๓๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
วันนี้เป็นวันศุกร์เป็นวันสิ้นเดือนตุลาคม ตรงกับวันที่ ๓๑ เดือนตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้พวกเราทั้งหลายตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ให้พากันประพฤติพากันปฏิบัติกันในปัจจุบัน เพราะเหตุผลว่าปัจจุบันเป็นสิ่งที่สำคัญ อดีตที่ผ่านมาก็มารวมกันอยู่ที่ปัจจุบัน อนาคตที่จะไปข้างหน้าก็อยู่ที่ปัจจุบัน ปัจจุบันนี้ถึงเป็นสิ่งที่สำคัญ ปัจจุบันเป็นวาระแห่งชาติในการดำเนินชีวิตของเราทุก ๆ คน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เราตั้งใจตั้งเจตนา มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเราทุกคนจะไม่ได้มีความทุกข์ จะไม่ได้เป็นโรคซึมเศร้า จะได้รับประโยชน์ทางร่างกายและจิตใจไปพร้อม ๆ กัน
เราทุกคนให้รู้เข้าใจ ไม่ต้องไปพึ่งพาอาศัยใคร พึ่งพาอาศัยปัญญาสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้อง ความเข้าใจถูกต้อง แล้วปฏิบัติให้ถูกต้อง พากันประพฤติพากันปฏิบัติในปัจจุบัน เราทั้งหลายต้องยกเลิกความไม่ถูกต้อง เราจะยกเลิกความไม่ถูกต้องได้อย่างไร เราต้องยกเลิกด้วยความตั้งใจตั้งเจตนา เพราะเหตุผลว่า กายวาจากิริยามารยาทอาชีพเป็นเพียงอุปกรณ์ของใจ ถ้าใจของเรายกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ตั้งใจตั้งเจตนา แล้วก็มีสติมีสัมปชัญญะ เพราะสตินั้นจะเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติเข้าสู่ภาคบำบัด สติสัมปชัญญะนี้ถึงมีคุณมีประโยชน์ต่อเราทุก ๆ คน เราจะหยุดวัฏฏสงสารได้ด้วยการมีสติมีสัมปชัญญะ สิ่งที่เป็นอุปการะมากก็ได้แก่สติได้แก่สัมปชัญญะ
ให้พวกเราเข้าใจ ให้เราทุกคนพากันเห็นภัยในวัฏฏสงสาร เป็นผู้ละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป ตั้งใจตั้งเจตนา เน้นการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน เพื่อจะหยุดสัญชาตญาณที่มันกำลังกดดันผลักดัน กดดันเราทุก ๆ คน เราทุกคนถึงมีความจำเป็นจะต้องมีสติสัมปชัญญะ
อานาปานสติเป็นหลักการในการประพฤติการปฏิบัติ เราทุกคนต้องมีสติรู้ตัวทั่วพร้อม หายใจเข้าให้มีความสุข หายใจออกให้มีความสุข หายใจเข้าให้สบาย หายใจออกให้สบาย เพื่อจะได้เป็นเบรกเป็นเซฟตี้ เพื่อจะได้หยุดความปรุงแต่ง เราทั้งหลายจะไม่ได้ไปตามธาตุตามขันธ์ตามอายตนะ อาศัยหลักการอานาปานสตินี้แหละ หายใจเข้าก็ให้มีความสุข หายใจออกก็ให้มีความสบาย หายใจเข้าก็รู้ว่าอันนี้มันไม่แน่ไม่เที่ยง มันเข้าไปเดี๋ยวมันก็ออกมา มันเป็นอาคันตุกะที่สัญจรไปมาชั่วครู่ชั่วยาม หายใจเข้าหายใจออกล้วนตั้งแต่ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนให้เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป
หลักการอานาปานสติเราทุกคนต้องเอามาใช้เอามาประพฤติมาปฏิบัตินะ ไม่ใช่ใช้เฉพาะตอนนั่งสมาธิ เดิน ยืน นั่ง นอน เอาไปใช้งานได้ทั้งหมด หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายกรรมฐานของเมืองไทย ท่านจึงกำชับว่าให้ทำอานาปานสติพร้อมกำกับพุทโธไป หายใจเข้าท่องพุทธ หายใจออกท่องโธ เพื่อให้มีสติสัมปชัญญะ เพื่อให้เป็นอุปกรณ์ในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อจะหยุดแรงเหวี่ยงของวัฏฏสงสาร หยุดแรงเหวี่ยงของสัญชาตญาณที่มันเป็นนิติบุคคลตัวตน เราทุกคนต้องเจริญอานาปานสติ
