รู้เข้าใจ เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรม พระนิพพานความรู้ความเข้าใจในเรื่องกระบวนการปฏิจจสมุปบาท กระบวนการของปฏิจจสมุปบาทจะได้จบลงเพียงผัสสะ จะได้เป็นปัญญาเป็นความสงบ จะเป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหตุเหนือผล หยุดความปรุงแต่ง นี้เป็นขบวนการที่ติดต่อต่อเนื่อง เป็นบารมีเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นพระนิพพานบ้านของเรา ไม่ใช่อวิชชาความหลงเป็นบ้านของเรานะ พระนิพพานคือบ้านของเรา ความสงบและปัญญาถึงเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราจะหยุดวัฏฏสงสารได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยพระธรรมด้วยพระวินัย เป็นขบวนการของกระแสในการประพฤติการปฏิบัติที่ได้นำเอาพระธรรมพระวินัยมาประพฤติมาปฏิบัติในปัจจุบันให้ติดต่อต่อเนื่อง
ความสงบและปัญญาที่เป็นพระธรรมพระวินัยถึงหยุดความปรุงแต่งได้ ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิคู่กับการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน พระธรรมพระวินัยที่เป็นความรู้ความเข้าใจ ที่จะหยุดความปรุงแต่งได้ เข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ปัจจุบัน ไม่ต้องรอชาติหน้า พระนิพพานต้องอยู่ที่ปัจจุบันเท่านั้น
การบรรยายพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเช้าวันที่ ๓๐ ตุลาคมนี้ก็เห็นสมควรแก่เวลา ขอสมมติยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ เอวังก็มีด้วยประการละฉะนี้
-----------------------------------------
โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
เมตตาให้ไว้ในเช้าวันพฤหัสบดีที่ ๓๐ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา
