๑ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

วันนี้เป็นวันเสาร์ที่  ๑ เดือนพฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

 

พสกนิกรชาวไทยและชาวต่างประเทศได้มาร่วมรวมกันประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อน้อมอุทิศถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ด้วยความโทมนัสและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ที่พระองค์ได้ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยและชาวโลกตลอดระยะเวลาที่ยาวนาน พระองค์ทรงเป็นดั่งแม่แห่งแผ่นดิน ผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตาและพระปรีชาสามารถ ทรงอุทิศพระวรกาย พระสติปัญญา และพระราชหฤทัยในการบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการ เคียงคู่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เพื่อธำรงไว้ซึ่งความผาสุกและความมั่นคงแห่งชาติไทย เราประชาชนชาวไทยต้องร่วมใจสมัครสมานสามัคคีทำความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เพื่ออุทิศบุญกุศลน้อมเกล้าถวาย เพื่อเสด็จสู่สวรรคาลัย เข้าสู่สวรรค์มรรคผลพระนิพพาน

 

วันจันทร์อังคารพุธพฤหัสศุกร์เป็นวันทำงานของข้าราชการเพื่อบริหารตัวเราบริหารผู้อื่น บริหารประเทศ วันเสาร์วันอาทิตย์เป็นวันหยุดการทำงานของข้าราชการเพื่อพัฒนาเรื่องจิตเรื่องใจ

 

มนุษย์เรามีอายุขัยอยู่ได้ร่วม ๆ ร้อยปี คือหนึ่งศตวรรษ ศตวรรษหนึ่งคือร้อยปี การดำเนินชีวิตของมนุษย์ต้องเอาทางสายกลางระหว่างจิตใจกับวัตถุไปพร้อม ๆ กัน เพื่อการอาศัยพัฒนาทางวิทยาศาสตร์เพื่ออำนวยความสะดวกสบายทางวัตถุให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป พร้อมทั้งพัฒนาเรื่องจิตเรื่องใจไปพร้อม ๆ กัน เพื่อให้เป็นทางสายกลางระหว่างเรื่องจิตเรื่องใจกับเรื่องวัตถุ จะได้เกิดความพอดีความพอเพียงเพียงอ เพื่อให้ความสงบและปัญญาได้ก้าวไปพร้อม ๆ กัน

 

มนุษย์เราทุกคนเราต้องรู้ต้องเข้าใจในการประพฤติในการปฏิบัติของตัวเราเอง พากันมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เน้นในการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน เพราะอดีตทั้งหลายทั้งปวงที่ผ่านมาก็รวมกันที่ปัจจุบันแล้ว อนาคตที่อยู่ข้างหน้าที่ไปไม่ถึงก็อยู่ที่ปัจจุบันนี้เอง ปัจจุบันถึงเป็นวาระแห่งชาติในการประพฤติการปฏิบัติที่เป็นอริยมรรค เป็นอริยมรรคทั้งกายทั้งวาจาทั้งกิริยามารยาททั้งอาชีพมารวมลงที่ใจที่เจตนา

 

ให้เราทุกคนเข้าใจว่า กายวาจากิริยามารยาทอาชีพมันมารวมงที่ใจที่เจตนา กายวาจากิริยามารยาทอาชีพให้เราเข้าใจว่านี้เป็นอุปกรณ์ของใจ ความรู้ความเข้าใจอย่างนี้เป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ ให้เราทั้งหลายที่เป็นมนุษย์พากันรู้พากันเข้าใจ สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นถือว่าปัจจุบันเป็นวาระสำคัญในการประพฤติการปฏิบัติ ให้เข้าใจในเบื้องต้น ท่ามกลาง และในที่สุด ที่เป็นบารมี ๑๐ ทัศ ๒๐ ทัศ ๓๐ ทัศ คำว่าทัศนี้หมายถึงบรรทัดฐานนะ เค้าจะสร้างบ้านสร้างเมืองเค้าก็ต้องมีเครื่องวัด วัดสั้นวัดยาววัดสูงวัดต่ำ วัดน้ำหนักหนักเบา เพื่อเป็นฐาน ฐานนั้นเป็นที่ตั้ง เพราะสิ่งทั้งหลายทั้งนั้นให้เรารู้เข้าใจ สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นมันเป็นกรรม มันเป็นกรรมทางกาย กรรมทางวาจา กรรมทางกิริยามารยาท กรรมทางอาชีพ มันมารวมลงอยู่ที่ใจที่เจตนา

 

ให้มนุษย์เราทั้งหลายรู้เข้าใจ สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นจะได้เป็นทางสายกลาง ผู้ที่มีปัญญามากก็ต้องมีความสงบมาก ๆ ผู้มีความสงบมาก ๆ ก็ต้องเสียสละมาก ๆ มันจะก้าวไปทั้งความสงบทั้งปัญญาที่เป็นปฏิปทา ที่ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ

 

อดีตทั้งหลายที่ผ่านมาแล้วก็มารวมกันอยู่ที่ปัจจุบันนี้แล้ว อนาคตที่จะไปข้างหน้าก็อยู่ที่ปัจจุบัน การประพฤติการปฏิบัติของเราถึงอยู่ที่ปัจจุบันนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้พวกเราทั้งหลายอย่าพากันประมาท เพราะความประมาทคือความผิดพลาดอย่างเดียวเช่นเดียวกันกับตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทย ความประมาทมันผิดพลาดอย่างนั้น มันพังทลายมันเสียหาย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเป็นห่วงพวกเรา ว่าไม่ให้พวกเราทั้งหลายพากันตั้งอยู่ในความประมาท

 

 ปัจจุบันนี้ถึงเป็นวาระแห่งชาติของเราทุก ๆ คนนะ การประพฤติการปฏิบัตินี้ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะความรู้ต้องคู่กับการประพฤติการปฏิบัติ จะแยกกันไม่ได้ เพื่อให้เป็นอริยมรรค เป็นหนทางดำเนินชีวิตที่ประเสริฐ นี้เป็นหลักการของหมู่มวลมนุษย์ทุก ๆ คนที่เกิดมา ไม่มีใครยกเว้น นี้เป็นหลักการของมนุษย์ มนุษย์เรานี้ต้องมีหลักการ มีอุดมการณ์อุดมธรรม เป็นธรรมนูญชีวิต ประชาธิปไตยก็ต้องปรับเข้าหาธรรม สังคมนิยมชมชอบก็ต้องปรับตัวเข้าหาธรรม เพื่อเข้าถึงการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ประกอบด้วยปัญญาที่เป็นบริสุทธิคุณ ไม่ใช่ปัญญาที่เป็นตัวเป็นตน ต้องเป็นปัญญาที่บริสุทธิคุณ

 

เราทุกคนต้องเอาหลักการอย่างนี้ ให้เข้าใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมันไปจากเหตุจากปัจจัย ปัจจุบันมันเป็นอย่างไร อนาคตมันก็ย่อมเป็นอย่างนั้น เราต้องเข้าใจให้ชัดเจน  อนาคตที่อยู่ข้างหน้ามันไปจากปัจจุบันนี้แหละ ปัจจุบันี้เป็นเหตุของอนาคต เพราะทุกอย่างนั้นมันคือกรรม เราต้องรู้เรื่องของกรรมนะ รู้เรื่องกฎแห่งกรรมนะ ผลของกรรมนี้มันเป็นปลายเหตุแล้ว ความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพรากนี้มันเป็นปลายเหตุแล้ว  

 

ให้เราทั้งหลายที่เราพากันเป็นมนุษย์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เราเอาหลักการอย่างนี้ ให้พากันมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติในการปฏิบัติ เราต้องก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจในการประพฤติในการปฏิบัติ อย่าไปทำอะไรที่ปราศจากปัญญา ปัญญาต้องมาก่อน ต้องรู้แจ้งเห็นจริง เพราะทุกอย่างนั้นมันเป็นกรรมเป็นกฎแห่งกรรมแล้วจะได้รับผลของกรรม ปัญญาสัมมาทิฏฐิถึงเป็นสิ่งที่นำชีวิต มนุษย์เราถึงมีการเรียนการศึกษา ทางฝ่ายวิทยาศาสตร์ทางวัตถุตั้งแต่อนุบาลจนถึงปริญญาเอก ทางด้านเรื่องจิตเรื่องใจก็ให้เรียนให้ศึกษาตั้งแต่นักธรรมตรี จนถึงเปรียญธรรม ๙ ประโยค ปัญญาสัมมาทิฏฐินี้ต้องเป็นตัวนำ เพื่ออริยมรรคในการดำเนินชีวิตจะได้สมบูรณ์ทั้งกายวาจากิริยามารยทอาชีพน่ มารวมลงที่ใจที่เป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ เพื่อจะยกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้อง คือยกเลิกตัวตน เพื่อเป็นทางสายกลางระหว่างเรื่องจิตเรื่องใจกับเรื่องวัตถุที่ได้มาจากการพัฒาวิทยาศาสตร์

 

เราจะคิดอะไรก็ต้องให้เราเอาปัญญามาใช้มากำกับ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงให้เรารู้เสียก่อน ถึงไม่ให้เราตรึกในเรื่องของกาม ไม่ให้ตรึกในเรื่องของพยาบาท เพราะเราทุกคนต้องมีปัญญา รู้เรื่องของกรรม กายวาจากิริยามารยาทอาชีพเราต้องรู้เข้าใจ ว่าสิ่งเหล่านั้นมันเป็นเพียงอุปกรณ์ของใจ ถ้าเราของเราไม่รู้ เราก็ไปสร้างปัญหา ถ้าใจของเรารู้เราก็หยุดปัญหา ปัญหาอยู่ที่เราไม่รู้ไม่เข้าใจ หยุดปัญญาอยู่ที่เรารู้เราเข้าใจ ที่พระโมคคัลลาสารีบุตรได้บำเพ็ญสาวกบารมีมา เพื่อมาตรัสรู้เป็นสาวกบารมี เมื่อยังไม่ได้บรรพชาอุปสมบทแสวงหาความดับทุกข์ได้ไปพบเห็นพระอัสสชิ เห็นความงดงาม เห็นปฏิปทาที่ฉายแสงออกมาเป็นความสงบและปัญญา พระสารีบุตรได้ไปกราบเรียนถามพระอัสสชิว่า ท่านทำไมงดงามทั้งกายวาจากิริยามารยาทงดงามทางใจ ใครเป็นครูบาอาจารย์ของท่าน ขอท่านจงบรรยายให้ข้าพเจ้ารู้ ให้ข้าพเจ้าเข้าใจ พระอัสสชิได้เมตตาตรัสว่า เราเป็นผู้ที่บวชมาใหม่ ยังไม่สามารถที่จะบรรยายธรรมะให้พิศดารได้ พระสารีบุตรได้พูดกับพระอัสสชิว่า ไม่ต้องเอาละเอียด ให้เอาพอสังเขป พระอัสสชิตอบว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นเกิดจากเหตุ ถ้าจะดับก็ดับที่เหตุ ที่ตรัสเป็นภาษาบาลีว่า

 

"...วิรชํ วีตมลํ ธมฺมจกฺขุํ อุทปาทิ ยงฺกิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมนฺติ ฯ.."

 

ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตทรงแสดงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และความดับของธรรมเหล่านั้น พระมหาสมณะทรงสั่งสอนอย่างนี้. 