เราทุกคนต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสาร มีความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป ถึงโลกนี้จะสวยสดงดงาม ถึงโลกนี้จะเจ็บปวด เราต้องรู้เข้าใจ ให้เราพากันมีสติมีสัมปชัญญะ
ทำอย่างไรมันก็ไม่สงบ... ถ้ามันไม่สงบก็ให้ใช้หลักการด้วยการหยุดลมหายใจของตัวเอง มีสติกับการหยุดลมหายใจของตัวเอง ถ้าเราหยุดหายใจ ร่างกายของเราขาดอากาศความปรุงแต่งนั้นมันก็จะหยุดไปพร้อม ๆ กัน ความปรุงแต่งนั้นก็จะหยุดลง เพราะว่าเรามีสติอยู่กับการหยุดลมหายใจ
ให้เข้าใจนะ วาระจิตของเราทุกคนเราคิดได้ทีละอย่าง ถ้าเราเอาสติไปไว้กับอะไรมันก็ไปกับสิ่งนั้น ๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงไม่ให้เราไปตรึกนึกคิดในเรื่องของกาม ไม่ให้เราไปตรึกนึกคิดในเรื่องของพยาบาท ให้เรามีสติมีสัมปชัญญะในปัจจุบัน เราต้องรู้ต้องเข้าใจ ว่าการเจริญสติสัมปชัญญะนี้ดีมาก มีประโยชน์มาก มีคุณมาก เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เพื่อเราทั้งหลายจะได้ยกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้อง หมายถึงยกเลิกตัวตน ตัวตนคือความไม่ถูกต้อง ความถูกต้องคือต้องยกเลิกตัวตน อะไรที่จะมายกเลิกตัวตน ก็ได้แก่สติและสัมปชัญญะ ที่เป็นธรรมะที่มีคุณมีประโยชน์มาก
เราทั้งหลายพากันประพฤติพากันปฏิบัตินะ เราอยู่ที่ไหนก็พากันปฏิบัติอยู่ที่นั่น การประพฤติการปฏิบัตินั้น เราอยู่ที่ไหนทำอะไรนั้น เราอยู่ที่ไหนทำอะไรเราก็ปฏิบัติที่นั่น การประพฤติการปฏิบัติถึงไม่เลือกกาลไม่เลือกเวลา เพราะการประพฤติการปฏิบัติเราอยู่ที่ไหนก็ปฏิบัติที่นั่น มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาประพฤติการปฏิบัติ ถ้าเราไม่ประพฤติไม่ปฏิบัติเราก็จะหยุดสัญชาตญาณในการเวียนว่ายตายเกิดไม่ได้ สติสัมปชัญญะนี้เป็นธรรมเป็นสภาวธรรมที่หยุดเวียนว่ายตายเกิด สติสัมปชัญญะนั้นต้องรวมกันเป็นหนึ่งนะ
ถ้าเรามีความทุกข์ใจหรือว่ามีความดีใจ ใจอย่างนี้ไม่ใช่ใจเป็นหนึ่งนะ ใจเป็นสองนะ ความปรุงแต่งนั้นคือความเป็นสองนะ เตสังวูปะสะโมสุโข ความสงบระงับสังขารถึงเป็นความดับทุกข์อย่างยิ่ง มันเป็นความสงบมันเป็นความพอเพียงเพียงพอ การประพฤติการปฏิบัตินั้นน่ะที่เป็นสติเป็นสัมปชัญญะ มันจะหยุดความปรุงแต่ง ใจของเราถึงจะเป็นหนึ่ง เพราะใจของเรามันจะไม่เป็นสอง
ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ให้เราประมาทนั้นน่ะ ถ้าเราประมาทมันก็มีเรื่องมีราว อริยมรรคมีองค์แปดตั้งแต่สัมมาทิฏฐิความเห็นถูกต้อง จนไปถึงสัมมาสมาธิมันเป็นวงจรของการประพฤติของการปฏิบัติ
มีคำถามว่า ทำไมหลาย ๆ คนมีความขยัน ขยันมาก ๆ แต่ทำไมไม่หมดกิเลส ไม่สิ้นอาสวะ อันนั้นให้เข้าใจนะ มันมีสัมมาสมาธิจริง แต่สมาธิมันเป็นไปเพื่อตัวเพื่อตน มีความตั้งมั่นในความขยันในความหมั่นเพียรแต่มันเป็นนิติบุคคลตัวตน มันไม่ได้เอาทางวิทยาศาสตร์เอาทางใจไปพร้อม ๆ กัน มันเป็นสัญชาตญาณ มันเป็นตัวเป็นตน ให้เข้าใจนะ ตัวตนนั้นแหละ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่า มีแต่ทุกข์เกิดขึ้น มีแต่ทุกข์ตั้งอยู่ มีแต่ทุกข์ดับไป ไม่มีอะไรมากไม่มีอะไรน้อยกว่าความทุกข์นะ เปรียบเสมือนทะเลมหาสมุทรไม่อิ่มด้วยน้ำบกพร่องอยู่เป็นนิจอยู่ตลอดกาลตลอดเวลา เปรียบเสมือนไฟไม่อิ่มด้วยเชื้อของเพลิง
ให้เราเข้าใจ ถึงเราจะขยันหมั่นเพียร เพียรไปเพื่อตัวเพื่อตน นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายนั้นดีแล้วถูกต้อง แต่นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายต้องพัฒนาใจไปพร้อม ๆ กันถึงจะเข้าถึงความสงบความพอเพียงเพียงพอเข้าถึงความพอดี ไม่มากเกินไปไม่หย่อนเกินไป
ด้วยเหตุผลนี้เราทั้งหลายต้องพากันเข้าใจนะ ไม่เข้าใจไม่ได้นะ ต้องพากันมามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เห็นคุณค่าของการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเราจะได้เข้าสู่หลักการอุดมการณ์อุดมธรรมด้วยปิติด้วยความสุขเอกัคคตา เพื่อเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เราทั้งหลายจะได้เป็นมนุษย์ผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เราต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสารนะ อย่าได้ผ่านไปด้วยความประมาท ต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสาร ต้องเบรกตัวเองให้อยู่
ทำไมมนุษย์เราไม่มีปัญญา ทำไมเทวดาของเราไม่มีปัญญา ทำไมพระพรหมไม่มีปัญญา มันจะมีปัญญาได้อย่างไร เพราะไม่ได้เอาทางสายกลาง เราไม่เข้าใจ เราทุกคนถึงเป็นโรคไบโพล่า หัวใจมันเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาตามผัสสะ ผัสสะทางตาก็ไปทางตา ผัสสทางหูก็ไปกับหู ผัสสะทางจมูกก็กับกับจมูก ผัสสะทางลิ้นก็ไปกับลิ้น ผัสสะทางกายก็ไปกับกาย ผัสสะทางใจก็ไปกับใจ มันเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาเป็นโรคไบโพล่า สติสัมปชัญญะที่เรามีความและละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาปเห็นภัยในวัฏฏสงสารมันถึงจะหยุดโรคไบโพล่าที่มันเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาในปัจจุบัน สิ่งต่าง ๆ นั้นจะหยุดได้ด้วยสติด้วยสัมปชัญญะ ด้วยความรู้ความเข้าใจ เห็นภัยในความไม่ถูกต้อง เห็นภัยในความผิด เห็นภัยในวัฏฏสงสาร ให้เรารู้ให้เราเข้าใจ
เราทั้งหลายอย่าให้มันเสียหายไปมากกว่านี้นะ เราทำตามความไม่รู้ไม่เข้าใจ มันเสียหาย เสียหายมาก ๆ เลย เสียหายเหมือนตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ตึกสูงใหญ่ ๓๐ กว่าชั้นอยู่ในกลางกรุง อยู่ในกลางเมืองหลวง แผ่นดินอยู่ห่างไกลตั้งพันกว่ากิโล อยู่ตั้งมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า ตึก สตง. นั้นพังทลาย พังตึกเดียวเฉพาะตึก สตง. ตึกอื่นทั้งใหญ่กว่าสูงกว่ามีมากมายทั้งในกรุงเทพฯปริมณฑลจังหวัดใกล้เคียงต่างจังหวัด ที่ไหนเค้าก็ไม่พัง พังตึกเดียวคือตึก สตง. เพราะว่ามันไม่ถูกต้อง ความไม่ถูกต้องคือทุจริต ถ้าเราเอาสัญชาตญาณที่เป็นตัวเป็นตนนำชีวิต ชีวิตนี้ก็ย่อมเสียหายย่อมพังทลายอย่างเช่นเดียวกับตึก สตง.