 

ด้วยเหตุผลนี้ ความรู้ถึงคู่กับการประพฤติการปฏิบัติ ความรู้ต้องไปคู่กับการประพฤติการปฏิบัติ เรื่องจิตเรื่องใจกับเรื่องวิทยาศาสตร์ต้องไปพร้อม ๆ กัน เพื่อเราจะได้พัฒนาสองอย่าง พัฒนาทั้งใจทั้งวัตถุไปพร้อม ๆ กัน เราจะได้หยุดเรื่องเก่าที่ไม่ถูกต้อง เราจะได้ทำสิ่งที่ใหม่ที่ถูกต้องที่เป็นทางสายกลาง ผู้มีปัญญามาก ๆ ก็ต้องมีความสงบมาก ๆ ต้องทำอย่างนี้ ผู้มีความสงบมาก ๆ ก็ต้องเสียสละมาก ๆ ถ้าเราทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ติดต่อต่อเนื่องกันมันจะเดินไปด้วยความสงบเดินไปด้วยปัญญา เป็นปฏิทาที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา ศีลสมาธิปัญญาถึงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันจะแยกกันไม่ได้

 

เราจะพูดอะไรเราต้องรู้ต้องเข้าใจ เราต้องรู้เข้าใจ ก่อนที่เราจะพูดออกไป เพราะการพูดนั้นมันเป็นกรรม มันเป็นกฎแห่งกรรม แล้วก็จะเป็นผลของกรรม ถึงมีคำพังเพยว่า ก่อนพูดเราเป็นนายนะ เราพูดแล้วเราจะกลายเป็นบ่าว ด้วยเหตุนี้ผู้มีปัญญามาก ๆ ก็ต้องสงบมาก ๆ ผู้มีความสงบมาก ๆ ก็ต้องเสียสละ ถ้าเราไม่เสียสละมันก็เป็นเพียงสมาธิเป็นเพียงสมาบัติ

 

เราจะทำอาชีพอะไร เราต้องรู้เราต้องเข้าใจ เพราะทุกอย่างนั้นมันคือกรรมคือกฎแห่งกรรมแล้วก็จะเป็นผลของกรรม เราต้องรู้ต้องเข้าใจ ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจ เดี๋ยวมันจะเกิดความเสียหาย เดี๋ยวมันจะพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกันกับตึกสตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทย ตึกไหน ๆ เค้าก็ไม่พัง ทั้งที่ใหญ่กว่าสูงกว่าเค้าก็ไม่พังทลาย พังตึกเดียวพังเฉพาะเจาะจงตั้งแต่ตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทย

 

เราจะทำอะไรประกอบอาชีพอะไร เราเข้าใจ ความเข้าใจนี้หมายถึงให้เข้าใจเรื่องทุกข์ เรื่องเหตุเกิดทุกข์ ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เราทั้งหลายจะได้เอาตัวรอดในทางที่รอด ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ เดี๋ยวเราจะเอาตัวรอดในทางไม่รอดนะ ให้พากันเข้าใจว่าทุกอย่างมันคือกรรม คือกฎแห่งกรรม คือผลของกรรม ไม่มีใครจะเหนือกรรมไปได้ ที่พระอัสสชิได้พูดกับพระสารีบุตรว่า ทุกอย่างมันไปจากเหตุไปจากปัจจัย เราทั้งหลายถึงต้องมีสติมีสัมปชัญญะ อย่าเอาความหลงนำชีวิต อย่าเอาความฟุ้งซ่านนำชีวิต ต้องเอาความสงบและปัญญา เน้นที่ปัจจุบันนี้ ปัจจุบันเราต้องคิดดี ๆ พูดดี ๆ กิริยามารยาทดี ๆ ยกเลิกตัวตน เพื่อให้เกิดความสงบและปัญญา เพื่อให้เป็นปฏิปทาไปพร้อม ๆ กันทั้งความสงบและปัญญา เพื่อให้เข้าสู่ความถูกต้อง เข้าถึงความพอดีความพอเพียงเพียงพอ ไม่ต้องเอาความหลงนำชีวิต ไม่ต้องเอาความฟุ้งซ่านนำชีวิต ต้องรู้ต้องเข้าใจ ต้องผ่านไปด้วยความรู้ความเข้าใจ ว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเกิดจากเหตุเกิดจากปัจจัย

 