ให้พวกเราทุกคนพาเข้าใจนะ จะได้เอาปัจจุบันเป็นวาระสำคัญ จะได้มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เราทำอย่างนี้ถึงจะแก้ปัญหาได้ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบอกกับพวกเราทั้งหลายว่า ให้เราเอาทั้งทางวิทยาศาสตร์ เอาทั้งทางใจไปพร้อม ๆ กันเป็นอริยมรรค อริยมรรคนี้ก็หมายถึงเป็นหลักการ เป็นอุดมการณ์อุดมธรรในการประพฤติการปฏิบัติ เน้นการประพฤติเน้นการปฏิบัติอยู่ที่ปัจจุบัน
ทุกคนต้องพากันประพฤติพากันปฏิบัติเอาเอง ไม่มีใครประพฤติปฏิบัติแทนกันได้ ให้ตั้งใจตั้งเจตนา มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายถึงจะไม่เกิดโรคซึมเศร้า เราทั้งหลายจะไม่ได้อารมณ์เหวี่ยงไปเหวี่ยงมาเป็นโรคไบโพล่า สิ่งที่เสียหายที่มันผ่านมาแล้วก็แล้วไป เพราะสิ่งที่มันผ่านมาแล้วมันแก้ไขไม่ได้ ถึงมีหลักการว่าอย่าไปตรึกอย่าไปนึกคิดในสิ่งที่ผ่านมาแล้ว เพียงแต่จับหลักการไว้ว่านี้ไม่ตรึก ไม่นึก ไม่คิด ไม่ต้องทำความผิดซ้ำแล้วซ้ำอีก ให้มันจบเรื่องจบราวในปัจจุบันนี้แหละ ให้มันจบลงในปัจจุบัน จบลงที่ผัสสะ ให้มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน จะได้สว่างไสวทั้งทางวิทยาศาสตร์ สว่างไสวทางใจไปพร้อม ๆ กัน เข้าถึงความเป็นมนุษย์ เข้าถึงความเป็นเทวดา เป็นพรหม เป็นพระอริยเจ้า ผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสารในปัจจุบัน เราทุกคนให้เข้าใจ เราต้องเสียสละ เราต้องยกเลิกวัฏฏสงสาร หยุดสัญชาตญาณที่เราพากันเวียนว่ายตายเกิดด้วยเห็นภัยในวัฏฏสงสาร ด้วยการมาเจริญสติสัมปชัญญะ
เราทุกคนให้พากันเข้าใจ ให้ตั้งใจตั้งเจตนา พากันมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เอาพระรัตนตรัยที่เป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ เอาพระธรรมคำสั่งสอน ยกเลิกตัวตน เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งใจ เราต้องพากันเข้าใจอย่างนี้ พากันมีสติสัมปชัญญะให้เต็มที่ ด้วยเหตุผลนี้แหละ ผู้มีปัญญามาก ๆ ก็ต้องมีความสงบมาก ๆ ผู้มีความสงบมาก ๆ ก็ต้องเสียสละมาก ๆ มันจะเข้าถึงหลักการ เข้าถึงความพอดี เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ ตามหลักคติธรรมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช รัชกาลที่ ๙ ของเมืองไทย ท่านได้ตรัสแก่ประชาชนชาวไทยและชาวโลกว่า ให้พากันรู้เข้าใจ พากันเข้าถึงสติเข้าถึงสัมปชัญญะ เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เราต้องรู้เข้าใจ อยากได้มากมันก็ไม่มากมันก็เท่าเก่าเท่าเดิม อยากได้น้อยมันก็ไม่น้อยมันก็เท่าเก่าเท่าเดิม เราต้องรู้เข้าใจ เราจะไปคิดมันทำไม ไปตรึกมันทำไม มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นทุกข์เปล่า ๆ สติสัมปชัญญะนั้นมันเป็นความพอเพียงเพียงพอ เป็นเศรษฐกิจพอเพียง ให้เรารู้เข้าใจ
เราทั้งหลายอย่าอาศัยความหลงเป็นอยู่นะ เราทั้งหลายนี้ที่มันเป็นสัญชาตญาณเป็นตัวเป็นตนมันอาศัยความหลงเป็นอยู่ อยู่ด้วยความหลง ไม่ได้อยู่ด้วยสติด้วยสัมปชัญญะ เราทั้งหลายถึงเน้นที่ปัจจุบันด้วยความตั้งใจตั้งเจตนา ช่างหัวมันที่มันผ่านมาแล้ว มันแก้ไขไม่ได้ เพราะมันผ่านมาแล้วมันเกษียณแล้ว ให้เราทุกคนมาประพฤติมาปฏิบัติในปัจจุบัน ปฏิบัติให้มันติดต่อต่อเนื่อง อย่าเอาความหลงนำชีวิต อย่าเอาความผิดนำชีวิต การทำอะไรที่ติดต่อต่อเนื่องมันจะไม่ได้วกไปวนมา มันจะก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ มันจะก้าวไปด้วยสติด้วยสัมปชัญญะ
เราคิดดูดี ๆ นะ รายการต่าง ๆ ทางโทรทัศน์ รายการดี ๆ นั้นก็ย่อมมีการโฆษณา โฆษณาสินค้าสรรพสินค้า ฉันใดก็ฉันนั้น เรามีตามีหูมีจมูกมีลิ้นมีกายมีใจที่เป็นสิ่งภายในก็ย่อมมีผัสสะ ก็ย่อมมีการโฆษณา เราต้องรู้เข้าใจ เราจะได้ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ เราทั้งหลายจะไม่ได้หลงไปตามผัสสะ ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม เราทั้งหลายจะได้จบลงที่ปัจจุบัน จบลงที่ผัสสะ การโฆษณานั้นมันมาชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจว่านี้เป็นเพียงอาคันตุกะที่สัญจรไปมา ที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป เราต้องเข้าใจอย่างนี้ เข้าใจในหลักการประพฤติการปฏิบัติ เราจะรู้ว่า ธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ ๕ อายตนะทั้ง ๖ มาให้เราได้ประพฤติได้ปฏิบัติธรรม มาให้เราที่เป็นข้อสอบข้อตอบ เราจะได้ก้าวไปด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิ ทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพมารวมลงที่ใจที่เจตนา ด้วยเหตุผลนี้เราต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายจะได้รู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ไม่ใช่ว่างจากสิ่งที่ไม่มี เราต้องรู้เข้าใจ ว่างจากสิ่งที่ไม่มีจะถือว่าเป็นความว่างได้อย่างไร ให้เราเข้าใจเรื่องความว่าง ให้รู้หลักการในการประพฤติการปฏิบัติ เราจะไม่ได้ไปตามผัสสะตามสิ่งแวดล้อม เราจะได้จบลงที่ปัจจุบันจบลงที่ผัสสะนี้
เราทั้งหลายต้องพากันผ่านไปด้วยความรู้ความเข้าใจ อะไรจะเกิดขึ้น อะไรจะตั้งอยู่ อะไรจะดับไปให้เอาคติธรรมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ว่าช่างหัวเผือกช่างหัวมัน มันเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปมันก็ไม่มีอะไร มันก็มีเพียงเท่านี้
การปฏิบัติธรรมมันเป็นเรื่องปัจจุบันนะ ให้พากันเข้าใจ ที่มีผู้ไปทูลถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าตายแล้วเกิดหรือว่าตายแล้วสูญ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านไม่ตอบ มันไม่ใช่ความดับทุกข์ ความดับทุกข์มันอยู่ที่ปัจจุบัน อยู่ที่มีสติสัมปชัญญะ อยู่ที่เรารู้เข้าใจในวัฏฏสงสาร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านไม่ตอบ ท่านให้เอาปัจจุบันเป็นวาระแห่งชาติ เข้าถึงความดับทุกข์เดี๋ยวนี้ เพราะปัจจุบันเป็นพื้นเป็นฐานของโอกาสต่อไป ให้พวกเรารู้เข้าใจ ปัจจุบันเป็นการประพฤติการปฏิบัติของเรา
มีผู้ไปทูลถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ตายแล้วเกิดหรือว่าตายแล้วสูญ จะเอาหลักการที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรมในการประพฤติการปฏิบัติ
มีผู้ทูลถามปัญหาเรื่องตายเรื่องเกิดว่าตายแล้วเกิดอีกไหม หรือว่าตายแล้วก็สูญไป องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านไม่ทรงตอบว่าตายแล้วเกิดหรือว่าตายแล้วสูญ ท่านตอบว่าแล้วแต่เหตุแล้วแต่ปัจจัย ถ้าสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปก็ต้องมี ถ้าสิ่งนี้ไม่มีสิ่งต่อไปก็ไม่มี เพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นขึ้นอยู่ที่เหตุที่ปัจจัย
ปัญหาที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงตอบ ให้เรารู้เข้าใจด้วยปัญญา