ถ้าเรารู้เราเข้าใจ สิ่งทั้งหลายที่เป็นอดีตที่ผ่านมาเราทั้งหลายจะได้หยุดเรื่องอดีตทั้งหลายทั้งปวงที่ผ่านมา เราทั้งหลายจะได้จบลงที่ปัจจุบันนี้ เพื่อให้สิ่งที่เป็นอดีตหยุดลงที่ปัจจุบัน จบลงที่ปัจจุบัน เราจะหยุดได้จบได้เราก็ต้องมีสติมีสัมปชัญญะ เอาการประพฤติการปฏิบัติของเราที่เป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ

 

เอาปัจจุบันที่เป็นความสงบและปัญญา ที่จะก้าวไปข้างหน้าด้วยความถูกต้อง มันจะต้องก้าวไปด้วยความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ จะได้เป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา จะได้เป็นปัญญาที่ประกอบด้วยความดี ที่จะให้เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราทั้งหลายจะได้ยกเลิกความไม่ถูกต้อง ยกเลิกตัวยกเลิกตน ยกเลิกความไม่ถูกต้อง เราจะได้เอาการพัฒนาวิทยาศาสตร์และการพัฒนาใจไปพร้อม ๆ กัน ปัญหาจบต่าง ๆ นั้นมันจะจบลงที่ปัจจุบัน ด้วยเหตุผลนี้เราทั้งหลายถึงต้องมามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ จิตใจของเราจะได้สงบ จิตใจของเราจะได้เป็นหนึ่ง จะได้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ ไม่มากเกินไปไม่น้อยเกินไป มันเป็นความพอดี เข้าถึงเศรษฐกิจพอเพียงเพียงพอ มันเป็นความดับทุกข์ของหมู่มวลมนุษย์ทั้งหลาย มนุษย์ทั้งหลายรู้เหตุปัจจัย ว่าสิ่งทั้งปวงทั้งนั้นมันมาจากเหตุจากปัจจัย กายวาจากิริยามารยาทอาชีพของเราจะไม่ได้เสียหาย จะไม่ได้พังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกันกับตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทย

 

เราทั้งหลายจะได้ทำหน้าที่เพราะเหตุผลว่า ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ เรามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการทำหน้าที่

 

การประพฤติการปฏิบัติของเราคือหน้าที่ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติในหน้าที่ สมมติทั้งหลายทั้งปวงให้เรารู้ให้เข้าใจนะ สมมติทั้งหลายให้พวกเราเอามาใช้เอามาปฏิบัติ ให้มีปิติปิติสุขเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติต่อสมมติสัจจะทั้งหลาย ที่เรามีปิติมีความสุขในการทำหน้าที่เราก็จะอยู่ด้วยปัจจุบันธรรม เราต้องโฟกัสในสมมติสัจจะ เราจะได้มีสติ เราจะได้มีสัมปชัญญะ เพราะสติสัมปชัญญะนั้นจะเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เราทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ ไม่ฟุ้งซ่าน สติปัฏฐานถึงเป็นความพอเพียงเพียงพอ เป็นความพอดี ความสงบกับความเคารพถึงเป็นอันเดียวกัน ความกตัญญูกตเวทีกับความสงบที่เรายกเลิกตัวตน ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาถึงเป็นความพอดี เป็นคุณสมบัติของความดีของผู้ดี ศีลสมาธิปัญญาถึงเป็นคุณธรรมของผู้ดีที่ประกอบด้วยปัญญา สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นจะจบลงที่ปัจจุบันนะ  

 

เราทุกคนให้รู้เข้าใจนะ เพื่อจะได้เข้าใจว่าสติเป็นสัมปชัญญะนั้นเป็นสิ่งที่มีอุปการคุณมาก ๆ เราต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ในการทำหน้าที่ เพราะหน้าที่คือธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ เพื่อพัฒนาอริยมรรคมีองค์แปดของเราให้สมบูรณ์

 

การทำงานของหมู่มวลมนุษย์ที่เอาความสงบและปัญญาถึงเป็นการปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมถึงเป็นการทำงาน นี้เป็นหลักการเป็นอุดมการณ์อุดมธรรมระหว่างการพัฒนาวิทยาศาสตร์กับเรื่องจิตเรื่องใจไปพร้อม ๆ กัน