มีปัญหาบางประเภทที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงตอบ ปัญหาดังกล่าวนั้นมีอะไรบ้าง และเพราะเหตุอะไร พระพุทธองค์ถึงไม่ทรงตอบ
พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า “... ดูก่อนมาลุงกยบุตร... เธอทั้งหลายจงจำปัญหาที่เราไม่พยากรณ์ และจงจำปัญหาที่เราพยากรณ์... อะไรเล่าที่เราไม่พยากรณ์
ดูก่อนมาลุงกยบุตร ทิฐิที่ว่า โลกนี้เป็นของเที่ยง โลกนี้เป็นของไม่เที่ยง โลกนี้มีที่สุด โลกนี้ไม่มีที่สุด ชีพอันนั้น สรีระก็อันนั้น ชีพอย่างหนึ่ง สรีระอย่างหนึ่ง สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปไม่มีอยู่ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไป มีอยู่ก็มีไม่มีอยู่ก็มี สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไป มีอยู่ก็หามิได้ ไม่มีอยู่ก็หามิได้ ดังนี้เราไม่พยากรณ์ปัญหานั้น
ก็เพราะเหตุไร ข้อนั้นเราจึงไม่พยากรณ์ เพราะข้อนั้นไม่ประกอบด้วยคุณไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่เป็นเบื้องต้นแห่งการประพฤติการปฏิบัติพรหมจรรย์ ไม่เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย คลายความยึดมันถือมั่น เพื่อความเบื่อหน่ายคลายความกำหนัดคลายความยินดี เพื่อความดับทุกข์ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อพระนิพพาน ดูก่อน มาลุงกยบุตร ด้วยเหตุนั้น เราจึงไม่พยากรณ์ในเรื่องนั้น ๆ ในข้อนั้น ๆ
“... ดูก่อนมาลุงกยบุตร... อะไรเล่าที่เราพยากรณ์ ดูก่อนมาลุงกยบุตร ความเห็นว่านี้คือความทุกข์ นี้เหตุให้เกิดความทุกข์ นี้เหตุให้เกิดความดับทุกข์ นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ดังนี้เราพยากรณ์ ก็เพราะเหตุไรเราจึงพยากรณ์ข้อนั้น เพราะข้อนั้นประกอบด้วยคุณและประโยชน์ เป็นเบื้องต้นแห่งการประพฤติการปฏิบัติพรหมจรรย์ เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อความคลายกำหนัด เพื่อความดับทุกข์ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน เหตุนั้น เราจึงพยากรณ์ตรัสให้เข้าใจในปัญหานั้น ๆ ให้แจ่มแจ้งให้เข้าใจ
“... ดูก่อนมาลุงกยบุตร... บุคคลใดแลจะพึงกล่าวอย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคจักไม่ทรงพยากรณ์แก่เรา ในเรื่องทิฐิ ๑๐ ประการนั้น เพียงใด เราจักไม่ประพฤติปฏิบัติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาคเพียงนั้น พระตถาคตจะไม่พึงพยากรณ์ในข้อนั้น ๆ ในสิ่งเหล่านั้น เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่ปัญหารีบด่วน ไม่ใช่เรื่องธรรมไม่ใช่เรื่องปัจจุบันธรรม เราตรัสให้มีปัญญา ให้รู้เข้าใจ ให้เกิดความสงบเกิดปัญญา เพราะปัจจุบันเป็นวาระสำคัญของการประพฤติการปฏิบัติ การประพฤติการปฏิบัตินั้นไม่ใช่เรื่องอดีตไม่ใช่เรื่องอนาคต มันเป็นเรื่องปัจจุบัน ปัจจุบันนั้นเป็นเรื่องกรรมเรื่องกฎของกรรม แล้วจะเป็นผลของกรรม
ดูก่อนมาลุงกยบุตร เปรียบเหมือนบุรุษผู้หนึ่ง ถูกยิงด้วยลูกศรอาบยาพิษที่ฉาบทาไว้หนา มิตรอำมาตญาติสายโลหิตของบุรุษนั้น พึงไปหาแพทย์ผู้ชำนาญในการผ่าตัดอย่างรีบด่วน แต่บุรุษผู้ถูกยิงด้วยลูกศรนั้นกล่าวอย่างนี้ว่า เรายังไม่รู้จักบุรุษผู้ยิงเรานั้นว่าเป็นใคร เป็นกษัตริย์ เป็นพราหมณ์ เป็นแพศย์ เป็นหรือศูทร มีชื่อว่าอย่างนี้ มีโคตรอย่างนี้ มีชาติมีตระกูลตระกูลต่ำหรือปานกลาง ผิวดำหรือผิวขาวหรือผิวสองสี อยู่บ้านไหนอยู่นิคมไหน หรือในนครไหนนครโน้นนครนี่ ถ้าเราไม่รู้จักคนยิงลูกศร เราจะไม่นำลูกศรนี้ออกจากร่างกาย