 

เป็นการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นการพัฒนาเรื่องจิตเรื่องใจที่ประกอบด้วยปัญญา ด้วยเหตุผลนี้ ผู้ที่คงแก่เรียนทั้งหลาย ผู้ที่มีปัญญามาก ๆ ก็ต้องมีความสงบมาก ๆ เมื่อผู้มีความสงบมาก ๆ ก็ต้องเสียสละมาก ๆ เพื่อให้สองอย่างไปพร้อม ๆ กัน เพื่อจะเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี เข้าถึงธรรมถึงปัจจุบันธรรมที่ยกเลิกตัวตน เมื่อเรายกเลิกตัวตน เราทั้งหลายถึงจะเป็นผู้มีศีลมีสมาธิมีปัญญา ถ้าเราไม่ยกเลิกตัวตน ถึงเราจะปฏิบัติศีลปฏิบัติสมาธิเจริญปัญญา การปฏิบัติของเรานั้นมันก็ไม่มีศีลไม่มีสมาธิไม่มีปัญญา เพราะเรายังมีอัตตามีตัวตน เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ ต้องยกเลิกตัวตน สักกายทิฏฐิคือถือเนื้อถือตัวว่าเราว่าเขา ว่าตัวว่าตน มีความสำคัญมั่นหมายว่าเราเป็นผู้หญิงเป็นผู้ชาย เป็นคนแก่คนเฒ่าคนชรา เป็นคนดีกว่าเค้าเก่งกว่าเค้าฉลาดกว่าเค้ามีเพาเวอร์มากกว่าเค้าหรือว่าเสมอเขา หรือว่าสู้เขาไม่ได้ ความตรึกนึกคิดอย่างนี้แหละต้องยกเลิก เพราะเหตุผลว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่มีเขาไม่มีเรา มีแต่เพียงเหตุเพียงปัจจัย เป็นเพียงอาคันตุกะที่สัญจรไปมาชั่วครู่ชั่วคราวชั่วยาม สิ่งเดิมแท้นั้นคือความเป็นประภัสสร คือว่างเปล่ากความเป็นตัวตน เราถึงต้องมารู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะไม่ได้ไปตามความหลง เราจบลงที่ในปัจจุบัน จบเรื่องกรรมเก่า ไม่ต้องสร้างกรรมใหม่ด้วยความรู้ความเข้าใจ เราทั้งหลายจะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ไม่ใช่ว่างจากสิ่งที่ไม่มี

 

เราคิดดูดี ๆ นะ เรามีตามันถึงมีรูป เรามีหูถึงมีเสียง เรามีจมูกเราถึงมีกลิ่น เรามีลิ้นถึงมีรส เรามีกายถึงมีสัมผัส เรามีใจถึงมีความรู้สึกนึกคิด เรารู้เข้าใจอย่างนี้แหละ เราต้องจบลงที่ปัจจุบันด้วยความรู้ความเข้าใจ เรียกว่าจบด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา สัมมาสมาธิถึงประกอบด้วยปัญญา ความสงบและปัญญาต้องรวมกันเป็นหนึ่ง คำว่าหนึ่งนี้ไม่มีสอง ความปรุงแต่งนั้นมันเป็นสองนะ การหยุดความปรุงแต่งมันถึงเป็นหนึ่ง ความสงบและปัญญาเราต้องรู้เข้าใจ ผู้มีปัญญามาก ๆ ก็ต้องมีความสงบมาก ๆ ผู้มีความสงบมาก ๆ ก็ต้องเสียสละมาก ๆ มันจะได้เข้าถึงความเป็นหนึ่งเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอเข้าถึงปัจจุบันธรรม

 