บุรุษผู้ที่ถูกยิงด้วยลูกศรนั้นด้วยคำกล่าวอย่างนี้ว่า เรายังไม่รู้จักธนูที่ใช้ยิงเรานั้นเป็นชนิดมีที่แร่หรือเกาทัณฑ์ สายที่ธนูที่ยิงเรานั้นเป็นสายทำด้วยปอ หรือไม้ไผ่ หรือเอ็น ป่าน หรือเยื่อไม้ ลูกธนูที่ยิงเรานั้น ทำด้วยไม้ที่เกิดเองหรือไม้ที่ปลูก เกาทัณฑ์ที่ยิงเรานั้นเขาเสียบด้วยขนปีกนกแร้ง นกตะกรุม เหยี่ยว นกยูง หรือนกชื่อว่าสิถิลหนุ (คางหย่อน) เกาทัณฑ์นั้นเขาพันด้วยเอ็นวัว ควาย ค่าง หรือลิง ลูกธนูชนิดที่ยิงเรานั้นเป็นชนิดอะไร ดังนี้ เราจักไม่นำลูกศรนี้ออก
ดูก่อนมาลุงกยบุตร บุรุษนั้นพึงรู้ข้อนั้นไม่ได้เลย โดยที่แท้บุรุษนั้นพึงทำกาละไปฉันใด
ดูก่อนมาลุงกยบุตร บุคคลใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่ทรงพยากรณ์ทิฐิ ๑๐ นั้น แก่เราให้เราเข้าใจ เราจะไม่ประพฤติเราจะไม่ปฏิบัติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาค ข้อนี้พระตถาคตเจ้าไม่พยากรณ์เลย โดยที่แท้บุคคลนั้นพึงทำกาละไปเปล่าๆ เพราะจะไปแก้ปัญหาปลายเหตุ
ปัญหาต่าง ๆ มันอยู่ที่เหตุ ปัญหารีบด่วนคือเรื่องปัจจุบัน ปัจจุบันถึงเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นวาระสำคัญ ปัจจุบันเป็นสิ่งที่รีบด่วน ด่วนยิ่ง เราทั้งหลายถึงเอาเรื่องปัจจุบันเป็นเรื่องสำคัญ ปัจจุบันถึงเป็นวาระแห่งชาติ เพราะอดีตมันก็มารวมอยู่ที่ปัจจุบัน อนาคตที่จะไปข้างหน้ามันก็อยู่ที่ปัจจุบัน ปัจจุบันให้เรารู้เข้าใจ ปัจจุบันถ้าเราไม่รู้เข้าใจเอาความหลงนำชีวิต เราเอาทิฏฐิมานะอัตตาตัวตนนำชีวิต พระโมคคัลลาสารีบุตร ไปบรรพชาอุปสมบทกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระโมคคัลลานั้นได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ขีณาสพก่อน ผู้ที่มีทิฏฐิมานะมากอัตตาตัวตนมาก มีตัวมีตนมากก็ย่อมได้บรรลุธรรมช้า เพราะทิฏฐิมาก ปัญญามาก ความสงบกับปัญญาไม่เสมอกัน เช่น ระบบสมองของมนุษย์กับลมหายใจนี้ไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ความสงบกับปัญญานั้นไม่ได้เป็นคู่กันไป
เราทั้งหลายพากันเข้าใจในการประพฤติการปฏิบัตินะ ให้เน้นลงที่ปัจจุบันนี้แหละ ปัจจุบันนี้ต้องให้ความสงบและปัญญาก้าวไปพร้อม ๆ กันเป็นหนึ่ง เป็นความพอเพียงเพียงพอ เราต้องรู้ต้องเข้าใจ เห็นภัยในความไม่ถูกต้อง เดี๋ยวมันจะเสียหาย เดี๋ยวมันจะพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกันกับตึก สตง. เราพากันปฏิบัติเดินทางสายกลางระหว่างจิตใจกับวัตถุ ระหว่างจิตใจกับวิทยาศาสตร์ เพื่อให้เข้าถึงฟอร์มสดในปัจจุบัน ปัจจุบันเป็นวาระแห่งชาติของการประพฤติการปฏิบัติ
ให้เราเข้าใจ จะได้ยกเลิก จะได้เปลี่ยนแปลง ต้องเอาไปใช้ต้องเอาไปปฏิบัติอยู่ทุกหนทุกแห่งที่เรามีลมปราณ เพื่อพัฒนาใจพัฒนาวัตถุไปพร้อม ๆ กัน ไม่ต้องไปล่อยให้เกิดความเสียหายเหมือนที่ผ่านมา เราต้องรู้หลักอริยมรรคมีองค์แปด อย่าตั้งอยู่ในความประมาท ให้เอาปัจจุบันเป็นวาระสำคัญแห่งการประพฤติการปฏิบัติ ให้มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน เราลองคิดดูดี ๆ นะ ถ้าเราคิดดี ๆ ยกเลิกตัวตน เราทุกคนก็มีพระนิพพานแล้ว