เราต้องรู้เข้าใจ ถ้าเรารู้เข้าใจสิ่งทั้งหลายถึงจะมีแต่คุณที่เรียกว่าพุทธคุณธัมมคุณสังฆคุณที่เรามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบันด้วยความรู้ความเข้าใจ เราจะได้ก้าวไปด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญาในปัจจุบันให้ปัจจุบันนี้เป็นวาระแห่งชาติในการประพฤติการปฏิบัติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้พวกเราทั้งหลายมีความสุขอย่างนี้ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ รวยเท่าไหร่มียศมีตำแหน่งเท่าไหร่ไม่รู้จักพอ ไม่เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอเราก็มีความทุกข์ เพราะความทุกข์นี้มันอยู่ที่เราคิดเองเออเอง ความสุขมันก็อยู่ที่เราคิดเองเออเอง สิ่งทั้งหลายเราเข้าใจแล้วเราจะไม่ได้ตัด ไม่ได้เอามาเพิ่มมันจะเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ แต่การประพฤติการปฏิบัติต้องอาศัยความดีที่ประกอบด้วยปัญญา อาศัยปฏิปทาที่ต้องบำเพ็ญบารมีติดต่อต่อเนื่องเป็นขบวนการในการประพฤติการปฏิบัติ ให้ถือว่าปัจจุบันเป็นวาระแห่งการประพฤติการปฏิบัติของเราทุก ๆ คน

 

เราต้องเข้าใจนะ ทุกคนก็เป็นพระได้พอ ๆ กันนั่นแหละทุกชาติทุกศาสนา เพราะความดับทุกข์มันเป็นสากล ความคิดเป็นสากล กายวาจากิริยามารยาทอาชีพเป็นสากล เราต้องยกเลิกตัวตน ยกเลิกด้วยความรู้ความเข้าใจ ความรู้ต้องคู่กับการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายมาระลึกถึงปัจฉิมโอวาทของพระบรมศาสดาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้ตรัสให้พวกเราทั้งหลาย เพื่อจะได้พากันไม่ตั้งอยู่ในความประมาท เพราะในโลกนี้ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจเราทั้งหลายจะไปตามผัสสะไปตามสิ่งแวดล้อมเราจะไม่รู้เรื่องการประพฤติการปฏิบัติของเราเอง ท่านได้ตรัสปัจฉิมโอวาทว่า

 

“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”

 

โอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ

ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ

ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู

ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร

ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละคือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะว่าสิ่งเดิมนั้นคือความว่างเปล่า สิ่งที่สัญจรไปมาเป็นเพียงอาคันตุกะ เราจะได้เอาหลักการอุดการณ์ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นมรรคเป็นอริยมรรคที่ตรงกันข้ามกับโลกธรรมมาประพฤติมาปฏิบัติ ให้รู้เข้าใจ เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรม พระนิพพานความรู้ความเข้าใจในเรื่องกระบวนการปฏิจจสมุปบาท กระบวนการของปฏิจจสมุปบาทจะได้จบลงเพียงผัสสะ จะได้เป็นปัญญาเป็นความสงบ จะเป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหตุเหนือผล หยุดความปรุงแต่ง นี้เป็นขบวนการที่ติดต่อต่อเนื่อง เป็นบารมีเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นพระนิพพานบ้านของเรา ไม่ใช่อวิชชาความหลงเป็นบ้านของเรานะ พระนิพพานคือบ้านของเรา ความสงบและปัญญาถึงเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราจะหยุดวัฏฏสงสารได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยพระธรรมด้วยพระวินัย เป็นขบวนการของกระแสในการประพฤติการปฏิบัติที่ได้นำเอาพระธรรมพระวินัยมาประพฤติมาปฏิบัติในปัจจุบันให้ติดต่อต่อเนื่อง

 

 ความสงบและปัญญาที่เป็นพระธรรมพระวินัยถึงหยุดความปรุงแต่งได้ ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิคู่กับการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน พระธรรมพระวินัยที่เป็นความรู้ความเข้าใจ ที่จะหยุดความปรุงแต่งได้ เข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ปัจจุบัน ไม่ต้องรอชาติหน้า พระนิพพานต้องอยู่ที่ปัจจุบันเท่านั้น

-----------------------------------------

โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม

เมตตาให้ไว้ในเช้าวันเสาร์ที่ ๑ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

Visitors: 102,044