เราพูดดี ๆ ยกเลิกตัวตนเราทุกคนก็มีพระนิพพานแล้ว กิริยามารยาทดี ๆ ยกเลิกตัวตนเราก็มีพระนิพพานแล้ว อาชีพดี ๆ ยกเลิกตัวตนเราทุกคนก็มีพระนิพพานอยู่แล้ว พระนิพพานเป็นสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้องปฏิบัติถูกต้องในปัจจุบัน ให้เรารู้ให้เข้าใจนะ เราทั้งหลายจะได้ทำหน้าที่ทั้งกายทั้งใจไปพร้อม ๆ กันเป็นอริยมรรคในการดำเนินชีวิตที่ประเสริฐของเราทุก ๆ คน ทุกชาติทุกศาสนา ทุก ๆ ประเทศนี้ก็ใช้หลักการเดียวกันหมด คือพัฒนาเรื่องจิตเรื่องใจกับวัตถุไปพร้อม ๆ กันเป็นทางสายกลาง ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน ทุกคนก็จะเข้าถึงความสุขความดับทุกข์ได้ เพราะความดับทุกข์มันก็เป็นสากล ความทุกข์มันก็เป็นสากล ถ้าจะว่านรกหลุมต่าง ๆ ก็เป็นนรกหลุมเดียวกัน สวรรค์ชั้นต่าง ๆ ก็คือชั้นเดียวกันนั่นแหละ พรหมชั้นต่าง ๆ ก็คือชั้นเดียวกันนั่นแหละ ให้เรารู้เข้าใจ มันอยู่ไมใกล้ไม่ไกลนะ มันอยู่ที่กายวาจากิริยามารยาทอาชีพ ถึงต้องมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ
เราทั้งหลายพากันตั้งมั่น มีสติมีสัมปชัญญะ เพื่อจะได้เป็นพระนิพพาน ด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา เราระลึกถึงโอวาทธรรมคำสั่งสอนขององค์พระศาสนาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสปัจฉิมโอวาทเพื่อเป็นประโยชน์ต่อประชาชนต่อมหาชนเป็นประโยชน์ต่อเราและคนอื่น ให้พวกเราทั้งหลายพากันเข้าใจ เห็นภัยในวัฏฏสงสาร ไม่พากันประมาท เดี๋ยวจะเสียหาย ท่านได้ตรัสโอวาทสำคัญครั้งสุดท้ายไว้ว่า
“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”
โอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ
ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ
ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู
ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร
ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละคือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะว่าสิ่งเดิมนั้นคือความว่างเปล่า สิ่งที่สัญจรไปมาเป็นเพียงอาคันตุกะ เราจะได้เอาหลักการอุดการณ์ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นมรรคเป็นอริยมรรคที่ตรงกันข้ามกับโลกธรรมมาประพฤติมาปฏิบัติ
ให้รู้เข้าใจ เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรม พระนิพพานความรู้ความเข้าใจในเรื่องกระบวนการปฏิจจสมุปบาท กระบวนการของปฏิจจสมุปบาทจะได้จบลงเพียงผัสสะ จะได้เป็นปัญญาเป็นความสงบ จะเป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหตุเหนือผล หยุดความปรุงแต่ง นี้เป็นขบวนการที่ติดต่อต่อเนื่อง เป็นบารมีเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นพระนิพพานบ้านของเรา ไม่ใช่อวิชชาความหลงเป็นบ้านของเรานะ พระนิพพานคือบ้านของเรา ความสงบและปัญญาถึงเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราจะหยุดวัฏฏสงสารได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยพระธรรมด้วยพระวินัย เป็นขบวนการของกระแสในการประพฤติการปฏิบัติที่ได้นำเอาพระธรรมพระวินัยมาประพฤติมาปฏิบัติในปัจจุบันให้ติดต่อต่อเนื่อง
ความสงบและปัญญาที่เป็นพระธรรมพระวินัยถึงหยุดความปรุงแต่งได้ ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิคู่กับการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน พระธรรมพระวินัยที่เป็นความรู้ความเข้าใจ ที่จะหยุดความปรุงแต่งได้ เข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ปัจจุบัน ไม่ต้องรอชาติหน้า พระนิพพานต้องอยู่ที่ปัจจุบันเท่านั้น
-----------------------------------------
โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
เมตตาให้ไว้ในเช้าวันศุกร์ที่ ๓๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา
